money management

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ถ้าพอร์ตมีเงินสดเหลือ 2 แสนบาทกับมีหุ้นอยู่หนึ่งตัวคือหุ้น A ซื้อมา 1 แสนบาท ตอนนี้ขายได้ 2 แสนบาท และคุณก็คิดว่าราคานี้ fair value พอดี

คราวนี้คุณไปเจอหุ้นตัวหนึ่งคือหุ้น B ซึ่งคุณคิดว่ามีราคาที่น่าลงทุนมากอยากจะซื้อสัก 2 แสนบาท คุณจะทำอย่างไรระหว่าง

เอาเงินสดที่เหลือในพอร์ตมาซื้อ

หรือ

ขายหุ้น A เอาเงินออกมาซื้อ

ชอบอย่างไหนมากกว่ากัน?
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ก็เอาส่วนกำไรมาซื้อตัวใหม่ครับ

ผมมักจะมีเงินสดเหลือในพอร์ตเสมอครับ เผื่อเอาไว้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ksnk
Verified User
โพสต์: 414
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้าหุ้น B ซึ่งคุณคิดว่ามีราคาที่น่าลงทุนมากๆๆๆๆๆๆๆ
ผมจะ
เอาเงินสดที่เหลือในพอร์ตมาซื้อ

และ

ขายหุ้น A เอาเงินออกมาซื้อ
:lol:  :lol:

ถ้าให้พิจารณาก็คงต้องเปรียบเทียบว่าบริษัท A ที่ fair value มีอนาคต(growth, risk) เป็นอย่างไรถ้าเทียบกับบริษัท B ที่มีราคาน่าลงทุนมาก
jaychou
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เท ... เอ้ย เคาะขายหุ้น A มาซื้อ หุ้น B
booklover
Verified User
โพสต์: 1061
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ถ้ามั่นใจBมากกว่า ว่าดีกว่าAก็ขายหมดแล้วซื้อตัวใหม่B

ครับ แล้วจะพยายามหาเงินเพิ่มอีกเยอะๆมาซื้อเพิ่มอีกครับ

ถ้ามั่นใจสุดๆ จะขายทองให้หมดเลยแล้วเอามาซื้ออีกครับ

:D
sunrise
Verified User
โพสต์: 2266
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขายหุ้น a มาซื้อหุ้น b ครับ

ถ้าหุ้น b ดีมากๆ จริงๆ เอาเงินที่อยู่ในกระเป๋ามาซื้อเพิ่มด้วย  8)
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
keng56
Verified User
โพสต์: 431
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขายหุ้นAครึ่งนึงได้มา1แสนบวกเงินสด1แสนซื้อหุ้นตัวใหม่ 8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Doraemon
Verified User
โพสต์: 243
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ในเมื่อราคามันไปถึง fair value แล้วก็ไม่มีเหตุจะถือต่อไปอีก และ B น่าลงทุนอย่างมาก...

ขาย A ให้เกลี้ยง+เงินสดอีก 2 แสน เอาไปซื้อ B คับผม
Great Stocks at Bargain Prices
Capo
Verified User
โพสต์: 1067
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เอาเงินสดมาซื้อครับ
เหตุผลประกอบด้วย
1. ถ้าเงินอยู่เฉย ๆ ส่วนตัวผมก็ทำได้แค่ฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยต่ำต้อย
2. และสมมติเป้าหมายมูลค่าการซื้อไว้ที่สองแสนอยู่แล้ว ก็พอดี ๆ กับเงินสดที่มีอยู่ นั่นคือเงินสดดอกเบี้ยต่ำ มีเพียงพอกับเป้าหมายในการซื้ออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรบกวน A
3. Fair Price คิดจาก Discount Rate ที่เราคาดหวังอยู่แล้ว ดังนั้นถือต่อไปก็คงจะได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งคงจะมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์แน่นอน
4. โดยความนิยมส่วนตัว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ มักจะไม่นิยมถือเงินสดเป็นประมาณมากเกินไปครับ ซึ่ง 200,000 สำหรับผมถือว่ามากเกินไป
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ

มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
Verified User
โพสต์: 4526
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ถ้าอนาคตหุ้น B จริงละก็

