
..สมมติว่าคุณมีคำถาม....สมมติว่าคำถามมีคำตอบ..
..สมมติว่ามีการสนทนา....สมมติว่าเป็นการสนทนาที่ไม่ธรรมดา..
คืนก่อนที่ชายตกอับ (นีล โดนัลด์ วอลช์) จะฆ่าตัวตาย เขาตัดสินใจระบายความขมขื่นและโกรธเกรี้ยวทั้งมวลลงไปในกระดาษเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม และทำไมชีวิตจึงเป็นเช่นนี้ ? พลันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ เขาได้รับการสื่อสารจาก เสียงที่ไร้เสียง บอกให้เขียนบางสิ่งลงไปในกระดาษ...
อยากจะรู้จริง ๆ หรือแค่อยากระบาย ?
จากนั้น การสนทนา ในรูปแบบที่ไม่ธรรมดาก็เริ่มต้นขึ้น บทสนทนาเหล่านั้นได้รับการบันทึกเป็นเอกสารที่มีความยาวกว่าหนึ่งพันหน้ากระดาษในชื่อ Conversations with God
การพูดคุย สุดลึกซึ้งที่เปลี่ยนชีวิตผู้อ่านมาแล้วนับล้าน ได้รับการแปลแล้วกว่า 37 ภาษา ยอดขายกว่า 20 ล้านเล่มทั่วโลก
..สมมติว่าคุณกำลังจะได้เริ่มต้นการสนทนาที่ไม่ธรรมดา..ของคุณเอง..
http://www.ohmygodbooks.com/
ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งก็รู้สึกสะดุดกับชื่อไม่น้อย แต่ไม่ได้สนใจที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะคำว่า God บนหน้าปกเป็นเหมือนเส้นกั้นไม่ให้เข้าใกล้ไปกว่านั้น สารภาพตามตรงว่าสำหรับชาวพุทธบ้าน ๆ อย่างผมไม่มีอารมณ์ร่วมหรือผูกพันกับคำ ๆ นี้เลย แม้จะเคยเรียนในโรงเรียนที่สอนเรื่องพระเจ้าอยู่สิบกว่าปีก็ตาม
...หลังจากวันนั้นยังได้แวะเวียนไปร้านหนังสือแห่งนั้นอีกเป็นระยะ ทุกครั้งก็จะเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่ เป็นปีผ่านไปก็ยังไม่คิดจะหยิบมาเปิดอ่านเช่นเดิม...
แม้จะไม่ไยดีแต่ลึก ๆ ก็รู้แก่ใจว่าชื่อหนังสือเล่มนี้รบกวนจิตใจมาตลอดนับแต่ครั้งแรกที่เห็น คุยกับพระเจ้า? คุยอะไร? บ้าหรือเปล่า? พระเจ้าอะไรอีก? จนวันหนึ่งได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาพลิก ๆ ดูแบบไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรดี เผยแพร่ศาสนา? ลัทธิอุบาทว์? คนเพี้ยนสติเฟื่อง? นิวเอจกำมะลอ? ฯลฯ คำถามสารพัดผุดขึ้นในหัว หยิบวาง ๆ อยู่ห้าหกรอบจึงตัดสินใจว่าจะลองซื้อมาอ่านดู ตอนจ่ายเงินก็ยังปลอบใจตัวเองว่าถ้าอ่านแล้วไม่มีอะไรให้จดจำก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเล่มหนึ่งแล้วกัน อย่าคิดมากเลย ...แต่ถ้าเกิดมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาล่ะ
เริ่มอ่านด้วยอารมณ์ว่างเปล่า อ่านไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกหลายอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้น น่าแปลกที่ไม่รู้สึกมีปัญหากับคำว่า พระเจ้า ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อย่างที่คิดไว้แต่แรก แถมหลายช่วงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายตะวันออกในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมายาวนานเหลือเกินแล้ว สุดท้ายอ่านจบด้วยอารมณ์สะท้านและกระเจิดกระเจิง
หลายคนตั้งคำถามว่าตกลงนี่คือหนังสืออะไร...หรือของศาสนาไหนกันแน่
