สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 1
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม 1
..สมมติว่าคุณมีคำถาม....สมมติว่าคำถามมีคำตอบ..
..สมมติว่ามีการสนทนา....สมมติว่าเป็นการสนทนาที่ไม่ธรรมดา..
คืนก่อนที่ชายตกอับ (นีล โดนัลด์ วอลช์) จะฆ่าตัวตาย เขาตัดสินใจระบายความขมขื่นและโกรธเกรี้ยวทั้งมวลลงไปในกระดาษเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม และทำไมชีวิตจึงเป็นเช่นนี้ ? พลันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ เขาได้รับการสื่อสารจาก เสียงที่ไร้เสียง บอกให้เขียนบางสิ่งลงไปในกระดาษ...
อยากจะรู้จริง ๆ หรือแค่อยากระบาย ?
จากนั้น การสนทนา ในรูปแบบที่ไม่ธรรมดาก็เริ่มต้นขึ้น บทสนทนาเหล่านั้นได้รับการบันทึกเป็นเอกสารที่มีความยาวกว่าหนึ่งพันหน้ากระดาษในชื่อ Conversations with God
การพูดคุย สุดลึกซึ้งที่เปลี่ยนชีวิตผู้อ่านมาแล้วนับล้าน ได้รับการแปลแล้วกว่า 37 ภาษา ยอดขายกว่า 20 ล้านเล่มทั่วโลก
..สมมติว่าคุณกำลังจะได้เริ่มต้นการสนทนาที่ไม่ธรรมดา..ของคุณเอง..
http://www.ohmygodbooks.com/
ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งก็รู้สึกสะดุดกับชื่อไม่น้อย แต่ไม่ได้สนใจที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะคำว่า God บนหน้าปกเป็นเหมือนเส้นกั้นไม่ให้เข้าใกล้ไปกว่านั้น สารภาพตามตรงว่าสำหรับชาวพุทธบ้าน ๆ อย่างผมไม่มีอารมณ์ร่วมหรือผูกพันกับคำ ๆ นี้เลย แม้จะเคยเรียนในโรงเรียนที่สอนเรื่องพระเจ้าอยู่สิบกว่าปีก็ตาม
...หลังจากวันนั้นยังได้แวะเวียนไปร้านหนังสือแห่งนั้นอีกเป็นระยะ ทุกครั้งก็จะเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่ เป็นปีผ่านไปก็ยังไม่คิดจะหยิบมาเปิดอ่านเช่นเดิม...
แม้จะไม่ไยดีแต่ลึก ๆ ก็รู้แก่ใจว่าชื่อหนังสือเล่มนี้รบกวนจิตใจมาตลอดนับแต่ครั้งแรกที่เห็น คุยกับพระเจ้า? คุยอะไร? บ้าหรือเปล่า? พระเจ้าอะไรอีก? จนวันหนึ่งได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาพลิก ๆ ดูแบบไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรดี เผยแพร่ศาสนา? ลัทธิอุบาทว์? คนเพี้ยนสติเฟื่อง? นิวเอจกำมะลอ? ฯลฯ คำถามสารพัดผุดขึ้นในหัว หยิบวาง ๆ อยู่ห้าหกรอบจึงตัดสินใจว่าจะลองซื้อมาอ่านดู ตอนจ่ายเงินก็ยังปลอบใจตัวเองว่าถ้าอ่านแล้วไม่มีอะไรให้จดจำก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเล่มหนึ่งแล้วกัน อย่าคิดมากเลย ...แต่ถ้าเกิดมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาล่ะ
เริ่มอ่านด้วยอารมณ์ว่างเปล่า อ่านไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกหลายอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้น น่าแปลกที่ไม่รู้สึกมีปัญหากับคำว่า พระเจ้า ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อย่างที่คิดไว้แต่แรก แถมหลายช่วงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายตะวันออกในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมายาวนานเหลือเกินแล้ว สุดท้ายอ่านจบด้วยอารมณ์สะท้านและกระเจิดกระเจิง
หลายคนตั้งคำถามว่าตกลงนี่คือหนังสืออะไร...หรือของศาสนาไหนกันแน่
ในที่นี้ผมคงสรุปแทนใครไม่ได้ อยากให้ผู้อ่านลองอ่านแล้วสรุปเองจะดีกว่า ส่วนคำตอบที่ผมมีให้ตัวเองหลังอ่านจบก็คือ นี่ไม่ใช่หนังสือศาสนา อีกทั้ง พระเจ้า ในที่นี้ก็ไม่ใช่แบบที่พวกเราคุ้นเคย หากว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องเป็นอะไรสักอย่างให้ได้ มันก็คงเป็นได้ทุกอย่างตามแต่จริตพื้นฐานและจินตนาการของแต่ละคน ซึ่งที่จริงเราไม่จำเป็นต้องนิยามหรือระบุสังกัดให้หนังสือเล่มนี้เลยก็ได้
ผู้อ่านย่อมมีสิทธิที่จะรับหรือไม่รับหนังสือเล่มนี้ ทว่าโปรดอย่ารีบปฏิเสธเพียงเพราะข้างในมีเนื้อหาต่างไปจากสิ่งที่เคยได้รับการสั่งสอนหรือปลูกฝังกันมา ไอน์สไตน์พูดไว้ลึกซึ้งว่าเราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยระดับคิดเดียวกับที่เราสร้างปัญหาขึ้น ฉะนั้นหากอยากให้ชีวิตและโลกใบนี้ต่างไปจากเดิมบ้าง เราอาจต้องยอมเปิดรับชุดความคิดหรือคำตอบใหม่ ๆ ซึ่งต่างไปจากที่คุ้นเคยบ้างเช่นกัน บางครั้งคำตอบที่ว่าใหม่นี้อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งใหม่ในความหมายที่แท้จริงเสมอไป อาจเป็นเพียงของเก่าที่ได้เวลาสำแดงตนในมุมมองและความเข้าใจใหม่ เพราะเราไม่จำเป็นต้องละทิ้งสิ่งเก่าด้วยการทุบทำลายถ่ายเดียว บางคราวเพียงเปลี่ยนวิธีเข้าหา เพิ่มส่วนผสมบางอย่างเข้าไป หรือขยายออกจากสิ่งเดิมก็ทำให้เราได้สิ่งใหม่แล้ว
ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องเชื่อตามหรือเห็นด้วยกับหนังสือเล่มนี้เลย ถ้าเห็นด้วย..นั่นก็เพราะเขาได้พบความจริงของตัวเอง แต่ถ้าไม่..ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากเขาไม่ได้พบความจริงของตัวเอง ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความจริงของตัวเขาเองในท้ายที่สุดอยู่ดี ไม่สำคัญเลยว่าหนังสือเล่มนี้จะพูดหรือกล่าวอ้างอะไร ไม่สำคัญกระทั่งว่าผู้อ่านจะเชื่อใน พระเจ้า หรือไม่ สำคัญที่เราได้พบความจริงอะไรในตัวเองบ้างหลังอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เรารู้สึกอย่างไรต่อตัวเอง เพื่อนมนุษย์ และสรรพสิ่งเมื่อเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย นี่ต่างหากที่เป็นจุดใหญ่ใจความ เราอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อสุดท้ายจะหวนกลับมาสังเกตประสบการณ์และฟังความจริงของตัวเอง แล้วเริ่มจากตรงนั้น
สนทนากับพระเจ้า เป็นหนังสือที่โดยเนื้อหาแล้วผู้แปลอยากแปล สำนักพิมพ์อยากทำ และผู้มีส่วนร่วมทุกคนเต็มใจ องค์ประกอบง่าย ๆ แค่นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ง่ายเลยในบรรยากาศที่ระบบกำไรขาดทุนเข้ากำหนดเกือบทุกอย่างเช่นในปัจจุบัน สำนักพิมพ์จึงขอกล่าวด้วยความนอบน้อมไว้ ณ โอกาสนี้ว่าในการจัดพิมพ์ สนทนากับพระเจ้า เรามุ่งหวังเพียงว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนและสังคมนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย มิได้มีเจตนาที่จะจาบจ้วงต่อหลักความเชื่อของผู้ใด หรือต้องการจะเผยแพร่ลัทธิหรือมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใดเลย
สำนักพิมพ์ขอขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจแด่ผู้แปล คุณรวิวาร โฉมเฉลา คุณจิตติ หนูสุข Mr. William Kuipers อ.สุวินัย ภรณวลัย อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อ.ไสว บุญมา พี่พจน์--พจนา จันทรสันติ พี่เวียง--วชิระ บัวสนธ์ พี่โจ--มณฑานี ตันติสุข คุณสุธีรา พิทยเมธี คุณสุนทร กตัญญูบุญญาพงศ์ คุณเกรียงไกร สนธิมาส รวมถึงทุกท่านและทุกสิ่งที่มิได้เอ่ยนามในที่นี้ สำหรับความช่วยเหลือ คำแนะนำ กำลังใจ โอกาส และความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่มอบให้ คุณมงคล เตชะกิจจาทร ผู้มีพระคุณกับสำนักพิมพ์และให้ความรักไม่มีสิ้นสุดแก่ใครบางคนในกองบรรณาธิการ และสุดท้าย พี่ไก่--ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์ ผู้คอยชี้แนะสิ่งดี ๆ มาตั้งแต่ก่อนวันแรกของสำนักพิมพ์จนถึงวินาทีนี้
ด้วยความขอบคุณ
บรรณาธิการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือเล่มนี้มาสู่ชีวิตฉันอย่างแปลกประหลาด มันถูกส่งมาจากอเมริกาสำหรับอดีตสามีของฉัน ซึ่งกลายเป็นนักบวชไปแล้ว ส่วนฉัน ซึ่งเวลานั้นสนใจการปฏิบัติจิตแนวพุทธไม่เคยคิดที่จะหยิบมาเปิดดู สืบเนื่องจากชื่อที่มีคำว่า พระเจ้า ของมัน
ฉันเกิดและเติบโตมาท่ามกลางสองความเชื่อ พ่อ -คริสต์ แม่- พุทธ ตอนเล็ก ๆ ฉันเข้าโบสถ์ และไปวัด เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ฉันหยุดกราบพระ แต่อธิษฐานกับพระเจ้าก่อนกินข้าวและเข้านอน ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยฉันบอกลาพระเจ้า และกล่าวกับพระองค์ว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง และหนทางของพระองค์เป็นจริงแล้ว ขอจงเรียกฉันกลับมาด้วย
ฉันเริ่มอ่านกฤษณมูรติ พุทธมหายาน วัชรยาน ฮินดู ซาร์ต กามูส์ นิตเช่ต์ ฯลฯหนังสือแนวจิตวิญญาณทั้งหลายแหล่ที่หนุ่มสาววัยแสวงหาอ่านกัน ทว่า ได้เริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาเดียวกับที่ฉันได้พบหนังสือเล่มนี้
มันร่วงลงมาจากชั้นหนังสือ และพูดกับฉัน จากบรรทัด จากหน้าที่เปิด กระทบ ใจที่กำลังถาม สงสัยและรู้สึกต่อชีวิตขณะนั้น ฉันจึงหยิบขึ้นมาอ่าน นั่นคือบทเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
จากนั้น เป็นเพราะความอยากให้คนอื่น ๆ ได้อ่าน อยากให้ใครที่แสวงหาเหมือนฉันได้ยินเสียงจากชีวิตที่กล่าวแตกต่างออกไป คำสอนที่ถ่ายทอดมานาน ชีวิตชีวาอาจจะเหือดหาย ไม่สามารถสัมผัสข้างใน หรือประสานเข้ากับชีวิตอันเชี่ยวกรากในยุคปัจจุบันของเรา ฉันจึงตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้แม้ว่าจะยังขัดแย้งสงสัย
มหาปัญญาแห่งจักรวาลคืออะไร ? ใช่ พระเจ้า ในนี้หรือไม่? เกี่ยวข้องอย่างไรกับพุทธจิต? ยุคสมัยนี้เป็นยุคแห่งการเผยแจ้งอย่างนั้นหรือ? จากไหน? พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่ามีพระเจ้านี่นา และอีกหลาย ๆ คำถาม แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าแบบที่เราเคยรู้จัก ตรงกันข้ามอาจจะถูกกล่าวหาว่าต่อต้านพระเจ้าด้วยซ้ำ และสิ่งที่พูดคุยกันในนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการปลุกให้ตื่น ตื่นขึ้นด้วยคำถามที่สามารถปลดปล่อยความคับแคบบางอย่างในความคิดของเราได้ ส่วนตัวฉัน มันยังเป็นเสมือนอ้อมกอด อ้อมกอดแห่งคำบอกที่ว่า เธอคือพระเจ้า เธอไม่ใช่คนบาป หรือทั้งเนื้อทั้งตัวเธอคือกองกิเลสอันชั่วช้า( โดยนัยที่ทำให้จิตใจเราชิงชังรังเกียจตัวเองและโลกย์ ร่วงตกในมายาทวิภาวะ)
สนทนากับพระเจ้า ไม่มีคำสอน หรือวิธีการปฏิบัติใด ๆ เพราะไม่ใช่ลัทธิศาสนาใหม่ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขอบฟ้าใหม่สำหรับฉัน ที่ช่างละม้ายกับคำสอนของมหายานที่ว่า ดอกบัวผุดจากโคลนตม ความโลภ โกรธ หลงของเราคือเนื้อนาดินแห่งปัญญา และวัชรยานที่มองว่า กิเลสทั้งหลายของเราคือพลัง และอาจเป็นยานส่งเราไปสู่ความรู้แจ้ง แหละความรู้แจ้งนั้น สำหรับฉัน คืออิสรภาพอันประภัสสร
ฉันคิดว่า ควรจะให้หนังสือกล่าวด้วยตัวมันเองดีกว่าค่ะ...
