wacc หาอย่างไรครับ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
wacc หาอย่างไรครับ
โพสต์ที่ 2
•WACC หรือ Weighted Average Cost of Capital ก็คือ ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของกิจการต่าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นทุนของเงินกู้ยืม (Cost of debt) และต้นทุนส่วนของผู้ถือหุ้น (Cost of equity)
แถม....
หน้าที่หลักของผู้บริหารการเงินก็คือ ต้องพยายามบริหาร WACC ให้มีค่าต่ำ ที่สุด ซึ่งโดยทั่วไป ต้นทุนของเงินกู้ยืม จะมีค่าต่ำกว่าต้นทุนของส่วนของ ผู้ถือหุ้นค่อนข้างมาก ดังนั้น บริษัทใดก็ตามมีโครงสร้างทางการเงินที่สามารถกู้ยืมเงินได้ในระดับที่เหมาะสมกับฐานะการเงินย่อมจะทำให้ WACC มีค่าต่ำกว่าบริษัทที่ใช้ equity ทั้งหมด
แถม....
หน้าที่หลักของผู้บริหารการเงินก็คือ ต้องพยายามบริหาร WACC ให้มีค่าต่ำ ที่สุด ซึ่งโดยทั่วไป ต้นทุนของเงินกู้ยืม จะมีค่าต่ำกว่าต้นทุนของส่วนของ ผู้ถือหุ้นค่อนข้างมาก ดังนั้น บริษัทใดก็ตามมีโครงสร้างทางการเงินที่สามารถกู้ยืมเงินได้ในระดับที่เหมาะสมกับฐานะการเงินย่อมจะทำให้ WACC มีค่าต่ำกว่าบริษัทที่ใช้ equity ทั้งหมด
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
...
โพสต์ที่ 3
WACC เป็นการถ่วงน้ำหนักระหว่างต้นทุนเงินทุนของเจ้าหนี้
และต้นทุนของส่วนเจ้าของ สูตรคือ
WACC = Kd*Wd + Ke*We
ซึ่ง Kd = อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังขั้นต่ำที่เจ้าหนี้ต้องการ
Wd= สัดส่วนของหนี้สิน
Ke = อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังขั้นต่ำที่เจ้าของต้องการ
We = สัดส่วนของเจ้าของ
ลองไปซื้อหนังสือวัดมูลค่าของพี่สุมาอี้ดูครับ พี่เค้าจะอธิบายวิธีหาได้ละเอียดมาก
และต้นทุนของส่วนเจ้าของ สูตรคือ
WACC = Kd*Wd + Ke*We
ซึ่ง Kd = อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังขั้นต่ำที่เจ้าหนี้ต้องการ
Wd= สัดส่วนของหนี้สิน
Ke = อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังขั้นต่ำที่เจ้าของต้องการ
We = สัดส่วนของเจ้าของ
ลองไปซื้อหนังสือวัดมูลค่าของพี่สุมาอี้ดูครับ พี่เค้าจะอธิบายวิธีหาได้ละเอียดมาก
-
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
wacc หาอย่างไรครับ
โพสต์ที่ 6
สอบถามเพิ่มเติมนิดนึงครับ
คือ อยากถามว่า เราจะหาค่า market risk premiumของไทย กับ ค่า beta ของหุ้นในsetแต่ละตัว ได้จากที่ไหนบ้างครับ
และไม่ทราบว่าเวลาพี่ๆคิดค่า intrinsic value ของหุ้นแต่ละตัว เราใช้ wacc ของหุ้นแต่ละตัวมาคิด หรือว่าจะ assume ไปเลยครับว่า discount rate เป็นสัก 10% หรือ 15% เพราะผมรู้สึกว่าบางทีหุ้นในเมืองไทยมันหาค่า waccออกมาไม่ค่อยตรงมากน่ะครับ
ขอบคุณมากๆนะครับ
คือ อยากถามว่า เราจะหาค่า market risk premiumของไทย กับ ค่า beta ของหุ้นในsetแต่ละตัว ได้จากที่ไหนบ้างครับ
และไม่ทราบว่าเวลาพี่ๆคิดค่า intrinsic value ของหุ้นแต่ละตัว เราใช้ wacc ของหุ้นแต่ละตัวมาคิด หรือว่าจะ assume ไปเลยครับว่า discount rate เป็นสัก 10% หรือ 15% เพราะผมรู้สึกว่าบางทีหุ้นในเมืองไทยมันหาค่า waccออกมาไม่ค่อยตรงมากน่ะครับ
ขอบคุณมากๆนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 45
- ผู้ติดตาม: 0
สูตร ตกหล่นไปนะครับ
โพสต์ที่ 7
สูตร wacc = wdkd (1-T) + weke
wd= หนี้สินระยะยาว / สินทรัพย์
kd = ต้นทุนของเงินกู้ เช่น ต้นทุนหุ้นกู้ของบริษัทนั้น
T = tax rate โดยแล้วแต่ประเทศ
ที่ต้องมี ตัวนี้เพราะ ถ้าเราจ่ายดอกเบี้ย มันเป็นค่าใช้จ่ายก่อนคิดภาษี คือเราไม่ต้องเสียภาษี นั่นเอง
We = ส่วนของผู้ถือหุ้น / สินทรัพย์