ในที่นี้ผมคงสรุปแทนใครไม่ได้ อยากให้ผู้อ่านลองอ่านแล้วสรุปเองจะดีกว่า ส่วนคำตอบที่ผมมีให้ตัวเองหลังอ่านจบก็คือ นี่ไม่ใช่หนังสือศาสนา อีกทั้ง พระเจ้า ในที่นี้ก็ไม่ใช่แบบที่พวกเราคุ้นเคย หากว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องเป็นอะไรสักอย่างให้ได้ มันก็คงเป็นได้ทุกอย่างตามแต่จริตพื้นฐานและจินตนาการของแต่ละคน ซึ่งที่จริงเราไม่จำเป็นต้องนิยามหรือระบุสังกัดให้หนังสือเล่มนี้เลยก็ได้
ผู้อ่านย่อมมีสิทธิที่จะรับหรือไม่รับหนังสือเล่มนี้ ทว่าโปรดอย่ารีบปฏิเสธเพียงเพราะข้างในมีเนื้อหาต่างไปจากสิ่งที่เคยได้รับการสั่งสอนหรือปลูกฝังกันมา ไอน์สไตน์พูดไว้ลึกซึ้งว่าเราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยระดับคิดเดียวกับที่เราสร้างปัญหาขึ้น ฉะนั้นหากอยากให้ชีวิตและโลกใบนี้ต่างไปจากเดิมบ้าง เราอาจต้องยอมเปิดรับชุดความคิดหรือคำตอบใหม่ ๆ ซึ่งต่างไปจากที่คุ้นเคยบ้างเช่นกัน บางครั้งคำตอบที่ว่าใหม่นี้อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งใหม่ในความหมายที่แท้จริงเสมอไป อาจเป็นเพียงของเก่าที่ได้เวลาสำแดงตนในมุมมองและความเข้าใจใหม่ เพราะเราไม่จำเป็นต้องละทิ้งสิ่งเก่าด้วยการทุบทำลายถ่ายเดียว บางคราวเพียงเปลี่ยนวิธีเข้าหา เพิ่มส่วนผสมบางอย่างเข้าไป หรือขยายออกจากสิ่งเดิมก็ทำให้เราได้สิ่งใหม่แล้ว
ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องเชื่อตามหรือเห็นด้วยกับหนังสือเล่มนี้เลย ถ้าเห็นด้วย..นั่นก็เพราะเขาได้พบความจริงของตัวเอง แต่ถ้าไม่..ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากเขาไม่ได้พบความจริงของตัวเอง ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความจริงของตัวเขาเองในท้ายที่สุดอยู่ดี ไม่สำคัญเลยว่าหนังสือเล่มนี้จะพูดหรือกล่าวอ้างอะไร ไม่สำคัญกระทั่งว่าผู้อ่านจะเชื่อใน พระเจ้า หรือไม่ สำคัญที่เราได้พบความจริงอะไรในตัวเองบ้างหลังอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เรารู้สึกอย่างไรต่อตัวเอง เพื่อนมนุษย์ และสรรพสิ่งเมื่อเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย นี่ต่างหากที่เป็นจุดใหญ่ใจความ เราอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อสุดท้ายจะหวนกลับมาสังเกตประสบการณ์และฟังความจริงของตัวเอง แล้วเริ่มจากตรงนั้น
สนทนากับพระเจ้า เป็นหนังสือที่โดยเนื้อหาแล้วผู้แปลอยากแปล สำนักพิมพ์อยากทำ และผู้มีส่วนร่วมทุกคนเต็มใจ องค์ประกอบง่าย ๆ แค่นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ง่ายเลยในบรรยากาศที่ระบบกำไรขาดทุนเข้ากำหนดเกือบทุกอย่างเช่นในปัจจุบัน สำนักพิมพ์จึงขอกล่าวด้วยความนอบน้อมไว้ ณ โอกาสนี้ว่าในการจัดพิมพ์ สนทนากับพระเจ้า เรามุ่งหวังเพียงว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนและสังคมนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย มิได้มีเจตนาที่จะจาบจ้วงต่อหลักความเชื่อของผู้ใด หรือต้องการจะเผยแพร่ลัทธิหรือมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใดเลย
