มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
มาตรฐานของ Value Investor
โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเป็น Value Investor มานาน และเมื่อมองย้อนหลังกลับไปก็พบว่าความคิดและมุมมองของตนเองเกี่ยวกับธุรกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัวโดยเฉพาะทางด้านการเงินเปลี่ยนแปลงไปมาก พูดให้ชัดเจนก็คือ มาตรฐานในการพิจารณาให้เกรดกิจการต่าง ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้าม การใช้เงินและบริโภคส่วนตัวเน้นคุณค่ามากขึ้น เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ เรื่องที่หนีห่างจากมาตรฐานของสังคมออกไป
เหตุผลที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนแปลงนี้ผมคิดว่ามาจากการที่ได้เห็น ได้ศึกษา วิเคราะห์กิจการต่าง ๆ มากมาย และได้ลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทจำนวนมากโดยอิงหลักการของ Value Investment ซึ่งในระหว่างกระบวนการเหล่านี้มันช่วยสอนให้รู้ว่าหุ้นและบริษัทแบบไหนเป็นของดีซื้อแล้วได้กำไร แบบไหนลงทุนแล้วขาดทุน สอนให้รู้ว่าความเสี่ยงนั้นคืออะไร และสอนให้จิตใจมีความสุขุมมั่นคงในสังคมที่สับสนวุ่นวายและบ่อยครั้งไร้เหตุผลของผู้คนในตลาดหลักทรัพย์
ก่อนที่จะเป็น Value Investor ผมเคยลงทุนในกิจการบางอย่างโดยไม่ได้คิดอะไรอย่างรอบคอบ มองเห็นแต่อนาคตและผลตอบแทนที่สวยหรูจากกิจการที่อยู่ใน ธุรกิจแห่งอนาคต แต่ตัวบริษัทมีองค์ประกอบของความสำเร็จเพียงน้อยนิด โชคดีที่เป็นการลงทุนจำนวนน้อย บทเรียนที่ได้จึง ไม่แพงจนเกินไป
ผมเคยมีหน้าที่การงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับการดูผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทต่าง ๆ มากมายเป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ก่อนที่จะเป็น Value Investor นั้น ดูเหมือนว่าเกือบทุกบริษัทก็ดูดีใช้ได้ไปหมด ต่อมาเมื่อเป็น Value Investor ใหม่ ๆ บริษัทเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะมีจุดอ่อน หลาย ๆ บริษัทไม่ดีหรือไม่แข็งแรงพอที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนหลังเมื่อกลายเป็น Value Investor ที่มุ่งมั่นและผ่านประสบการณ์มามากขึ้น ผมก็แทบจะหาบริษัทที่ดูดีไม่ได้เลย
ก่อนที่จะเป็น Value Investor ผมเห็นนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการบริหารงานโดยใช้วิธีการใต้โต๊ะเอาเปรียบคนอื่น รายงานตัวเลขที่ไม่เป็นจริง ตัดสินใจทางธุรกิจอย่างสุ่มเสี่ยงโดยใช้เงินของคนอื่น ทุกสิ่งที่ทำนั้นลึกลับซับซ้อนเหมือนอยู่ในมุมมืดและผมก็ไม่รู้สึกอะไร ผมคิดว่านั่นคือ ธุรกิจ เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย แต่เมื่อเป็น Value Investor แล้ว ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถที่จะรับกับพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสได้ เพราะฉะนั้นผมจึงระมัดระวังมากที่จะลงทุนในบริษัทที่ผมไม่แน่ใจว่าบริษัทมีบรรษัทภิบาลที่ดีแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากในแง่ของตัวกิจการและราคาหุ้น