ขอขอบคุณ ซารา ไวต์ ผู้ส่ง Conversations with God เล่มนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลจากอเมริกา พี่พจนา จันทรสันติ ที่รับรองยินดีในการบรรณาธิกรณ์ ทำให้ฉันมั่นใจเรื่องความถูกต้องของการถ่ายทอดข้ามภาษา แม้ว่าในภายหลัง กิจธุระ และความเปลี่ยนแปลงตามห้วงเวลาจะทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงบรรณาธิการ คุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา บรรณาธิการผู้ละเอียดรอบคอบ และใจดียิ่งกับนักแปลอ่อนหัดอย่างฉัน
ขอบคุณพี่เรืองเดช จันทรคีรี ถ้าไม่มีคำพูดเสมือนรับรองจากพี่ ฉันคงไม่คิดที่จะแปลหนังสือ ขอบคุณอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย คนแรกที่เรียบเรียง สนทนากับพระเจ้า สู่พากย์ภาษาไทย และกระตือรือล้นเป็นกำลังใจในการแปลและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ต้น ขอบพระคุณอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ทำให้ฉันรู้สึกเชื่อมั่น ขอบคุณนีล ยาย ทุก ๆ สิ่งและทุก ๆ คนในชีวิต
ด้วยความรัก
รวิวาร โฉมเฉลา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การอ่านหนังสือเล่มนี้จากฉบับภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อนเป็น ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ที่ลึกซึ้งครั้งหนึ่งในชีวิตของผม
จงอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างช้า ๆ ซึมซับทุกตัวอักษร ดูดซึมความหมายแต่ละคำที่ God ถ่ายทอดให้แก่คุณ ไม่ว่า God ในหนังสือนี้จะมีอยู่จริงหรือเป็นแค่จินตนาการของผู้เขียนก็ตาม แต่นั่นหาใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใดเลย เพราะ God คนนี้ในหนังสือเล่มนี้คือ กัลยาณมิตรที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่ผู้อ่านจะพานพบได้ในชีวิตนี้ กัลยาณมิตรผู้นี้กำลังมาแนะนำวิถีแห่งการใช้ชีวิตที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างงดงามและอย่างมนุษย์ที่แท้
เพราะมนุษย์อย่างพวกเราคือ God ที่แบ่งภาคลงมาเพื่อมีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวเองในฐานะที่เป็นจิตวิญญาณที่สูงส่งดุจ God นี่คือสาส์นที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ที่จะปลุกผู้อ่านให้ตื่นขึ้น และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายเต็มเปี่ยม
เท่าที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ และมีความเป็นไปได้สูงมากว่า คุณ ผู้กำลังหยิบหนังสือเล่มนี้อยู่ จะเป็นคนต่อไป
ประสบการณ์เกี่ยวกับ God เป็นประสบการณ์ที่งดงามและตราตรึงที่สุดในชีวิตของผม ผมผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วทั้งใน ความฝัน เมื่อคืนนี้เองก่อนที่จะเขียน คำนิยม ชิ้นนี้ และใน ชีวิต จริงเมื่อหลายปีก่อนที่ต้องผ่านการทดสอบของ God ดุจตายทั้งเป็น
ไม่มีใครอ่อนหวานไปกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้สัมผัสท่าน
ไม่มีใครอ่อนโยนใจดีไปกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้รู้จักท่าน
ไม่มีใครเปี่ยมปัญญาและเปี่ยมฤทธานุภาพยิ่งกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้ประสบและรับคำสอนจากท่าน
หนังสือเล่มนี้จะเป็น ประตู นำผู้อ่านไปรู้จักและสัมผัสกับ God ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับตัวท่านผู้อ่านเองว่าจะมีใจเปิดกว้างแค่ไหนหรือไม่เท่านั้น
ด้วยจิตคารวะและนอบน้อมยิ่ง
สุวินัย ภรณวลัย
30 มิถุนายน พ.ศ. 2549
ท่าพระจันทร์, กรุงเทพฯ
ประเทศไทย
+++++++++++++++++++++++++++++
"ชีวิตคือการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การแสวงหา" จากการพูดคุยที่ร้านเล่า
ผมได้มีโอกาสไปร่วมวงเสวนาที่ "ร้านเล่า" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา บรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง เหมือนวงสนทนาของพี่ๆน้องๆ ในแวดวงคนรักหนังสือด้วยกัน
ผมมีโอกาสได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" ด้วยในวงวันนั้น แต่เนื่องจากเวลามีน้อยก็เลยไม่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจที่มีโอกาสได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อหนังสือเล่มนี้
ในวันนั้นผมได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้ในบางแง่มุมแต่ก็เพียงสั้นๆ วันนี้ผมจึงอยากแสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกไม่น้อยไปกว่านีล คือผมรู้สึกเหมือนกับได้คุยกับ "พระเจ้า" จริงๆ สิ่งที่พระองค์บอกหลายอย่างเป็นสิ่งที่ผมเคยสัมผัส เคยศึกษา เคยอ่านมาจากหลายที่ หลายแหล่งก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะรับฟังมาจากผู้ใหญ่บางคน จากหนังสือธรรมะ หนังสือศาสนา ปรัชญา และอีกหลายอย่างหลายประเภท "ลืมบอกไปว่าผมกลายเป็นคนบ้าหนังสือ บ้าซื้อ บ้าอ่าน บ้าสะสม(ไว้ก่อนมีเวลาค่อยอ่านทีหลัง)"
มีหลายวรรค หลายตอน หลายประโยค หลายคำพูด ของพระเจ้าที่ย้ำถึงสิ่งที่ผมได้รับรู้มาก่อนหน้านี้ และอรรถาธิบายให้ผมได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างเช่น เรื่องความว่างที่อยู่ระหว่าง "ที่นี่" กับ "ที่นั่น" ซึ่งทำให้ผมเข้าใจถึงพลังแห่งจิตปัจจุบัน ที่เคยได้อ่านจากงานของ "เอ็กค์ฮาร์ท โทลเลอ" จากหนังสือ "พลังแห่งจิตปัจจุบัน The Power of Now" รวมไปถึงหนังสือรวบรวมคำสนทนาของท่าน กฤษณะมูรติ หรือแม้แต่ "ความว่าง" ของท่านพุทธทาส พระองค์พูดถึงสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ สักที พระองค์ให้ความกระจ่างเรื่องนี้แก่ผม และมันเป็นความกระจ่างที่ไม่มีวันจางหายไปจากความทรงจำของผมอีก (เหมือนการว่ายน้ำ เมื่อเราว่ายเป็นแล้ว ก็ไม่มีวันลืม)
ต่อจากเรื่องความว่าง สิ่งที่ผมถึ่งอีกอย่างก็คือเรื่อง ของการตื่นรู้ หรือการรู้แจ้ง อย่างที่เราๆ ได้รับรู้รับทราบมานาน จากตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงประสบด้วยพระองค์เอง แต่ผมไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ เลย เพียงแต่รับรู้ว่ามันมีอยู่ มันเป็นจริง และมันเข้าถึงได้ หากเราค้นพบมัน แต่ดูเหมือนมันไม่มีหนทาง หรือไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน มันเหมือนยิ่งค้นหาก็ยิ่งไม่เจอ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งไม่รู้ แต่เมื่อพระองค์บอกว่า ความจริงเราไม่มีอะไรต้องเรียนรู้ เรารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่เราลืมมันไป เรามีหน้าที่เพียงค้นหาตัวตนให้พบเพื่อตื่นขึ้นจากการลืม หรือกลับไปจำได้อีกครั้งเท่านั้น สิ่งที่พระองค์พูดไม่ได้เป็นอะไรใหม่เลย เพียงแต่อธิบายใหม่ให้เข้าใจง่ายๆ กว่าที่เคยมาเท่านั้น "ตื่นรู้" ชัดเจนครับ ตื่นจากความหลับไหลแห่งความไม่รู้ ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตเหมือนคนหลับ เพียงแต่เราตื่นขึ้นเมื่อไหร่เราก็จะกลับมารู้อีกครั้ง ชัดเจนจริงๆครับ มันเหมือนกับความรู้อยู่ในตัวเรา เราขังมันไว้ในที่ใดที่หนึ่ง อยู่ในกล่องหรือถังแห่งความรู้ในตัวเรา เราเพียงแต่ลืม PassWord หรือ Key เอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง ในซอกหลืบแห่งความทรงจำของเรา ทำให้เราไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่ถังความรู้นี้ได้ หรืออาจเป็นเพราะเรายุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมหรือวัตถุที่อยู่ภายนอกอย่างมากมาย จนไม่เหลือช่องว่างเพียงพอให้เรารำลึกรู้ได้ เราก็เลยพลาดโอกาสที่จะกลับไปรู้อีกครั้ง ซึ่งน่าเสียดาย
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ ที่ผมอยากทิ้งท้าย และผมชอบมาก ที่พระจ้าบอกกับนีลว่า มนุษย์มีเพียงอารมณ์ 2 แบบที่กำกับการกระทำของมนุษย์อยู่ทุกๆ การกระทำ หรือมนุษย์กระทำทุกอย่างผ่านสองอารมณ์นี้ คือ รัก และ กลัว ผมคบคิดถึงคำพูดนี้อยู่หลายวัน ตรวจสอบทุกอย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ผมใส่ อาหารที่ผมกิน หรือทุกๆ อย่างที่ประกอบเป็นตัวผม มันล้วนมาจาก 2 อารมณ์นี้จริงๆ และมีเพียงอารมณ์เดียวที่สร้างความทุกข์ให้กับผมที่สุดคือ "ความกลัว" ซึ่งแม้แต่การกระทำบางเรื่องที่ผมเรียกมันว่า "รัก" พอผมสำรวจดูมันจริงมันกลับเป็นความกลัวที่แปะชื่อติดหน้ามาว่า "รัก" มันทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่พระเยซูทรงตรัส และแสดงต่อมนุษย์มากขึ้น เข้าใจว่า "รัก" ที่แท้จริงคืออะไร "รักที่แท้คือรักที่ปราศจากความกลัว"
ยังมีอีกมากครับ..ที่พระองค์ทรงบอก เอาไว้มีโอกาสจะแลกเปลี่ยนใหม่นะครับ
สุมิตรชัย หัตถสาร ([email protected])
..สมมติว่าคุณมีคำถาม....สมมติว่าคำถามมีคำตอบ..
..สมมติว่ามีการสนทนา....สมมติว่าเป็นการสนทนาที่ไม่ธรรมดา..
คืนก่อนที่ชายตกอับ (นีล โดนัลด์ วอลช์) จะฆ่าตัวตาย เขาตัดสินใจระบายความขมขื่นและโกรธเกรี้ยวทั้งมวลลงไปในกระดาษเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม และทำไมชีวิตจึงเป็นเช่นนี้ ? พลันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ เขาได้รับการสื่อสารจาก เสียงที่ไร้เสียง บอกให้เขียนบางสิ่งลงไปในกระดาษ...
อยากจะรู้จริง ๆ หรือแค่อยากระบาย ?
จากนั้น การสนทนา ในรูปแบบที่ไม่ธรรมดาก็เริ่มต้นขึ้น บทสนทนาเหล่านั้นได้รับการบันทึกเป็นเอกสารที่มีความยาวกว่าหนึ่งพันหน้ากระดาษในชื่อ Conversations with God
การพูดคุย สุดลึกซึ้งที่เปลี่ยนชีวิตผู้อ่านมาแล้วนับล้าน ได้รับการแปลแล้วกว่า 37 ภาษา ยอดขายกว่า 20 ล้านเล่มทั่วโลก
..สมมติว่าคุณกำลังจะได้เริ่มต้นการสนทนาที่ไม่ธรรมดา..ของคุณเอง..
http://www.ohmygodbooks.com/
ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งก็รู้สึกสะดุดกับชื่อไม่น้อย แต่ไม่ได้สนใจที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะคำว่า God บนหน้าปกเป็นเหมือนเส้นกั้นไม่ให้เข้าใกล้ไปกว่านั้น สารภาพตามตรงว่าสำหรับชาวพุทธบ้าน ๆ อย่างผมไม่มีอารมณ์ร่วมหรือผูกพันกับคำ ๆ นี้เลย แม้จะเคยเรียนในโรงเรียนที่สอนเรื่องพระเจ้าอยู่สิบกว่าปีก็ตาม
...หลังจากวันนั้นยังได้แวะเวียนไปร้านหนังสือแห่งนั้นอีกเป็นระยะ ทุกครั้งก็จะเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่ เป็นปีผ่านไปก็ยังไม่คิดจะหยิบมาเปิดอ่านเช่นเดิม...
แม้จะไม่ไยดีแต่ลึก ๆ ก็รู้แก่ใจว่าชื่อหนังสือเล่มนี้รบกวนจิตใจมาตลอดนับแต่ครั้งแรกที่เห็น คุยกับพระเจ้า? คุยอะไร? บ้าหรือเปล่า? พระเจ้าอะไรอีก? จนวันหนึ่งได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาพลิก ๆ ดูแบบไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรดี เผยแพร่ศาสนา? ลัทธิอุบาทว์? คนเพี้ยนสติเฟื่อง? นิวเอจกำมะลอ? ฯลฯ คำถามสารพัดผุดขึ้นในหัว หยิบวาง ๆ อยู่ห้าหกรอบจึงตัดสินใจว่าจะลองซื้อมาอ่านดู ตอนจ่ายเงินก็ยังปลอบใจตัวเองว่าถ้าอ่านแล้วไม่มีอะไรให้จดจำก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเล่มหนึ่งแล้วกัน อย่าคิดมากเลย ...แต่ถ้าเกิดมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาล่ะ
เริ่มอ่านด้วยอารมณ์ว่างเปล่า อ่านไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกหลายอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้น น่าแปลกที่ไม่รู้สึกมีปัญหากับคำว่า พระเจ้า ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อย่างที่คิดไว้แต่แรก แถมหลายช่วงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายตะวันออกในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมายาวนานเหลือเกินแล้ว สุดท้ายอ่านจบด้วยอารมณ์สะท้านและกระเจิดกระเจิง
หลายคนตั้งคำถามว่าตกลงนี่คือหนังสืออะไร...หรือของศาสนาไหนกันแน่
ในที่นี้ผมคงสรุปแทนใครไม่ได้ อยากให้ผู้อ่านลองอ่านแล้วสรุปเองจะดีกว่า ส่วนคำตอบที่ผมมีให้ตัวเองหลังอ่านจบก็คือ นี่ไม่ใช่หนังสือศาสนา อีกทั้ง พระเจ้า ในที่นี้ก็ไม่ใช่แบบที่พวกเราคุ้นเคย หากว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องเป็นอะไรสักอย่างให้ได้ มันก็คงเป็นได้ทุกอย่างตามแต่จริตพื้นฐานและจินตนาการของแต่ละคน ซึ่งที่จริงเราไม่จำเป็นต้องนิยามหรือระบุสังกัดให้หนังสือเล่มนี้เลยก็ได้
ผู้อ่านย่อมมีสิทธิที่จะรับหรือไม่รับหนังสือเล่มนี้ ทว่าโปรดอย่ารีบปฏิเสธเพียงเพราะข้างในมีเนื้อหาต่างไปจากสิ่งที่เคยได้รับการสั่งสอนหรือปลูกฝังกันมา ไอน์สไตน์พูดไว้ลึกซึ้งว่าเราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยระดับคิดเดียวกับที่เราสร้างปัญหาขึ้น ฉะนั้นหากอยากให้ชีวิตและโลกใบนี้ต่างไปจากเดิมบ้าง เราอาจต้องยอมเปิดรับชุดความคิดหรือคำตอบใหม่ ๆ ซึ่งต่างไปจากที่คุ้นเคยบ้างเช่นกัน บางครั้งคำตอบที่ว่าใหม่นี้อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งใหม่ในความหมายที่แท้จริงเสมอไป อาจเป็นเพียงของเก่าที่ได้เวลาสำแดงตนในมุมมองและความเข้าใจใหม่ เพราะเราไม่จำเป็นต้องละทิ้งสิ่งเก่าด้วยการทุบทำลายถ่ายเดียว บางคราวเพียงเปลี่ยนวิธีเข้าหา เพิ่มส่วนผสมบางอย่างเข้าไป หรือขยายออกจากสิ่งเดิมก็ทำให้เราได้สิ่งใหม่แล้ว
ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องเชื่อตามหรือเห็นด้วยกับหนังสือเล่มนี้เลย ถ้าเห็นด้วย..นั่นก็เพราะเขาได้พบความจริงของตัวเอง แต่ถ้าไม่..ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากเขาไม่ได้พบความจริงของตัวเอง ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความจริงของตัวเขาเองในท้ายที่สุดอยู่ดี ไม่สำคัญเลยว่าหนังสือเล่มนี้จะพูดหรือกล่าวอ้างอะไร ไม่สำคัญกระทั่งว่าผู้อ่านจะเชื่อใน พระเจ้า หรือไม่ สำคัญที่เราได้พบความจริงอะไรในตัวเองบ้างหลังอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เรารู้สึกอย่างไรต่อตัวเอง เพื่อนมนุษย์ และสรรพสิ่งเมื่อเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย นี่ต่างหากที่เป็นจุดใหญ่ใจความ เราอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อสุดท้ายจะหวนกลับมาสังเกตประสบการณ์และฟังความจริงของตัวเอง แล้วเริ่มจากตรงนั้น
สนทนากับพระเจ้า เป็นหนังสือที่โดยเนื้อหาแล้วผู้แปลอยากแปล สำนักพิมพ์อยากทำ และผู้มีส่วนร่วมทุกคนเต็มใจ องค์ประกอบง่าย ๆ แค่นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ง่ายเลยในบรรยากาศที่ระบบกำไรขาดทุนเข้ากำหนดเกือบทุกอย่างเช่นในปัจจุบัน สำนักพิมพ์จึงขอกล่าวด้วยความนอบน้อมไว้ ณ โอกาสนี้ว่าในการจัดพิมพ์ สนทนากับพระเจ้า เรามุ่งหวังเพียงว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนและสังคมนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย มิได้มีเจตนาที่จะจาบจ้วงต่อหลักความเชื่อของผู้ใด หรือต้องการจะเผยแพร่ลัทธิหรือมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใดเลย
สำนักพิมพ์ขอขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจแด่ผู้แปล คุณรวิวาร โฉมเฉลา คุณจิตติ หนูสุข Mr. William Kuipers อ.สุวินัย ภรณวลัย อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อ.ไสว บุญมา พี่พจน์--พจนา จันทรสันติ พี่เวียง--วชิระ บัวสนธ์ พี่โจ--มณฑานี ตันติสุข คุณสุธีรา พิทยเมธี คุณสุนทร กตัญญูบุญญาพงศ์ คุณเกรียงไกร สนธิมาส รวมถึงทุกท่านและทุกสิ่งที่มิได้เอ่ยนามในที่นี้ สำหรับความช่วยเหลือ คำแนะนำ กำลังใจ โอกาส และความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่มอบให้ คุณมงคล เตชะกิจจาทร ผู้มีพระคุณกับสำนักพิมพ์และให้ความรักไม่มีสิ้นสุดแก่ใครบางคนในกองบรรณาธิการ และสุดท้าย พี่ไก่--ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์ ผู้คอยชี้แนะสิ่งดี ๆ มาตั้งแต่ก่อนวันแรกของสำนักพิมพ์จนถึงวินาทีนี้
ด้วยความขอบคุณ
บรรณาธิการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือเล่มนี้มาสู่ชีวิตฉันอย่างแปลกประหลาด มันถูกส่งมาจากอเมริกาสำหรับอดีตสามีของฉัน ซึ่งกลายเป็นนักบวชไปแล้ว ส่วนฉัน ซึ่งเวลานั้นสนใจการปฏิบัติจิตแนวพุทธไม่เคยคิดที่จะหยิบมาเปิดดู สืบเนื่องจากชื่อที่มีคำว่า พระเจ้า ของมัน
ฉันเกิดและเติบโตมาท่ามกลางสองความเชื่อ พ่อ -คริสต์ แม่- พุทธ ตอนเล็ก ๆ ฉันเข้าโบสถ์ และไปวัด เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ฉันหยุดกราบพระ แต่อธิษฐานกับพระเจ้าก่อนกินข้าวและเข้านอน ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยฉันบอกลาพระเจ้า และกล่าวกับพระองค์ว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง และหนทางของพระองค์เป็นจริงแล้ว ขอจงเรียกฉันกลับมาด้วย
ฉันเริ่มอ่านกฤษณมูรติ พุทธมหายาน วัชรยาน ฮินดู ซาร์ต กามูส์ นิตเช่ต์ ฯลฯหนังสือแนวจิตวิญญาณทั้งหลายแหล่ที่หนุ่มสาววัยแสวงหาอ่านกัน ทว่า ได้เริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาเดียวกับที่ฉันได้พบหนังสือเล่มนี้
มันร่วงลงมาจากชั้นหนังสือ และพูดกับฉัน จากบรรทัด จากหน้าที่เปิด กระทบ ใจที่กำลังถาม สงสัยและรู้สึกต่อชีวิตขณะนั้น ฉันจึงหยิบขึ้นมาอ่าน นั่นคือบทเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
จากนั้น เป็นเพราะความอยากให้คนอื่น ๆ ได้อ่าน อยากให้ใครที่แสวงหาเหมือนฉันได้ยินเสียงจากชีวิตที่กล่าวแตกต่างออกไป คำสอนที่ถ่ายทอดมานาน ชีวิตชีวาอาจจะเหือดหาย ไม่สามารถสัมผัสข้างใน หรือประสานเข้ากับชีวิตอันเชี่ยวกรากในยุคปัจจุบันของเรา ฉันจึงตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้แม้ว่าจะยังขัดแย้งสงสัย
มหาปัญญาแห่งจักรวาลคืออะไร ? ใช่ พระเจ้า ในนี้หรือไม่? เกี่ยวข้องอย่างไรกับพุทธจิต? ยุคสมัยนี้เป็นยุคแห่งการเผยแจ้งอย่างนั้นหรือ? จากไหน? พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่ามีพระเจ้านี่นา และอีกหลาย ๆ คำถาม แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าแบบที่เราเคยรู้จัก ตรงกันข้ามอาจจะถูกกล่าวหาว่าต่อต้านพระเจ้าด้วยซ้ำ และสิ่งที่พูดคุยกันในนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการปลุกให้ตื่น ตื่นขึ้นด้วยคำถามที่สามารถปลดปล่อยความคับแคบบางอย่างในความคิดของเราได้ ส่วนตัวฉัน มันยังเป็นเสมือนอ้อมกอด อ้อมกอดแห่งคำบอกที่ว่า เธอคือพระเจ้า เธอไม่ใช่คนบาป หรือทั้งเนื้อทั้งตัวเธอคือกองกิเลสอันชั่วช้า( โดยนัยที่ทำให้จิตใจเราชิงชังรังเกียจตัวเองและโลกย์ ร่วงตกในมายาทวิภาวะ)
สนทนากับพระเจ้า ไม่มีคำสอน หรือวิธีการปฏิบัติใด ๆ เพราะไม่ใช่ลัทธิศาสนาใหม่ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขอบฟ้าใหม่สำหรับฉัน ที่ช่างละม้ายกับคำสอนของมหายานที่ว่า ดอกบัวผุดจากโคลนตม ความโลภ โกรธ หลงของเราคือเนื้อนาดินแห่งปัญญา และวัชรยานที่มองว่า กิเลสทั้งหลายของเราคือพลัง และอาจเป็นยานส่งเราไปสู่ความรู้แจ้ง แหละความรู้แจ้งนั้น สำหรับฉัน คืออิสรภาพอันประภัสสร
ฉันคิดว่า ควรจะให้หนังสือกล่าวด้วยตัวมันเองดีกว่าค่ะ...