สำนักพิมพ์ขอขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจแด่ผู้แปล คุณรวิวาร โฉมเฉลา คุณจิตติ หนูสุข Mr. William Kuipers อ.สุวินัย ภรณวลัย อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อ.ไสว บุญมา พี่พจน์--พจนา จันทรสันติ พี่เวียง--วชิระ บัวสนธ์ พี่โจ--มณฑานี ตันติสุข คุณสุธีรา พิทยเมธี คุณสุนทร กตัญญูบุญญาพงศ์ คุณเกรียงไกร สนธิมาส รวมถึงทุกท่านและทุกสิ่งที่มิได้เอ่ยนามในที่นี้ สำหรับความช่วยเหลือ คำแนะนำ กำลังใจ โอกาส และความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่มอบให้ คุณมงคล เตชะกิจจาทร ผู้มีพระคุณกับสำนักพิมพ์และให้ความรักไม่มีสิ้นสุดแก่ใครบางคนในกองบรรณาธิการ และสุดท้าย พี่ไก่--ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์ ผู้คอยชี้แนะสิ่งดี ๆ มาตั้งแต่ก่อนวันแรกของสำนักพิมพ์จนถึงวินาทีนี้
ด้วยความขอบคุณ
บรรณาธิการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือเล่มนี้มาสู่ชีวิตฉันอย่างแปลกประหลาด มันถูกส่งมาจากอเมริกาสำหรับอดีตสามีของฉัน ซึ่งกลายเป็นนักบวชไปแล้ว ส่วนฉัน ซึ่งเวลานั้นสนใจการปฏิบัติจิตแนวพุทธไม่เคยคิดที่จะหยิบมาเปิดดู สืบเนื่องจากชื่อที่มีคำว่า พระเจ้า ของมัน
ฉันเกิดและเติบโตมาท่ามกลางสองความเชื่อ พ่อ -คริสต์ แม่- พุทธ ตอนเล็ก ๆ ฉันเข้าโบสถ์ และไปวัด เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ฉันหยุดกราบพระ แต่อธิษฐานกับพระเจ้าก่อนกินข้าวและเข้านอน ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยฉันบอกลาพระเจ้า และกล่าวกับพระองค์ว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง และหนทางของพระองค์เป็นจริงแล้ว ขอจงเรียกฉันกลับมาด้วย
ฉันเริ่มอ่านกฤษณมูรติ พุทธมหายาน วัชรยาน ฮินดู ซาร์ต กามูส์ นิตเช่ต์ ฯลฯหนังสือแนวจิตวิญญาณทั้งหลายแหล่ที่หนุ่มสาววัยแสวงหาอ่านกัน ทว่า ได้เริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาเดียวกับที่ฉันได้พบหนังสือเล่มนี้
มันร่วงลงมาจากชั้นหนังสือ และพูดกับฉัน จากบรรทัด จากหน้าที่เปิด กระทบ ใจที่กำลังถาม สงสัยและรู้สึกต่อชีวิตขณะนั้น ฉันจึงหยิบขึ้นมาอ่าน นั่นคือบทเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
จากนั้น เป็นเพราะความอยากให้คนอื่น ๆ ได้อ่าน อยากให้ใครที่แสวงหาเหมือนฉันได้ยินเสียงจากชีวิตที่กล่าวแตกต่างออกไป คำสอนที่ถ่ายทอดมานาน ชีวิตชีวาอาจจะเหือดหาย ไม่สามารถสัมผัสข้างใน หรือประสานเข้ากับชีวิตอันเชี่ยวกรากในยุคปัจจุบันของเรา ฉันจึงตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้แม้ว่าจะยังขัดแย้งสงสัย
มหาปัญญาแห่งจักรวาลคืออะไร ? ใช่ พระเจ้า ในนี้หรือไม่? เกี่ยวข้องอย่างไรกับพุทธจิต? ยุคสมัยนี้เป็นยุคแห่งการเผยแจ้งอย่างนั้นหรือ? จากไหน? พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่ามีพระเจ้านี่นา และอีกหลาย ๆ คำถาม แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าแบบที่เราเคยรู้จัก ตรงกันข้ามอาจจะถูกกล่าวหาว่าต่อต้านพระเจ้าด้วยซ้ำ และสิ่งที่พูดคุยกันในนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการปลุกให้ตื่น ตื่นขึ้นด้วยคำถามที่สามารถปลดปล่อยความคับแคบบางอย่างในความคิดของเราได้ ส่วนตัวฉัน มันยังเป็นเสมือนอ้อมกอด อ้อมกอดแห่งคำบอกที่ว่า เธอคือพระเจ้า เธอไม่ใช่คนบาป หรือทั้งเนื้อทั้งตัวเธอคือกองกิเลสอันชั่วช้า( โดยนัยที่ทำให้จิตใจเราชิงชังรังเกียจตัวเองและโลกย์ ร่วงตกในมายาทวิภาวะ)