ผมมักจะตื่นเต้นเมื่อผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการเสนอแผนการและประมาณการที่สดใสของบริษัทหลังจากที่กิจการเริ่มดีขึ้นมีกำไรอย่างก้าวกระโดดแม้ว่ากำไรจะยังน้อยนิด แต่เมื่อนำไปประกอบกับภาวะของอุตสาหกรรมที่สดใสแล้วดูเหมือนว่าหนทางข้างหน้าของบริษัทจะปูด้วยกลีบกุหลาบ นั่นเป็นความคิดก่อนที่ผมจะเป็น Value Investor เดี๋ยวนี้ผมไม่รู้สึกตื่นเต้นกับบริษัทที่มีประวัติดีย้อนหลังเพียงแค่ ปีที่แล้ว แต่มี อนาคตที่สดใส ยาวมาก มาตรฐานของผมก็คือบริษัทจะต้องดีต่อเนื่องมานานและอนาคตก็จะดีเหมือนเดิมต่อไปอีกนาน
ผมเคยเรียนมาและเขาบอกว่าบริษัทควรมีหนี้เงินกู้บ้าง เพราะการกู้เงินจะทำให้กำไรในส่วนของเจ้าของสูงขึ้นหรือกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่การกู้เงินก็ไม่ควรมากเกินไปเพราะจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อการล้มละลายสูงขึ้น มาตรฐานของเงินกู้ที่พอเหมาะก็คือ เงินกู้ไม่ควรจะมากกว่าส่วนของทุน ในเมืองไทยเองนั้น บริษัทส่วนใหญ่มีหนี้เงินกู้สูงกว่าทุน บางทีสูงกว่า 3- 4 เท่าก็มี ก่อนเป็น Value Investor ผมรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เดี๋ยวนี้ผมเองไม่ได้ดูว่าหนี้ไม่ควรเกินกี่เท่าของทุน แต่ดูว่าหนี้นั้นจะสามารถใช้คืนได้ด้วยกำไรหมดในกี่ปี ถ้าเกิน 3-4 ปีผมก็ไม่สบายใจแล้ว มาตรฐานของผมก็คือ บริษัทไม่ควรมีหนี้เงินกู้เลยยกเว้นธุรกิจบางประเภท สำหรับผมแล้ว บริษัทที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ควรมีกำไรและเงินสดมากจนไม่ต้องพึ่งแบงค์
สมัยก่อนเวลาลงทุนซื้อหุ้นถือไว้สักพัก ได้กำไร 10-20% ผมก็รู้สึกว่าหุ้นตัวนั้นเยี่ยม หรือเราคิดถูก หรือซื้อหุ้นถูกเวลา ผมก็มักจะขายไปทำกำไรแล้วหาหุ้นตัวใหม่ที่จะ เล่น ต่อ ผมไม่ค่อยสนใจว่ากำไรของบริษัทจะเป็นอย่างไรแต่สนใจว่าหุ้นตัวนั้นจะมีข่าวอะไรน่าสนใจหรือใครจะมาเล่นหรือตลาดน่าจะดีขึ้นซึ่งจะทำให้หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นตาม แต่การเป็น Value Investor ทำให้ผมมองแต่หุ้นที่มีความแข็งแกร่ง มีกำไรดี หุ้นมีราคาถูกที่ผมจะซื้อแล้วถือไว้ยาวนานและมองดูราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นเท่าตัวหรือหลาย ๆ เท่าตัว มาตรฐานก็คือ ถ้าซื้อหุ้นแล้วก็ต้องหวังว่าจะต้องทำกำไรเป็นเท่าตัวภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี การขายเมื่อได้กำไรเพียง 10-20% นั้นไม่อยู่ในความคิดเลย
เรื่องส่วนตัวเช่นการซื้อทรัพย์สิน ความสะดวกสบายและฐานะทางสังคมนั้นผมก็รู้สึกว่าเปลี่ยนไปมาก ก่อนการเป็น Value Investor การใช้เงินในหลาย ๆ เรื่องนั้น นอกจากความคุ้มค่าแล้ว ผมก็ยังคิดถึงเรื่องอื่น ๆ อีกหลายอย่างซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณค่า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อบ้านก็จะอยากได้บ้านที่ใหญ่โตกว่าความจำเป็นมาก ส่วนหนึ่งคงคิดว่าบ้านใหญ่ก็ดูสะดวกสบายหรูหราและเป็นการ ลงทุน อย่างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ความคุ้มค่าคือปัจจัยหลักในการเลือกซื้อเกือบทุกอย่างที่เป็นความจำเป็นและความสุขของชีวิต ความหรูหรา ความพึงพอใจ หรือ หน้าตา ก็เป็นคุณค่าอย่างหนึ่งเพียงแต่เป็นเรื่องที่มีน้ำหนักน้อย
