"แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 31
เข้ามาคารวะพี่เคนครับ
ก่อนหน้านี้เคยติดตามแนวคิดของพี่เคนในฐานะนักลงทุน ก็ว่าสุดยอดแล้ว
พอมาอ่านแนวคิดของพี่ในฐานะนักธุรกิจ ยิ่งสุดยอดไปใหญ่
คารวะด้วยใจจริงครับ
ก่อนหน้านี้เคยติดตามแนวคิดของพี่เคนในฐานะนักลงทุน ก็ว่าสุดยอดแล้ว
พอมาอ่านแนวคิดของพี่ในฐานะนักธุรกิจ ยิ่งสุดยอดไปใหญ่
คารวะด้วยใจจริงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 32
ถูกใจประโยคนี้มากๆครับ<< New >> เขียน: ดังนั้น วิธีการต่อสู้ที่ดีที่สุด ก็คือ การไม่ต่อสู้ ฉะนั้นเราจะไม่ต่อสู้กับเขา แต่เราจะต่อสู้กับความต้องการของลูกค้า
มาร่วมลงชื่อเป็นกำลังใจให้นะครับ
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 33
ยินดีครับคุณ chotipat
ผมกลัวจะไม่ค่อยมีน่ะซิครับ
อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตายไปจะได้ไม่เสียชาติเกิด
ผมน้อมรับใช้คับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ผมกลัวจะไม่ค่อยมีน่ะซิครับ
อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตายไปจะได้ไม่เสียชาติเกิด
ผมน้อมรับใช้คับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 34
นี่คือ ตัวอย่างของหนังสือที่ brief และ personal comment ให้ลูกค้า เป็นประจำเดือน เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความคิดจุดประกาย และยังเป็นการลดเวลาการอ่านหนังสือด้วยครับ
เพราะอย่างน้อยถ้าเป็นลูกค้าเรา ต้องได้อ่านหนังสือทุกเดือนครับ ^^
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ก็ดีใจแล้วครับ ให้แด่เพื่อน ๆ ที่แสนน่ารักครับ
คมความคิด (ตัวอย่างฉบับที่ 1)
“Attitude of the Winner : ทัศนะคติแบบผู้ชนะ”
“ความสำเร็จ” ใครๆก็อยากที่จะมีไว้ครอบครอง เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับชีวิตที่ชาตินึงได้เกิดมาบนโลกใบนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ลิ้มรสความสำเร็จที่วาดหวังไว้ หนังสือเล่มนี้ขอนำเสนอหลักคิดสำหรับผู้ที่กำลังเดินทางหรือค้นหาหนทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายของชีวิตเพื่อให้ได้ชื่อว่า “ผู้ชนะ”
- หลักคิดที่ 1 จงเรียนรู้ทุกความรู้ที่อยากจะรู้ให้แตกฉาน เพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงตนในช่วงเวลาที่เรากำลังเดินทางบนเส้นทางของชีวิตที่มีเป้าหมายรออยู่ข้างหน้า แต่อย่าลืมว่าความรู้ที่ว่านั้นต้องเป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมาย
- หลักคิดที่ 2 รู้จักใช้กุญแจที่เหมาะสมในการเปิดประตูที่ล๊อคกลอน ในการเดินทางของชีวิตย่อมพบเจอปัญหาและอุปสรรคเป็นธรรมดา เมื่อเรามีความรู้ที่แตกฉานแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการที่ต้องมีควบคู่กันคือ “สติ” เพื่อรับกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเลือกใช้ความรู้ให้เหมาะสมกับวิธีการในการแก้ไขปัญหา “ทุกประตูมีกุญแจที่เหมาะสม ผู้ชนะก็คือผู้ที่รู้ว่าประตูไหนควรใช้กุญแจดอกไหน”
- หลักคิดที่ 3 คำถามคือแนวทางสู่ความสำเร็จ เราต้องเป็นคนที่กล้ารู้และกล้าถาม ไม่มีใครที่เก่งที่รู้ทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด ชีวิตเราไม่มีเวลามากพอที่จะเรียนรู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ด้วยตัวเอง ถามผู้รู้จะทำให้เรารู้มากกว่าผู้ที่ไม่ถาม “ถ้าอายที่จะถาม เท่ากับคุณอายที่จะประสบความสำเร็จ คำถามคือคุณจะอายทำไม”
- หลักคิดที่ 4 ผูกมิตรกับเวลา บริหารมันให้เป็น ผู้ชนะคือผู้ลงมือทำ คว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว คิดอยู่เสมอว่าทุกนาทีมีค่าในการก้าวเดิน “เวลาเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู อยู่ที่ว่าคุณจะคบหาหรือว่าปล่อยให้มันทำตามหน้าที่”
- หลักคิดที่ 5 เป็นนักพัฒนาตนเอง แก้ไขจุดอ่อนเสมอ ต้องรู้จักตนเอง มองตนให้แจ่มแจ้ง หาจุดอ่อนให้เจอแล้วกำจัดมัน ตามด้วยการเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง “เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง คุณต้องทำผิดให้น้อยลง”
- หลักคิดที่ 6 ให้อารมณ์เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ การตัดสินใจท่ามกลางอารมณ์ที่ร้อนแรงนำมาซึ่งความผิดพลาด “เมื่อใดก็ตามที่อารมณ์เป็นนายเรา มันจะหอบความสำเร็จของเราหายไปหมด”
- หลักคิดที่ 7 แข่งขันคือการเข้าร่วมแบ่งปัน ไม่ใช่ห้ำหั่น จงทำให้สนามแข่งขันเป็นที่ฝึกตนในการสร้างพลังแห่งความหวังดี มีความกระตือรือร้นในการที่จะพัฒนาตนเอง แข่งขันกับคนอื่นในฐานะมิตร “ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ชนะทุกการแข่งขัน ผู้ชนะที่แท้จริงคือผู้ที่มีชัยในขณะที่ผู้ร่วมแข่งขันเสียหายน้อยที่สุด”
- หลักคิดที่ 8 คิดบวกเข้าไว้ ความเหนื่อยคือพลัง ต้องปรับตัวเองให้เป็นคนมองบวกบนพื้นฐานของความเป็นจริง “ความเหนื่อยไม่ใช่ร่องรอยของความสูญเสีย แต่เป็นเสมือนอิฐแต่ละก้อนที่ช่วยต่อกันเป็นเรือนชานแห่งความสำเร็จของเรา”
- หลักคิดที่ 9 คิดแบบผู้นำ ใส่ใจรายละเอียดและไม่ยอมแพ้ มองการณ์ไกล คิดถึงคนรอบข้าง เชื่อมั่นในเหตุและผล เลือกใช้คนให้ถูก หมั่นเติมความคิด “คุณไม่สามารถคิดการใหญ่ได้ หากลืมใส่ใจจุดเริ่มต้นเล็กๆ และไม่มีหัวใจนักสู้”
- หลักคิดที่ 10 รู้จักเชื่อมตะวันตกมาผสมตะวันออก การที่โลกนี้แบ่งเป็นตะวันตกตะวันออก ไม่ใช่การแบ่งเพื่อให้แยกจากกัน แต่เป็นการแบ่งเพื่อให้มนุษย์รู้จักเรียนรู้และผสมผสานแนวคิดทั้งสองเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตบนโลกใบเดียวกัน “ต้นไม้เจริญได้ดี เพราะมันไม่เคยดูหมิ่นรากเหง้าของมัน”
- หลักคิดที่ 11 รู้จักบทบาทตนเองอย่างถ่องแท้ แบ่งเวลาให้กับสามส่วนของชีวิต คือ งาน ครอบครัว ส่วนตัว ให้เหมาะสม เพราะเมื่อปัญหาเรื่องใดเกิดขึ้น ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าเราใส่ใจเรื่องนั้นน้อยเกินไป “หนึ่งคนมีหลายหัวโขน หากคุณทำให้ทุกหัวโขนดูดีเมื่ออยู่บนหัวคุณ คุณจะเป็นยอดนักใช้ชีวิตมืออาชีพ”
- หลักคิดที่ 12 ไม่ตกเป็นทาสของเงิน รวยแล้วอย่าเหลิง ความสำเร็จและเงินทองเป็นของฉลาด เพราะมันจะไม่อยู่กับคนที่ฉลาดน้อยกว่ามัน “อย่าให้ค่าของคุณแปรเปลี่ยนตามจำนวนเงินที่มี”
- หลักคิดที่ 13 คบคนที่พาเรารุ่ง “อย่าลืมมิตรที่ดี อย่ามีมิตรที่เลว อย่าเหลวเพราะเจอคนโกง”
- หลักคิดที่ 14 ทำไมต้องมีระเบียบ “ผู้ที่สามารถรักษาข้อห้ามและข้อปฏิบัติของตนเองได้อย่างเคร่งครัด ก็ย่อมสามารถปกครองคนอื่นได้ การที่จะเป็นสุภาพชนก็ต้องนำวิชามาฝึกฝนตนเอง ส่วนการปกครองคนอื่นนั้นเป็นเรื่องรอง”
- หลักคิดที่ 15 เป็นคนที่สมบูรณ์ “นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” ไม่เพียงแค่คิดที่จะทำดี แต่ต้องลงมือทำ พรุ่งนี้อาจไม่มีให้เราทุกวัน
สำหรับผมเอง ผมคิดเสมอว่าจุดเริ่มต้นของความสำเร็จเกิดจากความคิดที่แตกต่างกัน ถึงวันนี้ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จแล้ว แต่เป้าหมายชีวิตของผมต่อไปคือการทำให้ลูกน้องของผมประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนกับผม ผมจึงพยายามที่จะให้ตัวเขาคิดเองและก็ทำเองและสามารถสอนให้คนอื่นคิดและคนอื่นทำได้ด้วยซึ่งจะเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน ด้วยการปลูกฝังความคิดตามแนวทางของคนที่ประสบความสำเร็จ โดยการใช้ห้องเรียน Pantalk ในการหยิบยกตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก เพื่อนำเอาหลักคิดต่างๆของคนเหล่านั้น มาถ่ายทอดเพื่อนำมาปรับใช้และต่อยอดในชีวิตของตัวเขาเอง เพราะชีวิตคนเราไม่ยืนยาวพอที่จะลองผิดลองถูกในทุกๆอย่าง หากเราสามารถที่จะเดินในเส้นทางที่มีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้าแน่นอน ก็ควรที่จะเดินอย่างมุ่งมั่นบนเส้นทางเหล่านี้จะดีกว่า
ขอบคุณครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
เพราะอย่างน้อยถ้าเป็นลูกค้าเรา ต้องได้อ่านหนังสือทุกเดือนครับ ^^
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ก็ดีใจแล้วครับ ให้แด่เพื่อน ๆ ที่แสนน่ารักครับ
คมความคิด (ตัวอย่างฉบับที่ 1)
“Attitude of the Winner : ทัศนะคติแบบผู้ชนะ”
“ความสำเร็จ” ใครๆก็อยากที่จะมีไว้ครอบครอง เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับชีวิตที่ชาตินึงได้เกิดมาบนโลกใบนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ลิ้มรสความสำเร็จที่วาดหวังไว้ หนังสือเล่มนี้ขอนำเสนอหลักคิดสำหรับผู้ที่กำลังเดินทางหรือค้นหาหนทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายของชีวิตเพื่อให้ได้ชื่อว่า “ผู้ชนะ”
- หลักคิดที่ 1 จงเรียนรู้ทุกความรู้ที่อยากจะรู้ให้แตกฉาน เพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงตนในช่วงเวลาที่เรากำลังเดินทางบนเส้นทางของชีวิตที่มีเป้าหมายรออยู่ข้างหน้า แต่อย่าลืมว่าความรู้ที่ว่านั้นต้องเป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมาย
- หลักคิดที่ 2 รู้จักใช้กุญแจที่เหมาะสมในการเปิดประตูที่ล๊อคกลอน ในการเดินทางของชีวิตย่อมพบเจอปัญหาและอุปสรรคเป็นธรรมดา เมื่อเรามีความรู้ที่แตกฉานแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการที่ต้องมีควบคู่กันคือ “สติ” เพื่อรับกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเลือกใช้ความรู้ให้เหมาะสมกับวิธีการในการแก้ไขปัญหา “ทุกประตูมีกุญแจที่เหมาะสม ผู้ชนะก็คือผู้ที่รู้ว่าประตูไหนควรใช้กุญแจดอกไหน”
- หลักคิดที่ 3 คำถามคือแนวทางสู่ความสำเร็จ เราต้องเป็นคนที่กล้ารู้และกล้าถาม ไม่มีใครที่เก่งที่รู้ทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด ชีวิตเราไม่มีเวลามากพอที่จะเรียนรู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ด้วยตัวเอง ถามผู้รู้จะทำให้เรารู้มากกว่าผู้ที่ไม่ถาม “ถ้าอายที่จะถาม เท่ากับคุณอายที่จะประสบความสำเร็จ คำถามคือคุณจะอายทำไม”
- หลักคิดที่ 4 ผูกมิตรกับเวลา บริหารมันให้เป็น ผู้ชนะคือผู้ลงมือทำ คว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว คิดอยู่เสมอว่าทุกนาทีมีค่าในการก้าวเดิน “เวลาเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู อยู่ที่ว่าคุณจะคบหาหรือว่าปล่อยให้มันทำตามหน้าที่”
- หลักคิดที่ 5 เป็นนักพัฒนาตนเอง แก้ไขจุดอ่อนเสมอ ต้องรู้จักตนเอง มองตนให้แจ่มแจ้ง หาจุดอ่อนให้เจอแล้วกำจัดมัน ตามด้วยการเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง “เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง คุณต้องทำผิดให้น้อยลง”
- หลักคิดที่ 6 ให้อารมณ์เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ การตัดสินใจท่ามกลางอารมณ์ที่ร้อนแรงนำมาซึ่งความผิดพลาด “เมื่อใดก็ตามที่อารมณ์เป็นนายเรา มันจะหอบความสำเร็จของเราหายไปหมด”
- หลักคิดที่ 7 แข่งขันคือการเข้าร่วมแบ่งปัน ไม่ใช่ห้ำหั่น จงทำให้สนามแข่งขันเป็นที่ฝึกตนในการสร้างพลังแห่งความหวังดี มีความกระตือรือร้นในการที่จะพัฒนาตนเอง แข่งขันกับคนอื่นในฐานะมิตร “ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ชนะทุกการแข่งขัน ผู้ชนะที่แท้จริงคือผู้ที่มีชัยในขณะที่ผู้ร่วมแข่งขันเสียหายน้อยที่สุด”
- หลักคิดที่ 8 คิดบวกเข้าไว้ ความเหนื่อยคือพลัง ต้องปรับตัวเองให้เป็นคนมองบวกบนพื้นฐานของความเป็นจริง “ความเหนื่อยไม่ใช่ร่องรอยของความสูญเสีย แต่เป็นเสมือนอิฐแต่ละก้อนที่ช่วยต่อกันเป็นเรือนชานแห่งความสำเร็จของเรา”
- หลักคิดที่ 9 คิดแบบผู้นำ ใส่ใจรายละเอียดและไม่ยอมแพ้ มองการณ์ไกล คิดถึงคนรอบข้าง เชื่อมั่นในเหตุและผล เลือกใช้คนให้ถูก หมั่นเติมความคิด “คุณไม่สามารถคิดการใหญ่ได้ หากลืมใส่ใจจุดเริ่มต้นเล็กๆ และไม่มีหัวใจนักสู้”
- หลักคิดที่ 10 รู้จักเชื่อมตะวันตกมาผสมตะวันออก การที่โลกนี้แบ่งเป็นตะวันตกตะวันออก ไม่ใช่การแบ่งเพื่อให้แยกจากกัน แต่เป็นการแบ่งเพื่อให้มนุษย์รู้จักเรียนรู้และผสมผสานแนวคิดทั้งสองเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตบนโลกใบเดียวกัน “ต้นไม้เจริญได้ดี เพราะมันไม่เคยดูหมิ่นรากเหง้าของมัน”
- หลักคิดที่ 11 รู้จักบทบาทตนเองอย่างถ่องแท้ แบ่งเวลาให้กับสามส่วนของชีวิต คือ งาน ครอบครัว ส่วนตัว ให้เหมาะสม เพราะเมื่อปัญหาเรื่องใดเกิดขึ้น ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าเราใส่ใจเรื่องนั้นน้อยเกินไป “หนึ่งคนมีหลายหัวโขน หากคุณทำให้ทุกหัวโขนดูดีเมื่ออยู่บนหัวคุณ คุณจะเป็นยอดนักใช้ชีวิตมืออาชีพ”
- หลักคิดที่ 12 ไม่ตกเป็นทาสของเงิน รวยแล้วอย่าเหลิง ความสำเร็จและเงินทองเป็นของฉลาด เพราะมันจะไม่อยู่กับคนที่ฉลาดน้อยกว่ามัน “อย่าให้ค่าของคุณแปรเปลี่ยนตามจำนวนเงินที่มี”
- หลักคิดที่ 13 คบคนที่พาเรารุ่ง “อย่าลืมมิตรที่ดี อย่ามีมิตรที่เลว อย่าเหลวเพราะเจอคนโกง”
- หลักคิดที่ 14 ทำไมต้องมีระเบียบ “ผู้ที่สามารถรักษาข้อห้ามและข้อปฏิบัติของตนเองได้อย่างเคร่งครัด ก็ย่อมสามารถปกครองคนอื่นได้ การที่จะเป็นสุภาพชนก็ต้องนำวิชามาฝึกฝนตนเอง ส่วนการปกครองคนอื่นนั้นเป็นเรื่องรอง”
- หลักคิดที่ 15 เป็นคนที่สมบูรณ์ “นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” ไม่เพียงแค่คิดที่จะทำดี แต่ต้องลงมือทำ พรุ่งนี้อาจไม่มีให้เราทุกวัน
สำหรับผมเอง ผมคิดเสมอว่าจุดเริ่มต้นของความสำเร็จเกิดจากความคิดที่แตกต่างกัน ถึงวันนี้ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จแล้ว แต่เป้าหมายชีวิตของผมต่อไปคือการทำให้ลูกน้องของผมประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนกับผม ผมจึงพยายามที่จะให้ตัวเขาคิดเองและก็ทำเองและสามารถสอนให้คนอื่นคิดและคนอื่นทำได้ด้วยซึ่งจะเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน ด้วยการปลูกฝังความคิดตามแนวทางของคนที่ประสบความสำเร็จ โดยการใช้ห้องเรียน Pantalk ในการหยิบยกตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก เพื่อนำเอาหลักคิดต่างๆของคนเหล่านั้น มาถ่ายทอดเพื่อนำมาปรับใช้และต่อยอดในชีวิตของตัวเขาเอง เพราะชีวิตคนเราไม่ยืนยาวพอที่จะลองผิดลองถูกในทุกๆอย่าง หากเราสามารถที่จะเดินในเส้นทางที่มีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้าแน่นอน ก็ควรที่จะเดินอย่างมุ่งมั่นบนเส้นทางเหล่านี้จะดีกว่า
ขอบคุณครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 36
ดีใจจังที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ผมมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอด
แปลว่า คุณค่าจะต้องเกิดจากตัวบุคคลนั้น ๆ ก่อน จึงจะสะท้อนเข้าสู่ การลงทุนแบบคุณค่า แล้วก็ไปสู่ หุ้นคุณค่า ครับ
บุคคล ==> การลงทุนแบบคุณค่า ==> หุ้นคุณค่า
ขอบคุณคับคุณ kotaro
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
แปลว่า คุณค่าจะต้องเกิดจากตัวบุคคลนั้น ๆ ก่อน จึงจะสะท้อนเข้าสู่ การลงทุนแบบคุณค่า แล้วก็ไปสู่ หุ้นคุณค่า ครับ
บุคคล ==> การลงทุนแบบคุณค่า ==> หุ้นคุณค่า
ขอบคุณคับคุณ kotaro
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 38
ขอบคุณครับ คุณ dekfaifah
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1165
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 40
เข้ามาขอบคุณพี่เคนสำหรับแนวความคิดดีๆและหลักการที่เป็นประโยชน์
สำหรับผมแล้วพี่เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่เป็นผู้ให้โดยถ่ายเดียวขอบคุณครับ
สำหรับผมแล้วพี่เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่เป็นผู้ให้โดยถ่ายเดียวขอบคุณครับ
ควรทุ่มเทเจริญให้มาก..ในงานที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง..
-
- Verified User
- โพสต์: 199
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 42
เข้าแสดงความชื่นชมความคิดดีๆของคุณเคนด้วยคนครับ
ได้เจอคุณเคนตอนไป Visit MAJOR แวบนึง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ที่นำพาธุรกิจของครอบครัวผ่านวิกฤติมายืนหยัดได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้
ได้เจอคุณเคนตอนไป Visit MAJOR แวบนึง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ที่นำพาธุรกิจของครอบครัวผ่านวิกฤติมายืนหยัดได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 44
สวัสดีครับ คุณชูศักดิ์ สบายดีไหมครับ
ขอบคุณที่เข้ามาทักทายครับ ขอให้ port ถึง ร้อยล้าน เร็ว ๆ นะครับ
จะได้เหลือเวลามาทำประโยชน์ต่อสังคมไทย ด้วยกันครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ขอบคุณที่เข้ามาทักทายครับ ขอให้ port ถึง ร้อยล้าน เร็ว ๆ นะครับ
จะได้เหลือเวลามาทำประโยชน์ต่อสังคมไทย ด้วยกันครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 45
สุดยอดเลยครับ นับถือๆ
ขอน้อมรับพรของพี่นะครับ
พี่เป็นตัวอย่างของผู้นำยุคใหม่ตัวจริงครับ
ขอน้อมรับพรของพี่นะครับ
พี่เป็นตัวอย่างของผู้นำยุคใหม่ตัวจริงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 46
ถึงเเม้ผมจะมีอายุมากเเล้ว เเต่ขอให้กําลังใจ คุณเคน
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 47
ขอบคุณครับ ช่วยกันนะครับ เราต้องช่วยกันเพื่อสังคมจะได้ดีขึ้น แม้เป็นเพียงกำลังเล็ก ๆ แต่ด้วยอุดรการณ์ที่ยิ่งใหญ่ครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- เหล็งฮู้ชง
- Verified User
- โพสต์: 275
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 48
ชื่นชมในความสามารถที่หาช่องว่างทางธุรกิจได้
ซึ่งส่วนใหญ่จะมองเรื่องต้นทุนเป็นหลัก
ทำให้ต้องผลิตในจำนวนที่มากๆ แต่ทำแล้วก็ไม่รู้วาจะขายใคร
เพราะทำมาเหมือนคู่แข่ง
ดังนั้นง่ายที่สุด ลูกค้าต้องการอย่างไรทำให้อย่างนั้น
แต่ขอราคาต่อหน่วยสูงหน่อยนะ
สุดยอดมากเลยครับ
ซึ่งส่วนใหญ่จะมองเรื่องต้นทุนเป็นหลัก
ทำให้ต้องผลิตในจำนวนที่มากๆ แต่ทำแล้วก็ไม่รู้วาจะขายใคร
เพราะทำมาเหมือนคู่แข่ง
ดังนั้นง่ายที่สุด ลูกค้าต้องการอย่างไรทำให้อย่างนั้น
แต่ขอราคาต่อหน่วยสูงหน่อยนะ
สุดยอดมากเลยครับ
จงอยู่ด้วยความไม่ประมาท
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 49
ฝีมือล้นเหลือ....
