"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"

ยังไงมันก็อาจจะมีส่วนจริงนะ ว่าไงกันมั่งครับ?
เห็นด้วยกับคุณ VI เพราะคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่ยืนอยู่ด้วยเหตุและผล ก็เป็นที่มีEGOต่ำได้ครับ หรือภาษาพระท่านว่า ไม่มีตัวกูของกู ไม่ยึดติดกับอารมณ์ ทั้งภายในและภายนอกViewtiful Investor เขียน:พอดีวันก่อนแอบได้ยินเพื่อนนักลงทุนคุยกัน มีคนนึงพูดประมาณว่า
"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"
พอดีไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เลยไม่อยากแย้ง ว่า Ego กับ Self-confidence มันต่างกันนะเพื่อน
ยังไงมันก็อาจจะมีส่วนจริงนะ ว่าไงกันมั่งครับ?
ติดหุ้น
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนที่ลงทุนในหุ้นเป็นนิจสินนั้นจะต้องคุ้นเคยกับคำว่า ติดหุ้น แม้ว่าหลาย ๆ คน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor บางคนอาจจะบอกว่าตนเองนั้นไม่เคยติดหุ้นหรือไม่ยอมให้ตนเองติดหุ้น อะไรคือการติดหุ้น คำ ๆ นี้มีความหมายเพียงใด เรามาดูกัน
ถ้าพูดกับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุนหรือเล่นหุ้น เขาคงคิดว่าการติดหุ้นก็คืออาการของการ เสพติด คล้าย ๆ กับการติดยาเสพติด ติดกาแฟ หรือถ้าให้ใกล้เคียงขึ้นไปอีกหน่อยก็คงเป็นเรื่องการติดการพนันหรือติดเกมส์คอมพิวเตอร์แบบเด็ก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจที่คนติดแล้วจะขาดไม่ได้ มีความรู้สึกว่าจะต้องเล่นหรือซื้อขายหุ้นแม้ว่าในระยะยาวแล้วจะเป็นอันตรายต่อความมั่งคั่งของตนเอง
ความหมายของการติดหุ้นในแง่ที่เป็นสิ่งเสพติดนั้นผมเคยได้เคยพูดถึงแล้วในคอลัมน์นี้และมันก็ยังคงเป็นความจริงสำหรับคนเล่นหุ้นจำนวนมาก แต่การติดหุ้นในความหมายที่พูดกันในวงการและในทางวิชาการนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งน่าเสียใจว่าถ้าเกิดขึ้นกับนักลงทุนก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพทางการเงินเหมือนกัน
สำหรับนักเล่นหุ้นไทยนั้น คำว่าติดหุ้นดูเหมือนจะมีความหมายเดียวนั่นคือ เขาซื้อหุ้นเพื่อหวังเก็งกำไร นั่นคือ หวังที่จะขายไปในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา โชคไม่ดี ราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าต้นทุนของเขา ทีแรกเขาคิดว่ามันตกชั่วคราว สักพักก็จะปรับตัวขึ้นมาเขาจึงไม่ขายออกไป ราคาหุ้นตกต่ำลงไปอีก และเขาก็ยังคิดว่ามันน่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนกระทั่งราคาหุ้นต่ำกว่าต้นทุนมากจนเขาคิดว่ามันต่ำเกินกว่าที่เขาจะรับได้ เขาตัดสินใจว่าเขาจะเก็บหุ้นไว้โดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นจะเหมาะสมกับพื้นฐานของกิจการหรือไม่ เขาจะรอจนกว่าราคาจะกลับขึ้นมาถึงจุดที่เขาพอใจที่จะขายซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเท่ากับราคาต้นทุนเดิม แต่อย่างน้อยจะต้องไม่ใช่ราคาที่เขาจะต้องขาดทุนมหาศาลในระดับที่เขารับไม่ได้ ความคิดนี้ทำให้เขาต้องรอนานมาก เพราะราคาหุ้นตัวนั้นตกต่ำอยู่นานและยังไม่เห็นว่าจะปรับขึ้นมาได้ เขากำลัง ติดหุ้น
คนที่ติดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมขายหุ้นไปทั้งที่นักวิเคราะห์ต่างก็บอกว่าราคาหุ้นที่ว่าต่ำแล้วก็ยังเป็นราคาที่สูงกว่าพื้นฐานที่ควรเป็นนั้น เป็นเรื่องของอารมณ์หรือจิตวิทยาที่เขายอมรับไม่ได้กับการขาดทุนมหาศาล เขาคิดว่าถ้าเขาขายเขาจะขาดทุนจริง แต่ถ้ายังไม่ขายเขาก็ยังไม่ขาดทุนจริงและในวันหนึ่งหุ้นก็อาจจะดีดตัวกลับมาได้ เขาไม่ได้คิดว่าราคาหุ้นอาจจะตกลงไปอีกเพราะราคานั้นยังอาจจะสูงกว่าพื้นฐานอยู่ ดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว หุ้นที่เขาถืออยู่นั้นจะมีมูลค่ามากกว่าที่จะเป็นถ้ามันเป็นหุ้นของคนอื่นหรือหุ้นที่เขายังไม่ได้ถือ พูดง่าย ๆ ถ้าเขายังไม่มีหุ้นตัวนั้น เขาก็คงไม่ซื้อมันในราคาที่เป็นอยู่ ในทางวิชาการเราเรียกอาการแบบนี้ว่า Endowment Bias หรือความลำเอียงที่เกิดขึ้นเนื่องจากเราเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นแล้ว
