|0 คอมเมนต์
ค่ะ พี่หวี เอาตามนั้นก็ได้ค่ะ :D
...........................................
พี่ macarian ...
พี่จะไปสายไหน ก็สุดแล้วแต่พี่ค่ะ (มันอยู่ที่ถูกจริตกะพี่มั้ย ซึ่งพี่ต้องลองดูค่ะ)
จะอธิบายคร่าวๆก่อน ว่า จริงๆ ในสติปัฐฐานสี่ คือจะประกอบด้วย อาณาปานสติทั้ง 16 ขั้นค่ะ
ซึ่งในกรณีแบบที่ดิฉันใช้ปฏิบัติ นั่นก็มีสมถะร่วมอยู่ด้วยนะคะ แล้วขั้นท้ายๆจึงจะเข้าสู่วิปัสสนาล้วนๆ โดยเฉพาะในหมวดสุดท้าย คือ ธัมมานุปัสสนาสติปัฐฐาน
ในสูตรอาณาในแบบที่ พุทธทาสแนะนำ (หรือเข้าใจว่าเป็นสูตรมาตรฐานทั่วไปนั่นเอง) ถ้าทำความเข้าใจในสูตรนั้น จะพบว่า มีการผสมผสาน ระหว่าง สมถะ และ วิปัสสนา อย่างลงตัว
คำว่าลงตัว ในความเห็นดิฉัน หมายถึงว่า เป็นสูตรมาตรฐาน ซึ่งหมายถึง มันเหมาะสมพอดีๆ กะทุกระดับบัว(ผู้ปฏิบัติ) หรือว่าง่ายๆ มันอยู่กลางๆระหว่างความยากง่าย สำหรับคนทั่วไปเฉลี่ยกัน
วิธี สมถะ อธิบายง่ายๆ ภาษาบ้านๆคือ ใช้วิธีใดใดที่เข้าไปทำให้จิตสงบระงับได้ด้วยวิธีการ กระทำ ในที่นี้เช่น การบังคับลม การบังคับให้เกิดนิมิต การบังคับจิตให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บังคับลม ให้ลมไปบังคับกาย ให้กายบังคับจิต ...ทำนองนี้
วิธี วิปัสสนา มีหลักการต่างออกมา คือ การใช้ปัญญา การรอบรู้เป็นรากฐานของการรู้แจ้ง ในที่นี้คือ เข้าใจ และ พิจารณาถึง ไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
(พี่ลอง กลับไปอ่านที่ดิฉันโพสท์ ในกระทู้ หัดทำสมาธิของพี่ก้อนหิน ก่อนก็ได้ค่ะ จะเห็นว่ามันสอดประสานกันอยู่ ทั้งสองวิธี)
ที่ว่า ลงตัว ดิฉันอยากให้ลองนึกภาพตามแบบนี้ค่ะ
สมมติ เราอยากจะฝึกโยคะ แต่ไม่เคยเรียนมาก่อน ไม่เคยมีพื้นฐานใดใด ในทำนองว่า เคยฝึกให้ตัวอ่อนมาก่อน อย่างนี้เราควรต้องเริ่มจากท่าพื้นฐานง่ายๆ ...ดัดให้เส้นสายต่างๆ กระดูกกระเดียวไร มันพริ้ว มันเหมาะควรแก่การจะเรียน โยคะ ...ถูกมั้ยคะ นั่นล่ะ ทำนองนั้นเลยค่ะ
ทีนี้ ที่ว่ามันเหมาะสม มันพอดีๆ ใช้ได้กะพวกบัวในทุกระดับทั่วไป(คือหมายถึงบัวที่ปริ่มๆหรือพ้นน้ำมาแล้วหน่อยๆ ก็ยังใช้ได้)