แถม หล่อเบียดกันมากับเคนธีระเดช อีกต่างหาก...
ใครจะว่าก็ว่านะ นี่แหละพี่เคน โพ้มมมมม.... :lol:
แถม หล่อเบียดกันมากับเคนธีระเดช อีกต่างหาก...
ใครจะว่าก็ว่านะ นี่แหละพี่เคน โพ้มมมมม.... :lol:
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 50
ขอบคุณครับ
แต่ใจลึก ๆ ผมหวังอยากจะให้เพื่อน ๆ นักลงทุนเปิดกิจการเล็ก ๆ สักหนึ่งกิจการนะครับ จะได้สัมผัสว่า เจ้าของเค้ารู้สึกกันอย่างไรจริง ๆ นะครับ
เหมือนกินมะนาวครับ แม้คนไม่เคยกินก็บรรยายความเปรี้ยวได้เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
ประเด็นนี้แหละ คือ "จุดตัดความสำเร็จ" ครับ แล้วการลงทุนระยะยาวจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ปล ผมมีทางแก้สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมครับ ก็คือ พูดคุยกับเจ้าของกิจการบ่อย ๆ โดยเฉพาะถามถึงทั้งสองด้านคือ ความคิดและความรู้สึก ครับ
แต่ใจลึก ๆ ผมหวังอยากจะให้เพื่อน ๆ นักลงทุนเปิดกิจการเล็ก ๆ สักหนึ่งกิจการนะครับ จะได้สัมผัสว่า เจ้าของเค้ารู้สึกกันอย่างไรจริง ๆ นะครับ
เหมือนกินมะนาวครับ แม้คนไม่เคยกินก็บรรยายความเปรี้ยวได้เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
ประเด็นนี้แหละ คือ "จุดตัดความสำเร็จ" ครับ แล้วการลงทุนระยะยาวจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ปล ผมมีทางแก้สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมครับ ก็คือ พูดคุยกับเจ้าของกิจการบ่อย ๆ โดยเฉพาะถามถึงทั้งสองด้านคือ ความคิดและความรู้สึก ครับ
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 51
นี่เป็นอีกตัวอย่างจดหมายอีกหนึ่งฉบับที่ส่งให้กับคู่ค้าคู่คิด ของผม ครับ
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่อยากจะแบ่งปันเพื่อน ๆ นักลงทุนนะครับ
คมความคิด (ฉบับ 2)
เดอะ ท็อป ซีเคร็ต 2
เดอะ ท็อป ซีเคร็ต ถือว่าเป็นหนังสือที่คุ้นหน้า คุ้นตากันมาพอสมควรเพราะในปี 51 ได้มีการจัดพิมพ์ไปถึง 78 ครั้ง เดอะ ท็อป ซีเคร็ต เป็นสุดยอด “หนังสือความลับ” ที่สามารถนำมาใช้จริงทั้งในเชิงบริหารและการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งอัจฉริยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลกต่างก็นำมาใช้จนประสบความสำเร็จ แถมยังนำมาใช้ในศาสตร์กลยุทธ์ของชาวตะวันออกใกล้ตัวเราอีกด้วย
แต่ในฉบับนี้จะเป็นการบอกเล่าเรื่องของ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต 2 “ความลับสู่ความสำเร็จ” ที่เป็นการขยายเส้นทางและเทคนิคที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ชี้จุดอ่อน จุดแข็ง ทิศทางและเป้าหมายที่ชัดจเน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีอิสรภาพทางการเงิน ธุรกิจเจริญก้าวหน้า ครอบครัวอบอุ่น สุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย ห้ามพลาดที่จะรอความลับในหนังสือเล่มนี้แล้วจะรู้ว่า สมอง จิต และสติ มีพลานุภาพยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิด
• ความลับของสมอง คนเราเกิดมามีโครงสร้างสมองที่ไม่เหมือนกัน บางคนเก่ง บางคนฉลาดมาก บางคนฉลาดน้อย โดยสมองของคนเราจะถูกแบ่งเป็น 2 ซีก ซีกซ้ายเป็นส่วนของตรรกะ เหตุผล ซีกขวาเป็นส่วนของอารมณ์ ความรู้สึก จิตนาการ ซึ่งทางการแพทย์ วงการวิทยาศาสตร์ การศึกษาจะให้ความสำคัญกับการทำงานของสมองซีกซ้ายมากกว่า เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเติบโตสมองซีกซ้ายจะทำงาน 90% ส่วนซีกขวาจะทำงานเพียงแค่ 10%เท่านั้นเอง แต่สมองซีกขวาสามารถทำงานได้เร็วกว่าสมองซีกซ้ายหลายเท่า การตัดสินใจที่ฉับไวจึงมาจากสมองซีกนี้ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกล้วนใช้สมองซีกขวาเป็นหลัก ถึงจะครองใจประชาชนได้ โดยผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือคนอื่นๆ เช่น นักเขียนชื่อดังไม่จำเป็นที่จะต้องจบอักษรศาสตร์ นักเล่นหุ้นที่เก่งๆไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกด้านการเงิน เพราะการดูราคาหุ้น ตัวเลข เพื่อวิเคราะห์ตามทฤษฎีเป็นเรื่องเชิงตรรกะ ซึ่งถ้าใครเล่นหุ้นจะรู้ว่าบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มักจะสวนทางกับราคาจริงอยู่บ่อยๆ สมองซึกซ้ายมักยึดตัดกับข้อมุลในอดีต ไม่มีการคาดการณ์ ตัดสินใจด้วยความไม่เสี่ยง แต่สมองซีกขวาจตะสนใจอนาคตมากกว่าอดีต มองภาพรวมมากกว่ารายละเอียด กล้าได้กล้าเสีย แม้จะผิดพลาดก็จะไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไป เพราะคนที่ใช้สมองซีกขวาจะเข้าใจความเป็นธรรมชาติได้มากกว่า
• การแปลงศาสตร์ให้เป็นศิลป์ ความสำเร็จด้านการงานจะเกิดจากแรงขับและแรงบันดาลใจเป็นสำคัญ แรงขับคือแรงผลักดันที่ทำให้ชีวิตไปข้างหน้า แรงจูงใจคือแรงดึงไปสู่ความสำเร็จ แรงจูงใจจะมาจากภาพแห่งความสำเร็จ ซึ่งเกิดจากการทำงานของสมองซีกซ้าย ส่วนภาพแห่งความรู้สึก ซึ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นในสมองซึกขวา สติทำให้เกิดแรงบันดาลใจและเกิดปัญญาตามมา ส่วนสมาธิที่แนบแน่นกับทุขเวทนาจะทำให้เกิดแรงขับ และถ้ามาสมาธิกับความสุขที่คาดว่าจะได้ในอนาคต จะทำให้เกิดแรงจูงใจ
และนี่ก็เป็นแค่ตัวอย่างคร่าวๆในหนังสือ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต 2 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็สามารถร่วมลุ้นกับเกมส์การตอบคำถามท้ายจดหมายนะครับ
สำหรับผมแล้ว ”ความลับสู่ความสำเร็จ” มีบุคคลตัวอย่างที่ผมได้นำคำสอนของท่านมาใช้ในการบริหารธุรกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวันผมยึดหลักคำสอนของ พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความลับที่มหัศจรรย์มากกับหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เรียกได้ว่าเป็น ”พลังธรรม” ในการดำเนินชีวิตก็ว่าได้ ซึ่งหลักธรรมที่ผมได้นำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารธุรกิจของผมได้มีอยู่หลายบทด้วยกัน เช่น อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 สัปปุริธรรม 7 สังคหวัตถุ 4 ฆราวาสธรรม 4 แต่การกำหนดความรู้สึกเพื่อปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ จำเป็นต้องมี ”สติ” เป็นสิ่งควบคู่กันครับ ผมจึงได้มีการเจริญสมาธิในทุกๆวันก่อนนอน เพราะ ”สมาธิ” จะทำให้ผมเกิดสติในการคิดทบทวน และวางแผนในการทำทุกๆสิ่ง และสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อผมได้เรียนรู้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้ผมได้มองเห็นอีกสัจจะธรรมหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง คนเราก็จะสามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เลยไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ ชื่อเสียง ความสำเร็จด้านต่างๆ สิ่งที่จะติดตามตัวเราไปและสิ่งที่จะจารึกไว้ให้ทุกคนกล่าวขานก็คือ ความดี ความชั่ว ผมตั้งคำถามกับมนุษย์พีเอของผมในทุกๆเดือนในช่วงกิจกรรมวันกำเนิดที่เป็นการรวบรวมมนุษย์พีเอที่เกิดในแต่ละเดือนมาพบกับเฮียเคน(ตัวผมเองครับ) ซึ่งก็จะมี Presentation ให้พวกเขาได้เห็นภาพของความรักจากผู้ให้กำเนิด และหลังจากนั้นผมก็จะได้เข้าไปพูดคุยกับลูกน้องถึงเรื่องราวต่างๆของพวกเขา และจะมีคำถามถึงเป้าหมายในชีวิตของทุกคนคืออะไร บ้างก็จะบอกว่ามีรถ มีบ้าน มีครอบครัวที่ดี มีงานที่มั่นคง มีสุขภาพที่แข็งแรง เลี้ยงดูผู้ให้กำเนิด เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่พอมาถึงคำถามสุดท้ายที่ผมถามก็คือ ถ้าหากเหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมงก่อนตายทุกคนจะทำอะไร บ้างก็ตอบว่าจะโทร.บอกแฟน โทร.หา/ไปหาพ่อแม่ โทร.หาลูก แต่ไม่มีใครตอบว่าจะกลับไปนอนตายที่รถ นอนตายที่บ้าน นอนตายกับงานที่ทำ หรือใช้นาทีสุดท้ายที่สิ่งเหล่านี้ที่เป็นเป้าหมายของชีวิตกันเลย นั่นก็แสดงให้เห็นกันแล้วว่าสิ่งไหนล่ะที่เป็น “ความสำเร็จที่แท้จริง” ของชีวิต
ขอบคุณครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่อยากจะแบ่งปันเพื่อน ๆ นักลงทุนนะครับ
คมความคิด (ฉบับ 2)
เดอะ ท็อป ซีเคร็ต 2
เดอะ ท็อป ซีเคร็ต ถือว่าเป็นหนังสือที่คุ้นหน้า คุ้นตากันมาพอสมควรเพราะในปี 51 ได้มีการจัดพิมพ์ไปถึง 78 ครั้ง เดอะ ท็อป ซีเคร็ต เป็นสุดยอด “หนังสือความลับ” ที่สามารถนำมาใช้จริงทั้งในเชิงบริหารและการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งอัจฉริยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลกต่างก็นำมาใช้จนประสบความสำเร็จ แถมยังนำมาใช้ในศาสตร์กลยุทธ์ของชาวตะวันออกใกล้ตัวเราอีกด้วย
แต่ในฉบับนี้จะเป็นการบอกเล่าเรื่องของ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต 2 “ความลับสู่ความสำเร็จ” ที่เป็นการขยายเส้นทางและเทคนิคที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ชี้จุดอ่อน จุดแข็ง ทิศทางและเป้าหมายที่ชัดจเน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีอิสรภาพทางการเงิน ธุรกิจเจริญก้าวหน้า ครอบครัวอบอุ่น สุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย ห้ามพลาดที่จะรอความลับในหนังสือเล่มนี้แล้วจะรู้ว่า สมอง จิต และสติ มีพลานุภาพยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิด
• ความลับของสมอง คนเราเกิดมามีโครงสร้างสมองที่ไม่เหมือนกัน บางคนเก่ง บางคนฉลาดมาก บางคนฉลาดน้อย โดยสมองของคนเราจะถูกแบ่งเป็น 2 ซีก ซีกซ้ายเป็นส่วนของตรรกะ เหตุผล ซีกขวาเป็นส่วนของอารมณ์ ความรู้สึก จิตนาการ ซึ่งทางการแพทย์ วงการวิทยาศาสตร์ การศึกษาจะให้ความสำคัญกับการทำงานของสมองซีกซ้ายมากกว่า เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเติบโตสมองซีกซ้ายจะทำงาน 90% ส่วนซีกขวาจะทำงานเพียงแค่ 10%เท่านั้นเอง แต่สมองซีกขวาสามารถทำงานได้เร็วกว่าสมองซีกซ้ายหลายเท่า การตัดสินใจที่ฉับไวจึงมาจากสมองซีกนี้ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกล้วนใช้สมองซีกขวาเป็นหลัก ถึงจะครองใจประชาชนได้ โดยผู้ที่ใช้สมองซีกขวาจะประสบความสำเร็จเหนือคนอื่นๆ เช่น นักเขียนชื่อดังไม่จำเป็นที่จะต้องจบอักษรศาสตร์ นักเล่นหุ้นที่เก่งๆไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกด้านการเงิน เพราะการดูราคาหุ้น ตัวเลข เพื่อวิเคราะห์ตามทฤษฎีเป็นเรื่องเชิงตรรกะ ซึ่งถ้าใครเล่นหุ้นจะรู้ว่าบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มักจะสวนทางกับราคาจริงอยู่บ่อยๆ สมองซึกซ้ายมักยึดตัดกับข้อมุลในอดีต ไม่มีการคาดการณ์ ตัดสินใจด้วยความไม่เสี่ยง แต่สมองซีกขวาจตะสนใจอนาคตมากกว่าอดีต มองภาพรวมมากกว่ารายละเอียด กล้าได้กล้าเสีย แม้จะผิดพลาดก็จะไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไป เพราะคนที่ใช้สมองซีกขวาจะเข้าใจความเป็นธรรมชาติได้มากกว่า
• การแปลงศาสตร์ให้เป็นศิลป์ ความสำเร็จด้านการงานจะเกิดจากแรงขับและแรงบันดาลใจเป็นสำคัญ แรงขับคือแรงผลักดันที่ทำให้ชีวิตไปข้างหน้า แรงจูงใจคือแรงดึงไปสู่ความสำเร็จ แรงจูงใจจะมาจากภาพแห่งความสำเร็จ ซึ่งเกิดจากการทำงานของสมองซีกซ้าย ส่วนภาพแห่งความรู้สึก ซึ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นในสมองซึกขวา สติทำให้เกิดแรงบันดาลใจและเกิดปัญญาตามมา ส่วนสมาธิที่แนบแน่นกับทุขเวทนาจะทำให้เกิดแรงขับ และถ้ามาสมาธิกับความสุขที่คาดว่าจะได้ในอนาคต จะทำให้เกิดแรงจูงใจ
และนี่ก็เป็นแค่ตัวอย่างคร่าวๆในหนังสือ เดอะ ท็อป ซีเคร็ต 2 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็สามารถร่วมลุ้นกับเกมส์การตอบคำถามท้ายจดหมายนะครับ
สำหรับผมแล้ว ”ความลับสู่ความสำเร็จ” มีบุคคลตัวอย่างที่ผมได้นำคำสอนของท่านมาใช้ในการบริหารธุรกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวันผมยึดหลักคำสอนของ พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความลับที่มหัศจรรย์มากกับหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เรียกได้ว่าเป็น ”พลังธรรม” ในการดำเนินชีวิตก็ว่าได้ ซึ่งหลักธรรมที่ผมได้นำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารธุรกิจของผมได้มีอยู่หลายบทด้วยกัน เช่น อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 สัปปุริธรรม 7 สังคหวัตถุ 4 ฆราวาสธรรม 4 แต่การกำหนดความรู้สึกเพื่อปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ จำเป็นต้องมี ”สติ” เป็นสิ่งควบคู่กันครับ ผมจึงได้มีการเจริญสมาธิในทุกๆวันก่อนนอน เพราะ ”สมาธิ” จะทำให้ผมเกิดสติในการคิดทบทวน และวางแผนในการทำทุกๆสิ่ง และสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อผมได้เรียนรู้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้ผมได้มองเห็นอีกสัจจะธรรมหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง คนเราก็จะสามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เลยไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ ชื่อเสียง ความสำเร็จด้านต่างๆ สิ่งที่จะติดตามตัวเราไปและสิ่งที่จะจารึกไว้ให้ทุกคนกล่าวขานก็คือ ความดี ความชั่ว ผมตั้งคำถามกับมนุษย์พีเอของผมในทุกๆเดือนในช่วงกิจกรรมวันกำเนิดที่เป็นการรวบรวมมนุษย์พีเอที่เกิดในแต่ละเดือนมาพบกับเฮียเคน(ตัวผมเองครับ) ซึ่งก็จะมี Presentation ให้พวกเขาได้เห็นภาพของความรักจากผู้ให้กำเนิด และหลังจากนั้นผมก็จะได้เข้าไปพูดคุยกับลูกน้องถึงเรื่องราวต่างๆของพวกเขา และจะมีคำถามถึงเป้าหมายในชีวิตของทุกคนคืออะไร บ้างก็จะบอกว่ามีรถ มีบ้าน มีครอบครัวที่ดี มีงานที่มั่นคง มีสุขภาพที่แข็งแรง เลี้ยงดูผู้ให้กำเนิด เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่พอมาถึงคำถามสุดท้ายที่ผมถามก็คือ ถ้าหากเหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมงก่อนตายทุกคนจะทำอะไร บ้างก็ตอบว่าจะโทร.บอกแฟน โทร.หา/ไปหาพ่อแม่ โทร.หาลูก แต่ไม่มีใครตอบว่าจะกลับไปนอนตายที่รถ นอนตายที่บ้าน นอนตายกับงานที่ทำ หรือใช้นาทีสุดท้ายที่สิ่งเหล่านี้ที่เป็นเป้าหมายของชีวิตกันเลย นั่นก็แสดงให้เห็นกันแล้วว่าสิ่งไหนล่ะที่เป็น “ความสำเร็จที่แท้จริง” ของชีวิต
ขอบคุณครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ความสุขสงบและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คือคุณค่าในชีวิตของผมครับ
- Segasus_Seiya
- Verified User
- โพสต์: 105
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 52
ขอบคุณครับพี่เคนkensorat เขียน:.....
ขอบคุณครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความจริงใจ ความตั้งใจ ความหวังดี ความรัก ความเมตตากรุณา และอีกหลายๆอย่าง จากทุกเนื้อหาที่พี่เคน share ให้
ขอติดตามต่อไปด้วยคนนะครับ
ปล.โลกของดารา มีพี่เคน ธีรเดช
โลกของการต่อสู้ มีพี่เคน สตรีทไฟต์เตอร์
โลกของการลงทุนและธุรกิจ ก็ยังมีพี่เคนอีกคน ผู้เก่งและใจดีของพวกน้องๆครับ
Nice
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 53
ขอบคุณครับ
เล่นซะเขินเลยนะครับ
การเรียนรู้ยังคงดำเนินต่อไป เพราะต่อไปโลกจะแบ่งคนเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มคนที่เรียนรู้ตลอดเวลา และ กลุ่มคนที่ไม่ค่อยเรียนรู้เท่าไหร่ ครับ
เล่นซะเขินเลยนะครับ
การเรียนรู้ยังคงดำเนินต่อไป เพราะต่อไปโลกจะแบ่งคนเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มคนที่เรียนรู้ตลอดเวลา และ กลุ่มคนที่ไม่ค่อยเรียนรู้เท่าไหร่ ครับ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 54
นี่ก็คือ อีก หนึ่ง book brief ที่ผมทำให้กับคู่ค้าคู่คิด คับ
คมความคิด (ฉบับที่ 3)
อัจฉริยะสร้างสุข
คุณหนูดี วนิษา เรซ คงจะเป็นนักเขียนอีกหนึ่งคนที่หลายๆท่านคงจะพอรู้จักกันบ้างพอสมควร เพราะนอกจากจะเขียนหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” แล้วยังเป็นถึงนักวิชาการด้านสมอง เจ้าของรางวัลล้านที่ 15 ในรายการอัจฉริยะข้ามคืน และแถมยังมีดีกรีปริญญาโทด้านสมองและการเรียนรู้จากมหาวิทยาฮาร์ดวาร์ดอีกด้วย และที่ครั้งนี้คุณหนูดีได้เขียนหนังสือเรื่อง “อัจฉริยะสร้างสุข” ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางให้คำแนะนำที่ดีๆสำหรับให้คนธรรมดาๆได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็กๆน้อยๆก็ตาม
คนเรามักคิดว่าเรื่องความคิด เหตุผลเป็นเรื่องของสมอง ส่วนเรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องของหัวใจ คนที่คิดอยากใช้สมองให้เป็นจึงมุ่งเรียนรู้เรื่องของความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ การทำงานเป็นทีม โดยหวังว่าถ้าทำงานเป็น เรียนเป็น ชีวิตก็จะมีความสุขเอง ส่วนการดูแลหัวใจก็คือการตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่รัก ไม่ต้องเคร่งเครียดมากมาย จึงไม่แปลกที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆว่า “สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจ” เดี๋ยวเรามาดูตัวอย่างของการ “สร้างสุข” ให้กับตัวเองกันบ้างนะครับ
1. ไม่มาก ไม่น้อย ปัญหาของคนเก่งคือ รู้เยอะแต่ทำไม่ได้ เราเห็นคนเก่งมากมายที่เรียนจบปริญญาเอกแต่มีปัญหาชีวิตครอบครัว เห็นคนจบด้านการเงินแต่ลงทุนพลาดจนล้มละลาย เด็กเรียนเก่งระดับเกียรตินิยมแต่กระโดดตึกฆ่าตัวตาย รู้มาก..มีมาก ไม่ได้รับประกันว่าเราจะมีความสุขขึ้น ความสุขจะมีขึ้นเมื่อรู้ว่าควรวางสิ่งใดลง วางลงเมื่อไหร่ วางลงเพื่ออะไร ความสุขประเภทนี้จะมาพร้อมปัญญา มาพร้อมกับการ ”ตั้งคำถาม” ที่จะนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งคำถามที่สำคัญและสร้างสรรค์น่าจะเป็น “ทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ตัวเรา ครอบครัวเรา สังคมของเราและโลกของเรามีความสุขได้ แม้อีกเพียงสักนิดก็ยังดี”
2. ความสุขทำให้คนฉลาดได้ คนมีความสุขมากๆนอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี เพราะถ้ายิ่งเรามีอารมณ์ดี มีความสุขนานเท่าไหร่จะทำให้สมองหลั่งสารอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน สารแห่งความสุขจะทำให้เราเรียนรู้ได้ดี ได้เร็ว จดจำสิ่งต่างๆได้อย่างมีความสุข ยิ่งเรามีอารมณ์ดีบ่อย เราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย แต่ถ้าเรายิ่งอารมณ์เสียบ่อย เราก็จะยิ่งอารมณ์เสียง่าย เพราะว่ายิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยๆ สมองก็จะสร้างเส้นใยนั้นออกมาเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเป็นคนอารมณ์ดีเราต้องฝึกอารมณ์ดีบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย
3. การนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากจะทำให้เรามีความจำดีแล้ว ยังทำให้เราอารมณ์ดีด้วย และการเป็นที่อารมณ์ดีก็จะเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายด้วย แต่สำหรับใครที่นอนหลับยากจึงมีคำแนะนำดีๆมากฝากกันครับ
• ลดหรืองดการดูโทรทัศน์สัก 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน โดยเฉพาะรายการที่ทำให้หัวใจเส้นแรง และอารมณ์ขึ้นๆลงๆ
• เสียงดนตรีช่วยขับกล่อม โดยเฉพาะดนตรีบรรเลงเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงฝน เสียงลม เสียงแม่น้ำ
• การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนมีผลบวก ช่วยให้เราหลับสบายได้จริง
• การดื่มนมร้อนผสมน้ำผึ้งจะช่วยให้เราหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น