สิ่งที่สรุปได้จากประสบการณ์ของผมก็คือ Value Investment นั้นเป็นแนวความคิดหรือปรัชญาที่มีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงความนึกคิดของคนปฎิบัติได้ และยิ่งคุณมีความเป็น Value พันธุ์แท้มากขึ้นเท่าไร ความคิดของคุณก็จะเปลี่ยนมากขึ้นเท่านั้น จนบางทีอาจจะทำให้เราแปลกแยกจากสังคมบางครั้งอย่างไม่รู้ตัว ผมเองบอกไม่ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ แต่นี่คือวิถีของ Value Investor ที่มักกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ที่สูงหรือเข้มงวดกว่าคนกลุ่มอื่น
โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเป็น Value Investor มานาน และเมื่อมองย้อนหลังกลับไปก็พบว่าความคิดและมุมมองของตนเองเกี่ยวกับธุรกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัวโดยเฉพาะทางด้านการเงินเปลี่ยนแปลงไปมาก พูดให้ชัดเจนก็คือ มาตรฐานในการพิจารณาให้เกรดกิจการต่าง ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้าม การใช้เงินและบริโภคส่วนตัวเน้นคุณค่ามากขึ้น เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ เรื่องที่หนีห่างจากมาตรฐานของสังคมออกไป
เหตุผลที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนแปลงนี้ผมคิดว่ามาจากการที่ได้เห็น ได้ศึกษา วิเคราะห์กิจการต่าง ๆ มากมาย และได้ลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทจำนวนมากโดยอิงหลักการของ Value Investment ซึ่งในระหว่างกระบวนการเหล่านี้มันช่วยสอนให้รู้ว่าหุ้นและบริษัทแบบไหนเป็นของดีซื้อแล้วได้กำไร แบบไหนลงทุนแล้วขาดทุน สอนให้รู้ว่าความเสี่ยงนั้นคืออะไร และสอนให้จิตใจมีความสุขุมมั่นคงในสังคมที่สับสนวุ่นวายและบ่อยครั้งไร้เหตุผลของผู้คนในตลาดหลักทรัพย์
ก่อนที่จะเป็น Value Investor ผมเคยลงทุนในกิจการบางอย่างโดยไม่ได้คิดอะไรอย่างรอบคอบ มองเห็นแต่อนาคตและผลตอบแทนที่สวยหรูจากกิจการที่อยู่ใน ธุรกิจแห่งอนาคต แต่ตัวบริษัทมีองค์ประกอบของความสำเร็จเพียงน้อยนิด โชคดีที่เป็นการลงทุนจำนวนน้อย บทเรียนที่ได้จึง ไม่แพงจนเกินไป
ผมเคยมีหน้าที่การงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับการดูผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทต่าง ๆ มากมายเป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ก่อนที่จะเป็น Value Investor นั้น ดูเหมือนว่าเกือบทุกบริษัทก็ดูดีใช้ได้ไปหมด ต่อมาเมื่อเป็น Value Investor ใหม่ ๆ บริษัทเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะมีจุดอ่อน หลาย ๆ บริษัทไม่ดีหรือไม่แข็งแรงพอที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนหลังเมื่อกลายเป็น Value Investor ที่มุ่งมั่นและผ่านประสบการณ์มามากขึ้น ผมก็แทบจะหาบริษัทที่ดูดีไม่ได้เลย
ก่อนที่จะเป็น Value Investor ผมเห็นนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการบริหารงานโดยใช้วิธีการใต้โต๊ะเอาเปรียบคนอื่น รายงานตัวเลขที่ไม่เป็นจริง ตัดสินใจทางธุรกิจอย่างสุ่มเสี่ยงโดยใช้เงินของคนอื่น ทุกสิ่งที่ทำนั้นลึกลับซับซ้อนเหมือนอยู่ในมุมมืดและผมก็ไม่รู้สึกอะไร ผมคิดว่านั่นคือ ธุรกิจ เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย แต่เมื่อเป็น Value Investor แล้ว ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถที่จะรับกับพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสได้ เพราะฉะนั้นผมจึงระมัดระวังมากที่จะลงทุนในบริษัทที่ผมไม่แน่ใจว่าบริษัทมีบรรษัทภิบาลที่ดีแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากในแง่ของตัวกิจการและราคาหุ้น