สนทนากับพระเจ้า ไม่มีคำสอน หรือวิธีการปฏิบัติใด ๆ เพราะไม่ใช่ลัทธิศาสนาใหม่ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขอบฟ้าใหม่สำหรับฉัน ที่ช่างละม้ายกับคำสอนของมหายานที่ว่า ดอกบัวผุดจากโคลนตม ความโลภ โกรธ หลงของเราคือเนื้อนาดินแห่งปัญญา และวัชรยานที่มองว่า กิเลสทั้งหลายของเราคือพลัง และอาจเป็นยานส่งเราไปสู่ความรู้แจ้ง แหละความรู้แจ้งนั้น สำหรับฉัน คืออิสรภาพอันประภัสสร
ฉันคิดว่า ควรจะให้หนังสือกล่าวด้วยตัวมันเองดีกว่าค่ะ...
ขอขอบคุณ ซารา ไวต์ ผู้ส่ง Conversations with God เล่มนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลจากอเมริกา พี่พจนา จันทรสันติ ที่รับรองยินดีในการบรรณาธิกรณ์ ทำให้ฉันมั่นใจเรื่องความถูกต้องของการถ่ายทอดข้ามภาษา แม้ว่าในภายหลัง กิจธุระ และความเปลี่ยนแปลงตามห้วงเวลาจะทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงบรรณาธิการ คุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา บรรณาธิการผู้ละเอียดรอบคอบ และใจดียิ่งกับนักแปลอ่อนหัดอย่างฉัน
ขอบคุณพี่เรืองเดช จันทรคีรี ถ้าไม่มีคำพูดเสมือนรับรองจากพี่ ฉันคงไม่คิดที่จะแปลหนังสือ ขอบคุณอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย คนแรกที่เรียบเรียง สนทนากับพระเจ้า สู่พากย์ภาษาไทย และกระตือรือล้นเป็นกำลังใจในการแปลและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ต้น ขอบพระคุณอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ทำให้ฉันรู้สึกเชื่อมั่น ขอบคุณนีล ยาย ทุก ๆ สิ่งและทุก ๆ คนในชีวิต
ด้วยความรัก
รวิวาร โฉมเฉลา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การอ่านหนังสือเล่มนี้จากฉบับภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อนเป็น ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ที่ลึกซึ้งครั้งหนึ่งในชีวิตของผม
จงอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างช้า ๆ ซึมซับทุกตัวอักษร ดูดซึมความหมายแต่ละคำที่ God ถ่ายทอดให้แก่คุณ ไม่ว่า God ในหนังสือนี้จะมีอยู่จริงหรือเป็นแค่จินตนาการของผู้เขียนก็ตาม แต่นั่นหาใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใดเลย เพราะ God คนนี้ในหนังสือเล่มนี้คือ กัลยาณมิตรที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่ผู้อ่านจะพานพบได้ในชีวิตนี้ กัลยาณมิตรผู้นี้กำลังมาแนะนำวิถีแห่งการใช้ชีวิตที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างงดงามและอย่างมนุษย์ที่แท้
เพราะมนุษย์อย่างพวกเราคือ God ที่แบ่งภาคลงมาเพื่อมีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวเองในฐานะที่เป็นจิตวิญญาณที่สูงส่งดุจ God นี่คือสาส์นที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ที่จะปลุกผู้อ่านให้ตื่นขึ้น และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายเต็มเปี่ยม