• การอ่านหนังสือก่อนนอนที่มีเนื้อหานุ่มนวล เช่น หนังสือธรรมะ หนังสือนิยายรักเบาๆไม่เครียด
• การนวดก่อนนอนมีผลดีช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายก็จะทำให้เราหลับได้อย่างสบาย
• การฝึกสมาธิก่อนนอนแม้สั้นๆสักวันละ 10 นาที จะช่วยให้ทำให้จิตใจของเราสงบ และทำให้เราหลับลึกและหลับได้หลายๆชั่วโมง
เคล็ดลับความสุขง่ายๆ นั้นไม่มาก..ไม่ยาก แค่รู้ในสิ่งที่ต้องการ รับในสิ่งที่ใช่ ไขว่คว้าในสิ่งที่คิดแล้ว่าเหมาะสม และปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ใช่หรือเกินจำเป็น ฟังดูเหมือนง่าย เหมือนธรรมดาไม่มากและไม่ยาก แล้วทุกท่านมาเริ่มต้นสร้างความสุขในการใช้ชีวิตให้กับตนเองกันดีกว่านะครับ
สำหรับผมแล้ว ผมสามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ในทุกๆกระบวนการของการใช้ชีวิตครับ แต่ก่อนอื่นผมก็ต้องขอยอมรับแบบปุถุชนคนธรรมดานะครับว่าผมก็เคยผ่านช่วงที่มีความทุกข์มาบ้างเหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมพบกับความสุขได้เร็วกว่าคนอื่นๆก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมรู้จักกับคำ 2 คำนี้ครับ คำว่า “รู้จักพอ” กับคำว่า “รู้จักให้”
1. รู้จักพอ ความสุขที่เกิดจากการการรู้จักพอของผมก็คือ พอใจในสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนทำ ผมไม่ได้หวังว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีกำไรเป็นร้อยล้านหรือพันล้านหรือมุ่งหวังกำไรเพียงอย่างเดียวในการดำเนินธุรกิจ ผมยังทำการการหา no-know หรือเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาปรับปรุงสินค้า เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของผมให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการหาเครื่องมือหรือเครื่องจักรในการมาช่วยผ่อนแรงในการทำงานของมนุษย์พีเอของผมด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องทำงานหนักกันจนเกินไป
2. รู้จักให้ ถือว่าเป็นความสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุดหรือบอกว่าเป็นความสุขแบบ “ยั่งยืน” ก็เป็นไปได้ครับ เพราะการให้ของผมนอกจากจะให้กับมนุษย์พีเอที่เป็นสวัสดิการที่ดีๆแล้ว ผมยังรู้จักให้คืนกับสังคมหรือการทำ CSR โดยผ่านโครงการที่ชื่อว่า “โครงการทดแทนพระคุณแม่และแผ่นดิน” โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดใหญ่ๆด้วยกันคือ
• โครงการทดแทนพระคุณแม่ให้บัวพ้นน้ำ โดยผมจะร่วมกับมนุษย์พีเอของผมในการไปมอบทุนการศึกษา/การสร้างห้องเรียน/ห้องจริยธรรม/ห้องสมุด ซึ่งโครงการนี้ผมจะให้ความสำคัญกับการเรียนสำหรับเด็กๆ เพราะผมเชื่อว่าการให้โอกาสในทางการศึกษากับเด็กๆเหล่านี้เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและรู้จักการให้สิ่งๆดีต่อไปให้กับคนอื่นๆและสังคมต่อๆไปครับ การให้สำหรับผมจึงถือว่าไม่มีวันสิ้นสุด
• โครงการทดแทนพระคุณแผ่นดิน โครงการนี้เป็นโครงการที่ผมได้ออกไปบรรยายให้กับภาครัฐและเอกชนให้ทราบไม่ว่าจะเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ/ความรู้ด้านพลังงาน/การดำเนินธุรกิจกับการใช้คุณธรรม/การบริหารการจัดการต่างๆ/HRD/CSR และโครงการนี้ผมถือว่าผมเป็นผู้ที่บุกเบิกและนำร่องให้กับมนุษย์พีเอรุ่นต่อๆไปของผมครับ เพื่อที่ในโอกาสต่อๆไปมนุษย์พีเอของผมจะสามารถออกไปสื่อสารและประชาสัมพันธ์สิ่งต่างๆที่องค์กรของเราได้ทำให้กับบุคคลทั่วๆไปได้รับทราบแทนตัวผม
• โครงการสุขจากการแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นการให้กับเด็กกำพร้า/เด็กพิการ/คนแก่ชราหรือรวมไปถึงคนที่เขามีโอกาสน้อยกว่าพวกเรา ทุกๆครั้งในการออกไปทำกิจกรรมเหล่านี้ผมต้องยกกองทัพไปทั้งบริษัทฯกันเลยทีเดียวครับ เพราะว่าโครงการนี้ผมสอนให้มนุษย์พีเอทุกคนของผมรู้จักการให้แม้จะเป็นการให้แบบเล็กๆน้อยๆก็ถือว่าพวกเขาได้ฝึกรู้จักการให้ครับ
ครับสำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านี้แหละครับที่ผมถือว่าเป็นความสุขของการได้เกิดมาและการได้ใช้ชีวิตของผมอย่างคุ้มค่าแล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่าคนเราเมื่อตายไปแล้วเราไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง แต่สิ่งที่จะเหลือไว้ให้กับชนรุ่นหลังก็มีเพียงแค่ “ความดี” และ “ความชั่ว” เท่านั้นแหละครับ ผมจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเสมอว่า “แม้จะต้องตายในวันนี้ก็ไม่เสียชาติเกิด...ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้” แล้วคุณล่ะครับ...ได้สร้างความสุขให้กับชีวิตกันแล้วหรือ...ยัง?????
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นะครับ
คมความคิด (ฉบับที่ 3)
อัจฉริยะสร้างสุข
คุณหนูดี วนิษา เรซ คงจะเป็นนักเขียนอีกหนึ่งคนที่หลายๆท่านคงจะพอรู้จักกันบ้างพอสมควร เพราะนอกจากจะเขียนหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” แล้วยังเป็นถึงนักวิชาการด้านสมอง เจ้าของรางวัลล้านที่ 15 ในรายการอัจฉริยะข้ามคืน และแถมยังมีดีกรีปริญญาโทด้านสมองและการเรียนรู้จากมหาวิทยาฮาร์ดวาร์ดอีกด้วย และที่ครั้งนี้คุณหนูดีได้เขียนหนังสือเรื่อง “อัจฉริยะสร้างสุข” ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางให้คำแนะนำที่ดีๆสำหรับให้คนธรรมดาๆได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็กๆน้อยๆก็ตาม
คนเรามักคิดว่าเรื่องความคิด เหตุผลเป็นเรื่องของสมอง ส่วนเรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องของหัวใจ คนที่คิดอยากใช้สมองให้เป็นจึงมุ่งเรียนรู้เรื่องของความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ การทำงานเป็นทีม โดยหวังว่าถ้าทำงานเป็น เรียนเป็น ชีวิตก็จะมีความสุขเอง ส่วนการดูแลหัวใจก็คือการตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่รัก ไม่ต้องเคร่งเครียดมากมาย จึงไม่แปลกที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆว่า “สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจ” เดี๋ยวเรามาดูตัวอย่างของการ “สร้างสุข” ให้กับตัวเองกันบ้างนะครับ
1. ไม่มาก ไม่น้อย ปัญหาของคนเก่งคือ รู้เยอะแต่ทำไม่ได้ เราเห็นคนเก่งมากมายที่เรียนจบปริญญาเอกแต่มีปัญหาชีวิตครอบครัว เห็นคนจบด้านการเงินแต่ลงทุนพลาดจนล้มละลาย เด็กเรียนเก่งระดับเกียรตินิยมแต่กระโดดตึกฆ่าตัวตาย รู้มาก..มีมาก ไม่ได้รับประกันว่าเราจะมีความสุขขึ้น ความสุขจะมีขึ้นเมื่อรู้ว่าควรวางสิ่งใดลง วางลงเมื่อไหร่ วางลงเพื่ออะไร ความสุขประเภทนี้จะมาพร้อมปัญญา มาพร้อมกับการ ”ตั้งคำถาม” ที่จะนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งคำถามที่สำคัญและสร้างสรรค์น่าจะเป็น “ทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ตัวเรา ครอบครัวเรา สังคมของเราและโลกของเรามีความสุขได้ แม้อีกเพียงสักนิดก็ยังดี”
2. ความสุขทำให้คนฉลาดได้ คนมีความสุขมากๆนอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี เพราะถ้ายิ่งเรามีอารมณ์ดี มีความสุขนานเท่าไหร่จะทำให้สมองหลั่งสารอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน สารแห่งความสุขจะทำให้เราเรียนรู้ได้ดี ได้เร็ว จดจำสิ่งต่างๆได้อย่างมีความสุข ยิ่งเรามีอารมณ์ดีบ่อย เราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย แต่ถ้าเรายิ่งอารมณ์เสียบ่อย เราก็จะยิ่งอารมณ์เสียง่าย เพราะว่ายิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยๆ สมองก็จะสร้างเส้นใยนั้นออกมาเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเป็นคนอารมณ์ดีเราต้องฝึกอารมณ์ดีบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย
3. การนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากจะทำให้เรามีความจำดีแล้ว ยังทำให้เราอารมณ์ดีด้วย และการเป็นที่อารมณ์ดีก็จะเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายด้วย แต่สำหรับใครที่นอนหลับยากจึงมีคำแนะนำดีๆมากฝากกันครับ
• ลดหรืองดการดูโทรทัศน์สัก 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน โดยเฉพาะรายการที่ทำให้หัวใจเส้นแรง และอารมณ์ขึ้นๆลงๆ
• เสียงดนตรีช่วยขับกล่อม โดยเฉพาะดนตรีบรรเลงเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงฝน เสียงลม เสียงแม่น้ำ
• การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนมีผลบวก ช่วยให้เราหลับสบายได้จริง
• การดื่มนมร้อนผสมน้ำผึ้งจะช่วยให้เราหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น
• การอ่านหนังสือก่อนนอนที่มีเนื้อหานุ่มนวล เช่น หนังสือธรรมะ หนังสือนิยายรักเบาๆไม่เครียด
• การนวดก่อนนอนมีผลดีช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายก็จะทำให้เราหลับได้อย่างสบาย
• การฝึกสมาธิก่อนนอนแม้สั้นๆสักวันละ 10 นาที จะช่วยให้ทำให้จิตใจของเราสงบ และทำให้เราหลับลึกและหลับได้หลายๆชั่วโมง
เคล็ดลับความสุขง่ายๆ นั้นไม่มาก..ไม่ยาก แค่รู้ในสิ่งที่ต้องการ รับในสิ่งที่ใช่ ไขว่คว้าในสิ่งที่คิดแล้ว่าเหมาะสม และปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ใช่หรือเกินจำเป็น ฟังดูเหมือนง่าย เหมือนธรรมดาไม่มากและไม่ยาก แล้วทุกท่านมาเริ่มต้นสร้างความสุขในการใช้ชีวิตให้กับตนเองกันดีกว่านะครับ
สำหรับผมแล้ว ผมสามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ในทุกๆกระบวนการของการใช้ชีวิตครับ แต่ก่อนอื่นผมก็ต้องขอยอมรับแบบปุถุชนคนธรรมดานะครับว่าผมก็เคยผ่านช่วงที่มีความทุกข์มาบ้างเหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมพบกับความสุขได้เร็วกว่าคนอื่นๆก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมรู้จักกับคำ 2 คำนี้ครับ คำว่า “รู้จักพอ” กับคำว่า “รู้จักให้”