ส่วน ke คืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการซึ่งมีวิธีหาอยู่ 3 วิธี
1. capm = krf + ( Km - Krf )b แต่วิธีนี้ใช้เบต้า ซึ่งเบต้านั้น เป็นการนำข้อมูลในอดีตมาคำนวน บัฟเฟต์ เลยไม่ชอบ
2. d/p + g คำถามคือ Growth rate มาจากไหน
3. วิธีสุดท้ายก็คือกะ ๆ เอา โดย = krf + km คือเอาพันบัตร บวก กะส่วนชดเชย กับการลงทุนในหุ้นนั้น กะ กะ เอา ครับ เช่น พันธบัตร สิบปี 8% บวกกับ ส่วนชดเชย อีกสัก หก เป็น 14% แล้วก็ไปแทนครับ
wd= หนี้สินระยะยาว / สินทรัพย์
kd = ต้นทุนของเงินกู้ เช่น ต้นทุนหุ้นกู้ของบริษัทนั้น
T = tax rate โดยแล้วแต่ประเทศ
ที่ต้องมี ตัวนี้เพราะ ถ้าเราจ่ายดอกเบี้ย มันเป็นค่าใช้จ่ายก่อนคิดภาษี คือเราไม่ต้องเสียภาษี นั่นเอง
We = ส่วนของผู้ถือหุ้น / สินทรัพย์
ส่วน ke คืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการซึ่งมีวิธีหาอยู่ 3 วิธี
1. capm = krf + ( Km - Krf )b แต่วิธีนี้ใช้เบต้า ซึ่งเบต้านั้น เป็นการนำข้อมูลในอดีตมาคำนวน บัฟเฟต์ เลยไม่ชอบ
2. d/p + g คำถามคือ Growth rate มาจากไหน
3. วิธีสุดท้ายก็คือกะ ๆ เอา โดย = krf + km คือเอาพันบัตร บวก กะส่วนชดเชย กับการลงทุนในหุ้นนั้น กะ กะ เอา ครับ เช่น พันธบัตร สิบปี 8% บวกกับ ส่วนชดเชย อีกสัก หก เป็น 14% แล้วก็ไปแทนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 45
- ผู้ติดตาม: 0
beta หาได้จากไหน
โพสต์ที่ 8
beta หาได้จาก bloomberg ครับ
สำหรับ เบต้านั้นคือการนำเอาราคาของหุ้นมาเปรียบเทียบกับตลาด
นักวิชาการ รวมถึง บัฟเฟต์ จีงค้านเพราะเป็นข้อมูลในอดีต
บัฟเฟต์ จึงใช้ FCF/พันธบัตรสัก 10-20 ปี ไปเลย
สูตรนี้คล้าย ๆ กับ การหา terminal value : FCF ปีท้าย x ( 1+ g / wacc - g )
แต่บัฟเฟต์ ให้ growth rate เป็นศูนย์ และให้ผลตอบแทนที่ต้องการ
คือเท่าพันธบัตรรัฐบาล เพราะเขาถือว่า เขาจะลงทุนในบริษัทที่เขาเข้าใจ จึงไม่มีความเสี่ยง
หลังจากนั้นถ้า เขาจะเพิ่มการเติบโต เขาจะ คูณ การเติบโตเข้าไปทีหลัง
ไม่ก็เอาผลตอบแ ทนที่เราต้องการเลยก็ได้ครับ เช่น อยากได้ 20% ก็ใส่ไป
ดังตัวอย่าง ถ้าบริษัท มีรายได้ปีนี้ 1oo ล้าน มีหนี้ 80 ล้าน มี 50 ล้านหุ้นและเราคิดว่าจะได้รายได้ประมาณนี้ตลอด
ถ้าอยากได้ผลตอบแทน 10% = 100/10% - 80 = 920 /50
ซื้อที่ 18.4 บาท หัก mos 2/3 เหลือ 12.27
ถ้าอยากได้ผลตอบแทน 20% = 100/20% - 80 = 420 /50
ซื้อที่ 8.4 บาท หัก mos 2/3 เหลือ 5.6
ซึ่งราคาจะมีความเป็นไปได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ที่เรากำหนดตัวแปรนี้แหละครับ
สำหรับ เบต้านั้นคือการนำเอาราคาของหุ้นมาเปรียบเทียบกับตลาด
นักวิชาการ รวมถึง บัฟเฟต์ จีงค้านเพราะเป็นข้อมูลในอดีต
บัฟเฟต์ จึงใช้ FCF/พันธบัตรสัก 10-20 ปี ไปเลย
สูตรนี้คล้าย ๆ กับ การหา terminal value : FCF ปีท้าย x ( 1+ g / wacc - g )
แต่บัฟเฟต์ ให้ growth rate เป็นศูนย์ และให้ผลตอบแทนที่ต้องการ
คือเท่าพันธบัตรรัฐบาล เพราะเขาถือว่า เขาจะลงทุนในบริษัทที่เขาเข้าใจ จึงไม่มีความเสี่ยง
หลังจากนั้นถ้า เขาจะเพิ่มการเติบโต เขาจะ คูณ การเติบโตเข้าไปทีหลัง
ไม่ก็เอาผลตอบแ ทนที่เราต้องการเลยก็ได้ครับ เช่น อยากได้ 20% ก็ใส่ไป
ดังตัวอย่าง ถ้าบริษัท มีรายได้ปีนี้ 1oo ล้าน มีหนี้ 80 ล้าน มี 50 ล้านหุ้นและเราคิดว่าจะได้รายได้ประมาณนี้ตลอด
ถ้าอยากได้ผลตอบแทน 10% = 100/10% - 80 = 920 /50
ซื้อที่ 18.4 บาท หัก mos 2/3 เหลือ 12.27
ถ้าอยากได้ผลตอบแทน 20% = 100/20% - 80 = 420 /50
ซื้อที่ 8.4 บาท หัก mos 2/3 เหลือ 5.6
ซึ่งราคาจะมีความเป็นไปได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ที่เรากำหนดตัวแปรนี้แหละครับ