เท่าที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ และมีความเป็นไปได้สูงมากว่า คุณ ผู้กำลังหยิบหนังสือเล่มนี้อยู่ จะเป็นคนต่อไป
ประสบการณ์เกี่ยวกับ God เป็นประสบการณ์ที่งดงามและตราตรึงที่สุดในชีวิตของผม ผมผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วทั้งใน ความฝัน เมื่อคืนนี้เองก่อนที่จะเขียน คำนิยม ชิ้นนี้ และใน ชีวิต จริงเมื่อหลายปีก่อนที่ต้องผ่านการทดสอบของ God ดุจตายทั้งเป็น
ไม่มีใครอ่อนหวานไปกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้สัมผัสท่าน
ไม่มีใครอ่อนโยนใจดีไปกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้รู้จักท่าน
ไม่มีใครเปี่ยมปัญญาและเปี่ยมฤทธานุภาพยิ่งกว่า God อีกแล้ว ถ้าคุณได้ประสบและรับคำสอนจากท่าน
หนังสือเล่มนี้จะเป็น ประตู นำผู้อ่านไปรู้จักและสัมผัสกับ God ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับตัวท่านผู้อ่านเองว่าจะมีใจเปิดกว้างแค่ไหนหรือไม่เท่านั้น
ด้วยจิตคารวะและนอบน้อมยิ่ง
สุวินัย ภรณวลัย
30 มิถุนายน พ.ศ. 2549
ท่าพระจันทร์, กรุงเทพฯ
ประเทศไทย
+++++++++++++++++++++++++++++
"ชีวิตคือการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การแสวงหา" จากการพูดคุยที่ร้านเล่า
ผมได้มีโอกาสไปร่วมวงเสวนาที่ "ร้านเล่า" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา บรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง เหมือนวงสนทนาของพี่ๆน้องๆ ในแวดวงคนรักหนังสือด้วยกัน
ผมมีโอกาสได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" ด้วยในวงวันนั้น แต่เนื่องจากเวลามีน้อยก็เลยไม่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจที่มีโอกาสได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อหนังสือเล่มนี้
ในวันนั้นผมได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้ในบางแง่มุมแต่ก็เพียงสั้นๆ วันนี้ผมจึงอยากแสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกไม่น้อยไปกว่านีล คือผมรู้สึกเหมือนกับได้คุยกับ "พระเจ้า" จริงๆ สิ่งที่พระองค์บอกหลายอย่างเป็นสิ่งที่ผมเคยสัมผัส เคยศึกษา เคยอ่านมาจากหลายที่ หลายแหล่งก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะรับฟังมาจากผู้ใหญ่บางคน จากหนังสือธรรมะ หนังสือศาสนา ปรัชญา และอีกหลายอย่างหลายประเภท "ลืมบอกไปว่าผมกลายเป็นคนบ้าหนังสือ บ้าซื้อ บ้าอ่าน บ้าสะสม(ไว้ก่อนมีเวลาค่อยอ่านทีหลัง)"
มีหลายวรรค หลายตอน หลายประโยค หลายคำพูด ของพระเจ้าที่ย้ำถึงสิ่งที่ผมได้รับรู้มาก่อนหน้านี้ และอรรถาธิบายให้ผมได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างเช่น เรื่องความว่างที่อยู่ระหว่าง "ที่นี่" กับ "ที่นั่น" ซึ่งทำให้ผมเข้าใจถึงพลังแห่งจิตปัจจุบัน ที่เคยได้อ่านจากงานของ "เอ็กค์ฮาร์ท โทลเลอ" จากหนังสือ "พลังแห่งจิตปัจจุบัน The Power of Now" รวมไปถึงหนังสือรวบรวมคำสนทนาของท่าน กฤษณะมูรติ หรือแม้แต่ "ความว่าง" ของท่านพุทธทาส พระองค์พูดถึงสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ สักที พระองค์ให้ความกระจ่างเรื่องนี้แก่ผม และมันเป็นความกระจ่างที่ไม่มีวันจางหายไปจากความทรงจำของผมอีก (เหมือนการว่ายน้ำ เมื่อเราว่ายเป็นแล้ว ก็ไม่มีวันลืม)