1. รู้จักพอ ความสุขที่เกิดจากการการรู้จักพอของผมก็คือ พอใจในสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนทำ ผมไม่ได้หวังว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีกำไรเป็นร้อยล้านหรือพันล้านหรือมุ่งหวังกำไรเพียงอย่างเดียวในการดำเนินธุรกิจ ผมยังทำการการหา no-know หรือเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาปรับปรุงสินค้า เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของผมให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการหาเครื่องมือหรือเครื่องจักรในการมาช่วยผ่อนแรงในการทำงานของมนุษย์พีเอของผมด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องทำงานหนักกันจนเกินไป
2. รู้จักให้ ถือว่าเป็นความสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุดหรือบอกว่าเป็นความสุขแบบ “ยั่งยืน” ก็เป็นไปได้ครับ เพราะการให้ของผมนอกจากจะให้กับมนุษย์พีเอที่เป็นสวัสดิการที่ดีๆแล้ว ผมยังรู้จักให้คืนกับสังคมหรือการทำ CSR โดยผ่านโครงการที่ชื่อว่า “โครงการทดแทนพระคุณแม่และแผ่นดิน” โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดใหญ่ๆด้วยกันคือ
• โครงการทดแทนพระคุณแม่ให้บัวพ้นน้ำ โดยผมจะร่วมกับมนุษย์พีเอของผมในการไปมอบทุนการศึกษา/การสร้างห้องเรียน/ห้องจริยธรรม/ห้องสมุด ซึ่งโครงการนี้ผมจะให้ความสำคัญกับการเรียนสำหรับเด็กๆ เพราะผมเชื่อว่าการให้โอกาสในทางการศึกษากับเด็กๆเหล่านี้เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและรู้จักการให้สิ่งๆดีต่อไปให้กับคนอื่นๆและสังคมต่อๆไปครับ การให้สำหรับผมจึงถือว่าไม่มีวันสิ้นสุด
• โครงการทดแทนพระคุณแผ่นดิน โครงการนี้เป็นโครงการที่ผมได้ออกไปบรรยายให้กับภาครัฐและเอกชนให้ทราบไม่ว่าจะเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ/ความรู้ด้านพลังงาน/การดำเนินธุรกิจกับการใช้คุณธรรม/การบริหารการจัดการต่างๆ/HRD/CSR และโครงการนี้ผมถือว่าผมเป็นผู้ที่บุกเบิกและนำร่องให้กับมนุษย์พีเอรุ่นต่อๆไปของผมครับ เพื่อที่ในโอกาสต่อๆไปมนุษย์พีเอของผมจะสามารถออกไปสื่อสารและประชาสัมพันธ์สิ่งต่างๆที่องค์กรของเราได้ทำให้กับบุคคลทั่วๆไปได้รับทราบแทนตัวผม
• โครงการสุขจากการแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นการให้กับเด็กกำพร้า/เด็กพิการ/คนแก่ชราหรือรวมไปถึงคนที่เขามีโอกาสน้อยกว่าพวกเรา ทุกๆครั้งในการออกไปทำกิจกรรมเหล่านี้ผมต้องยกกองทัพไปทั้งบริษัทฯกันเลยทีเดียวครับ เพราะว่าโครงการนี้ผมสอนให้มนุษย์พีเอทุกคนของผมรู้จักการให้แม้จะเป็นการให้แบบเล็กๆน้อยๆก็ถือว่าพวกเขาได้ฝึกรู้จักการให้ครับ
ครับสำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านี้แหละครับที่ผมถือว่าเป็นความสุขของการได้เกิดมาและการได้ใช้ชีวิตของผมอย่างคุ้มค่าแล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่าคนเราเมื่อตายไปแล้วเราไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง แต่สิ่งที่จะเหลือไว้ให้กับชนรุ่นหลังก็มีเพียงแค่ “ความดี” และ “ความชั่ว” เท่านั้นแหละครับ ผมจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเสมอว่า “แม้จะต้องตายในวันนี้ก็ไม่เสียชาติเกิด...ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้” แล้วคุณล่ะครับ...ได้สร้างความสุขให้กับชีวิตกันแล้วหรือ...ยัง?????
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นะครับ
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 55
พี่เคน สุดยอดเลยครับ :cool:
ปล. ผมเคยเห็นสินค้า OTOP ที่ชาวบ้านทำกัน แล้วเป็นที่ถูกใจของต่างประเทศหลายอย่างครับ
แต่ส่วนใหญ่มักจะทำแบบครัวเรือน ทำให้ได้สินค้า มีไม่แน่นอน ของบางอย่างผมชอบ แต่หาซื้อไม่ได้
เช่น แชมพูแก้ผมร่วงของเรา เคยไปคุยกับร้านที่ขาย บอกว่า คนเยอรมันชอบมาก
เพราะมีคนไทย เอาไปให้ฝรั่งลองใช้แล้วติดใจ
หรืออย่างพวก ไวน์ผลไม้ไทย ผมว่ารถชาติใช้ได้เลย แถมก็มีดีแบบไม่มีใครเหมือน คือ ผลิตจากผลไม้ที่หลากหลายมาก
ของฝรั่ง มีแค่ผลิตจากองุ่น
อยากเห็นสินค้าพวกนี้ไปตีตลาดต่างประเทศแบบเป็นจริงเป็นจัง
เอ๋ๆ หรือว่ามีแล้ว แต่ผมไม่รู้ เหอๆ
ปล. ผมเคยเห็นสินค้า OTOP ที่ชาวบ้านทำกัน แล้วเป็นที่ถูกใจของต่างประเทศหลายอย่างครับ
แต่ส่วนใหญ่มักจะทำแบบครัวเรือน ทำให้ได้สินค้า มีไม่แน่นอน ของบางอย่างผมชอบ แต่หาซื้อไม่ได้
เช่น แชมพูแก้ผมร่วงของเรา เคยไปคุยกับร้านที่ขาย บอกว่า คนเยอรมันชอบมาก
เพราะมีคนไทย เอาไปให้ฝรั่งลองใช้แล้วติดใจ
หรืออย่างพวก ไวน์ผลไม้ไทย ผมว่ารถชาติใช้ได้เลย แถมก็มีดีแบบไม่มีใครเหมือน คือ ผลิตจากผลไม้ที่หลากหลายมาก
ของฝรั่ง มีแค่ผลิตจากองุ่น
อยากเห็นสินค้าพวกนี้ไปตีตลาดต่างประเทศแบบเป็นจริงเป็นจัง
เอ๋ๆ หรือว่ามีแล้ว แต่ผมไม่รู้ เหอๆ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 56
ไว้เรามาร่วมกันไหมล่ะครับ
เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกและมีความสุขนะครับ
เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกและมีความสุขนะครับ
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 57
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างมี book brief ประจำเดือนให้กับคู่ค้าคู่คิดของผมครับ
อย่าพึ่งเบื่อไปก่อนนะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์บ้าง
คมความคิด (ฉบับที่ 4)
Life ของขวัญ ของชีวิต
ถ้าอยากมี ความสุข ...เราต้องผ่าน ความทุกข์ ไปให้ได้ก่อน ในขณะเดียวกัน ถ้าอยาก เข้มแข็ง ..เราก็ต้องผ่านความอ่อนแอ ไปให้ได้เช่นกัน เพราะว่าในการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ของคนเราจะต้องเจอะเจอกับบททดสอบของชีวิตในหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน คงจะไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ว่าชีวิตนี้ไม่เคยความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่มีใครที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เพราะความทุกข์กับความสุขมักจะมาเป็นของคู่กัน บางคนความสุขอาจจะมาก่อนความทุกข์ แต่อีกคนอาจจะมีความทุกข์แล้วความสุขค่อยตามมาทีหลังก็ได้ จนบางคนอาจจะถึงขั้นตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาไม่มีความยุติธรรม ที่มอบของขวัญในแต่ละชีวิตไม่เหมือนกัน
คนที่รู้จักดูแลชีวิตของตนเองให้ดีเท่านั้น จึงจะได้รับ ของขวัญ ชิ้นใหญ่ที่ชีวิตมอบให้ นั่นคือ ความสุข แต่อย่าลืมไปนะว่าคนที่จะสร้างความสุข ความทุกข์ต่างๆต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ที่จะเป็นผู้กำหนดทุกข์-สุขที่แท้จริงในชีวิต และเราเองอีกนั่นแหละที่จะเป็นคนสร้าง ของขวัญ ของชีวิตให้กับตัวเราเอง หนังสือเล่มนี้จึงได้นำวิธีในการสร้างความสุข มุมมองใหม่ๆ ข้อคิดดีๆ มาบอกเล่าให้กับทุกท่านได้รับรู้ เพื่อที่จะได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
• ตัวอย่างข้อคิดในการใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกวัน
1. ถ้าลมหายใจยังมี นี่แหละคือโอกาสที่ดีที่สุด
ถ้าหากชีวิตของเราต้องสูญเสียอะไรไปก็ตาม อย่าท้อใจหรือท้อถอย แม้ว่าการสูญเสียไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอะไรก็ตาม แค่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังมีสิ่งที่มีค่าสูงสุด เพื่ออยู่และสู้ต่อไปได้ อย่างน้อยเมื่อยังมีลมหายใจก็เท่ากับว่าเรายังมีเวลาพอที่จะได้ชื่นชมความงามของโลกใบนี้ มีเวลาพอที่จะได้ทำสิ่งที่ดีๆต่อไปอีก เพราะเราจะได้รับรู้ความสุขอีกแบบหนึ่งนั่นก็คือ “การให้เป็นเหตุให้เกิดความสุขยิ่งกว่าการรับ”
2. ความสุขหาซื้อได้ด้วยความสงบ
คนเรามักจะคิดกันอยู่เสมอว่า การได้ไปโน่น ได้ทำนี่ เราคงจะมีความสุข ได้กินโน่น ได้ดูนี่ เราคงจะไม่ทุกข์เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันจึงสะท้อนให้เราเห็นว่า เรากำลังหาซื้อความสุขใส่ตัวเองด้วยความหวัง ด้วยจินตนาการ แล้วเราก็จะไม่มีความสุขบนโลกของความเป็นจริงไปได้ เพราะโลกของความเป็นจริงเราไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ใจต้องการไปซะหมดแน่นอน ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยสนุก ไม่มีความสุข ลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองแบบเงียบๆสัก 10 นาที โดยการทำสมาธิอยู่กับการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เวลาที่เราไม่คิดอะไรเลยจะทำให้เรารู้สึกสบายตัว สบายใจ ผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่กดดัน ไม่เป็นทุกข์ร้อนกับความวุ่นวายของชีวิต เพราะเมื่อเรานิ่งเบาสบาย ความสุขก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัวเราเอง
แต่สำหรับผมแล้วการให้ ของขวัญ สำหรับชีวิตผมเองนั้น ผมไม่ได้ต้องการได้รับของขวัญใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลต่างๆ แม้กระทั่งในวันคล้ายวันกำเนิดของผมเอง แต่ถ้าจะให้ผมคิดถึงการได้รับของขวัญ สิ่งแรกที่ผมคิดถึงก็คือการได้ให้ความอยู่ดีกินดีกับมนุษย์พีเอของผมก่อนเสมอ เพราะผมคิดว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดี นั่นก็เท่ากับว่าผมได้รับ ของขวัญ ชิ้นพิเศษสุดแล้วครับ เพราะที่นี่ที่บ้านหลังที่สองของผมแห่งนี้เปรียบเสมือนกับ “ชีวิต” ของผมก็ว่าได้ มนุษย์พีเอก็เปรียบเสมือนกับอวัยวะทุกๆส่วนในร่างกาย หากพวกเขาได้รับแต่สิ่งดีๆ ก็เท่ากับว่าร่างกายและชีวิตของผมก็ต้องดีตามมาด้วย แต่สำหรับเรื่องของการบริหารธุรกิจผมไม่เคยที่จะพลาดในการมองหาโอกาสต่างๆในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า “ความเสี่ยง”มีอยู่ในทุกๆสถานการณ์อยู่แล้วครับ ฉะนั้นผมจึงไม่เคยกลัว “ความเสี่ยง” แค่ผมไม่เคยประมาทมันเท่านั้นครับ เพราะแม้ว่าหากสถานการณ์ดี/เศรษฐกิจดีก็มีความล้มละลายได้ แต่ในทางตรงกันข้าม สถานการณ์ไม่ดี/เศรษฐกิจไม่ดี ก็มีคนร่ำรวยเยอะแยะมากมายได้เช่นกันครับ “อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ” ประโยคนี้ผมชอบมากครับ เพราะในบางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักช่วงจังหวะ เวลาในการทำสิ่งต่างๆอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นช่วงจังหวะการใช้ชีวิต หรือแม้แต่กระทั่งการบริหารธุรกิจก็เช่นกันครับ