ขายหุ้น A เพื่อเอาทุนคืน 100000

นําเงินสด 100000+เงินจากA100000 ซื้อหุ้น B=200000บาท

จะเหลือเงิน 100000 และมูลค่าหุ้น A 100000ใน port ไม่ขายหมดเนื่องจาก
สมมุติว่าAมีอนาคตที่ดี ฉะนั้นหุ้นก็เพิ่มตามมูลค่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 11

โพสต์

เทคนิคแพรวพราวกันจริงๆ คับ  :D
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
Verified User
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ถ้าตอบตรงคำถามจริงๆ
หมายถึงว่า อยากได้ B แค่ 2 แสนนะครับ

ผมจะขาย A ออก 1 แสน บาท แล้วเอาเงินสดอีก 1 แสนบาท เข้าซื้อ B 2 แสนบาทครับ
ทำให้ พอร์ทกลายเป็น มี A 1 แสนบาท, B 2 แสนบาท และ เงินสด 1 แสนบาทครับ

แต่ถ้าไม่มีคำว่า "อยากได้ B 200,000 บาท" ผมก็จะขาย A ออกทั้งหมด แล้วเอาเงินที่ได้จากขาย A รวมกับเงินสดอีก 200,000 บาท ซื้อ B ไปทั้งหมดเลย
ทำให้ พอร์ทกลายเป็น B 400,000 บาท
:oops:
ภาพประจำตัวสมาชิก
naris
Verified User
โพสต์: 6726
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ต้องดูคุณภาพของหุ้นทั้ง2ตัวในระยะยาว และ การตีมูลค่าของเราเมื่อเทียบกับตลาดครับ

เช่น ผมเคยคิดว่าหุ้น A= mint ที่ 6บาทกว่าๆ peตอนนั้นที่ประมาณ20เท่า upside ไม่น่าจะเหลือมาก :?
เมื่อเจอหุ้น B=MCS ราคาประมาณ2.7-2.8 ก็คิดว่าชัวร์100%
:shock:
ก็เลยขายmint มาซื้อ mcs ทั้งหมด

แล้วก็กลายเป็น mint ขึ้นมาประมาณ50%  ส่วน mcs ขึ้นมาประมาณ30% :wall:

(แต่ตอนนี้ขายmcsไปหมดแล้วครับ เจอกิ๊กใหม่ :oops: )

สรุปว่ายังไงก็ช่างสูตรพี่คลายเคลียดยังใช้ได้ สำหรับคนที่เจอกิ๊กใหม่กลัวสวยแต่รูป จูบไม่หอม  และกิ๊กเก่าที่คุณภาพคับแก้วและ ยังรักกันอยู่ เหยียบเรือ2แคม ก็จำเป็นครับ :lol:
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
Verified User
โพสต์: 4526
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 14

โพสต์

วิธีพี่คลายเครียด คล้ายกับคุณ เทพ  
เลย

เอาทุนคืน ซึ่งหลายๆคนๆคงทําแบบเดียวกัน :rofl:
nanchan
Verified User
โพสต์: 2938
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมก็ว่าวิธีเหยียบเรือสองแคม น่าจะเหมาะดี
เพราะส่วนมากหุ้นที่ขึ้นมาที่ราคาfair มักจะขึ้นต่อไปที่ราคาไม่แฟร์

ส่วนหุ้นที่ยังไม่ขึ้น จะขึ้นเมื่อไรไม่รู้


ถ้าผมจะใช้วิธีสวิทช์หุ้น แบบเหมาทั้งlot ผมจะใช้กลับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน
และมีพื้นฐานใกล้เคียงกัน

อย่างเช่นล่าสุด psl กะ tta ผมก็ซื้อไว้ทั้ง2ตัว

วันหนึ่งpslขึ้นมา35.25 ผมก็ขาย35.25 28/7/49 เพราะเห็น ttaลงมา21.6 เลยมาซื้อttaแทน
ก็ขายยกล๊อตแหละครับ
พออีกไม่กี่วัน psl ลงมา33.75 34 ผมก็เอาเงินส่วนที่เหลือมาซื้ออีกที


วิธีผมอาจจะมองระยะสั้นมากไปหน่อย
โปรดใช้วิจารณาญานในการรับอ่าน
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
worapong
Verified User
โพสต์: 929
ผู้ติดตาม: 0