ผมมักจะตื่นเต้นเมื่อผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการเสนอแผนการและประมาณการที่สดใสของบริษัทหลังจากที่กิจการเริ่มดีขึ้นมีกำไรอย่างก้าวกระโดดแม้ว่ากำไรจะยังน้อยนิด แต่เมื่อนำไปประกอบกับภาวะของอุตสาหกรรมที่สดใสแล้วดูเหมือนว่าหนทางข้างหน้าของบริษัทจะปูด้วยกลีบกุหลาบ นั่นเป็นความคิดก่อนที่ผมจะเป็น Value Investor เดี๋ยวนี้ผมไม่รู้สึกตื่นเต้นกับบริษัทที่มีประวัติดีย้อนหลังเพียงแค่ ปีที่แล้ว แต่มี อนาคตที่สดใส ยาวมาก มาตรฐานของผมก็คือบริษัทจะต้องดีต่อเนื่องมานานและอนาคตก็จะดีเหมือนเดิมต่อไปอีกนาน
ผมเคยเรียนมาและเขาบอกว่าบริษัทควรมีหนี้เงินกู้บ้าง เพราะการกู้เงินจะทำให้กำไรในส่วนของเจ้าของสูงขึ้นหรือกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่การกู้เงินก็ไม่ควรมากเกินไปเพราะจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อการล้มละลายสูงขึ้น มาตรฐานของเงินกู้ที่พอเหมาะก็คือ เงินกู้ไม่ควรจะมากกว่าส่วนของทุน ในเมืองไทยเองนั้น บริษัทส่วนใหญ่มีหนี้เงินกู้สูงกว่าทุน บางทีสูงกว่า 3- 4 เท่าก็มี ก่อนเป็น Value Investor ผมรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เดี๋ยวนี้ผมเองไม่ได้ดูว่าหนี้ไม่ควรเกินกี่เท่าของทุน แต่ดูว่าหนี้นั้นจะสามารถใช้คืนได้ด้วยกำไรหมดในกี่ปี ถ้าเกิน 3-4 ปีผมก็ไม่สบายใจแล้ว มาตรฐานของผมก็คือ บริษัทไม่ควรมีหนี้เงินกู้เลยยกเว้นธุรกิจบางประเภท สำหรับผมแล้ว บริษัทที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ควรมีกำไรและเงินสดมากจนไม่ต้องพึ่งแบงค์
สมัยก่อนเวลาลงทุนซื้อหุ้นถือไว้สักพัก ได้กำไร 10-20% ผมก็รู้สึกว่าหุ้นตัวนั้นเยี่ยม หรือเราคิดถูก หรือซื้อหุ้นถูกเวลา ผมก็มักจะขายไปทำกำไรแล้วหาหุ้นตัวใหม่ที่จะ เล่น ต่อ ผมไม่ค่อยสนใจว่ากำไรของบริษัทจะเป็นอย่างไรแต่สนใจว่าหุ้นตัวนั้นจะมีข่าวอะไรน่าสนใจหรือใครจะมาเล่นหรือตลาดน่าจะดีขึ้นซึ่งจะทำให้หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นตาม แต่การเป็น Value Investor ทำให้ผมมองแต่หุ้นที่มีความแข็งแกร่ง มีกำไรดี หุ้นมีราคาถูกที่ผมจะซื้อแล้วถือไว้ยาวนานและมองดูราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นเท่าตัวหรือหลาย ๆ เท่าตัว มาตรฐานก็คือ ถ้าซื้อหุ้นแล้วก็ต้องหวังว่าจะต้องทำกำไรเป็นเท่าตัวภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี การขายเมื่อได้กำไรเพียง 10-20% นั้นไม่อยู่ในความคิดเลย