ขอขอบคุณ ซารา ไวต์ ผู้ส่ง Conversations with God เล่มนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลจากอเมริกา พี่พจนา จันทรสันติ ที่รับรองยินดีในการบรรณาธิกรณ์ ทำให้ฉันมั่นใจเรื่องความถูกต้องของการถ่ายทอดข้ามภาษา แม้ว่าในภายหลัง กิจธุระ และความเปลี่ยนแปลงตามห้วงเวลาจะทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงบรรณาธิการ คุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา บรรณาธิการผู้ละเอียดรอบคอบ และใจดียิ่งกับนักแปลอ่อนหัดอย่างฉัน
ขอบคุณพี่เรืองเดช จันทรคีรี ถ้าไม่มีคำพูดเสมือนรับรองจากพี่ ฉันคงไม่คิดที่จะแปลหนังสือ ขอบคุณอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย คนแรกที่เรียบเรียง สนทนากับพระเจ้า สู่พากย์ภาษาไทย และกระตือรือล้นเป็นกำลังใจในการแปลและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ต้น ขอบพระคุณอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ทำให้ฉันรู้สึกเชื่อมั่น ขอบคุณนีล ยาย ทุก ๆ สิ่งและทุก ๆ คนในชีวิต
ด้วยความรัก
รวิวาร โฉมเฉลา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การอ่านหนังสือเล่มนี้จากฉบับภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อนเป็น ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ที่ลึกซึ้งครั้งหนึ่งในชีวิตของผม
จงอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างช้า ๆ ซึมซับทุกตัวอักษร ดูดซึมความหมายแต่ละคำที่ God ถ่ายทอดให้แก่คุณ ไม่ว่า God ในหนังสือนี้จะมีอยู่จริงหรือเป็นแค่จินตนาการของผู้เขียนก็ตาม แต่นั่นหาใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใดเลย เพราะ God คนนี้ในหนังสือเล่มนี้คือ กัลยาณมิตรที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่ผู้อ่านจะพานพบได้ในชีวิตนี้ กัลยาณมิตรผู้นี้กำลังมาแนะนำวิถีแห่งการใช้ชีวิตที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างงดงามและอย่างมนุษย์ที่แท้
เพราะมนุษย์อย่างพวกเราคือ God ที่แบ่งภาคลงมาเพื่อมีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวเองในฐานะที่เป็นจิตวิญญาณที่สูงส่งดุจ God นี่คือสาส์นที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ที่จะปลุกผู้อ่านให้ตื่นขึ้น และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายเต็มเปี่ยม
เท่าที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ และมีความเป็นไปได้สูงมากว่า คุณ ผู้กำลังหยิบหนังสือเล่มนี้อยู่ จะเป็นคนต่อไป
ประสบการณ์เกี่ยวกับ God เป็นประสบการณ์ที่งดงามและตราตรึงที่สุดในชีวิตของผม ผมผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วทั้งใน ความฝัน เมื่อคืนนี้เองก่อนที่จะเขียน คำนิยม ชิ้นนี้ และใน ชีวิต จริงเมื่อหลายปีก่อนที่ต้องผ่านการทดสอบของ God ดุจตายทั้งเป็น
ไม่มีใครอ่อนหวานไปกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้สัมผัสท่าน
ไม่มีใครอ่อนโยนใจดีไปกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้รู้จักท่าน
ไม่มีใครเปี่ยมปัญญาและเปี่ยมฤทธานุภาพยิ่งกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้ประสบและรับคำสอนจากท่าน
หนังสือเล่มนี้จะเป็น ประตู นำผู้อ่านไปรู้จักและสัมผัสกับ God ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับตัวท่านผู้อ่านเองว่าจะมีใจเปิดกว้างแค่ไหนหรือไม่เท่านั้น
ด้วยจิตคารวะและนอบน้อมยิ่ง
สุวินัย ภรณวลัย
30 มิถุนายน พ.ศ. 2549
ท่าพระจันทร์, กรุงเทพฯ
ประเทศไทย
+++++++++++++++++++++++++++++
"ชีวิตคือการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การแสวงหา" จากการพูดคุยที่ร้านเล่า
ผมได้มีโอกาสไปร่วมวงเสวนาที่ "ร้านเล่า" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา บรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง เหมือนวงสนทนาของพี่ๆน้องๆ ในแวดวงคนรักหนังสือด้วยกัน
ผมมีโอกาสได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" ด้วยในวงวันนั้น แต่เนื่องจากเวลามีน้อยก็เลยไม่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจที่มีโอกาสได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อหนังสือเล่มนี้
ในวันนั้นผมได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้ในบางแง่มุมแต่ก็เพียงสั้นๆ วันนี้ผมจึงอยากแสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกไม่น้อยไปกว่านีล คือผมรู้สึกเหมือนกับได้คุยกับ "พระเจ้า" จริงๆ สิ่งที่พระองค์บอกหลายอย่างเป็นสิ่งที่ผมเคยสัมผัส เคยศึกษา เคยอ่านมาจากหลายที่ หลายแหล่งก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะรับฟังมาจากผู้ใหญ่บางคน จากหนังสือธรรมะ หนังสือศาสนา ปรัชญา และอีกหลายอย่างหลายประเภท "ลืมบอกไปว่าผมกลายเป็นคนบ้าหนังสือ บ้าซื้อ บ้าอ่าน บ้าสะสม(ไว้ก่อนมีเวลาค่อยอ่านทีหลัง)"
มีหลายวรรค หลายตอน หลายประโยค หลายคำพูด ของพระเจ้าที่ย้ำถึงสิ่งที่ผมได้รับรู้มาก่อนหน้านี้ และอรรถาธิบายให้ผมได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างเช่น เรื่องความว่างที่อยู่ระหว่าง "ที่นี่" กับ "ที่นั่น" ซึ่งทำให้ผมเข้าใจถึงพลังแห่งจิตปัจจุบัน ที่เคยได้อ่านจากงานของ "เอ็กค์ฮาร์ท โทลเลอ" จากหนังสือ "พลังแห่งจิตปัจจุบัน The Power of Now" รวมไปถึงหนังสือรวบรวมคำสนทนาของท่าน กฤษณะมูรติ หรือแม้แต่ "ความว่าง" ของท่านพุทธทาส พระองค์พูดถึงสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ สักที พระองค์ให้ความกระจ่างเรื่องนี้แก่ผม และมันเป็นความกระจ่างที่ไม่มีวันจางหายไปจากความทรงจำของผมอีก (เหมือนการว่ายน้ำ เมื่อเราว่ายเป็นแล้ว ก็ไม่มีวันลืม)
ต่อจากเรื่องความว่าง สิ่งที่ผมถึ่งอีกอย่างก็คือเรื่อง ของการตื่นรู้ หรือการรู้แจ้ง อย่างที่เราๆ ได้รับรู้รับทราบมานาน จากตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงประสบด้วยพระองค์เอง แต่ผมไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ เลย เพียงแต่รับรู้ว่ามันมีอยู่ มันเป็นจริง และมันเข้าถึงได้ หากเราค้นพบมัน แต่ดูเหมือนมันไม่มีหนทาง หรือไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน มันเหมือนยิ่งค้นหาก็ยิ่งไม่เจอ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งไม่รู้ แต่เมื่อพระองค์บอกว่า ความจริงเราไม่มีอะไรต้องเรียนรู้ เรารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่เราลืมมันไป เรามีหน้าที่เพียงค้นหาตัวตนให้พบเพื่อตื่นขึ้นจากการลืม หรือกลับไปจำได้อีกครั้งเท่านั้น สิ่งที่พระองค์พูดไม่ได้เป็นอะไรใหม่เลย เพียงแต่อธิบายใหม่ให้เข้าใจง่ายๆ กว่าที่เคยมาเท่านั้น "ตื่นรู้" ชัดเจนครับ ตื่นจากความหลับไหลแห่งความไม่รู้ ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตเหมือนคนหลับ เพียงแต่เราตื่นขึ้นเมื่อไหร่เราก็จะกลับมารู้อีกครั้ง ชัดเจนจริงๆครับ มันเหมือนกับความรู้อยู่ในตัวเรา เราขังมันไว้ในที่ใดที่หนึ่ง อยู่ในกล่องหรือถังแห่งความรู้ในตัวเรา เราเพียงแต่ลืม PassWord หรือ Key เอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง ในซอกหลืบแห่งความทรงจำของเรา ทำให้เราไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่ถังความรู้นี้ได้ หรืออาจเป็นเพราะเรายุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมหรือวัตถุที่อยู่ภายนอกอย่างมากมาย จนไม่เหลือช่องว่างเพียงพอให้เรารำลึกรู้ได้ เราก็เลยพลาดโอกาสที่จะกลับไปรู้อีกครั้ง ซึ่งน่าเสียดาย
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ ที่ผมอยากทิ้งท้าย และผมชอบมาก ที่พระจ้าบอกกับนีลว่า มนุษย์มีเพียงอารมณ์ 2 แบบที่กำกับการกระทำของมนุษย์อยู่ทุกๆ การกระทำ หรือมนุษย์กระทำทุกอย่างผ่านสองอารมณ์นี้ คือ รัก และ กลัว ผมคบคิดถึงคำพูดนี้อยู่หลายวัน ตรวจสอบทุกอย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ผมใส่ อาหารที่ผมกิน หรือทุกๆ อย่างที่ประกอบเป็นตัวผม มันล้วนมาจาก 2 อารมณ์นี้จริงๆ และมีเพียงอารมณ์เดียวที่สร้างความทุกข์ให้กับผมที่สุดคือ "ความกลัว" ซึ่งแม้แต่การกระทำบางเรื่องที่ผมเรียกมันว่า "รัก" พอผมสำรวจดูมันจริงมันกลับเป็นความกลัวที่แปะชื่อติดหน้ามาว่า "รัก" มันทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่พระเยซูทรงตรัส และแสดงต่อมนุษย์มากขึ้น เข้าใจว่า "รัก" ที่แท้จริงคืออะไร "รักที่แท้คือรักที่ปราศจากความกลัว"
ยังมีอีกมากครับ..ที่พระองค์ทรงบอก เอาไว้มีโอกาสจะแลกเปลี่ยนใหม่นะครับ
สุมิตรชัย หัตถสาร ([email protected])
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 2
"ผมแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณเพื่อหาคำตอบ" ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
รายงานพิเศษ - อ.เสกสรรค์ / บายไลน์ - นิติราษฎร์ บุญโย (ฉ.750)
ประเด็น
"ผมแสวงหาทางด้าน
จิตวิญญาณเพื่อหาคำตอบ"
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
เนื้อเรื่อง
เมื่อช่วงบ่ายคล้อยวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ถนน
สุขุมวิท (ซ.ทองหล่อ) มีรายการเสวนาเรื่อง 'ชีวิต ความหมาย และการลืมหายของจิต
วิญญาณ' โดยมีผู้ร่วมพูดคุยประกอบด้วย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, มณฑานี ตันติ
สุข, และรวิวาร โฉมเฉลา
เป็นรายการเสวนาในวาระการเปิดตัวหนังสือแปลชื่อ 'สนทนากับพระเจ้า การพูด
คุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม 1' (Conversations with God An uncommon dialogue book
1)' เขียนโดย นีล โดนัลด์ วอลช์ ซึ่งแปลโดย รวิวาร โฉมเฉลา และบรรณาธิการแปล
อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา สำนักพิมพ์ โอ้ พระเจ้า พับลิชชิ่ง
ในวงเสวนาดังกล่าว มี อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา และปรีชา สุนทรวิวัฒน์ เป็นผู้เปิด
ประเด็นซักถาม ซึ่งในมุมคิดของอาจารย์เสกสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ นับว่าน่า
สนใจยิ่ง 'เนชั่นสุดสัปดาห์' จึงขอนำการพูดคุยของอาจารย์เสกสรรค์ในวันนั้น มาถ่าย
ทอดให้ผู้อ่านที่ไม่ได้ไปร่วมงานดังกล่าว ได้ซึมซับเท่าที่พื้นที่จะเอื้ออำนวยให้
0 0 0
มุมมองอาจารย์เสกสรรค์คิดว่าหนังสือ 'สนทนากับพระเจ้า การพูดคุยที่ไม่
ธรรมดา' มีความน่าสนใจอย่างไร
"จริงๆ ในแต่ละบรรทัดของหนังสือเล่มนี้ สามารถเอาไปคิดต่อได้เป็นเดือนเป็นปี
และผมก็ไม่อยากเข้าร่วมขบวนการสร้างสมองค์ความรู้นี่ ฉะนั้น ผมขออนุญาตบอกแค่
ว่า เป็นหนังสือที่ให้คำตอบทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เพียงหนังสือนี้เล่ม
เดียว หรือสองเล่ม เพียงแต่ว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีคำถามเกี่ยวหนังสือทุกหนังสือของจิต
วิญญาณ
"ดังนั้นผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ให้ความกระจ่างในหลายๆ เรื่อง แต่ก็อยู่ที่เนื้อหา
องค์ความรู้ของแต่ละท่านด้วย ว่าสิ่งไหนรับได้ สิ่งไหนรับไม่ได้ บางท่านอาจจะมีปัญหา
เกี่ยวกับคำความว่า 'พระเจ้า' แต่อย่างผม ผมไม่มีปัญหา เพราะว่าการเคารพพระเจ้า ก็
ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องรวมๆ ที่เหมือนกัน ผมก็เลยไม่ค่อย
รู้สึกแปลกมากเท่าไหร่
"สำหรับผมเอง ผมแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณเพื่อหาคำตอบ เพราะว่าชีวิตใน
ทางโลก เรารู้สึกว่ามันตัน และรู้สึกว่ามันไม่จีรังยั่งยืน
"ที่นี้ก็มีเรื่องบังเอิญในชีวิตเยอะ มีคนเดินเข้ามา เอาหนังสือดีๆ มาส่งให้อ่าน รวม
ถึงเล่มนี้ด้วย เคยงงๆ จู่ๆ มีคนเดินเข้ามาในคณะรัฐศาสตร์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
แล้วยื่นหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน ผมก็ไม่รู้หมอนี่เป็นใคร (เจ้าของสำนักพิมพ์โอ้ พระเจ้า)
ใส่กางเกงขาดๆ อยู่หน่อยๆ ซึ่งจู่ๆ เขาเอาหนังสือมาให้อ่าน ไม่รู้เป็นใคร ซึ่งผมอ่าน
แล้วก็ติดใจ แล้วไปซื้อเล่ม 2-3 มาอ่านอีก จนหมดนะครับ..
