คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 1
พอดีวันก่อนแอบได้ยินเพื่อนนักลงทุนคุยกัน มีคนนึงพูดประมาณว่า
"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"
พอดีไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เลยไม่อยากแย้ง ว่า Ego กับ Self-confidence มันต่างกันนะเพื่อน
ยังไงมันก็อาจจะมีส่วนจริงนะ ว่าไงกันมั่งครับ?
"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"
พอดีไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เลยไม่อยากแย้ง ว่า Ego กับ Self-confidence มันต่างกันนะเพื่อน
ยังไงมันก็อาจจะมีส่วนจริงนะ ว่าไงกันมั่งครับ?
I do not sleep. I dream.
-
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 2
จริงเหรอคับ ว่าเล่นเทคนิคเจ๊งหุ้นแล้วเฮฮา?
ผมว่าทั้ง VI VS TA MUA เจ๊งหนักๆก็เครียดหมดแหละ
เจ๊งเล็กเจ๊งน้อยคงไม่เครียด
เรื่องความเชื่อมั่นในตนเองน่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของนักลงทุนอยู่แล้ว อาจจะเลยเถิดกลายเป็น ego สูง ก็ไม่น่าแปลกอะไรนะ
ผมว่าทั้ง VI VS TA MUA เจ๊งหนักๆก็เครียดหมดแหละ
เจ๊งเล็กเจ๊งน้อยคงไม่เครียด
เรื่องความเชื่อมั่นในตนเองน่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของนักลงทุนอยู่แล้ว อาจจะเลยเถิดกลายเป็น ego สูง ก็ไม่น่าแปลกอะไรนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 3
ดิฉันว่าทุกวีควรมั่นใจตัวเอง มากกว่าสัดส่วนที่ต้องมั่นใจในคนอื่น แต่ไม่ได้หมายถึง ไม่สนใจในสัดส่วนที่จะใส่ความมั่นใจลงไปในคนอื่นเลย
แต่การเลยเถิดมั่นมากๆ จนกลายเป็น ปิดหูปิดตา อันนี้ไม่น่าจะดี ไม่ว่าจะวีไหนๆ
มันก็ใช้ได้กะทุกเรื่องนะ ไม่ใช่แค่การลงทุน
แต่การเลยเถิดมั่นมากๆ จนกลายเป็น ปิดหูปิดตา อันนี้ไม่น่าจะดี ไม่ว่าจะวีไหนๆ
มันก็ใช้ได้กะทุกเรื่องนะ ไม่ใช่แค่การลงทุน
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 4
เห็นด้วยกับคุณ VI เพราะคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่ยืนอยู่ด้วยเหตุและผล ก็เป็นที่มีEGOต่ำได้ครับ หรือภาษาพระท่านว่า ไม่มีตัวกูของกู ไม่ยึดติดกับอารมณ์ ทั้งภายในและภายนอกViewtiful Investor เขียน:พอดีวันก่อนแอบได้ยินเพื่อนนักลงทุนคุยกัน มีคนนึงพูดประมาณว่า
"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"
พอดีไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เลยไม่อยากแย้ง ว่า Ego กับ Self-confidence มันต่างกันนะเพื่อน
ยังไงมันก็อาจจะมีส่วนจริงนะ ว่าไงกันมั่งครับ?
พวกเทคนิค(ที่ไม่เก่ง)จะเอาอะไรมาแนะนำหล่ะ ในเมื่อ เจ๊งหุ้นกัน พอเข้ามาคุยกับ ก๊วนVI มีคุยกันแต่เรื่องกำไร และพอถามหุ้นxxx ก็อาจถูกตอกกลับว่า หุ้นพวกนั้นเน่าหรือปั่น VI ไม่เล่นด้วยหรอก และก็กลับไปคุยกันในส่วนพื้นฐานกับกลุ่มต่อ(หรือก็อาจขอฝอยบ้างเป็นธรรมดา เพื่อให้คุณเปลี่ยนแนวลงทุน)
สรุปคุยได้ไม่เกิ10นาที นายเทคนิคก็ถอยออกมา และก็พูดออกมาว่าไอ้พวกกนี้ ego สูงจังเลย
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 5
มันก็คงมีบ้างไม่มีบ้าง
สูงบ้างต่ำบ้าง
:lol:
สูงบ้างต่ำบ้าง
:lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 7
เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากเลยครับ
VI (พันธ์แท้ เทียมๆไม่นับ) เวลาจะซื้อหุ้นตัวนึงต้องศึกษาหุ้นที่ตัวเองจะซื้ออย่างดี ขุดแล้วขุดอีก หาข้อมูลแล้วหาข้อมูลอีก ต้องมั่นใจมากๆ ถึงได้เข้าซื้อ เพราะเวลาลง VI จะไม่ขายง่ายๆ แม้จะขาดทุน ก็ตาม
นักเทคนิค (พันแท้ เทียมๆไม่นับ) พวกนี้จะไม่ได้คิดว่ากราฟถูกต้อง 100% อยู่แล้ว เค้าจะมีจุด Stoploss คือ จุดขายก็ต้องขายทิ้ง หุ้นขึ้นก็ let profit run
ในหัวใจไม่มีอะไรในโลกแน่นอน 100% ตลาดบอกให้ขายก็ขาย บอกให้ถือก็ถือ พวกคนกลุ่มนี้จะทำตามตลาด
พวกเล่นการพนันรายวัน แต่บอกว่าเป็น VS หรือ VI อันนี้ ผมเห็นเยอะ วันๆแทงขึ้น แทงลง ตามความรู้สึก ไม่ได้มีหลักการแต่อย่างใด พวกนี้ที่ผมเห็นมักเป็นคนมองโลกในแง่ดี(เกินไปหรือเปล่าหว่า) เฮฮาปาตี้ หุ้นขึ้นเป็นนักเก็งกำไร หุ้นลงติดหุ้นเป็น VI ทันที
ทีนี้ลองคิดถึงคน 3 กลุ่มนี้ มาคุยกัน
สมมุติ SNC แล้วกันนะครับกำลังฮิต สมมุติ ซื้อ SNC 5 บาท แล้ววันนี้ราคาตลาดอยู่ที่ 4.5 บาท
- VI พันแท้จะบอกว่า ผมไม่ขายแน่นอน เพราะผมดูมาดีแล้ว พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน ไม่มีใครทำนายราคาหุ้นระยะสั้นได้หรอก
- เทคนิคอลพันแท้ จะแย้งว่า เฮ้ย แล้วคุณรู้จัก SNC ดีขนาดนั้นเหรอ คุณโดนเจ้าของมันหลอกหรือเปล่า ไม่มีใครรู้จริงหรอก ผมขายก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอหุ้นมันขึ้น ผมกลับไปเข้าเป็นเพื่อนคุณนะ
- พวกกลุ่มแทงหวย จะทำนายยากที่สุด แล้วแต่อารมณ์ของพวกเค้าในวันนั้น ถ้าพวกเค้าอยากถือ เค้าจะแปลงร่างเป็น VI และพูดเป็นชุดๆว่าหุ้นนั้นดียังไงตามแต่ข้อมูลในหัวตอนนั้นจะมี ถ้าพวกเค้าอยากขาย เค้าจะยกคำพูดของนักเทคนิค และทำตัวเป็นนักเทคนิคในทันที(ทั้งที่จริงๆงูๆปลาๆ)
ในทางกลับกัน สมมุติ ซื้อ SNC 5 บาท แล้ววันนี้ราคาตลาดอยู่ที่ 12 บาท
- VI พันแท้ได้ดูแล้ว SNC เต็มมูลค่าตั้งแต่ 8 บาทแล้ว และเค้าได้เจอหุ้นที่ดีกว่า เค้าก็ทำการขายไป