ต่อจากเรื่องความว่าง สิ่งที่ผมถึ่งอีกอย่างก็คือเรื่อง ของการตื่นรู้ หรือการรู้แจ้ง อย่างที่เราๆ ได้รับรู้รับทราบมานาน จากตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงประสบด้วยพระองค์เอง แต่ผมไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ เลย เพียงแต่รับรู้ว่ามันมีอยู่ มันเป็นจริง และมันเข้าถึงได้ หากเราค้นพบมัน แต่ดูเหมือนมันไม่มีหนทาง หรือไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน มันเหมือนยิ่งค้นหาก็ยิ่งไม่เจอ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งไม่รู้ แต่เมื่อพระองค์บอกว่า ความจริงเราไม่มีอะไรต้องเรียนรู้ เรารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่เราลืมมันไป เรามีหน้าที่เพียงค้นหาตัวตนให้พบเพื่อตื่นขึ้นจากการลืม หรือกลับไปจำได้อีกครั้งเท่านั้น สิ่งที่พระองค์พูดไม่ได้เป็นอะไรใหม่เลย เพียงแต่อธิบายใหม่ให้เข้าใจง่ายๆ กว่าที่เคยมาเท่านั้น "ตื่นรู้" ชัดเจนครับ ตื่นจากความหลับไหลแห่งความไม่รู้ ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตเหมือนคนหลับ เพียงแต่เราตื่นขึ้นเมื่อไหร่เราก็จะกลับมารู้อีกครั้ง ชัดเจนจริงๆครับ มันเหมือนกับความรู้อยู่ในตัวเรา เราขังมันไว้ในที่ใดที่หนึ่ง อยู่ในกล่องหรือถังแห่งความรู้ในตัวเรา เราเพียงแต่ลืม PassWord หรือ Key เอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง ในซอกหลืบแห่งความทรงจำของเรา ทำให้เราไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่ถังความรู้นี้ได้ หรืออาจเป็นเพราะเรายุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมหรือวัตถุที่อยู่ภายนอกอย่างมากมาย จนไม่เหลือช่องว่างเพียงพอให้เรารำลึกรู้ได้ เราก็เลยพลาดโอกาสที่จะกลับไปรู้อีกครั้ง ซึ่งน่าเสียดาย
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ ที่ผมอยากทิ้งท้าย และผมชอบมาก ที่พระจ้าบอกกับนีลว่า มนุษย์มีเพียงอารมณ์ 2 แบบที่กำกับการกระทำของมนุษย์อยู่ทุกๆ การกระทำ หรือมนุษย์กระทำทุกอย่างผ่านสองอารมณ์นี้ คือ รัก และ กลัว ผมคบคิดถึงคำพูดนี้อยู่หลายวัน ตรวจสอบทุกอย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ผมใส่ อาหารที่ผมกิน หรือทุกๆ อย่างที่ประกอบเป็นตัวผม มันล้วนมาจาก 2 อารมณ์นี้จริงๆ และมีเพียงอารมณ์เดียวที่สร้างความทุกข์ให้กับผมที่สุดคือ "ความกลัว" ซึ่งแม้แต่การกระทำบางเรื่องที่ผมเรียกมันว่า "รัก" พอผมสำรวจดูมันจริงมันกลับเป็นความกลัวที่แปะชื่อติดหน้ามาว่า "รัก" มันทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่พระเยซูทรงตรัส และแสดงต่อมนุษย์มากขึ้น เข้าใจว่า "รัก" ที่แท้จริงคืออะไร "รักที่แท้คือรักที่ปราศจากความกลัว"
ยังมีอีกมากครับ..ที่พระองค์ทรงบอก เอาไว้มีโอกาสจะแลกเปลี่ยนใหม่นะครับ
สุมิตรชัย หัตถสาร ([email protected])