"หนังสือเกี่ยวกับทางด้านจิตวิญญาณ เป็นหนังสือที่มีวัตถุประสงค์เดียว คือเพื่อหา
คำตอบ คำถามเกี่ยวกับตัวเอง อย่างเช่น ถ้าเราไม่แน่ใจให้คำตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เพราะว่ามันจะผิด เพราะเราไม่มีความแน่ใจเพียงพอ การให้คำตอบกับตัวเรา ถ้าคำ
ถามใดที่มันมีส่วนเกี่ยวกับชีวิตของเรา ถ้าเราตอบได้ มันอาจปลดล็อกได้
"เพราะฉะนั้น หนังสือประเภทเหล่านี้ผมจึงเรียกไม่ถูกว่าจะจัดกรุ๊ปไว้จากไหน อาจ
ต้องเว้นว่างไว้ว่าเป็นแนวจิตวิญญาณอย่างที่ว่ามา เป็นหนังสือที่มีคุณค่า และก็สอด
คล้องกับสภาพมนุษย์ปัจจุบัน"
อาจารย์ช่วยขยายความ 'ประสบการณ์ร่วม' เพื่อทำความเข้าใจถึงความเชื่อทาง
จิตวิญญาณ อันนำไปสู่คำตอบต่อคำถามของชีวิตกับโลกปัจจุบัน
"ครับ ผมต้องบอกไว้ก่อนว่า หนังสือเล่มนี้ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรพิเศษ
นอกจากเสียว่า เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นสิ่งที่ผมขาด และก็ชอบเรื่องหนึ่ง ที่ชอบก็
เพราะว่า เป็นเล่มหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจการเอาใจใส่ในตัวเราเด่นชัดขึ้น
"ผมคิดว่า คนที่จะอ่านหนังสือแบบนี้ จะต้องยอมรับว่าชีวิตมันมากกว่าการดำรงอยู่
ทางกายภาพ ชีวิตไม่ได้มีแค่ร่างกาย ไม่ใช่แค่เกิดมาแวบเดียวในโลก 60-70 ปีแล้วก็
จากไป ไม่มีความหมายใดๆ ฉะนั้น คำถามทางจิตวิญญาณ มันอาจจะต้องมีนัยยะอยู่
บนพื้นฐานที่ว่า ชีวิตมันมีอะไรที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าการมาดูภายนอกร่าง
กายผิวพรรณต่างๆ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ได้ให้คำตอบที่ผมจะสามารถอธิบายได้ 2
ส่วน..
"ส่วนที่เหมือนหนังสือหรือว่าคำสอน ผมขอใช้คำว่าคำสอนทางด้านจิตวิญญาณ ก็
คือเป็นหนังสือที่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต ในส่วนของการสนทนาของพระเจ้า คือ
ความจริง ผมเริ่มอ่านจากภาษาอังกฤษ เพราะภาษาไทยยังไม่มี ก็ถือว่ามนุษย์ทุกคน
เป็นฐานของทุกๆ ศาสนา เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีพระเจ้า ก็ตามลักษณะการนับถือกัน
ไป เราสืบทอด เรายังมีการแสดงออกซึ่งตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ้าพูดในทางฮินดู
ก็มีส่วนอย่างหนึ่ง
"เพราะฉะนั้น ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณของเรา ทำอย่างไร เราจะรำลึกถึงสิ่งที่เรา
เป็นอย่างแท้จริง ซึ่งมากกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย
ตรงนี้อาจเป็นคล้ายๆ คำสอนในหนังสือ และอาจจะมีรายละเอียดเล็กน้อยของทุก
ศาสนา แต่สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ให้มากเป็นพิเศษ ก็คือการปลอบประโลม
"การปลอบประโลมว่า ในระหว่างที่เคยค้นพบ เคยเป็นสิ่งอื่นที่มิใช่บ่อเกิด คือยังไม่
มีลักษณะบุตรของพระเจ้า หรือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ยังไม่เลือกที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่
พร้อมเป็นอย่างอื่นก็เป็นอย่างนั้นไปก่อน แล้วสอนให้รู้ว่าคนอื่นอย่าไปแทรกแซง อย่า
ไปแทรกแซง อย่าไปตัดสิน ก็รอให้เจ้าตัวได้มอง จากนั้น ถ้าเขาพร้อม มีเงื่อนไขที่ดี ก็
อาจจะเปลี่ยนไปสู่ขั้นตอนที่วิวัฒนาการของการกลับไปสู่ความเป็นบุตรของพระเจ้า
ใกล้เข้าไปตรงนั้นมากขึ้น แต่ว่าตราบใดที่เขาไม่ได้เรียกร้อง ไม่ต้องไปเสนอ ซึ่งทำให้
ผมนึกและเข้าใจ
"ผมเลยนึกถึงคำพูดของ คาริล ยิบราน ที่บอกว่า โลกจะพังพินาศ เพราะความ
ปรารถนาหวังดีที่ล้นเกิน เพราะผมคิดว่าในเวลานี้ คนในโลกมันมี 2 ประเภท 1.ทำชั่ว
เพราะอยากทำชั่ว 2.ทำดีกลายเป็นความไม่ดี
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตพยายามทำแต่ความดี และไปลงที่การทำความไม่ดีไว้
เยอะ คือผมมีประสบการณ์ในการที่จะกระทำด้วยตั้งใจดี อย่าให้ผลออกมาไม่ดี สุด
ท้ายได้รับความเจ็บปวด ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
"สุดท้ายผมจึงมาตั้งคำถามว่า เอ..ผมมองโลกได้ถูกต้องหรือยัง ในอดีตโดย
พื้นเพดั้งเดิม สมัยเป็นเด็กผมจำได้ ผมมีใจดี ตอนอายุ 4 ขวบ ผมเขียนรูปนะครับ รัก
สัตว์ ชอบร้องเพลง ชอบเล่นคนเดียวเงียบๆ ชอบทำของเล่นอะไรต่างๆ เติบโตมา
จากวัดอีกต่างหาก อยู่วัดตั้งแต่ 10 ขวบ จนถึงอายุ 15 ปี แล้วทำไมผมเปลี่ยนไปเป็น
คนอื่น ท้ายที่สุดคนในประเทศไทยก็จดจำผมไว้ในฐานะนักรบ
"ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับวิธีคิดแบบตะวันตก ที่เราเรียกว่าลัทธิมาร์กซ ไปข้องเกี่ยว
กับความขัดแย้งทางการเมืองที่เราพยายามใช้คำจำกัดความอธิบายโครงสร้างใหญ่
ซึ่งเป็นเวลานานมากที่ผมหมุนวนกับการพิพากษาและตัดสินสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใน
ตัวเอง หรือสิ่งที่อยู่ในตัวคนอื่น ซึ่งผลที่ออกมาเจ็บปวดอยู่ทุกวัน ตัวเองก็เจ็บ
"ซึ่งทั้งหมดจึงนำไปสู่คำถามที่ว่า เฮ้ย..มึงมีแรงคิดอะไรในการมองโลก แน่นอน
การค้นคว้าทางจิตวิญญาณที่ผมพบ ในที่สุดทำให้ผมเกิดขึ้นในโลกที่มันมีอะไร
มากกว่าการดำรงอยู่ทางวัตถุ ทำไมผมต้องต่อสู้กับการตั้งคำถามเรื่องการกระจายราย
ได้ ทำไมผมไม่คิดไปว่าสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้ อาจจะมีเหตุผลของมัน ผมอาจจะมีวิธีที่ดี
กว่านั้น ในการอยู่ร่วม และปรับตัวด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ เขาให้ความ
เข้าใจเพิ่มเติมในแง่ของมุมมองที่ดีของชีวิต อย่างเช่น เขาบอกว่า ความเจ็บปวดเป็น
ผลจากการพิพากษาที่เคยมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยกคำพิพากษานั้นเสีย จึงจะผ่านพ้นไปได้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องทำ
"การไม่พิพากษา สิ่งที่เราคิดว่ามันผิด การไม่ลงโทษผู้อื่นที่มีผลต่อตัวเอง ซึ่งเป็น
สิ่งที่ยากมาก แต่ต้องทำ มันไม่มีทางเลือกอื่น ชีวิตได้พาผมมาถึงจุดที่ไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่อทำไปแล้วปรากฏว่าผลของมันช่างมากมาย น่าละลายแก่ใจมาก คือมันมีประโยค
หนึ่งที่หนังสือเล่มนี้เขียน คล้ายๆ คำสอนศาสนาพุทธนิกายเซน
"เซน เขาถือว่า ถ้าอยากบรรลุสัจธรรม ต้องนิ่งก่อน ต้องเงียบ ต้องนิ่ง แล้วความ
จริง สัจจะ จะเข้ามาหาเราเอง ในหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าบอกว่า ฉันไม่อาจบอกสัจจะต่อ
เธอได้ ถ้าไม่หยุดบอกสัจจะของตัวเองเสียก่อน
"เพราะฉะนั้น ในระยะหลายปีมานี้ ผมไม่ค่อยพูดอะไร ผมอยากให้ฟ้าดินบอกผม
อยากให้ฟ้าดินบอกว่า อะไรควร อะไรถูก เพราะปกติคนในสังคมนี้ จะคาดหวังให้ผม
เป็นคนบอก ซึ่งก็ต้องบอกว่าสิ่งที่ผมเคยบอกมันอาจผิด ล่วงเกินใครต่อใคร จะลบล้าง
ยังไง
"ใครก็ตามที่คิดจะเอาผมไปค้าขาย เอาผมไปพูดที่โน่นที่นี่ ผมบอกไว้ก่อนเลยว่า
ผมไม่อยู่กับใคร นี่เป็นเหตุผลที่หลายปีมานี้ผมไม่เคยไปพูดที่ไหน แต่วันนี้เป็นการพูด
ทางเจ้า ทางธรรม ผมก็เลยมาที่นี่ พอเราเชื่อทางนี้ มันก็กลับกัน อันนี้ผมก็พูดตรงๆ กับ
การตัดสินใจแล้วจะกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ ยกเว้นว่ามันมีสิ่งเย้ายวนมากๆ ซึ่งผมยัง
ไม่เจอ และไม่อยากเจอ แต่ชีวิตคุณจะถูกท้าทายโดยตลอดเวลาว่า จะเอาจริงหรือเปล่า
บนเส้นทางด้านจิตวิญญาณ ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับสติ ที่จะก้าวพ้นความขัดแย้งที่เราเอา
ตัวเอง เอาอัตตาไปเกี่ยวข้องทุกอย่าง
"ในหนังสือนี้น่าอ่านช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังๆ เริ่มมีวิวัฒนาการผันแปรไป ในความ
จริงขั้นปรมัตถ์มันต้องก้าวพ้น ถ้าจับคู่ความขัดแย้ง หมายความว่า ถ้าฉันอยากจะไป
ทำลายสิ่งที่ไม่ชอบ ฉันอยากที่ครอบครองที่เราปรารถนา ซึ่งผมก็ต้องเลือกแล้วว่า ชีวิต
ผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ยังไง เป็นหนึ่งเดียว หมายความว่า เข้าใจความ
สัมพันธ์ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของคนทั้งหมด เราจะบอกว่าพระเจ้าเป็นปัจเจก หรืออะไรก็
ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่โจทย์ทางวิชาการ ไม่ใช่หนังสือฝึกปฏิบัติสมาธิต่างๆ...
"หรือเดือนสองเดือนมานี้ ผมมีเรื่องที่ท้าทาย ที่ทำงานผม มีหมาตัวหนึ่งเป็นของ
ประชาชน ผมอยู่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีหมาเถื่อนเยอะแยะ เพราะ
ว่าบางคนเขามีความสุขในการเลี้ยงมัน มันก็ชอบ ก็มีตัวหนึ่งไม่ชอบคนใส่หมวก (เสียง
หัวเราะดังขึ้น) นี่มันเรื่องจริงนะ ผมไม่ได้พูดเล่น ผมเลยเที่ยวถามคนอื่นว่าทำไมถึงไม่
กัด มันจะกัดแต่ผม เขาบอกมันไม่ชอบคนใส่หมวก
"ผมมานึกอยู่ 2-3 วัน ผมเลยถอดหมวกให้มัน ผมต้องเลือกแล้วนะ ว่าระหว่างการ
ถอดหมวกให้เป็นพวกมัน เพื่อการอยู่ร่วมกันให้ได้ จะได้เข้าตึกไปสอนนักศึกษา
"ผมเลือกถอดหมวก เพื่อให้หมามันรู้ว่า เฮ้ย..เราเป็นพวกเดียวกัน คือปกติแล้วคน
ที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมถอดหมวกไม่ได้ เพราะว่าผมมีอีโก้สูงจะตาย
"เมื่อสองสามวันก่อน มีงูเห่าเข้ามาในบริเวณบ้านผม แล้วมันก็มาเผชิญหน้ากับ
หมาของผม มันไม่มีทางเลือกในจังหวะตอนนี้ พอผมจะฆ่างู คือทั้งหมาทั้งงู ผมฆ่ามา
เยอะ หรือว่าจะอยู่ร่วมกับมัน ในฐานะเป็นผมงานของพระเจ้าเช่นเดียวกัน
"ผมจึงตัดสินใจไม่ทำร้ายงู แล้วก็ทำไงให้หมาของผมไม่มายุ่งกับผม เพื่อได้เอา
ไม้เขี่ยงูออกไป คือเราก็ไม่ได้คิดทำร้ายมัน ที่นี้ถ้าบอกอย่างนี้ หมายความว่าไง หมาย
ความว่า เคยมีโชคร้ายเกี่ยวกับชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องวิชาการ ไม่ใช่
เรื่องทฤษฎี
"ในหนังสือเล่มนี้เขาก็พูดถึง 3 ขั้นตอน คือคุณต้องเรียนรู้ก่อน 1.รู้ 2.มี
ประสบการณ์ 3.การดำรงอยู่ในสภาวะที่มีตัวตนอยู่อย่างแท้จริง ก็คือบุตรของพระเจ้า
"อันหนึ่งที่มันตรงกับทางพุทธ ตามหลักปฏิบัติ 3 ขั้นตอน ถ้าเราแยกกันแล้ว เราจะ
ไม่พบอะไรเลย ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ คือฐานแห่งภาวะ มันเป็นชีวิตด้วยการปฏิบัติ
โดยใช่ ผมคิดว่ามันจะเกี่ยวเนื่องกัน คือจะแยกออกจากกันไม่ได้ และจะเป็นวัฏจักรที่
หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง มีโจทย์อะไรกับคุณที่จะ
ต้องทำ คือในหนังสือเล่มนี้มันมีรายละเอียดอะไรมากมาย ผมจำไม่ได้หมด มีข้อคิด
พรีเซ้นท์ออกมาเต็มไปหมด
"แต่ว่าเขาก็บอกเป็นรายละเอียด ซึ่งสรุปมันก็คือว่า ทุกคนศักดิ์สิทธิ์ ทุกชั่วโมงล้วน
ศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปแยกว่าความดีจะเอาไว้ทำเวลาไหน ทำกับใคร ตรงเนี่ย ตรงที่ว่า เป็น
หนังสือค่อนข้างสมบูรณ์แบบ การไกด์ชีวิต เพื่อให้จะได้ใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันอย่าง
สมบูรณ์แบบ"
อาจารย์ช่วยขยายความถึงวิธีการหรือรูปแบบที่ผ่านมา เกี่ยวกับทางด้านจิต
วิญญาณ
"ผมคิดว่า อย่างนี้ครับ ความพยายามที่จะปรับปรุงโลกที่เราอยู่ให้ดีขึ้น ผมคงไม่ชี้
นะครับ แต่วิธีการที่จะไปปรับปรุงโลก จะต้องสอดคล้องกับความจริงทางด้านจิต
วิญญาณให้มากกว่านี้ ความจริงทางจิตวิญญาณ ต้องเริ่มจากการยอมรับก่อนว่า
หลายอย่างที่เราทำ มันถักทอและซุกซ่อนไปด้วยอัตตาหรือเปล่า
"ถ้าถามผมเป็นข้อๆ โดยอุดมคติ เป็นอีโก้ตัวหนึ่ง ผมก็ตอบว่าไม่เป็น แต่ว่าในขั้น
ต้น เราจำเป็นต้องอาศัยความเป็นตัวตนขั้นต่ำของเราไปสู่ตัวตนขั้นสูง จากนั้นปล่อยมัน
ไป เพราะว่าถ้าไม่ปล่อยมันไป มันจะกลายเป็นธงที่เราจะใช้ไปตีหัวคนอื่น เพราะเชื่อว่า
ตนเองดีกว่า
"ดังนั้น อุดมคติ มันเป็นอัตตาแฝงเร้นที่อันตรายมาก เพราะว่า ถ้าเราไม่ตั้งสติดู
จริงๆ แล้ว เราจะหลงว่ามันสวยงาม งดงาม แต่ถ้าเราชื่นชมและหลงมันมาก มันจะนำ
เราไปสู่การทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าในความงดงามนั้น มันมีตัวเราอยู่ด้วย
ตลอด เหมือนที่สมัยวัยหนุ่มของผม ฝันว่าตัวเองเป็นนักรบแกร่งกล้า โลกจะต้องรู้จัก
ถึงแม้จะตายหากลุกขึ้นสู้ แต่ในนั้นก็มีความฝันที่อยากได้รับการจดจำ ซึ่งเป็นความฝัน
ที่ในทางธรรมถือว่าผิด
"เราเติบโตมาและพบสิ่งเหล่านี้ แล้วก็รอด และคิดว่าการโตแล้วพ้นสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้
หมายความว่าต่อไปนี้ เราจะนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสรรพสิ่ง ไม่ใช่ ตรงกันข้าม เรา
จะมองปัญหา ความทุกข์ ความเป็นห่วงผู้คนด้วยมุมมองใหม่ๆ ที่ห่วงใย เมตตา และ
พร้อมที่จะเข้าไปแบ่งเบา มากกว่ารีบร้อนที่จะขจัดด้วยวิธีการที่เชิงต้านอย่างเดียว อันที่
จริงเราต้องมีความเชื่อว่า การตั้งธงอย่างนั้น ไม่เป็นโทษแก่ใครหรือคนอื่น เหมือนอย่าง
ลัทธิเต๋า เขาบอกว่า เราไปตั้ง มันก็เหมือนไปตาม ตรงกันข้าม ถ้าเราไปตาม มันก็บีบให้
เราไปตั้งได้เหมือนกัน
"บ่อยครั้ง ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง เราเอาแต่เปลือกนอกเกินไป เกือบทุก
ครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง บาดเจ็บล้มตายขนานใหญ่ มีตัวอย่างให้เราเห็นมากมาย ตั้ง
แต่รัสเซีย มาจนถึงอินโดนีเซีย ก็เพราะว่ามันมีสิ่งชั่วร้ายมักจะเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ก็ยัง
คงอยากเข่นฆ่าสังหารกัน เพราะฉะนั้น ปัญหาอยู่ในตัวมนุษย์เอง มันไม่ได้อยู่แค่ตัว
โครงสร้างและประโยชน์สังคม
"ถ้าเราคิดอย่างนี้ เรายังมีความเชื่ออีกแบบว่า ในการดูแลสังคม ในการเปลี่ยน
แปลง ในการอยู่ร่วมกับโลก เราจะใช้ความเชื่อใด คือในหนังสือเล่มนี้ได้พยายาม
อธิบายความรู้สึกพื้นฐานขึ้นของมนุษย์ โดยหลักๆ
"โดยการนำไปสู่อะไรหลายๆ อย่างที่มันเป็นเหตุการณ์โหดร้าย จนขยายตัวออก
ไปอย่างไร้แนว ตรงนี้ ถ้าเราเชื่อ เราก็จะมีตัวที่ก่อปัญหาของมวลมนุษย์ อย่างที่ยก
ตัวอย่าง อย่างเช่น หมาที่ผมเจอมา ในวัยเด็ก ถ้าผมเจอหมาที่มันเห่าสู้ ผมก็วิ่งหนีแล้ว