- นักเทคนิคพันแท้ บอกว่า ผมยังไม่ขายหรอก หุ้นมันเป็น Demand/Supply คนมองมันขึ้นมันก็ยังขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะลง มันทำสัญญาณขาย ผมก็จะขาย
- พวกแทงหวย พวกนี้ก็จะเดายากเหมือนเคย เค้าอาจจะขายหมูไปตั้งแต่ 5.5 หรือ 6 บาทแล้วก็ได้ หรือเค้า หรือเค้าอาจจะยังไม่ขาย หรือ เค้าอาจจะมองว่า 20 บาทแน่ๆงานนี้ ก็ว่ากันไปครับ
แต่ไม่ได้แปลว่าพวกแทงหวยจะผิดนะครับ เคยเจอเป่าครับ เซียนอยู่รู หมูอยู่ตึก :lovl: :lovl: :lovl:
สรุปคือ คนพอมีวิธีการแตกต่างกัน มาคุยกันมันก็คงมึนๆ แปลกๆอยู่แล้วครับ แต่ VI เนี่ย ต้องหาข้อมูลมาอย่างดี และต้องมั่นใจในตัวเองมากๆ ดังนั้นในภาพของคนแบบอื่น ต้องเป้นพวกคนหัวแข็งอยู่แล้วครับ
วันนี้มาแก้ตัวให้ VI :D
VI (พันธ์แท้ เทียมๆไม่นับ) เวลาจะซื้อหุ้นตัวนึงต้องศึกษาหุ้นที่ตัวเองจะซื้ออย่างดี ขุดแล้วขุดอีก หาข้อมูลแล้วหาข้อมูลอีก ต้องมั่นใจมากๆ ถึงได้เข้าซื้อ เพราะเวลาลง VI จะไม่ขายง่ายๆ แม้จะขาดทุน ก็ตาม
นักเทคนิค (พันแท้ เทียมๆไม่นับ) พวกนี้จะไม่ได้คิดว่ากราฟถูกต้อง 100% อยู่แล้ว เค้าจะมีจุด Stoploss คือ จุดขายก็ต้องขายทิ้ง หุ้นขึ้นก็ let profit run
ในหัวใจไม่มีอะไรในโลกแน่นอน 100% ตลาดบอกให้ขายก็ขาย บอกให้ถือก็ถือ พวกคนกลุ่มนี้จะทำตามตลาด
พวกเล่นการพนันรายวัน แต่บอกว่าเป็น VS หรือ VI อันนี้ ผมเห็นเยอะ วันๆแทงขึ้น แทงลง ตามความรู้สึก ไม่ได้มีหลักการแต่อย่างใด พวกนี้ที่ผมเห็นมักเป็นคนมองโลกในแง่ดี(เกินไปหรือเปล่าหว่า) เฮฮาปาตี้ หุ้นขึ้นเป็นนักเก็งกำไร หุ้นลงติดหุ้นเป็น VI ทันที
ทีนี้ลองคิดถึงคน 3 กลุ่มนี้ มาคุยกัน
สมมุติ SNC แล้วกันนะครับกำลังฮิต สมมุติ ซื้อ SNC 5 บาท แล้ววันนี้ราคาตลาดอยู่ที่ 4.5 บาท
- VI พันแท้จะบอกว่า ผมไม่ขายแน่นอน เพราะผมดูมาดีแล้ว พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน ไม่มีใครทำนายราคาหุ้นระยะสั้นได้หรอก
- เทคนิคอลพันแท้ จะแย้งว่า เฮ้ย แล้วคุณรู้จัก SNC ดีขนาดนั้นเหรอ คุณโดนเจ้าของมันหลอกหรือเปล่า ไม่มีใครรู้จริงหรอก ผมขายก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอหุ้นมันขึ้น ผมกลับไปเข้าเป็นเพื่อนคุณนะ
- พวกกลุ่มแทงหวย จะทำนายยากที่สุด แล้วแต่อารมณ์ของพวกเค้าในวันนั้น ถ้าพวกเค้าอยากถือ เค้าจะแปลงร่างเป็น VI และพูดเป็นชุดๆว่าหุ้นนั้นดียังไงตามแต่ข้อมูลในหัวตอนนั้นจะมี ถ้าพวกเค้าอยากขาย เค้าจะยกคำพูดของนักเทคนิค และทำตัวเป็นนักเทคนิคในทันที(ทั้งที่จริงๆงูๆปลาๆ)
ในทางกลับกัน สมมุติ ซื้อ SNC 5 บาท แล้ววันนี้ราคาตลาดอยู่ที่ 12 บาท
- VI พันแท้ได้ดูแล้ว SNC เต็มมูลค่าตั้งแต่ 8 บาทแล้ว และเค้าได้เจอหุ้นที่ดีกว่า เค้าก็ทำการขายไป
- นักเทคนิคพันแท้ บอกว่า ผมยังไม่ขายหรอก หุ้นมันเป็น Demand/Supply คนมองมันขึ้นมันก็ยังขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะลง มันทำสัญญาณขาย ผมก็จะขาย
- พวกแทงหวย พวกนี้ก็จะเดายากเหมือนเคย เค้าอาจจะขายหมูไปตั้งแต่ 5.5 หรือ 6 บาทแล้วก็ได้ หรือเค้า หรือเค้าอาจจะยังไม่ขาย หรือ เค้าอาจจะมองว่า 20 บาทแน่ๆงานนี้ ก็ว่ากันไปครับ
แต่ไม่ได้แปลว่าพวกแทงหวยจะผิดนะครับ เคยเจอเป่าครับ เซียนอยู่รู หมูอยู่ตึก :lovl: :lovl: :lovl:
สรุปคือ คนพอมีวิธีการแตกต่างกัน มาคุยกันมันก็คงมึนๆ แปลกๆอยู่แล้วครับ แต่ VI เนี่ย ต้องหาข้อมูลมาอย่างดี และต้องมั่นใจในตัวเองมากๆ ดังนั้นในภาพของคนแบบอื่น ต้องเป้นพวกคนหัวแข็งอยู่แล้วครับ
วันนี้มาแก้ตัวให้ VI :D
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- Verified User
- โพสต์: 212
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 8
ผมคิด ว่า แก่นของ VI จะมี Ego ต่ำ นะ คับ
เช่น บทความนี้คับ
เช่น บทความนี้คับ
ติดหุ้น
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนที่ลงทุนในหุ้นเป็นนิจสินนั้นจะต้องคุ้นเคยกับคำว่า ติดหุ้น แม้ว่าหลาย ๆ คน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor บางคนอาจจะบอกว่าตนเองนั้นไม่เคยติดหุ้นหรือไม่ยอมให้ตนเองติดหุ้น อะไรคือการติดหุ้น คำ ๆ นี้มีความหมายเพียงใด เรามาดูกัน
ถ้าพูดกับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุนหรือเล่นหุ้น เขาคงคิดว่าการติดหุ้นก็คืออาการของการ เสพติด คล้าย ๆ กับการติดยาเสพติด ติดกาแฟ หรือถ้าให้ใกล้เคียงขึ้นไปอีกหน่อยก็คงเป็นเรื่องการติดการพนันหรือติดเกมส์คอมพิวเตอร์แบบเด็ก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจที่คนติดแล้วจะขาดไม่ได้ มีความรู้สึกว่าจะต้องเล่นหรือซื้อขายหุ้นแม้ว่าในระยะยาวแล้วจะเป็นอันตรายต่อความมั่งคั่งของตนเอง
ความหมายของการติดหุ้นในแง่ที่เป็นสิ่งเสพติดนั้นผมเคยได้เคยพูดถึงแล้วในคอลัมน์นี้และมันก็ยังคงเป็นความจริงสำหรับคนเล่นหุ้นจำนวนมาก แต่การติดหุ้นในความหมายที่พูดกันในวงการและในทางวิชาการนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งน่าเสียใจว่าถ้าเกิดขึ้นกับนักลงทุนก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพทางการเงินเหมือนกัน
สำหรับนักเล่นหุ้นไทยนั้น คำว่าติดหุ้นดูเหมือนจะมีความหมายเดียวนั่นคือ เขาซื้อหุ้นเพื่อหวังเก็งกำไร นั่นคือ หวังที่จะขายไปในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา โชคไม่ดี ราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าต้นทุนของเขา ทีแรกเขาคิดว่ามันตกชั่วคราว สักพักก็จะปรับตัวขึ้นมาเขาจึงไม่ขายออกไป ราคาหุ้นตกต่ำลงไปอีก และเขาก็ยังคิดว่ามันน่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนกระทั่งราคาหุ้นต่ำกว่าต้นทุนมากจนเขาคิดว่ามันต่ำเกินกว่าที่เขาจะรับได้ เขาตัดสินใจว่าเขาจะเก็บหุ้นไว้โดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นจะเหมาะสมกับพื้นฐานของกิจการหรือไม่ เขาจะรอจนกว่าราคาจะกลับขึ้นมาถึงจุดที่เขาพอใจที่จะขายซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเท่ากับราคาต้นทุนเดิม แต่อย่างน้อยจะต้องไม่ใช่ราคาที่เขาจะต้องขาดทุนมหาศาลในระดับที่เขารับไม่ได้ ความคิดนี้ทำให้เขาต้องรอนานมาก เพราะราคาหุ้นตัวนั้นตกต่ำอยู่นานและยังไม่เห็นว่าจะปรับขึ้นมาได้ เขากำลัง ติดหุ้น
คนที่ติดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมขายหุ้นไปทั้งที่นักวิเคราะห์ต่างก็บอกว่าราคาหุ้นที่ว่าต่ำแล้วก็ยังเป็นราคาที่สูงกว่าพื้นฐานที่ควรเป็นนั้น เป็นเรื่องของอารมณ์หรือจิตวิทยาที่เขายอมรับไม่ได้กับการขาดทุนมหาศาล เขาคิดว่าถ้าเขาขายเขาจะขาดทุนจริง แต่ถ้ายังไม่ขายเขาก็ยังไม่ขาดทุนจริงและในวันหนึ่งหุ้นก็อาจจะดีดตัวกลับมาได้ เขาไม่ได้คิดว่าราคาหุ้นอาจจะตกลงไปอีกเพราะราคานั้นยังอาจจะสูงกว่าพื้นฐานอยู่ ดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว หุ้นที่เขาถืออยู่นั้นจะมีมูลค่ามากกว่าที่จะเป็นถ้ามันเป็นหุ้นของคนอื่นหรือหุ้นที่เขายังไม่ได้ถือ พูดง่าย ๆ ถ้าเขายังไม่มีหุ้นตัวนั้น เขาก็คงไม่ซื้อมันในราคาที่เป็นอยู่ ในทางวิชาการเราเรียกอาการแบบนี้ว่า Endowment Bias หรือความลำเอียงที่เกิดขึ้นเนื่องจากเราเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นแล้ว
นั่นคือการติดหุ้นในความหมายที่เรารู้จักดีและมักเกิดขึ้นกับการเล่นหุ้นเก็งกำไร แต่นักลงทุนทั่วไปและ Value Investor เองก็มักจะมีอาการของโรคติดหุ้นอยู่เช่นกันไม่มากก็น้อย โดยที่ความหมายก็คือ การที่เราให้มูลค่าของหุ้นที่ถืออยู่เพิ่มขึ้น เราตีค่าของการขาดทุนที่จะเกิดขึ้นจากการขายมากกว่าการเสียโอกาสที่เกิดขึ้นเนื่องจากเงินของเราจมอยู่ในหุ้นตัวนั้น เราไม่ขายหุ้นตัวนั้นในราคานั้นแต่เราก็ไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นแม้ว่าราคาจะถูกลงมาอีก มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยมีเหตุผล แต่นี่คือเรื่องของอารมณ์ซึ่งเป็นความลำเอียงที่เกิดขึ้นในใจเรา
Endowment Bias นั้นเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในหุ้นที่เราได้มาจากการมอบให้หรือจากมรดกที่เราได้รับจากผู้มีอุปการคุณ หุ้นในลักษณะนี้เรามักจะไม่ค่อยอยากขายทั้ง ๆ ที่ดูแล้วราคาไม่เหมาะสมคือสูงกว่าพื้นฐาน เหตุผลก็คือ เราอาจจะรู้สึกว่าการขายจะเป็นการแสดงถึงความไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณของผู้ให้ หุ้นที่เรารู้จักและคุ้นเคยมานานก็เป็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่มักทำให้เราติด มันเป็นความรู้สึกสบายใจที่จะถือหุ้นที่เราคุ้นเคยมานาน รู้จักสินค้าและผู้บริหารของบริษัทเป็นอย่างดีซึ่งทำให้เราไม่อยากขายทั้งที่ดูไปแล้วราคาหุ้นไม่เหมาะสมกับพื้นฐาน การเสียดายค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนต่างของราคาเสนอซื้อเสนอขายบางทีก็ทำให้เราติดอยู่กับหุ้นได้เช่นกัน ว่าที่จริงหุ้นทุกตัวนั้น เมื่อเราซื้อมาเป็นเจ้าของเพื่อการลงทุนระยะยาวแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ที่เราจะ ติดหุ้น ตัวนั้นเสมอ เพราะเราไม่อยากจะยอมรับความผิดพลาดถ้าต้องขายไปในราคาที่ขาดทุนทั้ง ๆ ที่การขาดทุนตรงนั้นอาจจะน้อยกว่าการเสียโอกาสที่จะได้เงินมาลงทุนในหุ้นตัวใหม่ที่น่าจะสดใสกว่า
สรุปก็คือ เรื่องการติดหุ้นนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนทุกคนตั้งแต่นักเก็งกำไรถึงเซียนหุ้น มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถทางอารมณ์ของแต่ละคน การตระหนักถึงปัญหานี้จะช่วยให้การลงทุนของเราดีขึ้น ผมเองคิดว่า ต้นทุนของการเสียโอกาสลงทุนในหุ้นที่มีอนาคตที่ดีกว่านั้น บ่อยครั้งสูงกว่าการขาดทุนที่จะเกิดขึ้นจากการขายหุ้นที่มีผลงานแย่และเรากอดมันไว้มาก
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 11
VI ต้องเป็นบุคคลที่ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองได้
และสามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นลำดับ
เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่สามารถรู้ตัวเองแล้วว่า
สิ่งไหนทำแล้วขาดทุน สิ่งไหนที่ทำแล้วได้กำไร
คนนั้นจะเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน ครับ
นอกเหนือจากนี้ คงจะไม่ใช่ Value Investor พันธุ์แท้
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเนื้อหาของกระทู้เท่าไร ฮะ ...
และสามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นลำดับ
เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่สามารถรู้ตัวเองแล้วว่า
สิ่งไหนทำแล้วขาดทุน สิ่งไหนที่ทำแล้วได้กำไร
คนนั้นจะเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน ครับ
นอกเหนือจากนี้ คงจะไม่ใช่ Value Investor พันธุ์แท้
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเนื้อหาของกระทู้เท่าไร ฮะ ...
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 13
เกิดเป็น VI ต้องมีใจ อดทน
ติดหุ้นกี่หน ทนเก็บเอาไว้
ผมเป็น VS ที่ติดหุ้นบ่อยมากๆคนหนึ่ง และจะไม่ยอมขายด้วยถ้าขาดทุน
แม้จะเห็นว่าถึงเวลาควรCUt Loss แล้วก็ตาม
เพราะผมเกลียดนิสัยcut loss ก็แค่นั้นเอง จึงพยายามไม่ทำ
มันทำให้เสียนิสัย
แต่เรื่อง Let Profit run นี่ผมยอมไม่ได้ ยังไงยังไง ก็ต้องLet profit run
ถึงแม้จะเป็นVS ผมก็เห็นสมควร Buy and hold เพื่อกำไรสูงสุด
ติดหุ้นกี่หน ทนเก็บเอาไว้
ผมเป็น VS ที่ติดหุ้นบ่อยมากๆคนหนึ่ง และจะไม่ยอมขายด้วยถ้าขาดทุน
แม้จะเห็นว่าถึงเวลาควรCUt Loss แล้วก็ตาม
เพราะผมเกลียดนิสัยcut loss ก็แค่นั้นเอง จึงพยายามไม่ทำ
มันทำให้เสียนิสัย
แต่เรื่อง Let Profit run นี่ผมยอมไม่ได้ ยังไงยังไง ก็ต้องLet profit run
ถึงแม้จะเป็นVS ผมก็เห็นสมควร Buy and hold เพื่อกำไรสูงสุด
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 15
ที่จริงแล้วของผมแนวไหนก็ได้ ขอให้ได้ตังครับ 8)
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 16
ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาที่ไปของคำว่าอีโก้ก่อนนะครับ
ส่วน superego นั้น หมายถึงบุคลิกในส่วนที่ดีที่ประเสริฐ มีมารยาทสูง มีวัฒนะธรรมสูง มีคุณธรรม มีจริยธรรม
และ ego นั้นอยู่ตรงกลางระหว่าง id กับ superego เป็นสีเทาๆ เข้มบ้างจางบ้าง และโดยตัว ego เองก็ยังมีทั้งความหมายในด้านดีและไม่ดี
คนเราหนึ่งคนย่อมสามารถที่จะแสดงบุคลิกได้ทั้งสามแบบผสมกันไปแล้วแต่ช่วงเวลาและอารมณ์
ความหมายดั้งเดิมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ แต่พอใช้ต่อๆกันมาความหมายก็เริ่มเปลี่ยนไป เช่นกลายเป็นว่า ego หมายถึงคนที่ยึดมั่นถือมั่นสูง หรือคนที่ปิดหูปิดตาไม่ฟังคนอื่น ใจแคบ ฯลฯ ซึ่งไปผสมปนเปกับคำอื่นๆในบริบทของบุคลิกภาพศาสตร์เต็มไปหมด ทั้ง self confidence esteem และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ผมก็เห็นด้วยว่า VI มักจะมี self confidence สูงๆ แต่เป็นความเชื่อมั่นซึ่งเกิดจากปัญญาที่ได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ไม่ใช่มิจฉาฑิฐิแต่อย่างไร และ VI กลับเป็นกลุ่มที่พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างมากกว่า VS ด้วยซ้ำ แต่ฟังแล้วก็เอามาพิจารณาก่อนไม่ได้เชื่อเลยทันที
แต่ self confidence นี้ก็ไม่ได้มีเฉพาะกลุ่ม VI เท่านั้น แม้ในกลุ่มที่เล่นเทคนิคเล่นกราฟ ถ้าเขาเชื่อมั่นในวิธีของเขาและก็มุ่งมั่นค้นคว้าจนแตกฉาน เขาก็จะมี self confidence สูงๆเช่นเดียวกัน
แต่กลุ่ม VS ที่เล่นสะเปะสะปะ เดี๋ยวเชื่อข้างโน้น เดี๋ยวเชื่อข้างนี้ ก็จะสะท้อนว่า มี self confidence ต่ำ(มีความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ)
คำว่า self confidence นี้ ไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ก็เป็นคำกลางๆ ไม่บวกไม่ลบ
โดย id นั้นจะเป็นลักษณะดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิต เขาเชื่อว่าบุคลิกภาพนี้จะเกิดขึ้นตามสัญชาติญาณดิบดั้งเดิม เมื่อหิวก็กิน เมื่ออยากก็ปี้เลย(ขออภัยถ้าไม่สุภาพ เพราะไม่รู้จะใช้คำไหนเหมือนกัน)โดยไม่สนใจอะไร เรียกว่าสัญชาติญาณดิบก็ได้ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ได้ให้แนวความคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพไว้ว่า บุคลิกภาพประกอบด้วย 3 ระบบ คือ "Id", "Ego" และ "Superego" ซึ่งทั้ง 3 ระบบนี้จะเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิด การแสดงพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์จะเป็นผลเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในระหว่าง 3 ระบบ
ส่วน superego นั้น หมายถึงบุคลิกในส่วนที่ดีที่ประเสริฐ มีมารยาทสูง มีวัฒนะธรรมสูง มีคุณธรรม มีจริยธรรม
และ ego นั้นอยู่ตรงกลางระหว่าง id กับ superego เป็นสีเทาๆ เข้มบ้างจางบ้าง และโดยตัว ego เองก็ยังมีทั้งความหมายในด้านดีและไม่ดี
คนเราหนึ่งคนย่อมสามารถที่จะแสดงบุคลิกได้ทั้งสามแบบผสมกันไปแล้วแต่ช่วงเวลาและอารมณ์
ความหมายดั้งเดิมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ แต่พอใช้ต่อๆกันมาความหมายก็เริ่มเปลี่ยนไป เช่นกลายเป็นว่า ego หมายถึงคนที่ยึดมั่นถือมั่นสูง หรือคนที่ปิดหูปิดตาไม่ฟังคนอื่น ใจแคบ ฯลฯ ซึ่งไปผสมปนเปกับคำอื่นๆในบริบทของบุคลิกภาพศาสตร์เต็มไปหมด ทั้ง self confidence esteem และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ผมก็เห็นด้วยว่า VI มักจะมี self confidence สูงๆ แต่เป็นความเชื่อมั่นซึ่งเกิดจากปัญญาที่ได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ไม่ใช่มิจฉาฑิฐิแต่อย่างไร และ VI กลับเป็นกลุ่มที่พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างมากกว่า VS ด้วยซ้ำ แต่ฟังแล้วก็เอามาพิจารณาก่อนไม่ได้เชื่อเลยทันที