Re: money management

โพสต์ที่ 16

โพสต์

สุมาอี้ เขียน:ถ้าพอร์ตมีเงินสดเหลือ 2 แสนบาทกับมีหุ้นอยู่หนึ่งตัวคือหุ้น A ซื้อมา 1 แสนบาท ตอนนี้ขายได้ 2 แสนบาท และคุณก็คิดว่าราคานี้ fair value พอดี

คราวนี้คุณไปเจอหุ้นตัวหนึ่งคือหุ้น B ซึ่งคุณคิดว่ามีราคาที่น่าลงทุนมากอยากจะซื้อสัก 2 แสนบาท คุณจะทำอย่างไรระหว่าง

เอาเงินสดที่เหลือในพอร์ตมาซื้อ

หรือ

ขายหุ้น A เอาเงินออกมาซื้อ

ชอบอย่างไหนมากกว่ากัน?
โจทย์มันดูเหมือนง่ายแต่ที่จริงซับซ้อนนะครับ
ถ้าแฟร์แวลยู่หมายถึงมูลค่าที่ได้จากการคิดลดกระแสเงินสดด้วยดอกเบี้ยที่พอสมควรแล้วละก็ ไอ้อัตราดอกเบี้ยที่พอสมควรนี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าเงินสดที่ถืออยู่ หรือหุ้นที่ถืออยู่มีค่ามากกว่ากัน จากความรู้อันจำกัดของผมพบว่าหนังสือส่วนใหญ่เวลาคำนวณมักเอาดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะยาวมาเป็นอัตราคิดลด ซึ่งปัจจุบันอยู่ราวๆ 5-6% แต่ในหนังสือส่วนใหญ่ใช้ 9-10% มาคิดลด เค้าบอกว่าถ้าดอกเบี้ยพันธบัตรต่ำกว่าสิบก็ให้เอาสิบมาคิดลดเลย ดังนั้นผมคิดว่าหุ้นเอน่าจะมีมูลค่าสูงกว่าเงินสด ถ้ามีทางเลือกแค่สองทาง การเอาเงินสดมาซื้อหุ้นน่าจะทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวดีกว่าครับ ที่สำคัญคือในความคิดส่วนตัวของผม การถือหุ้นสักสี่ห้าตัวก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าถือตัวเดียวครับ เพราะผมเองไม่ได้เก่งถึงขนาดว่าคำนวณแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นไปอย่างที่คำนวณเป๊ะๆ บางครั้งบริษัทก็ทำได้ดีกว่าที่คิด แต่บางครั้งก็ทำได้แย่กว่านั้น ผมเองจึงชอบที่จะมีหุ้นมากกว่าหนึ่งตัวในพอร์ต ผมจึงเลือกการเอาเงินสดที่เหลือมาซื้อหุ้นบีครับ แต่ผมก็เห็นว่ามีพี่ๆหลายคนที่เลือกหุ้นตัวเดียวแล้วทำได้ดีมากๆนะครับ ซึ่งดีกว่าหุ้นสี่ห้าตัวในพอร์ตของผมพอสมควรเลยครับ แต่คนที่จะทำได้แบบนั้น ผมคิดว่ามีจำนวนจำกัด เค้าต้องเก่งมากจริงๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ครับ
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
ภาพประจำตัวสมาชิก
tanate
Verified User
โพสต์: 307
ผู้ติดตาม: 0

ตอบครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขายหุ้น A ออกไป 100,000 บาท แล้วนำเงินที่ได้ + เงินสดในมือ 100,000 บาท ไปซื้อหุ้น B ส่วนเงินที่เหลือ 100,000 บาท เผื่อซื้อเฉลี่ยต้นทุน B กรณีที่หุ้นตกลงมามาก  หุ้นAที่เหลืออยู่ถือยาวววว กินเงินปันผล เพราะต้นทุนเหลือต่ำมากๆ
หุ้นขึ้นสักแต่รู้ว่าหุ้นขึ้น หุ้นตกสักแต่รู้ว่าหุ้นตก
ภาพประจำตัวสมาชิก
วัวแดง
Verified User
โพสต์: 1429
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 18

โพสต์

เป็นผมนะ.......