ไปฟ้องผู้ใหญ่ คือไปยืมมหาอำนาจอื่นมาเล่นงานเขา ในวัยหนุ่ม ผมก็จะอวดคนอื่นเขา
ผมก็ตัดหัวหมา หรือหัวงูเห่า ในชีวิตผมเคยทำมาแล้ว ทั้งสองอย่าง
"แต่ในวัยนี้ ผมรู้สึกว่า ผมโชคดีมากที่ผมค้นพบ วิธีถอดหมวกจากหมาตัวนั้นได้
หรือวิธีไล่งูเห่าตัวนั้น แล้วก็รู้สึกว่า เราไม่ได้ทำลายความสมดุลองค์รวมของสรรพสิ่ง
และรู้สึกที่เราไม่ฆ่าเขา ซึ่งในนั้น ต้องแลกกัน ระหว่างการสละตัวตนดั้งเดิมของเราไป
ต้องโยนทิ้งมั่ง เพราะตัวตนงี่เง่าเก่าๆ ที่เคยครอบงำ มันมีความลุ่มหลงในภายนอกมาก
เกินไป ถ้าเราไม่ทิ้งตรงนั้น มันก็จะไม่เกิดอะไร
"ฉะนั้น กลับมาสู่คำถามที่คุณให้ ผมยังไม่ได้คิดว่า การเดินหนทางธรรม จะต้อง
เป็นเรื่องปลีกตัวออกไป เป็นเรื่องยาก การอยู่เงียบๆ มันช่วยให้เราสงบ มันช่วยให้เรา
เข้าใจได้มากขึ้น แต่ถ้ามีความทุกข์ร้อนผ่านมาเบื้องหน้า ผมยังเชื่อว่าผู้ประพฤติธรรม
ทั้งหลาย จะนิ่งเฉย
"ยกเว้นว่า สิ่งใดที่ทำไม่ได้ ก็ต้องทำใจ เหมือนคำสอนของพระพุทธศาสนา เขา
บอกว่า สิ่งใดทำได้ก็ต้องช่วย สิ่งไหนทำไม่ได้ก็อย่าไปเปลี่ยนแปลง อันไหนเปลี่ยน
แปลง ก็ต้องเปลี่ยนแปลง
"ขอให้มีสติปัญญาในการแยกแยะ ซึ่งคำสอนนี้เป็นสัจธรรม แล้วพอมาเดินทางนี้
อาการแรกสุดของผมคิดว่า เป็นประโยชน์มากเกี่ยวกับตนเอง เราไม่ได้เป็นภาระกับ
โลก ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
"ในหนังสือเล่มนี้ เขาพูดคล้ายๆ หลายเล่มที่อยู่ในพระพุทธศาสนา คือพูดบอกว่า
สวรรค์ไม่มีอยู่ที่ไหนหรอก อยู่เดี๋ยวนี้และอยู่ที่นี่..เราต้องรู้จักดูแลพื้นฐานการรักษา เรา
ไม่ต้องไปเสียเวลา และไม่เป็นทุกข์ร้อน สรรพสิ่งข้างนอก เราต้องระวังตัว แล้วก็บอกว่า
เป็นทุกอย่างที่กองอยู่รอบตัวฉัน
"สิ่งในนี้ก็บอกแล้ว ถ้าเธอไม่อาจอ้างถึงตัวฉันจากข้างใน ถ้าเธอยังไม่ออกไปข้าง
นอก เพราะว่าโลกทุกวันนี้มันมีความเดือดร้อน ความเบียดเบียนมันเกิดขึ้นก็เพราะว่า
หันหน้าออกมาข้างนอก ปัจจัยพื้นฐานข้างนอกมักก็เติมเข้าไปข้างใน ข้างในใจคนมัน
เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม
"ดังนั้น จึงพบว่า ขนาดคนที่มีเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้าน ก็ไม่มีความสุข คนจนอย่างผม
ถึงจะแก่ แต่ก็มีความสุขมากกว่าเลย"
โดย nity
วันที่ พฤหัสบดี มกราคม 2550
รายงานพิเศษ - อ.เสกสรรค์ / บายไลน์ - นิติราษฎร์ บุญโย (ฉ.750)
ประเด็น
"ผมแสวงหาทางด้าน
จิตวิญญาณเพื่อหาคำตอบ"
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
เนื้อเรื่อง
เมื่อช่วงบ่ายคล้อยวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ถนน
สุขุมวิท (ซ.ทองหล่อ) มีรายการเสวนาเรื่อง 'ชีวิต ความหมาย และการลืมหายของจิต
วิญญาณ' โดยมีผู้ร่วมพูดคุยประกอบด้วย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, มณฑานี ตันติ
สุข, และรวิวาร โฉมเฉลา
เป็นรายการเสวนาในวาระการเปิดตัวหนังสือแปลชื่อ 'สนทนากับพระเจ้า การพูด
คุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม 1' (Conversations with God An uncommon dialogue book
1)' เขียนโดย นีล โดนัลด์ วอลช์ ซึ่งแปลโดย รวิวาร โฉมเฉลา และบรรณาธิการแปล
อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา สำนักพิมพ์ โอ้ พระเจ้า พับลิชชิ่ง
ในวงเสวนาดังกล่าว มี อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา และปรีชา สุนทรวิวัฒน์ เป็นผู้เปิด
ประเด็นซักถาม ซึ่งในมุมคิดของอาจารย์เสกสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ นับว่าน่า
สนใจยิ่ง 'เนชั่นสุดสัปดาห์' จึงขอนำการพูดคุยของอาจารย์เสกสรรค์ในวันนั้น มาถ่าย
ทอดให้ผู้อ่านที่ไม่ได้ไปร่วมงานดังกล่าว ได้ซึมซับเท่าที่พื้นที่จะเอื้ออำนวยให้
0 0 0
มุมมองอาจารย์เสกสรรค์คิดว่าหนังสือ 'สนทนากับพระเจ้า การพูดคุยที่ไม่
ธรรมดา' มีความน่าสนใจอย่างไร
"จริงๆ ในแต่ละบรรทัดของหนังสือเล่มนี้ สามารถเอาไปคิดต่อได้เป็นเดือนเป็นปี
และผมก็ไม่อยากเข้าร่วมขบวนการสร้างสมองค์ความรู้นี่ ฉะนั้น ผมขออนุญาตบอกแค่
ว่า เป็นหนังสือที่ให้คำตอบทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เพียงหนังสือนี้เล่ม
เดียว หรือสองเล่ม เพียงแต่ว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีคำถามเกี่ยวหนังสือทุกหนังสือของจิต
วิญญาณ
"ดังนั้นผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ให้ความกระจ่างในหลายๆ เรื่อง แต่ก็อยู่ที่เนื้อหา
องค์ความรู้ของแต่ละท่านด้วย ว่าสิ่งไหนรับได้ สิ่งไหนรับไม่ได้ บางท่านอาจจะมีปัญหา
เกี่ยวกับคำความว่า 'พระเจ้า' แต่อย่างผม ผมไม่มีปัญหา เพราะว่าการเคารพพระเจ้า ก็
ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องรวมๆ ที่เหมือนกัน ผมก็เลยไม่ค่อย
รู้สึกแปลกมากเท่าไหร่
"สำหรับผมเอง ผมแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณเพื่อหาคำตอบ เพราะว่าชีวิตใน
ทางโลก เรารู้สึกว่ามันตัน และรู้สึกว่ามันไม่จีรังยั่งยืน
"ที่นี้ก็มีเรื่องบังเอิญในชีวิตเยอะ มีคนเดินเข้ามา เอาหนังสือดีๆ มาส่งให้อ่าน รวม
ถึงเล่มนี้ด้วย เคยงงๆ จู่ๆ มีคนเดินเข้ามาในคณะรัฐศาสตร์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
แล้วยื่นหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน ผมก็ไม่รู้หมอนี่เป็นใคร (เจ้าของสำนักพิมพ์โอ้ พระเจ้า)
ใส่กางเกงขาดๆ อยู่หน่อยๆ ซึ่งจู่ๆ เขาเอาหนังสือมาให้อ่าน ไม่รู้เป็นใคร ซึ่งผมอ่าน
แล้วก็ติดใจ แล้วไปซื้อเล่ม 2-3 มาอ่านอีก จนหมดนะครับ..
"หนังสือเกี่ยวกับทางด้านจิตวิญญาณ เป็นหนังสือที่มีวัตถุประสงค์เดียว คือเพื่อหา
คำตอบ คำถามเกี่ยวกับตัวเอง อย่างเช่น ถ้าเราไม่แน่ใจให้คำตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เพราะว่ามันจะผิด เพราะเราไม่มีความแน่ใจเพียงพอ การให้คำตอบกับตัวเรา ถ้าคำ
ถามใดที่มันมีส่วนเกี่ยวกับชีวิตของเรา ถ้าเราตอบได้ มันอาจปลดล็อกได้
"เพราะฉะนั้น หนังสือประเภทเหล่านี้ผมจึงเรียกไม่ถูกว่าจะจัดกรุ๊ปไว้จากไหน อาจ
ต้องเว้นว่างไว้ว่าเป็นแนวจิตวิญญาณอย่างที่ว่ามา เป็นหนังสือที่มีคุณค่า และก็สอด
คล้องกับสภาพมนุษย์ปัจจุบัน"
อาจารย์ช่วยขยายความ 'ประสบการณ์ร่วม' เพื่อทำความเข้าใจถึงความเชื่อทาง
จิตวิญญาณ อันนำไปสู่คำตอบต่อคำถามของชีวิตกับโลกปัจจุบัน
"ครับ ผมต้องบอกไว้ก่อนว่า หนังสือเล่มนี้ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรพิเศษ
นอกจากเสียว่า เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นสิ่งที่ผมขาด และก็ชอบเรื่องหนึ่ง ที่ชอบก็
เพราะว่า เป็นเล่มหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจการเอาใจใส่ในตัวเราเด่นชัดขึ้น
"ผมคิดว่า คนที่จะอ่านหนังสือแบบนี้ จะต้องยอมรับว่าชีวิตมันมากกว่าการดำรงอยู่
ทางกายภาพ ชีวิตไม่ได้มีแค่ร่างกาย ไม่ใช่แค่เกิดมาแวบเดียวในโลก 60-70 ปีแล้วก็
จากไป ไม่มีความหมายใดๆ ฉะนั้น คำถามทางจิตวิญญาณ มันอาจจะต้องมีนัยยะอยู่
บนพื้นฐานที่ว่า ชีวิตมันมีอะไรที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าการมาดูภายนอกร่าง
กายผิวพรรณต่างๆ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ได้ให้คำตอบที่ผมจะสามารถอธิบายได้ 2
ส่วน..
"ส่วนที่เหมือนหนังสือหรือว่าคำสอน ผมขอใช้คำว่าคำสอนทางด้านจิตวิญญาณ ก็
คือเป็นหนังสือที่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต ในส่วนของการสนทนาของพระเจ้า คือ
ความจริง ผมเริ่มอ่านจากภาษาอังกฤษ เพราะภาษาไทยยังไม่มี ก็ถือว่ามนุษย์ทุกคน
เป็นฐานของทุกๆ ศาสนา เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีพระเจ้า ก็ตามลักษณะการนับถือกัน
ไป เราสืบทอด เรายังมีการแสดงออกซึ่งตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ้าพูดในทางฮินดู
ก็มีส่วนอย่างหนึ่ง
"เพราะฉะนั้น ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณของเรา ทำอย่างไร เราจะรำลึกถึงสิ่งที่เรา
เป็นอย่างแท้จริง ซึ่งมากกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย
ตรงนี้อาจเป็นคล้ายๆ คำสอนในหนังสือ และอาจจะมีรายละเอียดเล็กน้อยของทุก
ศาสนา แต่สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ให้มากเป็นพิเศษ ก็คือการปลอบประโลม
"การปลอบประโลมว่า ในระหว่างที่เคยค้นพบ เคยเป็นสิ่งอื่นที่มิใช่บ่อเกิด คือยังไม่
มีลักษณะบุตรของพระเจ้า หรือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ยังไม่เลือกที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่
พร้อมเป็นอย่างอื่นก็เป็นอย่างนั้นไปก่อน แล้วสอนให้รู้ว่าคนอื่นอย่าไปแทรกแซง อย่า
ไปแทรกแซง อย่าไปตัดสิน ก็รอให้เจ้าตัวได้มอง จากนั้น ถ้าเขาพร้อม มีเงื่อนไขที่ดี ก็
อาจจะเปลี่ยนไปสู่ขั้นตอนที่วิวัฒนาการของการกลับไปสู่ความเป็นบุตรของพระเจ้า
ใกล้เข้าไปตรงนั้นมากขึ้น แต่ว่าตราบใดที่เขาไม่ได้เรียกร้อง ไม่ต้องไปเสนอ ซึ่งทำให้
ผมนึกและเข้าใจ
"ผมเลยนึกถึงคำพูดของ คาริล ยิบราน ที่บอกว่า โลกจะพังพินาศ เพราะความ
ปรารถนาหวังดีที่ล้นเกิน เพราะผมคิดว่าในเวลานี้ คนในโลกมันมี 2 ประเภท 1.ทำชั่ว
เพราะอยากทำชั่ว 2.ทำดีกลายเป็นความไม่ดี
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตพยายามทำแต่ความดี และไปลงที่การทำความไม่ดีไว้
เยอะ คือผมมีประสบการณ์ในการที่จะกระทำด้วยตั้งใจดี อย่าให้ผลออกมาไม่ดี สุด
ท้ายได้รับความเจ็บปวด ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
"สุดท้ายผมจึงมาตั้งคำถามว่า เอ..ผมมองโลกได้ถูกต้องหรือยัง ในอดีตโดย
พื้นเพดั้งเดิม สมัยเป็นเด็กผมจำได้ ผมมีใจดี ตอนอายุ 4 ขวบ ผมเขียนรูปนะครับ รัก
สัตว์ ชอบร้องเพลง ชอบเล่นคนเดียวเงียบๆ ชอบทำของเล่นอะไรต่างๆ เติบโตมา
จากวัดอีกต่างหาก อยู่วัดตั้งแต่ 10 ขวบ จนถึงอายุ 15 ปี แล้วทำไมผมเปลี่ยนไปเป็น
คนอื่น ท้ายที่สุดคนในประเทศไทยก็จดจำผมไว้ในฐานะนักรบ
"ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับวิธีคิดแบบตะวันตก ที่เราเรียกว่าลัทธิมาร์กซ ไปข้องเกี่ยว
กับความขัดแย้งทางการเมืองที่เราพยายามใช้คำจำกัดความอธิบายโครงสร้างใหญ่
ซึ่งเป็นเวลานานมากที่ผมหมุนวนกับการพิพากษาและตัดสินสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใน
ตัวเอง หรือสิ่งที่อยู่ในตัวคนอื่น ซึ่งผลที่ออกมาเจ็บปวดอยู่ทุกวัน ตัวเองก็เจ็บ
"ซึ่งทั้งหมดจึงนำไปสู่คำถามที่ว่า เฮ้ย..มึงมีแรงคิดอะไรในการมองโลก แน่นอน
การค้นคว้าทางจิตวิญญาณที่ผมพบ ในที่สุดทำให้ผมเกิดขึ้นในโลกที่มันมีอะไร
มากกว่าการดำรงอยู่ทางวัตถุ ทำไมผมต้องต่อสู้กับการตั้งคำถามเรื่องการกระจายราย
ได้ ทำไมผมไม่คิดไปว่าสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้ อาจจะมีเหตุผลของมัน ผมอาจจะมีวิธีที่ดี
กว่านั้น ในการอยู่ร่วม และปรับตัวด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ เขาให้ความ
เข้าใจเพิ่มเติมในแง่ของมุมมองที่ดีของชีวิต อย่างเช่น เขาบอกว่า ความเจ็บปวดเป็น
ผลจากการพิพากษาที่เคยมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยกคำพิพากษานั้นเสีย จึงจะผ่านพ้นไปได้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องทำ
"การไม่พิพากษา สิ่งที่เราคิดว่ามันผิด การไม่ลงโทษผู้อื่นที่มีผลต่อตัวเอง ซึ่งเป็น
สิ่งที่ยากมาก แต่ต้องทำ มันไม่มีทางเลือกอื่น ชีวิตได้พาผมมาถึงจุดที่ไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่อทำไปแล้วปรากฏว่าผลของมันช่างมากมาย น่าละลายแก่ใจมาก คือมันมีประโยค
หนึ่งที่หนังสือเล่มนี้เขียน คล้ายๆ คำสอนศาสนาพุทธนิกายเซน
"เซน เขาถือว่า ถ้าอยากบรรลุสัจธรรม ต้องนิ่งก่อน ต้องเงียบ ต้องนิ่ง แล้วความ
จริง สัจจะ จะเข้ามาหาเราเอง ในหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าบอกว่า ฉันไม่อาจบอกสัจจะต่อ
เธอได้ ถ้าไม่หยุดบอกสัจจะของตัวเองเสียก่อน
"เพราะฉะนั้น ในระยะหลายปีมานี้ ผมไม่ค่อยพูดอะไร ผมอยากให้ฟ้าดินบอกผม
อยากให้ฟ้าดินบอกว่า อะไรควร อะไรถูก เพราะปกติคนในสังคมนี้ จะคาดหวังให้ผม
เป็นคนบอก ซึ่งก็ต้องบอกว่าสิ่งที่ผมเคยบอกมันอาจผิด ล่วงเกินใครต่อใคร จะลบล้าง
ยังไง
"ใครก็ตามที่คิดจะเอาผมไปค้าขาย เอาผมไปพูดที่โน่นที่นี่ ผมบอกไว้ก่อนเลยว่า
ผมไม่อยู่กับใคร นี่เป็นเหตุผลที่หลายปีมานี้ผมไม่เคยไปพูดที่ไหน แต่วันนี้เป็นการพูด
ทางเจ้า ทางธรรม ผมก็เลยมาที่นี่ พอเราเชื่อทางนี้ มันก็กลับกัน อันนี้ผมก็พูดตรงๆ กับ
การตัดสินใจแล้วจะกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ ยกเว้นว่ามันมีสิ่งเย้ายวนมากๆ ซึ่งผมยัง
ไม่เจอ และไม่อยากเจอ แต่ชีวิตคุณจะถูกท้าทายโดยตลอดเวลาว่า จะเอาจริงหรือเปล่า
บนเส้นทางด้านจิตวิญญาณ ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับสติ ที่จะก้าวพ้นความขัดแย้งที่เราเอา
ตัวเอง เอาอัตตาไปเกี่ยวข้องทุกอย่าง
"ในหนังสือนี้น่าอ่านช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังๆ เริ่มมีวิวัฒนาการผันแปรไป ในความ
จริงขั้นปรมัตถ์มันต้องก้าวพ้น ถ้าจับคู่ความขัดแย้ง หมายความว่า ถ้าฉันอยากจะไป
ทำลายสิ่งที่ไม่ชอบ ฉันอยากที่ครอบครองที่เราปรารถนา ซึ่งผมก็ต้องเลือกแล้วว่า ชีวิต
ผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ยังไง เป็นหนึ่งเดียว หมายความว่า เข้าใจความ
สัมพันธ์ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของคนทั้งหมด เราจะบอกว่าพระเจ้าเป็นปัจเจก หรืออะไรก็
ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่โจทย์ทางวิชาการ ไม่ใช่หนังสือฝึกปฏิบัติสมาธิต่างๆ...