นั่นคือการติดหุ้นในความหมายที่เรารู้จักดีและมักเกิดขึ้นกับการเล่นหุ้นเก็งกำไร แต่นักลงทุนทั่วไปและ Value Investor เองก็มักจะมีอาการของโรคติดหุ้นอยู่เช่นกันไม่มากก็น้อย โดยที่ความหมายก็คือ การที่เราให้มูลค่าของหุ้นที่ถืออยู่เพิ่มขึ้น เราตีค่าของการขาดทุนที่จะเกิดขึ้นจากการขายมากกว่าการเสียโอกาสที่เกิดขึ้นเนื่องจากเงินของเราจมอยู่ในหุ้นตัวนั้น เราไม่ขายหุ้นตัวนั้นในราคานั้นแต่เราก็ไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นแม้ว่าราคาจะถูกลงมาอีก มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยมีเหตุผล แต่นี่คือเรื่องของอารมณ์ซึ่งเป็นความลำเอียงที่เกิดขึ้นในใจเรา
Endowment Bias นั้นเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในหุ้นที่เราได้มาจากการมอบให้หรือจากมรดกที่เราได้รับจากผู้มีอุปการคุณ หุ้นในลักษณะนี้เรามักจะไม่ค่อยอยากขายทั้ง ๆ ที่ดูแล้วราคาไม่เหมาะสมคือสูงกว่าพื้นฐาน เหตุผลก็คือ เราอาจจะรู้สึกว่าการขายจะเป็นการแสดงถึงความไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณของผู้ให้ หุ้นที่เรารู้จักและคุ้นเคยมานานก็เป็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่มักทำให้เราติด มันเป็นความรู้สึกสบายใจที่จะถือหุ้นที่เราคุ้นเคยมานาน รู้จักสินค้าและผู้บริหารของบริษัทเป็นอย่างดีซึ่งทำให้เราไม่อยากขายทั้งที่ดูไปแล้วราคาหุ้นไม่เหมาะสมกับพื้นฐาน การเสียดายค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนต่างของราคาเสนอซื้อเสนอขายบางทีก็ทำให้เราติดอยู่กับหุ้นได้เช่นกัน ว่าที่จริงหุ้นทุกตัวนั้น เมื่อเราซื้อมาเป็นเจ้าของเพื่อการลงทุนระยะยาวแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ที่เราจะ ติดหุ้น ตัวนั้นเสมอ เพราะเราไม่อยากจะยอมรับความผิดพลาดถ้าต้องขายไปในราคาที่ขาดทุนทั้ง ๆ ที่การขาดทุนตรงนั้นอาจจะน้อยกว่าการเสียโอกาสที่จะได้เงินมาลงทุนในหุ้นตัวใหม่ที่น่าจะสดใสกว่า
สรุปก็คือ เรื่องการติดหุ้นนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนทุกคนตั้งแต่นักเก็งกำไรถึงเซียนหุ้น มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถทางอารมณ์ของแต่ละคน การตระหนักถึงปัญหานี้จะช่วยให้การลงทุนของเราดีขึ้น ผมเองคิดว่า ต้นทุนของการเสียโอกาสลงทุนในหุ้นที่มีอนาคตที่ดีกว่านั้น บ่อยครั้งสูงกว่าการขาดทุนที่จะเกิดขึ้นจากการขายหุ้นที่มีผลงานแย่และเรากอดมันไว้มาก
โดย id นั้นจะเป็นลักษณะดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิต เขาเชื่อว่าบุคลิกภาพนี้จะเกิดขึ้นตามสัญชาติญาณดิบดั้งเดิม เมื่อหิวก็กิน เมื่ออยากก็ปี้เลย(ขออภัยถ้าไม่สุภาพ เพราะไม่รู้จะใช้คำไหนเหมือนกัน)โดยไม่สนใจอะไร เรียกว่าสัญชาติญาณดิบก็ได้ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ได้ให้แนวความคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพไว้ว่า บุคลิกภาพประกอบด้วย 3 ระบบ คือ "Id", "Ego" และ "Superego" ซึ่งทั้ง 3 ระบบนี้จะเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิด การแสดงพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์จะเป็นผลเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในระหว่าง 3 ระบบ
ผมไม่เคยเห็นใครเจ๊งหุ้นแล้วเฮฮาได้เลยครับ มีแต่เสียงก่นด่า เพื่อนผมที่ชอบเล่นรายวันเวลาเสียก็ด่าโน้นโทษนี่ไปหมด หาว่ามาร์คีย์ช้าบ้าง หาว่าคนนั้นคุยดังบ้าง ฯลฯ แต่ไม่ค่อยโทษตัวเองเลย ส่วนคนที่เป็น VI (พันธ์แท้) เท่าที่ผมเห็นเมื่อวิเคราะห์ผิดก็มักจะยอมรับความผิดของตัวเองน่ะครับ :Dพอดีวันก่อนแอบได้ยินเพื่อนนักลงทุนคุยกัน มีคนนึงพูดประมาณว่า
"คนเป็น VI เล่นหุ้นไปซักพักก็จะ Ego สูงไม่ค่อยฟังใคร สู้พวก techincal ไม่ได้ ถึงจะเจ๊งหุ้นยังไงก็เฮฮากันได้"
น่าจะเกือบๆ 4 ขวบได้แล้วมั๊งครับ ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล่นหุ้นครั้งแรกก็เจอเวปนี้แล้วแล้วปีนี้เว็ปนี้กี่ขวบแล้วครับ
ต้องมีเงินเท่าไร ถึงเป็นเศรษฐีครับสุมาอี้ เขียน:ในวันที่เวบนี้มีอายุครบ 15 ปี ถ้าคนที่ยังเข้าเวบนี้กันอยู่ ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีไป ก็ต้องถือว่าแนว VI นี่ราคาคุยแล้วครับ ต้องรอพิสูจน์กันดูนะครับ