สวัสดีเช้าวันใหม่ครับ
^^
อย่าพึ่งเบื่อไปก่อนนะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์บ้าง
คมความคิด (ฉบับที่ 4)
Life ของขวัญ ของชีวิต
ถ้าอยากมี ความสุข ...เราต้องผ่าน ความทุกข์ ไปให้ได้ก่อน ในขณะเดียวกัน ถ้าอยาก เข้มแข็ง ..เราก็ต้องผ่านความอ่อนแอ ไปให้ได้เช่นกัน เพราะว่าในการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ของคนเราจะต้องเจอะเจอกับบททดสอบของชีวิตในหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน คงจะไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ว่าชีวิตนี้ไม่เคยความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่มีใครที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เพราะความทุกข์กับความสุขมักจะมาเป็นของคู่กัน บางคนความสุขอาจจะมาก่อนความทุกข์ แต่อีกคนอาจจะมีความทุกข์แล้วความสุขค่อยตามมาทีหลังก็ได้ จนบางคนอาจจะถึงขั้นตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาไม่มีความยุติธรรม ที่มอบของขวัญในแต่ละชีวิตไม่เหมือนกัน
คนที่รู้จักดูแลชีวิตของตนเองให้ดีเท่านั้น จึงจะได้รับ ของขวัญ ชิ้นใหญ่ที่ชีวิตมอบให้ นั่นคือ ความสุข แต่อย่าลืมไปนะว่าคนที่จะสร้างความสุข ความทุกข์ต่างๆต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ที่จะเป็นผู้กำหนดทุกข์-สุขที่แท้จริงในชีวิต และเราเองอีกนั่นแหละที่จะเป็นคนสร้าง ของขวัญ ของชีวิตให้กับตัวเราเอง หนังสือเล่มนี้จึงได้นำวิธีในการสร้างความสุข มุมมองใหม่ๆ ข้อคิดดีๆ มาบอกเล่าให้กับทุกท่านได้รับรู้ เพื่อที่จะได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
• ตัวอย่างข้อคิดในการใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกวัน
1. ถ้าลมหายใจยังมี นี่แหละคือโอกาสที่ดีที่สุด
ถ้าหากชีวิตของเราต้องสูญเสียอะไรไปก็ตาม อย่าท้อใจหรือท้อถอย แม้ว่าการสูญเสียไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอะไรก็ตาม แค่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังมีสิ่งที่มีค่าสูงสุด เพื่ออยู่และสู้ต่อไปได้ อย่างน้อยเมื่อยังมีลมหายใจก็เท่ากับว่าเรายังมีเวลาพอที่จะได้ชื่นชมความงามของโลกใบนี้ มีเวลาพอที่จะได้ทำสิ่งที่ดีๆต่อไปอีก เพราะเราจะได้รับรู้ความสุขอีกแบบหนึ่งนั่นก็คือ “การให้เป็นเหตุให้เกิดความสุขยิ่งกว่าการรับ”
2. ความสุขหาซื้อได้ด้วยความสงบ
คนเรามักจะคิดกันอยู่เสมอว่า การได้ไปโน่น ได้ทำนี่ เราคงจะมีความสุข ได้กินโน่น ได้ดูนี่ เราคงจะไม่ทุกข์เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันจึงสะท้อนให้เราเห็นว่า เรากำลังหาซื้อความสุขใส่ตัวเองด้วยความหวัง ด้วยจินตนาการ แล้วเราก็จะไม่มีความสุขบนโลกของความเป็นจริงไปได้ เพราะโลกของความเป็นจริงเราไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ใจต้องการไปซะหมดแน่นอน ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยสนุก ไม่มีความสุข ลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองแบบเงียบๆสัก 10 นาที โดยการทำสมาธิอยู่กับการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เวลาที่เราไม่คิดอะไรเลยจะทำให้เรารู้สึกสบายตัว สบายใจ ผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่กดดัน ไม่เป็นทุกข์ร้อนกับความวุ่นวายของชีวิต เพราะเมื่อเรานิ่งเบาสบาย ความสุขก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัวเราเอง
แต่สำหรับผมแล้วการให้ ของขวัญ สำหรับชีวิตผมเองนั้น ผมไม่ได้ต้องการได้รับของขวัญใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลต่างๆ แม้กระทั่งในวันคล้ายวันกำเนิดของผมเอง แต่ถ้าจะให้ผมคิดถึงการได้รับของขวัญ สิ่งแรกที่ผมคิดถึงก็คือการได้ให้ความอยู่ดีกินดีกับมนุษย์พีเอของผมก่อนเสมอ เพราะผมคิดว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดี นั่นก็เท่ากับว่าผมได้รับ ของขวัญ ชิ้นพิเศษสุดแล้วครับ เพราะที่นี่ที่บ้านหลังที่สองของผมแห่งนี้เปรียบเสมือนกับ “ชีวิต” ของผมก็ว่าได้ มนุษย์พีเอก็เปรียบเสมือนกับอวัยวะทุกๆส่วนในร่างกาย หากพวกเขาได้รับแต่สิ่งดีๆ ก็เท่ากับว่าร่างกายและชีวิตของผมก็ต้องดีตามมาด้วย แต่สำหรับเรื่องของการบริหารธุรกิจผมไม่เคยที่จะพลาดในการมองหาโอกาสต่างๆในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า “ความเสี่ยง”มีอยู่ในทุกๆสถานการณ์อยู่แล้วครับ ฉะนั้นผมจึงไม่เคยกลัว “ความเสี่ยง” แค่ผมไม่เคยประมาทมันเท่านั้นครับ เพราะแม้ว่าหากสถานการณ์ดี/เศรษฐกิจดีก็มีความล้มละลายได้ แต่ในทางตรงกันข้าม สถานการณ์ไม่ดี/เศรษฐกิจไม่ดี ก็มีคนร่ำรวยเยอะแยะมากมายได้เช่นกันครับ “อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ” ประโยคนี้ผมชอบมากครับ เพราะในบางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักช่วงจังหวะ เวลาในการทำสิ่งต่างๆอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นช่วงจังหวะการใช้ชีวิต หรือแม้แต่กระทั่งการบริหารธุรกิจก็เช่นกันครับ
สวัสดีเช้าวันใหม่ครับ
^^
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 58
ตามมาอ่านครับ ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมไทยเลย
และขออนุญาตินำบทความไปใช้ด้วยนะครับ
และขออนุญาตินำบทความไปใช้ด้วยนะครับ
Attitude of the Winner : ทัศนะคติแบบผู้ชนะ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- VSนักลงทุนอริยะ
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "แพนเอเชียฯ" เปิดกลยุทธ์ปลดหนี้ ล้มได้ ก็ยืนใหม่ได้
โพสต์ที่ 60
สวัสดีปีใหม่ครับ ซึ่งก็จะเป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปเหมือนทุก ๆ วัน แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ วันนี้คุณทำอะไรให้เกิดคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นบ้าง ครับ
นี่คือ คมความคิดฉบับ 4 ครับ จะได้แบ่งปันความรู้คับ
วิถีแมนเดลา (Mandela's way)
“นี่คือความเป็นปราชญ์ของผู้นำทรงคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่ถ่ายทอดออกมาอย่างเฉลียวฉลาดของนักเขียนมหัศจรรย์ นับจากเวลาที่พวกเขาทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดในการเขียนบันทึกความทรงจำของ แมนเดลา ริค สเตงเกิล ได้วาดภาพบทเรียนอันยิ่งใหญ่ของชีวิตสิบห้าบทประกอบกับความเห็นอันลึกซึ้งอีกนับร้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าถึงความเป็นตัวตนและความซื่อสัตย์อย่างน่าตกตะลึงของผู้เป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจผู้นี้” นี่เป็นเพียง คำนิยม ของนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่งที่ชื่อ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ยังสามารถทำให้ผมรู้สึกถึงพลัง ความยิ่งใหญ่และแรงบันดาลใจของหนังสือเล่มนี้กับชีวประวัติเชิงข้อคิดของ เนลสัน แมนเดลา ได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี่ได้รวบรวมบทเรียนชีวิตที่ได้ตกผลึกแล้ว 15 ข้อคิดของ เนลสัน แมนเดลา นักต่อสู้เพื่อสิทธิและความเสมอภาคของคนผิวสีอย่างมุ่งมั่นและยาวนานภายหลังได้รับเลือกเป็นประธานธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้ หลังจากถูกคุมขังเป็นนักโทษการเมืองนานถึง 27 ปี
หาญกล้า ใช่ว่าไม่หวาดกลัว
ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งประธานธิบดี เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านนโยบาย แยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมมีนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ เช่น มากาเรท เท็ตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย ในขณะที่แมนเดลาเปลี่ยนวิถีที่ใช้ในการต่อสู้เพื่อสิทธินั้น ในใจของเขาเกิดความกลัวที่จะปฏิบัติด้วยวิธีนี้เพราะเป็นวิธีที่เสี่ยงได้สามารถเกิดอันตรายได้ง่าย แต่เขาก็สามารถผ่านและทำมันได้เป็นอย่างดี แมนเดลาบอกว่า ความกล้าหาญที่จะทำสิ่งใดนั้นมิใช่ปราศจากความกลัว มันคือการเรียนรู้ที่จะชนะความกลัวต่างหาก ในบางครั้ง จำต้องทำเป็นว่าไม่กลัว คุณจึงจะค้นพบความกล้าที่แท้จริง บางครั้งการทำเป็นกล้านั่นแหละ คือความกล้าของคุณ
ยึดหลักการให้มั่น เรื่องอื่นเป็นเพียงยุทธวิธี
เมนดาลา เป็นบุรุษแห่งหลักการ หลักการเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ สิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหน ผิวสีใด หรือเพศใดก็ตาม สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงยุทธวิธี เรื่องนี้อาจดูเกินจริงไปแต่แมนเดลาเป็นนักสัมฤทธิผลนิยมในสายเลือด ผู้กระตือรือร้นในการประนีประนอม เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และขัดเกลากลยุทธ์ของตนตราบเท่าที่มันสามารถนำเขาไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดย่อมคุ้มค่าต่อปลายทาง ซึ่งปลายทางของเขาคือการยุตินโยบายแบ่งแยกสีผิว และการบรรลุถึงระบอบประชาธิปไตยที่ไม่จำกัดเชื้อชาติด้วยระบบหนึ่งคนหนึ่งคะแนนเสียงเพียงเท่านั้น แม้ว่ากลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายจะทำให้เขาต้องถูกจองจำนาน 27 ปี แต่เขากลับคิดว่า การเป็นนักโทษบนเกาะร็อบเบินสามารถรับปริญญาจากการศึกษาทางไกลได้เรียนรู้วิถีแห่งชีวิตภายในคุกสี่เหลี่ยมอันแสนโหดร้าย จนภายหลังนักโทษการเมืองจำนวนมากเรียกเกาะแห่งนี้ว่า มหาวิทยาลัยเกาะร็อบเบิน เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแมนเดลาจริงๆ นั่งเป็นเพียงเพราะหลักการที่ยึดมั่นแม้ต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายแต่มุ่งไปที่เป้าหมายที่เมื่อไปถึงจะหอมหวานเท่านั่นเอง