ก้เพราะว่า ในขั้นที่กำหนดจนเกิดปีติสุขอย่างธรรมได้เองแล้ว (พวกเส้นยึดอาจบอกว่าขั้นนี้ยากแล้ว แต่พวกเส้นพริ้วอาจบอกว่าขั้นนี้หมู) ก็จะต้องปฏิบัติในขั้นยากกว่า คือ ต้องกำราบการยึดปีติสุข(อันแสนหวานนั้น)ให้หมดสิ้นไป
ซึ่งพวกเส้นพริ้ว ชักเริ่มรู้ว่า ไม่หมูมากนักแล้ว
แล้วพอกำราบให้จิตอันดื่มด่ำในสุขนั้น ให้มันสงบระงับลงได้ ก็ยังต้องฝึกดูและทำความเข้าใจในจิตประเภทต่างๆว่า มันมีมากมายกี่แบบ
แล้วจากนั้น ยังต้องกลับมาทดลองซ้ำอีก ให้กำหนดให้เกิดปีติปราโมทย์อีกรอบ แต่คราวนี้ ต้องฝึกบังคับพวงมาลัยด้วย คือ บังคับให้คงอยู่ บังคับให้ตั้งมั่น ว่า เมื่อใดก้ได้ เท่าไรก็ได้
...จนกว่าจะ นิ่ง จนถึงขั้นที่สุดของความนิ่ง คือความว่าง เป็นความนิ่ง อย่างถึงที่สุด.....นี่ กว่าจะมาถึงปากประตู ของหมวด ธัมมานุปัสสนา ....มันก็เล่นเอาหอบแห่กๆ :lol: ต้องปลุกปล้ำกันสนุกสนานอย่างนี้ จนกว่าจะขับขี่ได้คล่องแคล่วอย่างแท้จริง...ถึงจะเข้าสู่หมวดสุดท้ายได้............
ทีนี้ บางท่าน ที่มั่นใจว่า ฉันเป็นคนไม่ชอบติดยึด ฉันไม่สนใจในอารมณ์ ความรู้สึก ซักเท่าไรอยู่โดยกมลสันดานเดิม อยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วฉันก็รู้ว่า จิตต่างๆทั้งหลาย ล้วนไม่เที่ยงแท้ ...อะไรทำนองนี้
เขาก็ลัดมาจ่ออยู่ที่ ปากทางของ ธัมมานุปัสสนา ได้เลยก็ได้ คือสามารถหยิบอาวุธ ไตรลักษณ์ มาใช้การได้เลย
เดินไปไหนก็ อนิจจัง ไปไหนก็ ทุกขัง ไปไหนๆก็ อนัตตา ...
คำว่า ไม่ยึดติด มันเป็นคำง่ายๆ ซิมเปิ้นๆอีซี่ๆโซๆเพลนๆ ล่ะ ว่าได้งั้น
มันเป็นคำที่เข้าใจความหมายได้ง่ายมากๆ แต่ทำจริงๆได้ยากแสนเข็ญ
ลองฟังตย.นี้ดู....
มีพระสงฆ์รูปนึง ไปฝึกปฏิบัติที่วัดท่านพุทธทาส แล้วก็มีกล้องไปถ่ายรูปไว้(ก็ไม่แปลกล่ะ ไว้เป็นที่ระลึกมั้ง)
แล้วคนที่วัดก้เยอะแยะ แล้วกล้องท่านก็หาย ท่านก็มาหาพุทธทาส เพื่อแจ้งว่า นี่นะ กล้องหายล่ะ
ท่านพุทธทาส ก็พูดแค่ประโยคสั้นๆ...."มีมาก ก็แบ่งคนอื่นเขาใช้บ้าง"
ไม่ต่างนักกะเวลาที่ เราทำบุญ ทำทาน...เราทำเพราะอยากได้บุญ หรือ ทำเพราะจะฝึกการ ปล่อยวาง....อันนี้ใครก็ตอบแทนไม่ได้ นอกจากตัวเราเอง
เช่นกัน เราปฏิบัติภาวนา เราทราบของเราเอง ว่าเราทำไปเพื่อคาดหวังจะได้เป็นนั่นเป็นนี่ ...หรือเราทำไปเพื่อจะไปสู่ทางแห่งการหลุดพ้นจากวัฏฏะ