เงินสดซื้อหุ้น b 2แสน ,หุ้นa เก็บไว้ก่อน......

เมื่อเจอหุ้น c ที่มั่นใจคล้ายๆ หุ้นb จึงขายหุ้นa มาซื้อหุ้นc 2แสน......

ผมไม่เก็บเงินสด(สำหรับซื้อหุ้น) ถ้ามั่นใจตัวไหนก็ซื้อไปเลย เงินสดทำรายได้ให้ผมน้อยมาก :D

ถ้าคิดว่าถือเงินสดเพื่อรอโอกาสดีๆ ผมไม่ทำ ถ้ามีโอกาสดีๆจริง ผมขายหุ้นทุกตัวเพื่อมาซื้อ....
ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ผมคาดเดาว่าวิธีหา fair value ของคุณสุมาอี้  คือ FCF

ดังนั้น  ถ้าสมมุติ  ผลตอบแทนที่คำนวณ fair value ไว้ที่ 10%

หุ้น A ที่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ fair value  แสดงว่าถ้าเราถือลงทุนต่อ  ก็จะได้ผลตอบแทนในรูปกระแสเงินสดอิสระ 10% ต่อปี

หุ้น B  มีราคาตลาดที่น่าลงทุนมาก  ก็แสดงว่าต้องต่ำกว่า fair value  ซึ่งถ้าเราลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนในรูปกระแสเงินสดอิสระมากว่า 10% ต่อปีมากพอควร

เป็นผมก็คงขายหุ้น A  ออก  แล้วบวกเงินทั้งหมด  ซื้อ หุ้น B  ครับ

ปล. เห็นบางคนวัดผลตอบแทนจากราคาตลาด  เราไม่รู้หรอกครับว่าในอนาคตอันใกล้ราคาตลาดของ A และ B  จะขึ้นหรือลงมากกว่ากัน  เพราะราคาตลาดในระยะสั้นคงไม่สัมพันธ์กับ fair value ซักเท่าไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 20

โพสต์

[quote="chatchai"]
หุ้น A ที่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ fair value
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
007-s
Verified User
โพสต์: 2496
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 21

โพสต์

สำหรับดิฉันคิดว่า อยู่ที่กลยุทธด้วยค่ะ
โจทย์ที่ให้มายังไม่ละเอียดพอ จึงต้องถามก่อนว่า สองแสนที่เหลือนั้น คิดเป็นจำนวนเงินสด กี่เปอเซนต์ของเงินลงทุนแท้จริง

ถ้าสองแสน คือ 66.66% ของเงินลงทุนจริง และทุนหุ้น a หนึ่งแสนนั้นเป็นแค่ 33.33% ของเงินลงทุน (กรณีเงินต้นมีสามแสน,มีหุ้นในปอดแค่หุ้น a ตัวเดียว)

สำหรับดิฉันแล้ว คิดว่าพอร์ทแบบนี้ มีหุ้นน้อยเกินไป

โดยเฉพาะถ้าบอกว่า พบแล้ว หุ้นที่มีค่าพอที่จะเป็นตัวที่สองในพอร์ท ถูกมาก ดีมาก อยู่ในจุดที่พร้อมจะขึ้น ...อะไรก็แล้วแต่

งั้นทำไมไม่ตัดสินใจเอา ส่วนของ 66.66% มาลุยล่ะ ทั้งๆที่ปล่อยไว้มันก็ลดค่าตัวมันลงอยู่ตลอดเวลา การที่เงินอยู่เฉยๆบางครั้งอาจเป็นอันตรายมากกว่า การที่เงินอยู่ในหุ้นที่มาถึงราคา แฟร์แวลุ่แล้ว (ยิ่งถ้าคำนวนที่แฟร์แวลู่แล้ว ถ้าอัตราปันผลยังตอบแทนได้ดีกว่าดอกเบี้ยหรือเงินเฟ้อ ยิ่งไปใหญ่)

ทีนี้ในทางกลับกัน
ถ้าสองแสนที่เหลือ คือเป็น 10% ของทุนแท้จริงที่ สองล้านบาท
และหุ้น a มีสัดส่วนการลงทุนแค่ 5% ของเงินลงทุนแท้จริง