เมื่อผมได้อ่านวิธีคิดที่ตกผลึกแล้วของวิถีแมนเดลา ผมรู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่นในวิถีแห่งหลักการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง บทเรียนทีได้เรียนรู้นั้น ทำให้ผมกลับมามองว่า การเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีกลยุทธ์อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็สามารถทำได้ไม่ยากเกินความสามารถของคนคนหนึ่งที่มีสมองและสองมือเท่าเทียมกัน หลักการในความเท่าเทียมของมนุษย์ที่แมนเดลา ได้ยึดถือเป็นเป้าหมายในชีวิต เป็นหลักการที่ผมคิดและทดลองกับพนักงานของผมเอง ผมเชื่อว่าพนักงานทุกคนมีศักยภาพที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมาทั้งนั้น เพียงแต่อาจไม่มีโอกาสในการแสดงออกเท่านั้นเอง อาจเป็นเพราะการปฏิบิติงานที่เคยชิน จำเจ ทำให้ลืมที่จะคิด จินตนาการ สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ๆได้ ดังนั้น ผมจึงได้มีการ เปลี่ยนตำแหน่งงานของพนักงานไปเรื่อยๆ โดยการดูจากงานที่เกี่ยวข้องกันและความสามารถที่น่าจะเกิดการสัมฤทธิ์ทางการกระทำได้ ในช่วงแรกนั่นพนักงานอาจเกิดความกลัวเพราะเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่เราไม่เคยได้ปฏิบัติ แต่ความกลัวที่มีประโยชน์จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนทำให้มนุษย์ PA เหล่านั้น ได้ทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เพราะ ความกล้าหาญที่เกิดขึ้นนั้น ใช่ว่าจะไม่หวาดกลัว แต่เราต้องเอาชนะความกลัวในตัวเองเพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น
การถูกจองจำในที่ใดที่หนึ่งนานๆ คงมีไม่กี่คนที่จะสามารถแปรเปลี่ยนความกดดันเหล่านั้นเป็นพลังอันมหาศาลในการเรียนรู้ และปรับวิถีแห่งชีวิตอย่างแมนเดลาผู้ซึ่งอาจเป็นข้อยกเว้นในกรณีนี้ แต่เราเป็นเพียงกลุ่มคนที่กำลังสร้างความยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น การถูกพันธนาการด้วยกรอบ หรือการถูกจองจำทางความคิดนั้นเป็นการก่ออาชญากรรมอันร้ายแรงในองค์กรของผม เพราะผมต้องการความสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนไปเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมในอนาคต เพราะผมเชื่อว่า การคิดอย่างสร้างสรรค์และจินตนาการจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดได้ตลอดเวลา เพราะองค์กรสมัยใหม่ต้องยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ทันกับสถานการณ์ภายนอก จึงจะสามารถยืนอยู่บนสงครามธุรกิจที่โหดร้ายนี้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จได้อย่างภาคภูมิใจนั่นเอง
แล้วคุณล่ะครับ ???
นี่คือ คมความคิดฉบับ 4 ครับ จะได้แบ่งปันความรู้คับ
วิถีแมนเดลา (Mandela's way)
“นี่คือความเป็นปราชญ์ของผู้นำทรงคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่ถ่ายทอดออกมาอย่างเฉลียวฉลาดของนักเขียนมหัศจรรย์ นับจากเวลาที่พวกเขาทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดในการเขียนบันทึกความทรงจำของ แมนเดลา ริค สเตงเกิล ได้วาดภาพบทเรียนอันยิ่งใหญ่ของชีวิตสิบห้าบทประกอบกับความเห็นอันลึกซึ้งอีกนับร้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าถึงความเป็นตัวตนและความซื่อสัตย์อย่างน่าตกตะลึงของผู้เป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจผู้นี้” นี่เป็นเพียง คำนิยม ของนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่งที่ชื่อ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ยังสามารถทำให้ผมรู้สึกถึงพลัง ความยิ่งใหญ่และแรงบันดาลใจของหนังสือเล่มนี้กับชีวประวัติเชิงข้อคิดของ เนลสัน แมนเดลา ได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี่ได้รวบรวมบทเรียนชีวิตที่ได้ตกผลึกแล้ว 15 ข้อคิดของ เนลสัน แมนเดลา นักต่อสู้เพื่อสิทธิและความเสมอภาคของคนผิวสีอย่างมุ่งมั่นและยาวนานภายหลังได้รับเลือกเป็นประธานธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้ หลังจากถูกคุมขังเป็นนักโทษการเมืองนานถึง 27 ปี
หาญกล้า ใช่ว่าไม่หวาดกลัว
ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งประธานธิบดี เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านนโยบาย แยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมมีนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ เช่น มากาเรท เท็ตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย ในขณะที่แมนเดลาเปลี่ยนวิถีที่ใช้ในการต่อสู้เพื่อสิทธินั้น ในใจของเขาเกิดความกลัวที่จะปฏิบัติด้วยวิธีนี้เพราะเป็นวิธีที่เสี่ยงได้สามารถเกิดอันตรายได้ง่าย แต่เขาก็สามารถผ่านและทำมันได้เป็นอย่างดี แมนเดลาบอกว่า ความกล้าหาญที่จะทำสิ่งใดนั้นมิใช่ปราศจากความกลัว มันคือการเรียนรู้ที่จะชนะความกลัวต่างหาก ในบางครั้ง จำต้องทำเป็นว่าไม่กลัว คุณจึงจะค้นพบความกล้าที่แท้จริง บางครั้งการทำเป็นกล้านั่นแหละ คือความกล้าของคุณ
ยึดหลักการให้มั่น เรื่องอื่นเป็นเพียงยุทธวิธี
เมนดาลา เป็นบุรุษแห่งหลักการ หลักการเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ สิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหน ผิวสีใด หรือเพศใดก็ตาม สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงยุทธวิธี เรื่องนี้อาจดูเกินจริงไปแต่แมนเดลาเป็นนักสัมฤทธิผลนิยมในสายเลือด ผู้กระตือรือร้นในการประนีประนอม เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และขัดเกลากลยุทธ์ของตนตราบเท่าที่มันสามารถนำเขาไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดย่อมคุ้มค่าต่อปลายทาง ซึ่งปลายทางของเขาคือการยุตินโยบายแบ่งแยกสีผิว และการบรรลุถึงระบอบประชาธิปไตยที่ไม่จำกัดเชื้อชาติด้วยระบบหนึ่งคนหนึ่งคะแนนเสียงเพียงเท่านั้น แม้ว่ากลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายจะทำให้เขาต้องถูกจองจำนาน 27 ปี แต่เขากลับคิดว่า การเป็นนักโทษบนเกาะร็อบเบินสามารถรับปริญญาจากการศึกษาทางไกลได้เรียนรู้วิถีแห่งชีวิตภายในคุกสี่เหลี่ยมอันแสนโหดร้าย จนภายหลังนักโทษการเมืองจำนวนมากเรียกเกาะแห่งนี้ว่า มหาวิทยาลัยเกาะร็อบเบิน เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแมนเดลาจริงๆ นั่งเป็นเพียงเพราะหลักการที่ยึดมั่นแม้ต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายแต่มุ่งไปที่เป้าหมายที่เมื่อไปถึงจะหอมหวานเท่านั่นเอง
เมื่อผมได้อ่านวิธีคิดที่ตกผลึกแล้วของวิถีแมนเดลา ผมรู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่นในวิถีแห่งหลักการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง บทเรียนทีได้เรียนรู้นั้น ทำให้ผมกลับมามองว่า การเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีกลยุทธ์อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็สามารถทำได้ไม่ยากเกินความสามารถของคนคนหนึ่งที่มีสมองและสองมือเท่าเทียมกัน หลักการในความเท่าเทียมของมนุษย์ที่แมนเดลา ได้ยึดถือเป็นเป้าหมายในชีวิต เป็นหลักการที่ผมคิดและทดลองกับพนักงานของผมเอง ผมเชื่อว่าพนักงานทุกคนมีศักยภาพที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมาทั้งนั้น เพียงแต่อาจไม่มีโอกาสในการแสดงออกเท่านั้นเอง อาจเป็นเพราะการปฏิบิติงานที่เคยชิน จำเจ ทำให้ลืมที่จะคิด จินตนาการ สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ๆได้ ดังนั้น ผมจึงได้มีการ เปลี่ยนตำแหน่งงานของพนักงานไปเรื่อยๆ โดยการดูจากงานที่เกี่ยวข้องกันและความสามารถที่น่าจะเกิดการสัมฤทธิ์ทางการกระทำได้ ในช่วงแรกนั่นพนักงานอาจเกิดความกลัวเพราะเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่เราไม่เคยได้ปฏิบัติ แต่ความกลัวที่มีประโยชน์จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนทำให้มนุษย์ PA เหล่านั้น ได้ทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เพราะ ความกล้าหาญที่เกิดขึ้นนั้น ใช่ว่าจะไม่หวาดกลัว แต่เราต้องเอาชนะความกลัวในตัวเองเพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น
การถูกจองจำในที่ใดที่หนึ่งนานๆ คงมีไม่กี่คนที่จะสามารถแปรเปลี่ยนความกดดันเหล่านั้นเป็นพลังอันมหาศาลในการเรียนรู้ และปรับวิถีแห่งชีวิตอย่างแมนเดลาผู้ซึ่งอาจเป็นข้อยกเว้นในกรณีนี้ แต่เราเป็นเพียงกลุ่มคนที่กำลังสร้างความยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น การถูกพันธนาการด้วยกรอบ หรือการถูกจองจำทางความคิดนั้นเป็นการก่ออาชญากรรมอันร้ายแรงในองค์กรของผม เพราะผมต้องการความสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนไปเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมในอนาคต เพราะผมเชื่อว่า การคิดอย่างสร้างสรรค์และจินตนาการจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดได้ตลอดเวลา เพราะองค์กรสมัยใหม่ต้องยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ทันกับสถานการณ์ภายนอก จึงจะสามารถยืนอยู่บนสงครามธุรกิจที่โหดร้ายนี้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จได้อย่างภาคภูมิใจนั่นเอง
แล้วคุณล่ะครับ ???