แต่ self confidence นี้ก็ไม่ได้มีเฉพาะกลุ่ม VI เท่านั้น แม้ในกลุ่มที่เล่นเทคนิคเล่นกราฟ ถ้าเขาเชื่อมั่นในวิธีของเขาและก็มุ่งมั่นค้นคว้าจนแตกฉาน เขาก็จะมี self confidence สูงๆเช่นเดียวกัน
แต่กลุ่ม VS ที่เล่นสะเปะสะปะ เดี๋ยวเชื่อข้างโน้น เดี๋ยวเชื่อข้างนี้ ก็จะสะท้อนว่า มี self confidence ต่ำ(มีความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ)
คำว่า self confidence นี้ ไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ก็เป็นคำกลางๆ ไม่บวกไม่ลบ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 17
ผมเห็นด้วยกับบทความนี้ครับ
[quote]นักลงทุน 5 แบบ โดย ดร . นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนแต่ละคนมีนิสัยหรือพฤติกรรมการลงทุนไม่เหมือนกัน นักวิชาการทางการเงินพฤติกรรมหลายคนพยายามจัดกลุ่มเพื่อที่จะทำให้รู้ว่าแต่ละคนมีแนวทางหรือมุมมองอย่างไรในประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนซึ่งถ้ารู้จะทำให้สามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นได้ รูปแบบของนักลงทุนที่ผมเห็นว่าน่าสนใจนั้นเป็นรูปแบบ 5 ประเภทของ Bailard, Biehl และ Kaiser หรือเรียกย่อ ๆ ว่า BB&K ซึ่งเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1986 หรือ 20 ปีมาแล้ว
การจัดกลุ่มนักลงทุนของ BB&K มองใน 2 แกน คือแกนแรกเป็นเรื่องของนิสัยส่วนตัวของนักลงทุนว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงหรือเป็นคนที่ขี้กังวลไม่มีความมั่นใจในเรื่องต่าง ๆ อีกแกนหนึ่งมองถึงความเป็นคนที่ชอบพินิจพิเคราะห์ สุขุมระมัดระวัง หรือเป็นคนที่ใจร้อนหุนหันพลันแล่น จาก 2 แกนนี้พวกเขาก็จัดกลุ่มนักลงทุนออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกันโดยดูว่านักลงทุนอยู่ในเสี้ยวไหนของแกนที่ตัดกัน
กลุ่มแรกเรียกว่า Adventurer หรือนักผจญภัย นี่คือนักลงทุนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนใจร้อนหุนหันพลันแล่น นักลงทุนที่อยู่ในกลุ่มนี้พร้อมที่จะเสี่ยงลงทุนเงินทั้งหมดในการลงทุนจำนวนน้อยตัวหรือน้อยอย่างเพราะพวกเขามีความมั่นใจสูง พวกเขาเป็นคนหัวดื้อและไม่ใคร่จะฟังใคร พวกเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง
กลุ่มที่สองคือ Celebrity พวกคนดังหรือไฮโซชอบเข้าสังคม นี่คือนักลงทุนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเองและใจร้อนหุนหันพลันแล่น พวกเขาชอบตามแห่ ชอบการลงทุนในหุ้นที่กำลังคึกคัก พวกเขากลัวการตกรถ จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่มีความเห็นเป็นของตนเองเกี่ยวกับการลงทุน ด้วยเหตุดังกล่าว พวกเขาจึงมักจะซื้อขายหุ้นบ่อยมาก และนี่น่าจะคล้าย ๆ กับนักลงทุนที่เรียกว่า แมงเม่า ในบ้านเรา
กลุ่มที่สามคือ Individualist หรือพวกศิลปินเดี่ยว นักลงทุนกลุ่มนี้คือคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและมีการวิเคราะห์ระมัดระวัง พวกเขามักจะคิดเองทำเอง ถ้าดูถึงอาชีพการงานก็จะเป็นพวกนักธุรกิจขนาดย่อมหรือประกอบวิชาชีพอิสระเช่นนักกฎหมาย นักบัญชี หรือวิศวกร พวกเขาคือคนที่พยายามตัดสินใจและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองและมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง และสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำอย่างระมัดระวัง เป็นระบบและมีการพินิจพิเคราะห์ สรุปก็คือ พวกเขาเป็นนักลงทุนที่มีเหตุมีผล
กลุ่มที่สี่คือ Guardian หรือพวกผู้พิทักษ์หรือพวกปู่โสม นักลงทุนในกลุ่มนี้คือคนที่มีความระมัดระวังมีความพินิจพิเคราะห์แต่มีความกังวลและขาดความมั่นใจ โดยปกติมักจะเป็นคนที่มีอายุมากหรือเป็นคนแก่ที่กำลังคิดถึงเรื่องการเกษียณอายุ พวกเขาจะระมัดระวังและวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินของเขา พวกเขาตระหนักว่าตนเองมีเวลาเหลือสำหรับการหาเงินจำกัดและจำเป็นที่จะต้องรักษาทรัพย์สินไว้ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สนใจในความผันผวนหรือความน่าตื่นเต้นของการลงทุน พวกปู่โสมขาดความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะคาดการณ์อนาคตหรือทำความเข้าใจว่าจะลงเงินที่จุดไหน เพราะฉะนั้น พวกเขาต้องการการชี้นำและคำปรึกษาทางการลงทุน
กลุ่มสุดท้ายคือ Straight Arrow หรือกลุ่มกลางหรือจะเรียกให้เท่ก็คือกลุ่มมัชฌิมา นี่คือนักลงทุนที่มีนิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างทั้งความมั่นใจ ความวิตกกังวล ความใจร้อนหุนหันพลันแล่น การพินิจพิเคราะห์และความระมัดระวัง อยู่ปน ๆ กัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มไหนได้ชัดเจน นั่นก็คือ พวกเขาอยู่ตรงกลาง ๆ พวกเขาคือนักลงทุนระดับกลาง ๆ และเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงได้ในระดับกลาง ๆ