อันนี้ก็ต้องพิจารณาหน่อยค่ะ
แรกเลยคือ เอ๊ะ หุ้น a เดิมที่ถืออยู่นี่นะ ขึ้นมาได้ร้อยเปอเซนต์ (ต้องดูว่าใช้เวลาแค่ไหน และขึ้นมาแนวไหน ...ขึ้นมามากเพราะ เดิมที่ลงทุนมันอยู่ต่ำแวลู่มากๆๆๆ หรือ ขึ้นมามาก เพราะบริษัทมีความสามารถในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง )
แล้ว เอ...ต้องกลับไปนอนคิดหน่อยแล้ว ว่าเราจะขายหรือ ควรจะหาจังหวะซื้อหุ้น a เพิ่มขึ้นอีกหน่อย กันแน่
แล้วก็ อืม...ดูแล้วไงๆ หุ้น b ดีกว่า a แน่นอน เอาล่ะ ลุยหุ้น b มันทั้งหมด สองแสนที่เหลือนี่ดีกว่า (แปลว่าถือหุ้น b =10%ในพอร์ท)

อ้าว...เป็นปัญหาให้คิดอีกอ่ะค่ะ ...สองตัวที่ว่าดีนี่รวมกันแล้ว 15% เอง
เอ๋...อีกตั้ง 85% มันไปลงอยู่ในตัวไหนล่ะ งั้นต้องกลับไปดูแล้วมั้งคะ ว่าอี85% นี่มันดีกว่า 15% สองตัวนี้หรือไม่

ก็ สำหรับดิฉันคือ จะให้ความสำคัญในกลยุทธการจัดการทีม ไม่น้อยไปกว่าการคัดเลือกนักเตะ ค่ะ


:D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Doramon007
Verified User
โพสต์: 110
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ได้ความรู้อีกเป็นกระบุง  :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Doraemon
Verified User
โพสต์: 243
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 23

โพสต์

[quote="สุมาอี้"][quote="chatchai"]
หุ้น A ที่มีราคาซื้อขายในตลาดที่ fair value
Great Stocks at Bargain Prices
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ขอโทษคุณโดราเอมอนด้วย  :bow:  ไม่ได้ตั้งใจจะ quote ชื่อแบบนั้น

ผมก็เห็นด้วยกับการขาย A ทิ้งให้หมด เอาเงินที่ได้บวกเงินสดที่เหลืออยู่ไปซื้อ B เพราะทั้งการถือ A ต่อไปและการถือเงินสดจะมี NPV=0 แต่การถือ B มี NPV>0

เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ ตรงคำว่า หุ้นที่ถึง fair value แล้ว ไม่มีเหตุจะต้องถือต่อไปเท่านั้น  

(20 บาท ต้องเป็น PV หรือเปล่า?)
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Doraemon
Verified User
โพสต์: 243
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 25

โพสต์

โอวว...จะขอโทษผมไปทำไมครับ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย จริงๆ จะ quote ชื่อผมอีกกี่ทีก็ได้ ถือเป็นเกียรติครับ :D

จะว่าไปแล้วผมเองก็ใช้คำพูดผิดไปจริงๆ ที่ว่าไม่มีเหตุจะให้ถือต่อไปแล้ว เพราะจริงๆ ยังได้ที่ WACC อยู่อย่างที่ว่ากัน  :oops:
(20 บาท ต้องเป็น PV หรือเปล่า?)
ผมว่า FV กับ PV มันเหมือนกันนะ เพราะ FV ก็คือคำที่เราใช้เรียก PV ของ free cash flow ต่อหุ้น ไม่ใช่หรือครับ?? (งงอีกแล้ว ดีจังเลยครับกระทู้นี้ได้ถกกันเยอะดี)
Great Stocks at Bargain Prices
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 0

money management

โพสต์ที่ 26

โพสต์

Doraemon เขียน:
ผมว่า FV กับ PV มันเหมือนกันนะ เพราะ FV ก็คือคำที่เราใช้เรียก PV ของ free cash flow ต่อหุ้น ไม่ใช่หรือครับ?? (งงอีกแล้ว ดีจังเลยครับกระทู้นี้ได้ถกกันเยอะดี)
เข้าใจล่ะ ผมไปนึกว่า FV หมายถึง Future value  :oops:
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
โพสต์โพสต์