"หรือเดือนสองเดือนมานี้ ผมมีเรื่องที่ท้าทาย ที่ทำงานผม มีหมาตัวหนึ่งเป็นของ
ประชาชน ผมอยู่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีหมาเถื่อนเยอะแยะ เพราะ
ว่าบางคนเขามีความสุขในการเลี้ยงมัน มันก็ชอบ ก็มีตัวหนึ่งไม่ชอบคนใส่หมวก (เสียง
หัวเราะดังขึ้น) นี่มันเรื่องจริงนะ ผมไม่ได้พูดเล่น ผมเลยเที่ยวถามคนอื่นว่าทำไมถึงไม่
กัด มันจะกัดแต่ผม เขาบอกมันไม่ชอบคนใส่หมวก
"ผมมานึกอยู่ 2-3 วัน ผมเลยถอดหมวกให้มัน ผมต้องเลือกแล้วนะ ว่าระหว่างการ
ถอดหมวกให้เป็นพวกมัน เพื่อการอยู่ร่วมกันให้ได้ จะได้เข้าตึกไปสอนนักศึกษา
"ผมเลือกถอดหมวก เพื่อให้หมามันรู้ว่า เฮ้ย..เราเป็นพวกเดียวกัน คือปกติแล้วคน
ที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมถอดหมวกไม่ได้ เพราะว่าผมมีอีโก้สูงจะตาย
"เมื่อสองสามวันก่อน มีงูเห่าเข้ามาในบริเวณบ้านผม แล้วมันก็มาเผชิญหน้ากับ
หมาของผม มันไม่มีทางเลือกในจังหวะตอนนี้ พอผมจะฆ่างู คือทั้งหมาทั้งงู ผมฆ่ามา
เยอะ หรือว่าจะอยู่ร่วมกับมัน ในฐานะเป็นผมงานของพระเจ้าเช่นเดียวกัน
"ผมจึงตัดสินใจไม่ทำร้ายงู แล้วก็ทำไงให้หมาของผมไม่มายุ่งกับผม เพื่อได้เอา
ไม้เขี่ยงูออกไป คือเราก็ไม่ได้คิดทำร้ายมัน ที่นี้ถ้าบอกอย่างนี้ หมายความว่าไง หมาย
ความว่า เคยมีโชคร้ายเกี่ยวกับชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องวิชาการ ไม่ใช่
เรื่องทฤษฎี
"ในหนังสือเล่มนี้เขาก็พูดถึง 3 ขั้นตอน คือคุณต้องเรียนรู้ก่อน 1.รู้ 2.มี
ประสบการณ์ 3.การดำรงอยู่ในสภาวะที่มีตัวตนอยู่อย่างแท้จริง ก็คือบุตรของพระเจ้า
"อันหนึ่งที่มันตรงกับทางพุทธ ตามหลักปฏิบัติ 3 ขั้นตอน ถ้าเราแยกกันแล้ว เราจะ
ไม่พบอะไรเลย ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ คือฐานแห่งภาวะ มันเป็นชีวิตด้วยการปฏิบัติ
โดยใช่ ผมคิดว่ามันจะเกี่ยวเนื่องกัน คือจะแยกออกจากกันไม่ได้ และจะเป็นวัฏจักรที่
หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง มีโจทย์อะไรกับคุณที่จะ
ต้องทำ คือในหนังสือเล่มนี้มันมีรายละเอียดอะไรมากมาย ผมจำไม่ได้หมด มีข้อคิด
พรีเซ้นท์ออกมาเต็มไปหมด
"แต่ว่าเขาก็บอกเป็นรายละเอียด ซึ่งสรุปมันก็คือว่า ทุกคนศักดิ์สิทธิ์ ทุกชั่วโมงล้วน
ศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปแยกว่าความดีจะเอาไว้ทำเวลาไหน ทำกับใคร ตรงเนี่ย ตรงที่ว่า เป็น
หนังสือค่อนข้างสมบูรณ์แบบ การไกด์ชีวิต เพื่อให้จะได้ใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันอย่าง
สมบูรณ์แบบ"
อาจารย์ช่วยขยายความถึงวิธีการหรือรูปแบบที่ผ่านมา เกี่ยวกับทางด้านจิต
วิญญาณ
"ผมคิดว่า อย่างนี้ครับ ความพยายามที่จะปรับปรุงโลกที่เราอยู่ให้ดีขึ้น ผมคงไม่ชี้
นะครับ แต่วิธีการที่จะไปปรับปรุงโลก จะต้องสอดคล้องกับความจริงทางด้านจิต
วิญญาณให้มากกว่านี้ ความจริงทางจิตวิญญาณ ต้องเริ่มจากการยอมรับก่อนว่า
หลายอย่างที่เราทำ มันถักทอและซุกซ่อนไปด้วยอัตตาหรือเปล่า
"ถ้าถามผมเป็นข้อๆ โดยอุดมคติ เป็นอีโก้ตัวหนึ่ง ผมก็ตอบว่าไม่เป็น แต่ว่าในขั้น
ต้น เราจำเป็นต้องอาศัยความเป็นตัวตนขั้นต่ำของเราไปสู่ตัวตนขั้นสูง จากนั้นปล่อยมัน
ไป เพราะว่าถ้าไม่ปล่อยมันไป มันจะกลายเป็นธงที่เราจะใช้ไปตีหัวคนอื่น เพราะเชื่อว่า
ตนเองดีกว่า
"ดังนั้น อุดมคติ มันเป็นอัตตาแฝงเร้นที่อันตรายมาก เพราะว่า ถ้าเราไม่ตั้งสติดู
จริงๆ แล้ว เราจะหลงว่ามันสวยงาม งดงาม แต่ถ้าเราชื่นชมและหลงมันมาก มันจะนำ
เราไปสู่การทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าในความงดงามนั้น มันมีตัวเราอยู่ด้วย
ตลอด เหมือนที่สมัยวัยหนุ่มของผม ฝันว่าตัวเองเป็นนักรบแกร่งกล้า โลกจะต้องรู้จัก
ถึงแม้จะตายหากลุกขึ้นสู้ แต่ในนั้นก็มีความฝันที่อยากได้รับการจดจำ ซึ่งเป็นความฝัน
ที่ในทางธรรมถือว่าผิด
"เราเติบโตมาและพบสิ่งเหล่านี้ แล้วก็รอด และคิดว่าการโตแล้วพ้นสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้
หมายความว่าต่อไปนี้ เราจะนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสรรพสิ่ง ไม่ใช่ ตรงกันข้าม เรา
จะมองปัญหา ความทุกข์ ความเป็นห่วงผู้คนด้วยมุมมองใหม่ๆ ที่ห่วงใย เมตตา และ
พร้อมที่จะเข้าไปแบ่งเบา มากกว่ารีบร้อนที่จะขจัดด้วยวิธีการที่เชิงต้านอย่างเดียว อันที่
จริงเราต้องมีความเชื่อว่า การตั้งธงอย่างนั้น ไม่เป็นโทษแก่ใครหรือคนอื่น เหมือนอย่าง
ลัทธิเต๋า เขาบอกว่า เราไปตั้ง มันก็เหมือนไปตาม ตรงกันข้าม ถ้าเราไปตาม มันก็บีบให้
เราไปตั้งได้เหมือนกัน
"บ่อยครั้ง ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง เราเอาแต่เปลือกนอกเกินไป เกือบทุก
ครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง บาดเจ็บล้มตายขนานใหญ่ มีตัวอย่างให้เราเห็นมากมาย ตั้ง
แต่รัสเซีย มาจนถึงอินโดนีเซีย ก็เพราะว่ามันมีสิ่งชั่วร้ายมักจะเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ก็ยัง
คงอยากเข่นฆ่าสังหารกัน เพราะฉะนั้น ปัญหาอยู่ในตัวมนุษย์เอง มันไม่ได้อยู่แค่ตัว
โครงสร้างและประโยชน์สังคม
"ถ้าเราคิดอย่างนี้ เรายังมีความเชื่ออีกแบบว่า ในการดูแลสังคม ในการเปลี่ยน
แปลง ในการอยู่ร่วมกับโลก เราจะใช้ความเชื่อใด คือในหนังสือเล่มนี้ได้พยายาม
อธิบายความรู้สึกพื้นฐานขึ้นของมนุษย์ โดยหลักๆ
"โดยการนำไปสู่อะไรหลายๆ อย่างที่มันเป็นเหตุการณ์โหดร้าย จนขยายตัวออก
ไปอย่างไร้แนว ตรงนี้ ถ้าเราเชื่อ เราก็จะมีตัวที่ก่อปัญหาของมวลมนุษย์ อย่างที่ยก
ตัวอย่าง อย่างเช่น หมาที่ผมเจอมา ในวัยเด็ก ถ้าผมเจอหมาที่มันเห่าสู้ ผมก็วิ่งหนีแล้ว
ไปฟ้องผู้ใหญ่ คือไปยืมมหาอำนาจอื่นมาเล่นงานเขา ในวัยหนุ่ม ผมก็จะอวดคนอื่นเขา
ผมก็ตัดหัวหมา หรือหัวงูเห่า ในชีวิตผมเคยทำมาแล้ว ทั้งสองอย่าง
"แต่ในวัยนี้ ผมรู้สึกว่า ผมโชคดีมากที่ผมค้นพบ วิธีถอดหมวกจากหมาตัวนั้นได้
หรือวิธีไล่งูเห่าตัวนั้น แล้วก็รู้สึกว่า เราไม่ได้ทำลายความสมดุลองค์รวมของสรรพสิ่ง
และรู้สึกที่เราไม่ฆ่าเขา ซึ่งในนั้น ต้องแลกกัน ระหว่างการสละตัวตนดั้งเดิมของเราไป
ต้องโยนทิ้งมั่ง เพราะตัวตนงี่เง่าเก่าๆ ที่เคยครอบงำ มันมีความลุ่มหลงในภายนอกมาก
เกินไป ถ้าเราไม่ทิ้งตรงนั้น มันก็จะไม่เกิดอะไร
"ฉะนั้น กลับมาสู่คำถามที่คุณให้ ผมยังไม่ได้คิดว่า การเดินหนทางธรรม จะต้อง
เป็นเรื่องปลีกตัวออกไป เป็นเรื่องยาก การอยู่เงียบๆ มันช่วยให้เราสงบ มันช่วยให้เรา
เข้าใจได้มากขึ้น แต่ถ้ามีความทุกข์ร้อนผ่านมาเบื้องหน้า ผมยังเชื่อว่าผู้ประพฤติธรรม
ทั้งหลาย จะนิ่งเฉย
"ยกเว้นว่า สิ่งใดที่ทำไม่ได้ ก็ต้องทำใจ เหมือนคำสอนของพระพุทธศาสนา เขา
บอกว่า สิ่งใดทำได้ก็ต้องช่วย สิ่งไหนทำไม่ได้ก็อย่าไปเปลี่ยนแปลง อันไหนเปลี่ยน
แปลง ก็ต้องเปลี่ยนแปลง
"ขอให้มีสติปัญญาในการแยกแยะ ซึ่งคำสอนนี้เป็นสัจธรรม แล้วพอมาเดินทางนี้
อาการแรกสุดของผมคิดว่า เป็นประโยชน์มากเกี่ยวกับตนเอง เราไม่ได้เป็นภาระกับ
โลก ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
"ในหนังสือเล่มนี้ เขาพูดคล้ายๆ หลายเล่มที่อยู่ในพระพุทธศาสนา คือพูดบอกว่า
สวรรค์ไม่มีอยู่ที่ไหนหรอก อยู่เดี๋ยวนี้และอยู่ที่นี่..เราต้องรู้จักดูแลพื้นฐานการรักษา เรา
ไม่ต้องไปเสียเวลา และไม่เป็นทุกข์ร้อน สรรพสิ่งข้างนอก เราต้องระวังตัว แล้วก็บอกว่า
เป็นทุกอย่างที่กองอยู่รอบตัวฉัน
"สิ่งในนี้ก็บอกแล้ว ถ้าเธอไม่อาจอ้างถึงตัวฉันจากข้างใน ถ้าเธอยังไม่ออกไปข้าง
นอก เพราะว่าโลกทุกวันนี้มันมีความเดือดร้อน ความเบียดเบียนมันเกิดขึ้นก็เพราะว่า
หันหน้าออกมาข้างนอก ปัจจัยพื้นฐานข้างนอกมักก็เติมเข้าไปข้างใน ข้างในใจคนมัน
เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม
"ดังนั้น จึงพบว่า ขนาดคนที่มีเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้าน ก็ไม่มีความสุข คนจนอย่างผม
ถึงจะแก่ แต่ก็มีความสุขมากกว่าเลย"
โดย nity
วันที่ พฤหัสบดี มกราคม 2550
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 3
Dialogue กับพระเจ้า อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
ผมเคยสดุดตากับหนังสือที่มีชื่อว่า สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม 1 คำว่า Dialogue กับพระเจ้าทำให้ผมต้องหยิบหนังสือขึ้นมาดู (อย่างคร่าวๆ) แต่แล้วก็ต้องวางลง คงเป็นเพราะภาพกองหนังสือกองใหญ่ที่ยังไม่ได้อ่านที่บ้าน และข้อความที่บ่งบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 1 ยังมีเล่มอื่นต่อ ทำให้ผมเกิดท้อใจ เพราะปกติไม่ใช่คนที่อดทนอ่านหนังสือยาวๆ หรือเล่มหนาๆ ได้
แต่แล้วในวันหนึ่ง ผมก็ได้รับหนังสือเล่มนี้ทางไปรษณีย์จาก คุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา บรรณาธิการแปล ผมอ่าน คำนำ คำนิยม แล้วก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมคราวที่แล้วจึงวางหนังสือเล่มนี้ลงไป ทั้งๆ ที่เนื้อหาในนั้น โดนใจ ผมค่อนข้างมาก . . . กลับมาถึงบ้านก็ลุยอ่านอยู่วันกว่าๆ . . . ช่างเป็นบทสนทนาที่สื่อตรงเข้าไปในใจได้อย่างชัดเจนจริงๆ เป็นการสื่อสารที่ให้ทั้งความเบิกบานและสร้างการตื่นรู้ เป็นการผสมผสานมิติทางวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณได้อย่างอัศจรรย์ใจ
ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมผู้เขียน นีล โดนัลด์ วอลซ์ เป็นอย่างยิ่ง และไม่แปลกใจเลยที่ฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้เป็น International Bestseller ส่วนผู้ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยได้อย่างสวยงาม ก็คือคุณรวิวาร โฉมเฉลา ซึ่งเลือกใช้คำได้อย่างเหมาะเจาะและลึกซึ้งยิ่ง ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่านักแปล ตัวจริง นั้นเป็นเช่นใด ผมได้เรียนรู้และได้มีโอกาสจดจำคำบางคำไปใช้ในงานแปลของผมด้วย
ขอขอบคุณ คุณอัฐพงศ์ เป็นอย่างยิ่งที่ได้กรุณาส่งผ่านประสบการณ์และบทสนทนาอันมีค่ายิ่งนี้เข้ามาในชีวิตของผม สิ่งที่ในหนังสือเล่มนี้เรียกว่า พระเจ้า ได้สื่อกับผมว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหยุดการค้นหา ในหน้า 145 ข้อความที่ลอยเด่นขึ้นมาก็คือ ชีวิตคือการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การค้นหา ผมพูดกับตัวเองว่า อย่าเสียเวลาค้นหาอีกเลย!