ในความเห็นของผมนั้น Value Investor ส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกศิลปินเดี่ยว โดยที่จะเป็น Value Investor ที่มีอายุประมาณ 30-40 ปี เป็นคนที่เรียนจบมาทางสายวิทยาศาสตร์ โดยที่ส่วนใหญ่เป็นวิศวกร และแพทย์ ในขณะที่ Value Investor ที่สูงอายุหน่อยอาจจะเป็นผู้พิทักษ์ เหตุผลหลักก็คือ ทั้งสองกลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีการพินิจพิเคราะห็อย่างระมัดระวังก่อนที่จะลงทุน
ในอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนหรือน่าจะเรียกว่านักเก็งกำไรขาใหญ่ในตลาดหุ้นบ้านเราส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักผจญภัย ทั้งนี้เพราะพวกเขาจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองสูงและมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงเล่นหุ้นในปริมาณที่มากและไม่กระจายการลงทุน ดังนั้นโอกาสได้เสียจะสูงกว่านักลงทุนทั่วไป นักเล่นหุ้นรายย่อยที่เกาะกระดานซื้อขายหุ้นเกือบทุกวันที่ซื้อขายหุ้นตามข่าวและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นก็ชัดเจนว่าน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มคนดังหรือไฮโซตามการจัดกลุ่มของ BB&K แต่น่าสงสารที่คนไทยเรียกว่าเป็นแมงเม่า สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้เกาะติดตลาดหุ้น แต่เป็นคนลงทุนที่มีงานประจำ ติดตามราคาหุ้นเป็นระยะ ๆ ใช้เทคนิคหลาย ๆ อย่างทั้งพื้นฐาน เทคนิค ข่าวลือ ข่าวจริง ฟังเขามาบ้าง วิเคราะห์เองบ้าง กลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกมัชฌิมา
นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักตนเองว่าตนเป็นนักลงทุนประเภทไหน ถ้าเราอยู่ในกลุ่มที่มีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะกับการลงทุน เราอาจจะต้องพยายามปรับตัวเอง แต่ในหลายกรณีก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย วิธีที่ดีกว่าอาจจะเป็นการลงทุนแบบ Passive หรือไม่ก็ลงผ่านกองทุนรวม[/quote]
[quote]นักลงทุน 5 แบบ โดย ดร . นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนแต่ละคนมีนิสัยหรือพฤติกรรมการลงทุนไม่เหมือนกัน นักวิชาการทางการเงินพฤติกรรมหลายคนพยายามจัดกลุ่มเพื่อที่จะทำให้รู้ว่าแต่ละคนมีแนวทางหรือมุมมองอย่างไรในประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนซึ่งถ้ารู้จะทำให้สามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นได้ รูปแบบของนักลงทุนที่ผมเห็นว่าน่าสนใจนั้นเป็นรูปแบบ 5 ประเภทของ Bailard, Biehl และ Kaiser หรือเรียกย่อ ๆ ว่า BB&K ซึ่งเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1986 หรือ 20 ปีมาแล้ว
การจัดกลุ่มนักลงทุนของ BB&K มองใน 2 แกน คือแกนแรกเป็นเรื่องของนิสัยส่วนตัวของนักลงทุนว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงหรือเป็นคนที่ขี้กังวลไม่มีความมั่นใจในเรื่องต่าง ๆ อีกแกนหนึ่งมองถึงความเป็นคนที่ชอบพินิจพิเคราะห์ สุขุมระมัดระวัง หรือเป็นคนที่ใจร้อนหุนหันพลันแล่น จาก 2 แกนนี้พวกเขาก็จัดกลุ่มนักลงทุนออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกันโดยดูว่านักลงทุนอยู่ในเสี้ยวไหนของแกนที่ตัดกัน
กลุ่มแรกเรียกว่า Adventurer หรือนักผจญภัย นี่คือนักลงทุนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนใจร้อนหุนหันพลันแล่น นักลงทุนที่อยู่ในกลุ่มนี้พร้อมที่จะเสี่ยงลงทุนเงินทั้งหมดในการลงทุนจำนวนน้อยตัวหรือน้อยอย่างเพราะพวกเขามีความมั่นใจสูง พวกเขาเป็นคนหัวดื้อและไม่ใคร่จะฟังใคร พวกเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง
กลุ่มที่สองคือ Celebrity พวกคนดังหรือไฮโซชอบเข้าสังคม นี่คือนักลงทุนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเองและใจร้อนหุนหันพลันแล่น พวกเขาชอบตามแห่ ชอบการลงทุนในหุ้นที่กำลังคึกคัก พวกเขากลัวการตกรถ จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่มีความเห็นเป็นของตนเองเกี่ยวกับการลงทุน ด้วยเหตุดังกล่าว พวกเขาจึงมักจะซื้อขายหุ้นบ่อยมาก และนี่น่าจะคล้าย ๆ กับนักลงทุนที่เรียกว่า แมงเม่า ในบ้านเรา
กลุ่มที่สามคือ Individualist หรือพวกศิลปินเดี่ยว นักลงทุนกลุ่มนี้คือคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและมีการวิเคราะห์ระมัดระวัง พวกเขามักจะคิดเองทำเอง ถ้าดูถึงอาชีพการงานก็จะเป็นพวกนักธุรกิจขนาดย่อมหรือประกอบวิชาชีพอิสระเช่นนักกฎหมาย นักบัญชี หรือวิศวกร พวกเขาคือคนที่พยายามตัดสินใจและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองและมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง และสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำอย่างระมัดระวัง เป็นระบบและมีการพินิจพิเคราะห์ สรุปก็คือ พวกเขาเป็นนักลงทุนที่มีเหตุมีผล
กลุ่มที่สี่คือ Guardian หรือพวกผู้พิทักษ์หรือพวกปู่โสม นักลงทุนในกลุ่มนี้คือคนที่มีความระมัดระวังมีความพินิจพิเคราะห์แต่มีความกังวลและขาดความมั่นใจ โดยปกติมักจะเป็นคนที่มีอายุมากหรือเป็นคนแก่ที่กำลังคิดถึงเรื่องการเกษียณอายุ พวกเขาจะระมัดระวังและวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินของเขา พวกเขาตระหนักว่าตนเองมีเวลาเหลือสำหรับการหาเงินจำกัดและจำเป็นที่จะต้องรักษาทรัพย์สินไว้ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สนใจในความผันผวนหรือความน่าตื่นเต้นของการลงทุน พวกปู่โสมขาดความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะคาดการณ์อนาคตหรือทำความเข้าใจว่าจะลงเงินที่จุดไหน เพราะฉะนั้น พวกเขาต้องการการชี้นำและคำปรึกษาทางการลงทุน