เรื่องส่วนตัวเช่นการซื้อทรัพย์สิน ความสะดวกสบายและฐานะทางสังคมนั้นผมก็รู้สึกว่าเปลี่ยนไปมาก ก่อนการเป็น Value Investor การใช้เงินในหลาย ๆ เรื่องนั้น นอกจากความคุ้มค่าแล้ว ผมก็ยังคิดถึงเรื่องอื่น ๆ อีกหลายอย่างซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณค่า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อบ้านก็จะอยากได้บ้านที่ใหญ่โตกว่าความจำเป็นมาก ส่วนหนึ่งคงคิดว่าบ้านใหญ่ก็ดูสะดวกสบายหรูหราและเป็นการ ลงทุน อย่างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ความคุ้มค่าคือปัจจัยหลักในการเลือกซื้อเกือบทุกอย่างที่เป็นความจำเป็นและความสุขของชีวิต ความหรูหรา ความพึงพอใจ หรือ หน้าตา ก็เป็นคุณค่าอย่างหนึ่งเพียงแต่เป็นเรื่องที่มีน้ำหนักน้อย
สิ่งที่สรุปได้จากประสบการณ์ของผมก็คือ Value Investment นั้นเป็นแนวความคิดหรือปรัชญาที่มีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงความนึกคิดของคนปฎิบัติได้ และยิ่งคุณมีความเป็น Value พันธุ์แท้มากขึ้นเท่าไร ความคิดของคุณก็จะเปลี่ยนมากขึ้นเท่านั้น จนบางทีอาจจะทำให้เราแปลกแยกจากสังคมบางครั้งอย่างไม่รู้ตัว ผมเองบอกไม่ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ แต่นี่คือวิถีของ Value Investor ที่มักกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ที่สูงหรือเข้มงวดกว่าคนกลุ่มอื่น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
เห็นด้วยครับ
ผมพบเห็นการลงทุนที่ล้มเหลวหลายครั้ง พบเจอการเงินของคนรอบข้าง
คนที่มีเงินเดือนสูงกว่าที่ผมเคยได้ 3-4 เท่า กลับต้องมาขอเงินคนเงินเดือนแค่หมื่นใช้ ชีวิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเพราะสังคมในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุ ให้ต้องซื้อมาสร้าง ความโก้เก๋(จอมปลอม)ขึ้นมา ผมนึกถึงบางคน มองไม่ออกจริงๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไป พวกเค้าจะเป็นอยู่อย่างไร...
นึกถึงตัวเองนับว่าโชคดีมาก ที่ได้เจอกับการลงทุนแนวนี้ ยิ่งได้ศึกษา ทดลอง พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็เริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้นทุกวัน
หวังว่าสักวันคงเป็น value โดยจิตวิญญานครับ![Smile :)](./images/smilies/icon_smile.gif)
ผมพบเห็นการลงทุนที่ล้มเหลวหลายครั้ง พบเจอการเงินของคนรอบข้าง
คนที่มีเงินเดือนสูงกว่าที่ผมเคยได้ 3-4 เท่า กลับต้องมาขอเงินคนเงินเดือนแค่หมื่นใช้ ชีวิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเพราะสังคมในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุ ให้ต้องซื้อมาสร้าง ความโก้เก๋(จอมปลอม)ขึ้นมา ผมนึกถึงบางคน มองไม่ออกจริงๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไป พวกเค้าจะเป็นอยู่อย่างไร...
![Rolling Eyes :roll:](./images/smilies/icon_rolleyes.gif)
นึกถึงตัวเองนับว่าโชคดีมาก ที่ได้เจอกับการลงทุนแนวนี้ ยิ่งได้ศึกษา ทดลอง พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็เริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้นทุกวัน
หวังว่าสักวันคงเป็น value โดยจิตวิญญานครับ
![Smile :)](./images/smilies/icon_smile.gif)
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
เป็นบทความที่ดีที่สุดของดร.ในรอบ 56 สัปดาห์เลยครับ
ตรงใจทุกประการเลย![Surprised :o](./images/smilies/icon_surprised.gif)
มาตราฐาน VI ไม่ได้มาตราชายใด
มาตราฐาน VI ไม่ได้มาตราชายใด
--จาก VIT-Academy--
ตรงใจทุกประการเลย
![Surprised :o](./images/smilies/icon_surprised.gif)
มาตราฐาน VI ไม่ได้มาตราชายใด
มาตราฐาน VI ไม่ได้มาตราชายใด
--จาก VIT-Academy--
แก้ไขล่าสุดโดย yoyo เมื่อ อังคาร ก.พ. 22, 2005 3:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
เยี่ยมครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
สวัสดีครับ พี่ปรัชญา
หวังว่าพี่สบายดีพร้อมยิ้มรับเงินปันผลในช่วงนี้นะครับ
ผมชอบอ่านบทความของท่าน ดร.นิเวศน์ ได้ข้อคิดในการลงทุนดีครับ
เห็นด้วยกับน้อง yoyo ครับว่า เรื่องนี้เป็น one of the best เลยครับ
ตอนนี้คุณ CK จัดหมวดหมู่หน้าแรกให้ดูหน้าอ่านขึ้นเยอะเลยครับ
TVI แห่งนี้ นับวันคุณภาพยิ่งคับแก้วครับ พี่ว่าไหมครับ
หวังว่าพี่สบายดีพร้อมยิ้มรับเงินปันผลในช่วงนี้นะครับ
ผมชอบอ่านบทความของท่าน ดร.นิเวศน์ ได้ข้อคิดในการลงทุนดีครับ
เห็นด้วยกับน้อง yoyo ครับว่า เรื่องนี้เป็น one of the best เลยครับ
ตอนนี้คุณ CK จัดหมวดหมู่หน้าแรกให้ดูหน้าอ่านขึ้นเยอะเลยครับ
TVI แห่งนี้ นับวันคุณภาพยิ่งคับแก้วครับ พี่ว่าไหมครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
thanwa เขียน:สวัสดีครับ พี่ปรัชญา
หวังว่าพี่สบายดีพร้อมยิ้มรับเงินปันผลในช่วงนี้นะครับ
ผมชอบอ่านบทความของท่าน ดร.นิเวศน์ ได้ข้อคิดในการลงทุนดีครับ
เห็นด้วยกับน้อง yoyo ครับว่า เรื่องนี้เป็น one of the best เลยครับ
ตอนนี้คุณ CK จัดหมวดหมู่หน้าแรกให้ดูหน้าอ่านขึ้นเยอะเลยครับ
TVI แห่งนี้ นับวันคุณภาพยิ่งคับแก้วครับ พี่ว่าไหมครับ
![Razz :P](./images/smilies/icon_razz.gif)
ก้ยังคงถือหุ้นเท่าเดิมครับ สำหรับบริษัทโฆษณา
มีพี่หมอประจวบ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันครับ
ปันผลก็คงพอกินใช้ทั้งปีครับ
ขอบคุณ คุณธันวาที่นำบทความของ ดร.นิเวศน์ มาลงทุกครั้ง
จะได้สร้างหลักความคิด หลักการลงทุน
จะได้ไม่สะเบะ สะปะ ตามคนนั้นคนนี้ซื้อหุ้น
ยิ่งหนังสือเล่มล่าสุด ที่ท่าน ดร.นิเวศน์ แปล
ผมว่าสร้างนักลงทุนดีกว่าทุกเล่มที่ท่านเขียน
ผมซื้อเป็นโหลเลย แจกคนรู้จักจะได้อ่านกัน
ถ้าให้ชม
ยอดเยี่ยมที่สุดเลยครับหนังสือ ที่เกี่ยวกับชีวิตปีเตอร์ลินซ์
ถึงจะร่ำรวยไม่เท่ากับ วอเรน แต่อ่านแล้วทำได้
วอเรน เล่นหุ้นโดยมีเงินกองทุน+บริษัทประกันเสริม
ทุนจึงมากไม่มีข้อจำกัด ซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดี...
หนังสือเล่มนี้
สอนวิธีหาหุ้น ที่ผมใช้ได้ผลตามสไตล์
คือมีเงินน้อย แต่ซื้อหุ้นแบบในหนังสือ
ตอนหุ้นที่คนไม่สนใจ พอบริษัทฟื้นทำกำไร
หุ้นก็วิ่งขึ้นพร้อมเปลี่ยนพื้นฐาน เอาเงินต่อเงิน
ใช้เงินไปทำงาน บริหารเงิน นานวันเงินก็ยิ่งงอกเงย
ท่าน ดร.นิเวศน์ เป็นผู้รอบรู้ที่สุดในเมืองไทย (ผมคิดแบบนี้ครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 109
- ผู้ติดตาม: 0
มาตรฐานของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
บทความของ ดร.นิเวศ ก็ยังแฝงความรู้และปรัชญาชีวิตที่สามรถนำไปใช้ในการลงทุนและใช้ในชีวิตประจำวันได้ ส่วนตัวผมเองจะสะสม หนังสือของ ดร.ทุกเล่ม แล้วยังแนะนำให้คนที่ผมรักได้นำไปศึกษาบ้าง ขอให้ ดร.เขียนบทความที่ดีเหล่านี้มาให้พวกเราอ่านเยาอะๆนะครับ ขอบคุณครับ