ขอบคุณ คุณอัฐพงศ์ อีกครั้งครับสำหรับผลงานดีๆ ของสำนักพิมพ์ โอ้ พระเจ้า พับลิชชิ่ง (www.ohmygodbooks.com) ที่ออกสู่สังคมไทย และคงจะได้มีโอกาสพบกันในงานมหกรรมหนังสือที่กำลังจะมีขึ้นในปลายเดือนนี้นะครับ
beyondKM
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
http://gotoknow.org/blog/beyondkm/81988
ผมเคยสดุดตากับหนังสือที่มีชื่อว่า สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม 1 คำว่า Dialogue กับพระเจ้าทำให้ผมต้องหยิบหนังสือขึ้นมาดู (อย่างคร่าวๆ) แต่แล้วก็ต้องวางลง คงเป็นเพราะภาพกองหนังสือกองใหญ่ที่ยังไม่ได้อ่านที่บ้าน และข้อความที่บ่งบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 1 ยังมีเล่มอื่นต่อ ทำให้ผมเกิดท้อใจ เพราะปกติไม่ใช่คนที่อดทนอ่านหนังสือยาวๆ หรือเล่มหนาๆ ได้
แต่แล้วในวันหนึ่ง ผมก็ได้รับหนังสือเล่มนี้ทางไปรษณีย์จาก คุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา บรรณาธิการแปล ผมอ่าน คำนำ คำนิยม แล้วก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมคราวที่แล้วจึงวางหนังสือเล่มนี้ลงไป ทั้งๆ ที่เนื้อหาในนั้น โดนใจ ผมค่อนข้างมาก . . . กลับมาถึงบ้านก็ลุยอ่านอยู่วันกว่าๆ . . . ช่างเป็นบทสนทนาที่สื่อตรงเข้าไปในใจได้อย่างชัดเจนจริงๆ เป็นการสื่อสารที่ให้ทั้งความเบิกบานและสร้างการตื่นรู้ เป็นการผสมผสานมิติทางวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณได้อย่างอัศจรรย์ใจ
ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมผู้เขียน นีล โดนัลด์ วอลซ์ เป็นอย่างยิ่ง และไม่แปลกใจเลยที่ฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้เป็น International Bestseller ส่วนผู้ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยได้อย่างสวยงาม ก็คือคุณรวิวาร โฉมเฉลา ซึ่งเลือกใช้คำได้อย่างเหมาะเจาะและลึกซึ้งยิ่ง ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่านักแปล ตัวจริง นั้นเป็นเช่นใด ผมได้เรียนรู้และได้มีโอกาสจดจำคำบางคำไปใช้ในงานแปลของผมด้วย
ขอขอบคุณ คุณอัฐพงศ์ เป็นอย่างยิ่งที่ได้กรุณาส่งผ่านประสบการณ์และบทสนทนาอันมีค่ายิ่งนี้เข้ามาในชีวิตของผม สิ่งที่ในหนังสือเล่มนี้เรียกว่า พระเจ้า ได้สื่อกับผมว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหยุดการค้นหา ในหน้า 145 ข้อความที่ลอยเด่นขึ้นมาก็คือ ชีวิตคือการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การค้นหา ผมพูดกับตัวเองว่า อย่าเสียเวลาค้นหาอีกเลย!
ขอบคุณ คุณอัฐพงศ์ อีกครั้งครับสำหรับผลงานดีๆ ของสำนักพิมพ์ โอ้ พระเจ้า พับลิชชิ่ง (www.ohmygodbooks.com) ที่ออกสู่สังคมไทย และคงจะได้มีโอกาสพบกันในงานมหกรรมหนังสือที่กำลังจะมีขึ้นในปลายเดือนนี้นะครับ
beyondKM
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
http://gotoknow.org/blog/beyondkm/81988
โค้ด: เลือกทั้งหมด
. . . ช่างเป็นบทสนทนาที่สื่อตรงเข้าไปในใจได้อย่างชัดเจนจริงๆ เป็นการสื่อสารที่ให้ทั้งความเบิกบานและสร้างการตื่นรู้ เป็นการผสมผสานมิติทางวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณได้อย่างอัศจรรย์ใจ . . .
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 4
ถึงเพื่อน ๆ ของผมในประเทศไทย
ผมรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่ถ้อยคำจากหนังสือเล่มนี้ได้มาสู่หัวใจและความคิดของพวกท่าน ณ ประเทศอันงดงามแห่งนี้ ประเทศของท่านเปี่ยมด้วยมรดกล้ำค่าและขนบจารีตที่น่านับถือ ผมคิดไม่ออกว่าจะมีที่ไหนในโลกที่สารจากหนังสือเล่มนี้จะมีความหมายหรือได้รับความเข้าใจมากไปกว่าประเทศนี้อีกแล้ว
ในประเทศไทย พวกท่านได้เข้าใจคำสอนหลัก ๆ จากทุกสายธารทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่ทั้งบรรพกาลและร่วมสมัย โดยแก่นแล้วคำสอนเหล่านั้นไม่ได้ต่างกันเลย ไม่ว่าจะศาสนาไหนหรือสายธารทางจิตวิญญาณใด มันคือคำสอนที่ว่าด้วยเอกภาพของทุกสรรพชีวิต ความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ และพลังฟื้นฟูของความรัก ในหลาย ๆ ทางแล้วนี่คือเรื่องราวทางวัฒนธรรมของประเทศไทยด้วย
เพราะฉะนั้นผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติและนอบน้อมยิ่งที่หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ในประเทศอันงดงามของพวกท่าน ที่นี่คือประเทศแห่งความงามทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่แก่นแกนของภูมิประเทศไปจนถึงหัวใจของผู้คน ผมหวังว่าท่านจะได้พบส่วนหนึ่งของความงามนั้นสะท้อนออกมาจากถ้อยคำที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ อย่างที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ หัวใจของคำสอนนั้นคือ <b>เราทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียว</b> ถ้าเราเชื่อว่านี่เป็นความจริง นัยต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลจะมหาศาลยิ่ง ทุกสิ่งในชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างในศาสนาของเรา การเมืองของเรา เศรษฐกิจของเรา การศึกษาของเรา โครงสร้างทางสังคมของพวกเรา ....และทุกสิ่งในชีวิตส่วนตัวของเราด้วย
เราต้องสอนให้โลกรู้วิธีที่จะรัก ทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ศาสนาได้พยายามทำเช่นนั้นมาหลายพันปีแล้ว รัฐบาลต่าง ๆ พยายามออกกฎหมายเพื่อการนี้มายาวนานเกือบจะพอ ๆ กัน แนวคิดทางปรัชญาทั้งหลายต่างไม่ได้ผล วิธีทางเศรษฐกิจก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่สุด การศึกษาก็ดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้ผู้คนเข้าใจเรื่องนี้ได้
สถาบันทางสังคมทั้งหมดของมนุษยชาติพยายามจะใส่ความรักลงไปในสมการแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ แต่ไม่มีสถาบันไหนที่เลยที่ทำได้เป็นชิ้นเป็นอัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทำไมพวกเราถึงไม่เข้าใจเสียที ? จริง ๆ แล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราไม่ได้ยินคำสอนเหล่านั้น เราได้ยินแล้ว ได้ยินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องด้วย จากเกือบทุกแหล่งที่เราจะจินตนาการถึง เราถูกสอนว่ารักคือคำตอบ
ดังนั้นเราจึงรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไร ถ้าเราอยากจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลกใบนี้ อยากจบสิ้นความปวดร้าวและหยุดยั้งความรุนแรงในโลก เรารู้วิธีที่จะทำแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมเราถึงไม่ทำล่ะ ? คำตอบก็คือเรากลัวที่จะรักกันและกัน เรายอมให้ความต่างมาแบ่งแยกเราจากกัน
ผมหวังว่าหนังสือที่ท่านกำลังถืออยู่ในมือเล่มนี้อาจช่วยให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สิ้นสุดลงได้ หากจะมีที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ที่มนุษยชาติจะให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่แล้วละก็ นั่นคงเป็นประเทศไทยนี่เอง ประเทศซึ่งอาทรเกื้อกูลกันโดยธรรมชาติและเกื้อกูลเพื่อจะเป็นธรรมชาติ ฉะนั้นโปรดอ่านหนังสือเล่มนี้และเกื้อกูลสารของมัน โปรดแบ่งปันสารนี้กับผู้ที่ท่านได้สัมผัสชีวิตพวกเขา แบ่งปันไม่ใช่ด้วยเพียงการให้หนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่ด้วยการนำภูมิปัญญาและความเข้าใจในนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวท่าน เพื่อว่าท่านจะกลายเป็นตัวอย่างที่มีชีวิตของวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่
ผมขอส่งคำทักทายและความรักมายังเพื่อน ๆ ทุกท่านในประเทศไทยครับ
นีล โดนัลด์ วอลช์
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=7702
ผมรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่ถ้อยคำจากหนังสือเล่มนี้ได้มาสู่หัวใจและความคิดของพวกท่าน ณ ประเทศอันงดงามแห่งนี้ ประเทศของท่านเปี่ยมด้วยมรดกล้ำค่าและขนบจารีตที่น่านับถือ ผมคิดไม่ออกว่าจะมีที่ไหนในโลกที่สารจากหนังสือเล่มนี้จะมีความหมายหรือได้รับความเข้าใจมากไปกว่าประเทศนี้อีกแล้ว
ในประเทศไทย พวกท่านได้เข้าใจคำสอนหลัก ๆ จากทุกสายธารทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่ทั้งบรรพกาลและร่วมสมัย โดยแก่นแล้วคำสอนเหล่านั้นไม่ได้ต่างกันเลย ไม่ว่าจะศาสนาไหนหรือสายธารทางจิตวิญญาณใด มันคือคำสอนที่ว่าด้วยเอกภาพของทุกสรรพชีวิต ความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ และพลังฟื้นฟูของความรัก ในหลาย ๆ ทางแล้วนี่คือเรื่องราวทางวัฒนธรรมของประเทศไทยด้วย
เพราะฉะนั้นผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติและนอบน้อมยิ่งที่หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ในประเทศอันงดงามของพวกท่าน ที่นี่คือประเทศแห่งความงามทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่แก่นแกนของภูมิประเทศไปจนถึงหัวใจของผู้คน ผมหวังว่าท่านจะได้พบส่วนหนึ่งของความงามนั้นสะท้อนออกมาจากถ้อยคำที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ อย่างที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ หัวใจของคำสอนนั้นคือ <b>เราทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียว</b> ถ้าเราเชื่อว่านี่เป็นความจริง นัยต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลจะมหาศาลยิ่ง ทุกสิ่งในชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างในศาสนาของเรา การเมืองของเรา เศรษฐกิจของเรา การศึกษาของเรา โครงสร้างทางสังคมของพวกเรา ....และทุกสิ่งในชีวิตส่วนตัวของเราด้วย
เราต้องสอนให้โลกรู้วิธีที่จะรัก ทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ศาสนาได้พยายามทำเช่นนั้นมาหลายพันปีแล้ว รัฐบาลต่าง ๆ พยายามออกกฎหมายเพื่อการนี้มายาวนานเกือบจะพอ ๆ กัน แนวคิดทางปรัชญาทั้งหลายต่างไม่ได้ผล วิธีทางเศรษฐกิจก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่สุด การศึกษาก็ดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้ผู้คนเข้าใจเรื่องนี้ได้
สถาบันทางสังคมทั้งหมดของมนุษยชาติพยายามจะใส่ความรักลงไปในสมการแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ แต่ไม่มีสถาบันไหนที่เลยที่ทำได้เป็นชิ้นเป็นอัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทำไมพวกเราถึงไม่เข้าใจเสียที ? จริง ๆ แล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราไม่ได้ยินคำสอนเหล่านั้น เราได้ยินแล้ว ได้ยินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องด้วย จากเกือบทุกแหล่งที่เราจะจินตนาการถึง เราถูกสอนว่ารักคือคำตอบ
ดังนั้นเราจึงรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไร ถ้าเราอยากจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลกใบนี้ อยากจบสิ้นความปวดร้าวและหยุดยั้งความรุนแรงในโลก เรารู้วิธีที่จะทำแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมเราถึงไม่ทำล่ะ ? คำตอบก็คือเรากลัวที่จะรักกันและกัน เรายอมให้ความต่างมาแบ่งแยกเราจากกัน
ผมหวังว่าหนังสือที่ท่านกำลังถืออยู่ในมือเล่มนี้อาจช่วยให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สิ้นสุดลงได้ หากจะมีที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ที่มนุษยชาติจะให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่แล้วละก็ นั่นคงเป็นประเทศไทยนี่เอง ประเทศซึ่งอาทรเกื้อกูลกันโดยธรรมชาติและเกื้อกูลเพื่อจะเป็นธรรมชาติ ฉะนั้นโปรดอ่านหนังสือเล่มนี้และเกื้อกูลสารของมัน โปรดแบ่งปันสารนี้กับผู้ที่ท่านได้สัมผัสชีวิตพวกเขา แบ่งปันไม่ใช่ด้วยเพียงการให้หนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่ด้วยการนำภูมิปัญญาและความเข้าใจในนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวท่าน เพื่อว่าท่านจะกลายเป็นตัวอย่างที่มีชีวิตของวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่
ผมขอส่งคำทักทายและความรักมายังเพื่อน ๆ ทุกท่านในประเทศไทยครับ
นีล โดนัลด์ วอลช์
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=7702
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 5
ไม่พุทธไม่คริสต์ไม่อิสลาม
อ่านไปคิดไป
สุดท้ายที่ได้
คือหนึ่งเดียว..
อ่านไปคิดไป
สุดท้ายที่ได้
คือหนึ่งเดียว..
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 8
[quote="por_jai"]8) พี่บีว่าดี คงต้องไปหามาอ่านละขรับ
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 10
โห..พี่เพื่อน..
ยังงี้ผมจะกล้าอ่านมั้ยเนี่ย...เล่นขู่กันแรงขนาดน้าน...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข้อเสียอย่างหนึ่งของผมก็คือ
เวลาอ่านหนังสือเล่มหนาแล้วผมจะเบื่อง่าย..ไม่ว่าจะน่าอ่านขนาดไหนก็ตาม..