กลุ่มสุดท้ายคือ Straight Arrow หรือกลุ่มกลางหรือจะเรียกให้เท่ก็คือกลุ่มมัชฌิมา นี่คือนักลงทุนที่มีนิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างทั้งความมั่นใจ ความวิตกกังวล ความใจร้อนหุนหันพลันแล่น การพินิจพิเคราะห์และความระมัดระวัง อยู่ปน ๆ กัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มไหนได้ชัดเจน นั่นก็คือ พวกเขาอยู่ตรงกลาง ๆ พวกเขาคือนักลงทุนระดับกลาง ๆ และเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงได้ในระดับกลาง ๆ
ในความเห็นของผมนั้น Value Investor ส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกศิลปินเดี่ยว โดยที่จะเป็น Value Investor ที่มีอายุประมาณ 30-40 ปี เป็นคนที่เรียนจบมาทางสายวิทยาศาสตร์ โดยที่ส่วนใหญ่เป็นวิศวกร และแพทย์ ในขณะที่ Value Investor ที่สูงอายุหน่อยอาจจะเป็นผู้พิทักษ์ เหตุผลหลักก็คือ ทั้งสองกลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีการพินิจพิเคราะห็อย่างระมัดระวังก่อนที่จะลงทุน
ในอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนหรือน่าจะเรียกว่านักเก็งกำไรขาใหญ่ในตลาดหุ้นบ้านเราส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักผจญภัย ทั้งนี้เพราะพวกเขาจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองสูงและมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงเล่นหุ้นในปริมาณที่มากและไม่กระจายการลงทุน ดังนั้นโอกาสได้เสียจะสูงกว่านักลงทุนทั่วไป นักเล่นหุ้นรายย่อยที่เกาะกระดานซื้อขายหุ้นเกือบทุกวันที่ซื้อขายหุ้นตามข่าวและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นก็ชัดเจนว่าน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มคนดังหรือไฮโซตามการจัดกลุ่มของ BB&K แต่น่าสงสารที่คนไทยเรียกว่าเป็นแมงเม่า สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้เกาะติดตลาดหุ้น แต่เป็นคนลงทุนที่มีงานประจำ ติดตามราคาหุ้นเป็นระยะ ๆ ใช้เทคนิคหลาย ๆ อย่างทั้งพื้นฐาน เทคนิค ข่าวลือ ข่าวจริง ฟังเขามาบ้าง วิเคราะห์เองบ้าง กลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกมัชฌิมา
นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักตนเองว่าตนเป็นนักลงทุนประเภทไหน ถ้าเราอยู่ในกลุ่มที่มีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะกับการลงทุน เราอาจจะต้องพยายามปรับตัวเอง แต่ในหลายกรณีก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย วิธีที่ดีกว่าอาจจะเป็นการลงทุนแบบ Passive หรือไม่ก็ลงผ่านกองทุนรวม[/quote]
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 18
คิดๆดู น่าจะเอากระทู้แบบนี้ไป post ที่อื่นดูบ้าง จะได้รู้ว่า ชาวบ้านเค้ามอง VI กันแบบไหนนะครับ
จะว่าไป ผมก็เจอกระแทกใจมาเยอะนะ เช่น
-ดูกราฟไม่เป็นมาเล่นหุ้นจะรวยได้ไง
-ซื้อทำไมหุ้น MAI ราคาไม่ไปไหนหรอก
-ขาดทุนขนาดนี้ ทำไมไม่ cut lost
-ไม่ซื้อ อีเวอร์ วะ บอกตั้งแต่ 4 บาทแล้ว (อันนี้ล่าสุด)
ใหม่ๆก็เจ็บใจน่าดู แต่นี่ก็ใกล้จะครบ 3 ปีที่เป็น VI มาแล้วครับ ผมไม่คิดว่าลงทุนแบบนี้เป็นการพอกพูน ego หรอกนะ
อันที่จริง ตลาดหุ้นช่วยลด ego ได้ดีมากเลย คนที่คิดว่าตัวเองคิดถูกเสมอ จะได้พบสัจธรรมภายในไม่กี่เดือนแรก ยิ่งใครเริ่มเล่นช่วงดัชนี 800 จะได้รับบทเรียนแบบ Head-on-collision จำได้ว่าตอนนั้นผมเคยคิดว่า "ไม่น่ามาลงทุนเล้ย อยู่เฉยๆไม่เสียตังค์"
เล่นได้ซักพักจะรับความจริงได้ดีขึ้น ล่าสุดผมไปช้อนหุ้นตระกูลชินตัวนึงแล้วราคาก็ร่วงทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเซ็ง แต่ถ้ามีหลักการณ์ให้ยึดมั่น เราก็จะมี Self-confidence ไม่ใช่ Ego แน่นอนครับ 8)
PS: ผมเคยบอกเพื่อนคนนึงในนี้ว่า ราคาหุ้นตระกูลชินตัวที่ผมสนถูกกว่านี้ ขอบอกว่าผมแอบเปลี่ยนใจไปแล้วครับ แฮะๆ
จะว่าไป ผมก็เจอกระแทกใจมาเยอะนะ เช่น
-ดูกราฟไม่เป็นมาเล่นหุ้นจะรวยได้ไง
-ซื้อทำไมหุ้น MAI ราคาไม่ไปไหนหรอก
-ขาดทุนขนาดนี้ ทำไมไม่ cut lost
-ไม่ซื้อ อีเวอร์ วะ บอกตั้งแต่ 4 บาทแล้ว (อันนี้ล่าสุด)
ใหม่ๆก็เจ็บใจน่าดู แต่นี่ก็ใกล้จะครบ 3 ปีที่เป็น VI มาแล้วครับ ผมไม่คิดว่าลงทุนแบบนี้เป็นการพอกพูน ego หรอกนะ
อันที่จริง ตลาดหุ้นช่วยลด ego ได้ดีมากเลย คนที่คิดว่าตัวเองคิดถูกเสมอ จะได้พบสัจธรรมภายในไม่กี่เดือนแรก ยิ่งใครเริ่มเล่นช่วงดัชนี 800 จะได้รับบทเรียนแบบ Head-on-collision จำได้ว่าตอนนั้นผมเคยคิดว่า "ไม่น่ามาลงทุนเล้ย อยู่เฉยๆไม่เสียตังค์"
เล่นได้ซักพักจะรับความจริงได้ดีขึ้น ล่าสุดผมไปช้อนหุ้นตระกูลชินตัวนึงแล้วราคาก็ร่วงทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเซ็ง แต่ถ้ามีหลักการณ์ให้ยึดมั่น เราก็จะมี Self-confidence ไม่ใช่ Ego แน่นอนครับ 8)
PS: ผมเคยบอกเพื่อนคนนึงในนี้ว่า ราคาหุ้นตระกูลชินตัวที่ผมสนถูกกว่านี้ ขอบอกว่าผมแอบเปลี่ยนใจไปแล้วครับ แฮะๆ
I do not sleep. I dream.