ยังงี้ผมจะกล้าอ่านมั้ยเนี่ย...เล่นขู่กันแรงขนาดน้าน...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
โค้ด: เลือกทั้งหมด
สนทนากับพระเจ้า เล่ม 2
บันทึกเล่มนี้ต่อจากเล่มที่ 1 ไม่ว่าพระเจ้าจะมีจริงหรือไม่ แต่หนังสือเล่มนี้ก็มีคุณูปการในแง่ที่สามารถเป็นภูมิปัญญาให้กับผู้อ่านที่กำลังค้นหาคำตอบของชีวิตและจิตวิญญาณ ที่บางครั้งอาจตกหล่นทำหายไปบางช่วง บทสนทนาที่มีต่อ "พระเจ้า" นั้นโดนใจทำให้เราต้องเก็บไปคิดอีกเป็นเดือนเป็นปี แต่ถ้ามองลึกลงไป "สาระ" จริงๆ ของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ตรงที่ "พระเจ้า" มาบอก แต่อยู่ที่เนื้อหาภายในซะมากกว่า บางทีการหวังได้ค้นพบตัวเองอาจอยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
[b] --ไทยโพสต์[/b]
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้วิเคราะห์ด้วยชั้นเชิงที่น่าสนใจ พร้อมทั้งมีแง่มุมทางความคิดที่ท้าทายและน่าสนใจอย่างยิ่ง
[b]จุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจ[/b]
ยังเขย่าข้างในผู้อ่านได้อย่างมีพลัง ไม่ใช่ของเหลือจากเล่มแรก
[b]นิตยสาร way[/b]
[b]บทนำ : สนทนากับพระเจ้า เล่ม 2[/b]
นี่คือเอกสารที่ไม่ธรรมดา
นี่คือสารจากพระเจ้า เนื้อหาในนี้พระเจ้าแนะถึงการปฏิวัติทางสังคม ทางเพศ การศึกษา การเมือง เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณบนโลก ในแบบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อนและแทบไม่เคยนึกถึง
คำแนะนำนี้อยู่ในบริบทของสิ่งที่พวกเราในฐานะผู้ใช้ชีวิตบนโลกบอกว่าปรารถนา เราบอกว่าเราเลือกจะสร้างชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน จะยกระดับจิตสำนึก จะหาทางสร้างโลกใหม่ พระเจ้าจะไม่สาปส่งเราไม่ว่าเราจะเลือกอะไร แต่หากเลือกทางนี้ พระเจ้าก็พร้อมแสดงหนทางให้เห็น ทว่าพระเจ้าจะไม่บังคับฝืนให้เราทำตาม ไม่มีวันบังคับแน่นอนไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน
ผมเห็นว่าถ้อยคำต่างๆ ในเล่มนี้ทั้งจับใจ รบกวนจิตใจ ท้าทาย และให้พลังไปพร้อมๆ กัน จับใจในแง่ที่ว่ามันทำให้ผมลืมหายใจหายคอกับขอบเขตและประเด็นเนื้อหา รบกวนจิตใจในแง่ที่มันทำให้ผมเห็นตัวเอง (และมนุษยชาติ) ในแบบที่ชวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท้าทายในแง่ที่มันท้าผมอย่างที่ไม่เคยมีใครหน้าไหนท้ามาก่อน ท้าให้ผมเป็นคนที่ดีกว่าเก่า ให้มีจิตใจกว้างขวางกว่าเดิม ให้เป็นต้นกำเนิดของโลกที่ความโกรธ ความริษยาคับแคบ ความพิกลพิการทางเพศ ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ ความไม่เอาไหนของระบบการศึกษา ความไม่เท่าเทียมทางสังคม การซ่อนเร้นทางการเมือง เล่ห์เพทุบายและการแย่งชิงอำนาจ จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์อีกต่อไป และให้พลังในแง่ที่มันให้ความหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นไปได้
เราสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาได้จริงๆ หรือ พระเจ้าบอกว่าได้ ทั้งหมดที่จำเป็นคือ เราต้องเลือกทำอย่างนั้นจริงๆ
หนังสือเล่มนี้คือการพูดคุยกับพระเจ้าที่เกิดขึ้นจริง เป็นเล่มสองในไตรภาคสามเล่ม คือส่วนหนึ่งของการสนทนาที่กินเวลากว่าห้าปีและยังคงเกิดขึ้นจนถึงตอนนี้
ผู้อ่านอาจไม่เชื่อว่าเอกสารชุดนี้มาจากพระเจ้าจริงๆ และผมก็ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาเชื่อด้วย สิ่งสำคัญสำหรับผมอยู่แค่ว่าเอกสารชุดนี้มีคุณค่าอะไรบ้างไหม ให้ความเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า ก่อให้เกิดการตื่นรู้ จุดประกายปรารถนาใหม่ เกื้อหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ออกดอกผลในชีวิตประจำวันของเราบนโลกนี้บ้างหรือไม่ พระเจ้ารู้ว่าของบางอย่างจำต้องเปลี่ยนจากเดิม เราไม่อาจให้มันเป็นเช่นที่เป็นมาได้อีก
ไตรภาคแห่ง สนทนากับพระเจ้า เริ่มขึ้นเมื่อ เล่ม1 ออกสู่สาธารณะเมื่อเดือนพฤษภาคม 1995 เนื้อหาในเล่มนั้นกล่าวถึงประเด็นส่วนบุคคลเป็นหลักและมันได้เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย ทั้งยังเปลี่ยนชีวิตผู้คนอีกมากมายด้วย ยอดขายวิ่งฉิวอย่างไม่น่าเชื่อภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ พร้อมยอดจัดจำหน่ายไต่สู่ระดับที่น่าทึ่ง หมดปีแรกขายไปเดือนละ 12,000 เล่มและยังเพิ่มขึ้นตลอด แน่นอนว่า ผู้เขียน หนังสือเล่มนี้เป็นใครมาจากไหนแทบไม่มีใครรู้จัก และนี่ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนั้นน่าสนใจและทรงพลังอย่างมาก
ผมซาบซึ้งอย่างลึกล้ำที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ กระบวนการที่ผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสนได้รำลึกถึงสัจธรรมยิ่งใหญ่บางประการอีกครั้ง โดยส่วนตัวแล้วผมยินดีและมีความสุขเหลือเกินที่คนมากมายเห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนั้น
อยากให้คุณทราบว่าตอนแรกนั้นผมกลัวอย่างกับอะไรดี กังวลว่าคนจะคิดว่าผมบ้าไปแล้ว คิดว่าผมมีปัญหาทางจิตเพราะหลงว่าตัวเองยิ่งใหญ่ หรือกลัวว่าถ้าคนเชื่อว่าหนังสือได้รับแรงดลใจจากเบื้องบนจริง ผู้คนจะทำตามที่หนังสือแนะนำจริงๆ ทำไมผมถึงกลัวเรื่องพวกนี้รู้ไหมครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย คำตอบคือ เพราะผมรู้ว่าทุกอย่างที่เขียนไปอาจผิดได้นะสิ
จากนั้นก็เริ่มมีจดหมายมาถึงผม จดหมายจากคนทั่วโลก ตอนนั้นเองที่ผมได้รู้..รู้อยู่ลึกๆ ข้างในว่ามันไม่ผิดหรอก นี่ละคือสิ่งที่โลกจำเป็นต้องได้ยิน..ในช่วงเวลาแบบนี้เลย!
(แน่นอนครับ ไม่มีอะไร ถูก หรือ ผิด เว้นแต่ในประสบการณ์เชิงเปรียบเทียบในการดำรงอยู่ของเรา ฉะนั้นสิ่งที่ผมหมายความกับตัวเองคือ หนังสือเล่มนี้มัน ใช่เลย เมื่อดูจากว่าใครและสิ่งไหนที่เราอยากจะเป็นบนโลกใบนี้)
ตอนนี้มาถึง เล่ม 2 แล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองกลัวขึ้นมาอีก หนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราในแง่มุมที่กว้างขึ้น รวมถึงข้อพิจารณาทางธรณีฟิสิกส์และภูมิรัฐศาสตร์ที่มีนัยสืบเนื่องไปทั่วโลก เพราะเหตุนี้ผมคาดว่าคงมีหลายสิ่งที่ผู้อ่านทั่วไปอาจไม่เห็นด้วย เพราะอย่างนี้ไงครับผมถึงได้กลัว กลัวว่าคุณจะไม่ชอบสิ่งที่ได้อ่าน กลัวว่าคุณจะทำให้ผมเป็น คนผิด จากบางข้อความในนี้ กลัวจะไปทำให้หลายคนโกรธ ทำให้เกิดการโต้แย้งที่เผ็ดร้อน และสร้างปัญหายุ่งยากตามมาเพราะไปหักล้างสิ่งที่ผู้คนยึดถือ และที่สำคัญคือ ผมกลัวว่าทั้งหมดนี้อาจผิดขึ้นมาจริงๆ
แน่นอนว่าผมควรเข้าใจอะไรมากพอที่จะไม่ต้องกลัวแล้ว ที่สำคัญคือผมไม่ได้อ่านหนังสือเล่มแรกของตัวเองหรือไง คุณเข้าใจใช่ไหมครับ ผมก็แค่มนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่ง คุณเข้าใจไหมว่าผมไม่ได้อยากเผยแพร่บันทึกการพูดคุยนี้เพื่อให้เกิดการกระทบกระเทือนผู้อื่นเลย แค่อยากส่งต่ออย่างซื่อสัตย์และไม่แอบแฝงถึงสิ่งที่พระเจ้าสื่อสารเพื่อตอบคำถามผมเท่านั้นเอง ผมสัญญากับพระเจ้าว่าจะเปิดเผยการสนทนาแก่สาธารณชน ผมไม่อาจละเมิดสัญญาที่ให้ไว้ได้
คุณเองก็เหมือนกัน ชัดเจนว่าคุณได้สัญญาที่จะยอมให้ความคิด แนวคิด และความเชื่อของตัวเองได้รับการท้าทายต่อเนื่อง แน่ชัดเหลือเกินว่าคุณได้ให้คำมั่นกับตัวเองจากเบื้องลึกว่าจะเติบโตตลอดเวลา เพราะมีแต่ผู้ที่ผูกมัดตัวเองในลักษณะนี้เท่านั้นที่จะหยิบหนังสือแบบนี้ขึ้นมา
ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าเรากำลังลงเรือลำเดียวกันอยู่..และไม่มีอะไรให้ต้องกลัว เราเป็นอย่างที่เป็นและทำอย่างที่ทำก็ด้วยเหตุผลนี้ ทั้งหมดที่เราต้องทำคือให้จริงแท้ต่อตรงนี้ไว้และไม่ต้องกลัว สิ่งที่ตอนนี้ผมรู้..ซึ่งผมเดาว่าตัวเองได้รู้มาตลอดก็คือ ทั้งคุณและผมต่างเป็นผู้นำสารด้วยกันทั้งหมด ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มานั่งเขียนอะไรอยู่ตรงนี้และคุณคงไม่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ เราคือผู้นำสาร..และมีงานให้ต้องทำ อย่างแรก เราต้องแน่ใจว่าเข้าใจสารที่อยู่ในหนังสือชุดนี้ชัด สอง เราต้องนำสารนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตตัวเองเพื่อมันจะก่อประโยชน์ขึ้นมาได้ สาม เราต้องนำสารนี้สู่ผู้อื่น นำสัจจะของมันสู่ทุกชีวิตที่พานพบ...ด้วยตัวอย่างอันเรียบง่ายและงดงามจากเรา
ผมดีใจที่คุณเดินทางไปกับผม มันง่ายแล้วก็สนุกกว่ากันมากถ้ามีคุณร่วมทางไปด้วย เรามาออกเดินทางไปกับหนังสือเล่มนี้ด้วยกันนะครับ มันอาจทำให้คุณรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักตรงที่มันไม่เหมือนกับ เล่ม1 เพราะเล่มนั้นเป็นเหมือนอ้อมกอดจากพระผู้เป็นเจ้า..โอบไหล่เราด้วยความแนบแน่นและอบอุ่น ส่วน เล่ม 2 นี้ยังเปี่ยมด้วยรักไม่น้อยไปกว่ากัน ทว่ามีการเขย่าไหล่เล็กน้อยอย่างอ่อนโยน เหมือนเป็นการปลุกให้ตื่น เป็นคำท้าให้ก้าวสู่ขั้นต่อไป
คุณรู้ไหมครับว่ามีขั้นต่อไปให้ก้าวต่อเสมอ วิญญาณของคุณ (ซึ่งมาที่นี่เพื่อมีประสบการณ์ล้ำเลิศที่สุด..ไม่ใช่ต่ำตื้นสุด มากสุด..ไม่ใช่น้อยสุด) ไม่อยากให้คุณหยุดอยู่เฉยๆ หรอก ขณะที่ทางเลือกขึ้นกับคุณเสมอ ทว่าวิญญาณของคุณจะไม่อยากให้คุณนิ่งนอนใจหรือพอใจกับตัวเอง และแน่นอนไม่อยากให้คุณเฉื่อยเนือยด้วย เพราะมีหลายสิ่งเหลือเกินบนโลกนี้ที่ต้องเปลี่ยนแปลง หลายอย่างที่รอให้คุณสร้างสรรค์ขึ้นมา มีภูเขาลูกใหม่ให้ปีนป่ายเสมอ มีเขตแดนใหม่ให้สำรวจ มีความกลัวใหม่ให้ข้ามพ้น รวมถึงมีที่ทางที่สูงล้ำกว่า แนวคิดที่กว้างกว่าเดิม และวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน
ฉะนั้นหนังสือเล่มนี้อาจชวนอึดอัดกว่า เล่ม1 เล็กน้อย โปรดอยู่กับความไม่สบายนั้นถ้า (และเมื่อ) คุณรู้สึกขึ้นมา จับเรือไว้ให้มั่นถ้ามันเริ่มสั่น แล้วใช้ชีวิตไปบนกระบวนทัศน์ใหม่ หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็ช่วยสร้างขึ้นมาใหม่เลย..ผ่านความงดงามและตัวอย่างจากการใช้ชีวิตของคุณ
[b]นีล โดนัลด์ วอลช์
แอชแลนด์, โอเรกอน[/b]
มีนาคม 1997
เวลาอ่านหนังสือเล่มหนาแล้วผมจะเบื่อง่าย..ไม่ว่าจะน่าอ่านขนาดไหนก็ตาม..
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 11
8) จริงๆเบื่อก็เป็นอารมณ์อย่างนึง ในหลายพันหลายหมื่นอย่างของมนุษย์เรา
มักเกิดจากการยึดติด
ถ้าสติมีสมาธิแน่นๆ หรือฝึกมานานๆ
จิตจะมองเห็นตัวเบื่อเลยครับ
ตามที่ผมเรียนมา พอมองเห็นก็กำหนด (อ้อ) "เบื่อหนอ"
ก็ปล่อยวางได้ จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ จนนิสัยที่เราไม่ชอบหายไปได้
แต่ถ้าพี่บีคิดว่าเบื่อๆบ้างก็ดี อย่าไปงามพร้อมมันมากนัก
อันนี้คงคล้ายๆที่ผมชอบเที่ยวคาเฟ่ มันเบื่อๆอยากๆพิกล....ฮ่า...
มักเกิดจากการยึดติด
ถ้าสติมีสมาธิแน่นๆ หรือฝึกมานานๆ
จิตจะมองเห็นตัวเบื่อเลยครับ
ตามที่ผมเรียนมา พอมองเห็นก็กำหนด (อ้อ) "เบื่อหนอ"
ก็ปล่อยวางได้ จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ จนนิสัยที่เราไม่ชอบหายไปได้
แต่ถ้าพี่บีคิดว่าเบื่อๆบ้างก็ดี อย่าไปงามพร้อมมันมากนัก
อันนี้คงคล้ายๆที่ผมชอบเที่ยวคาเฟ่ มันเบื่อๆอยากๆพิกล....ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 12
ป้าด อืม น่าสนครับ
อ่านโฆษณาแล้ว เริ่มสนใจ กำลังคิดว่า จะไปหาต้นฉบับ ภาษาอังกฤษมาอ่าน
พอลองไปหาข้อมูลต่อ ใน wikipedia มี 9 เล่มครับ :shock:
ผมว่าแกกะจะเอา ให้รวยกว่า JK Rowing แน่ๆ
เห็นแล้วถอยเลย เยอะจัง สงสัยอ่านจริงๆ คงอ่านไม่ไหว ยิ่งเจอสำนวนยากๆ ด้วย
http://www.cwgthemovie.com/main.html
พี่บีได้ดูหนังหรือเปล่าครับ เทียบกับหนังสือได้มั้ย เผื่อจะย่อยง่ายๆหน่อย :oops:
อ่านโฆษณาแล้ว เริ่มสนใจ กำลังคิดว่า จะไปหาต้นฉบับ ภาษาอังกฤษมาอ่าน
พอลองไปหาข้อมูลต่อ ใน wikipedia มี 9 เล่มครับ :shock:
ผมว่าแกกะจะเอา ให้รวยกว่า JK Rowing แน่ๆ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
The CwG series
The following are the nine books in the Conversations with God series. Each of these books is a conversation between Neale Donald Walsch and "God" with the following two exceptions: "Communion with God" is written only by "God", and "Conversations with God for Teens" compiles questions for God written by teens.
Conversations with God Book 1 (1995)
Conversations with God Book 2 (1997)
Conversations with God Book 3 (1998)
Friendship with God (1999)
Communion with God (2000)
Conversations with God for Teens (2001)
The New Revelations (2002)
Tomorrow's God: Our Greatest Spiritual Challenge (2003)
Home with God: In a Life That Never Ends (2006)
The first three books in the series are often called the CwG trilogy. Home with God tells us that it is the final book in the series.
http://www.cwgthemovie.com/main.html
พี่บีได้ดูหนังหรือเปล่าครับ เทียบกับหนังสือได้มั้ย เผื่อจะย่อยง่ายๆหน่อย :oops:
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 13
[quote="por_jai"]8) จริงๆเบื่อก็เป็นอารมณ์อย่างนึง ในหลายพันหลายหมื่นอย่างของมนุษย์เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 1667
- ผู้ติดตาม: 0
สนทนากับพระเจ้า: การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา
โพสต์ที่ 15
ผมเคยอ่าน เรื่อง เมื่อข้าพเจ้าพบจานบิน
เขาบอกว่า พวกมนุษย์ต่างดาวที่คนเคยพบ บอกว่า เป็นผู้สร้างโครงการทดลองทางชีววิทยาในโลกนี้ และถ่ายทอดความรู้ให้กับอารยธรรมโบราณต่างๆ อ่านไปแล้วก็คิดถึงนิยายวิทยาศาสตร์
แต่ก็มีการผูกโยงถึง การค้นพบในประวัติศาสตร์ ได้อย่างไม่ขัดเกินไปนัก
ในบ้านเรา คนที่ติดต่อกับ ชีวิตในต่างภพภูมิได้ ก็มีนี่ครับ
เขาบอกว่า พวกมนุษย์ต่างดาวที่คนเคยพบ บอกว่า เป็นผู้สร้างโครงการทดลองทางชีววิทยาในโลกนี้ และถ่ายทอดความรู้ให้กับอารยธรรมโบราณต่างๆ อ่านไปแล้วก็คิดถึงนิยายวิทยาศาสตร์
แต่ก็มีการผูกโยงถึง การค้นพบในประวัติศาสตร์ ได้อย่างไม่ขัดเกินไปนัก
ในบ้านเรา คนที่ติดต่อกับ ชีวิตในต่างภพภูมิได้ ก็มีนี่ครับ
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com