- house
- Verified User
- โพสต์: 683
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 19
ผมอีโก้ จัดเหรอครับ ฮีกๆ ฮือ
ผมว่าพวกเราแค่ความมั่นใจสูงนะ VI นี่แก่นมันคือซื้อต่ำกว่ามูลค่า ใครปวารณาตน ยึด VI เป็นสรณะ แล้วก็มักมีความรู้ทางการเงินในระดับหนึ่ง ยิ่งบริษัทที่ตัวเองถือด้วยแล้วก็เจาะกันพรุนเลยทีเดียว
ยิ่งเป็นพวกหุ้นลงช่างมัน ใครห่วงยุให้ขายก็ไม่ฟัง ก็ยิ่งดูเหมือนหัวแข็ง
พี่ viewtiful ก็อ่านกราฟไม่ออกเหรอครับ รู้สึกวีไอ นี่อ่านกราฟไม่ออกเยอะนะ(ผมก็ไม่ออก)
ผมว่าพวกเราแค่ความมั่นใจสูงนะ VI นี่แก่นมันคือซื้อต่ำกว่ามูลค่า ใครปวารณาตน ยึด VI เป็นสรณะ แล้วก็มักมีความรู้ทางการเงินในระดับหนึ่ง ยิ่งบริษัทที่ตัวเองถือด้วยแล้วก็เจาะกันพรุนเลยทีเดียว
ยิ่งเป็นพวกหุ้นลงช่างมัน ใครห่วงยุให้ขายก็ไม่ฟัง ก็ยิ่งดูเหมือนหัวแข็ง
พี่ viewtiful ก็อ่านกราฟไม่ออกเหรอครับ รู้สึกวีไอ นี่อ่านกราฟไม่ออกเยอะนะ(ผมก็ไม่ออก)
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
- Doramon007
- Verified User
- โพสต์: 110
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 22
ผมไม่เคยเห็นใครเจ๊งหุ้นแล้วเฮฮาได้เลยครับ มีแต่เสียงก่นด่า เพื่อนผมที่ชอบเล่นรายวันเวลาเสียก็ด่าโน้นโทษนี่ไปหมด หาว่ามาร์คีย์ช้าบ้าง หาว่าคนนั้นคุยดังบ้าง ฯลฯ แต่ไม่ค่อยโทษตัวเองเลย ส่วนคนที่เป็น VI (พันธ์แท้) เท่าที่ผมเห็นเมื่อวิเคราะห์ผิดก็มักจะยอมรับความผิดของตัวเองน่ะครับ :Dพอดีวันก่อนแอบได้ยินเพื่อนนักลงทุนคุยกัน มีคนนึงพูดประมาณว่า
"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"
- khun_parinya
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 23
จริง ๆ แล้ว VI คือโสดาบันครับ
VI คือคนที่เข้าสู่วิถีไม่อยากรวย แต่ก็ได้รวย
VI จิตใจเยือกเย็น ประหยัด มัธยัตถ์ อดออม ที่สำคัญ ไม่เชื่อตัวเองครับ แต่เชื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
VI คิดเองไม่ได้ครับ ถ้าไม่มีข้อมูลมาให้คิด
VI จึงไม่มี ego ครับ เข้าสู่วิถีแห่งเซ็น
VI คือคนที่เข้าสู่วิถีไม่อยากรวย แต่ก็ได้รวย
VI จิตใจเยือกเย็น ประหยัด มัธยัตถ์ อดออม ที่สำคัญ ไม่เชื่อตัวเองครับ แต่เชื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
VI คิดเองไม่ได้ครับ ถ้าไม่มีข้อมูลมาให้คิด
VI จึงไม่มี ego ครับ เข้าสู่วิถีแห่งเซ็น
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 24
ในวันที่เวบนี้มีอายุครบ 15 ปี ถ้าคนที่ยังเข้าเวบนี้กันอยู่ ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีไป ก็ต้องถือว่าแนว VI นี่ราคาคุยแล้วครับ ต้องรอพิสูจน์กันดูนะครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 27
น่าจะเกือบๆ 4 ขวบได้แล้วมั๊งครับ ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล่นหุ้นครั้งแรกก็เจอเวปนี้แล้วแล้วปีนี้เว็ปนี้กี่ขวบแล้วครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 28
ต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์นะ
อีโก้ ไม่โก้เดี๋ยวก็รู้ครับ
จากที่พ่อไม่เคยเชื่อเลย
เดี๋ยวนี้เราบอกอะไรไป เค้าจะทำเป็นไม่ฟังแล้วแอบซื้อตามครับ :lol:
อีโก้ ไม่โก้เดี๋ยวก็รู้ครับ
จากที่พ่อไม่เคยเชื่อเลย
เดี๋ยวนี้เราบอกอะไรไป เค้าจะทำเป็นไม่ฟังแล้วแอบซื้อตามครับ :lol:
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
คนเป็น VI ต้อง Ego สูง
โพสต์ที่ 29
ต้องมีเงินเท่าไร ถึงเป็นเศรษฐีครับสุมาอี้ เขียน:ในวันที่เวบนี้มีอายุครบ 15 ปี ถ้าคนที่ยังเข้าเวบนี้กันอยู่ ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีไป ก็ต้องถือว่าแนว VI นี่ราคาคุยแล้วครับ ต้องรอพิสูจน์กันดูนะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี