แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 481
ว่าด้วยเรื่องภายนอกประเทศ
เริ่มต้นที่เมืองจีน ตอนนี้เริ่มมีข่าวเรื่อง การขายรถยนต์ของจีนที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่จีนเปิดประเทศมา (นับปี 1992)
อีกเรื่องเป็นครั้งแรกที่ยอดการส่งออกของจีนถดถอย ที่ส่งออกน้อยกว่าปีก่อนหน้า (2018 น้อยกว่า 2017) จากการเปิดประเทศ
อันนี้น่าสนใจเพราะว่า พี่ใหญ่สุดของเศรษฐกิจในเอเชีย เริ่มส่งสัญญาณที่ไม่ค่อยดี จากสงครามการค้ากับ US
ส่วน US ทำไมถึงต้องเกิด Govt shutdown เกิดขึ้น ง่ายๆ คือ ถ้าหากเศรษฐกิจร้อนแรงเกิดไป ก็ทำให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย
การเบรกมิใช่ดำเนินการขึ้นดอกเบี้ย นั้น ก็คือ แรงงานนั้นต้องตกงานเพิ่มขึ้นนั้นเอง คิดแบบนี้ไซร้ก็ได้คำตอบของโจทย์นี้
ไม่เพียงแค่นั้น เลือกตั้งปีหน้า 2020 นั้น ถ้าตกงานตอนนี้ ดีกว่าตกงานต้นปี 2020 ที่เลือกตั้ง ทำให้เศรษฐกิจแย่ปีนี้
เพราะกลางเทอม มันทำให้ อีกฝ่ายที่ได้รับเลือกเข้ามา ขัดขวางการบริหารประเทศเป็นแพะไป คิดแบบนี้ก็จบเรื่องนี้
คาดการณ์ไม่ได้แต่มันมีคำตอบ มองแบบ ค่อยๆมองว่าเพราะอะไร เดี๋ยวมันก็ตอบมาเอง
ส่วน Brexti นั้น ตอนนี้ อังกฤษ เริ่มแข็งแกร่งในด้านของทหารเพราะเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาประจำการแล้ว
HMS Queen Elizabeth เข้าประจำการปลายปี 2017 มีระวางขับน้ำ 65,000 ตัน
HMS Prince of Wales คาดว่าเข้าประจำการปี 2020 (ตอนนี้กำลังต่ออยู่)
ทำให้หลังดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้านี้
สังเกตต่อ เรื่องของทหาร ญี่ปุ่น ตอนนี้เริ่มดัดแปลงเรือบรรทุกฮ.พิฆาตของตัวเองเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน
JS Izumo กับ JS Kaga เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ระวางขับน้ำ ตอนที่สร้างเสร็จ 19,500 ตัน
ก็ต้องดูกันต่อไปว่าบรรทุกเครื่องบิน F35 หรือเปล่า
ส่วนจีนนั้น ตอนนี้เริ่มสร้าง Type 2 ที่เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน แบบใช้พลังงานนิวเคลียส เสร็จแล้วเป้นชาติที่สามที่มีในครอบครอง ต่อจาก US และ ฝรั่งเศส นั้นเอง
ส่วน type 1A นั้น กำลังทดสอบอยู่ Sea trail รอบ2 แล้ว
น่าสนใจว่า กองทหารของจีนนั้นยังไม่แสดงศักยภาพในสนามรบจริง ผิดกับ US,EU,รัสเซีย ลงสนามกันหมดแล้ว
รอดูจีนรบแต่ว่าเป็นที่ไหนเท่านั้นเอง
เริ่มต้นที่เมืองจีน ตอนนี้เริ่มมีข่าวเรื่อง การขายรถยนต์ของจีนที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่จีนเปิดประเทศมา (นับปี 1992)
อีกเรื่องเป็นครั้งแรกที่ยอดการส่งออกของจีนถดถอย ที่ส่งออกน้อยกว่าปีก่อนหน้า (2018 น้อยกว่า 2017) จากการเปิดประเทศ
อันนี้น่าสนใจเพราะว่า พี่ใหญ่สุดของเศรษฐกิจในเอเชีย เริ่มส่งสัญญาณที่ไม่ค่อยดี จากสงครามการค้ากับ US
ส่วน US ทำไมถึงต้องเกิด Govt shutdown เกิดขึ้น ง่ายๆ คือ ถ้าหากเศรษฐกิจร้อนแรงเกิดไป ก็ทำให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย
การเบรกมิใช่ดำเนินการขึ้นดอกเบี้ย นั้น ก็คือ แรงงานนั้นต้องตกงานเพิ่มขึ้นนั้นเอง คิดแบบนี้ไซร้ก็ได้คำตอบของโจทย์นี้
ไม่เพียงแค่นั้น เลือกตั้งปีหน้า 2020 นั้น ถ้าตกงานตอนนี้ ดีกว่าตกงานต้นปี 2020 ที่เลือกตั้ง ทำให้เศรษฐกิจแย่ปีนี้
เพราะกลางเทอม มันทำให้ อีกฝ่ายที่ได้รับเลือกเข้ามา ขัดขวางการบริหารประเทศเป็นแพะไป คิดแบบนี้ก็จบเรื่องนี้
คาดการณ์ไม่ได้แต่มันมีคำตอบ มองแบบ ค่อยๆมองว่าเพราะอะไร เดี๋ยวมันก็ตอบมาเอง
ส่วน Brexti นั้น ตอนนี้ อังกฤษ เริ่มแข็งแกร่งในด้านของทหารเพราะเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาประจำการแล้ว
HMS Queen Elizabeth เข้าประจำการปลายปี 2017 มีระวางขับน้ำ 65,000 ตัน
HMS Prince of Wales คาดว่าเข้าประจำการปี 2020 (ตอนนี้กำลังต่ออยู่)
ทำให้หลังดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้านี้
สังเกตต่อ เรื่องของทหาร ญี่ปุ่น ตอนนี้เริ่มดัดแปลงเรือบรรทุกฮ.พิฆาตของตัวเองเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน
JS Izumo กับ JS Kaga เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ระวางขับน้ำ ตอนที่สร้างเสร็จ 19,500 ตัน
ก็ต้องดูกันต่อไปว่าบรรทุกเครื่องบิน F35 หรือเปล่า
ส่วนจีนนั้น ตอนนี้เริ่มสร้าง Type 2 ที่เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน แบบใช้พลังงานนิวเคลียส เสร็จแล้วเป้นชาติที่สามที่มีในครอบครอง ต่อจาก US และ ฝรั่งเศส นั้นเอง
ส่วน type 1A นั้น กำลังทดสอบอยู่ Sea trail รอบ2 แล้ว
น่าสนใจว่า กองทหารของจีนนั้นยังไม่แสดงศักยภาพในสนามรบจริง ผิดกับ US,EU,รัสเซีย ลงสนามกันหมดแล้ว
รอดูจีนรบแต่ว่าเป็นที่ไหนเท่านั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 482
Search yield
คำนี้ได้ยินบ่อยในช่วงหลังๆ แต่ทว่า มันไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจ
หากใครอ่านหนังสือของ ปู่ อลัน กรีนสแปน อดีตประธาน FED ที่ยาวนานที่สูงในประวัติศาสตร์ของ US
มีเขียนไว้ในหนังสือ "Alan Greenspan : The Age of Turbulence ยุคแห่งความโกลาหล" ในช่วงท้ายๆของการรับตำแหน่ง
ของคุณปู่ ในส่วนของ อสังหาริมทรัพย์ ในด้านของผู้ซื้อที่เสียดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์นั้นเอง
ซึ่ง การลดดอกเบี้ยในช่วงหลังปี 2000 หลังจากการเกิด วิกฤติต้มยำกุ้ง ต่อด้วย วิกฤติ ดอทคอมนั้นเอง
แต่น่าเสียดายว่า หนังสือแปลของ ปู่ อลัน กรีนสแปน ที่สำนักพิมพ์ Post นำมาลดราคาเหลือเล่มละ 99 บาท ไม่มีใครต้องการ
ไม่เพียงแค่นั้น วางขายแบบใส่ถุงใส่เท่าไร ถุงละ 199 บาทก็ไม่ค่อยมีใครซื้อหาเท่าไร แต่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าอ่าน
เพราะว่า ระดับปู่อลัน กรีนสแปน มาเขียนหนังสือเอง มันต้องมีอะไร บางอย่าง ถึงแม้นว่า เก่าไปหน่อย แต่มันคือประวัติศาสต์
ที่สำคัญทางเศรษฐกิจเลยก็ว่าได้ เพราะ ปัจจุบันย้อนรอยอดีต ในบริบทเดิมอยู่แล้วนั้นเอง
เมื่อคนลืม หรือยุคสมัยลืมไปแล้ว นั้นแหละที่ต้องระวัง
ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ มาตรการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกมาในช่วงเวลานี้ ที่ออกมาดูแล อสังหาริมทรัพย์ เป็นพิเศษ
กลัวว่า ถ้าหดอสังหาริมทรัพย์ มีปัญหาฟองสบู่ก็ทำให้กระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้นเอง
ต้องรอดูว่า การลดความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ แล้วยังคงร้อนแรงอยู่หรือไม่
รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ย แล้วกระทบผู้ผ่อนชำระอสังหาริมทรัพย์ หรือไม่ในอนาคต
คำนี้ได้ยินบ่อยในช่วงหลังๆ แต่ทว่า มันไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจ
หากใครอ่านหนังสือของ ปู่ อลัน กรีนสแปน อดีตประธาน FED ที่ยาวนานที่สูงในประวัติศาสตร์ของ US
มีเขียนไว้ในหนังสือ "Alan Greenspan : The Age of Turbulence ยุคแห่งความโกลาหล" ในช่วงท้ายๆของการรับตำแหน่ง
ของคุณปู่ ในส่วนของ อสังหาริมทรัพย์ ในด้านของผู้ซื้อที่เสียดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์นั้นเอง
ซึ่ง การลดดอกเบี้ยในช่วงหลังปี 2000 หลังจากการเกิด วิกฤติต้มยำกุ้ง ต่อด้วย วิกฤติ ดอทคอมนั้นเอง
แต่น่าเสียดายว่า หนังสือแปลของ ปู่ อลัน กรีนสแปน ที่สำนักพิมพ์ Post นำมาลดราคาเหลือเล่มละ 99 บาท ไม่มีใครต้องการ
ไม่เพียงแค่นั้น วางขายแบบใส่ถุงใส่เท่าไร ถุงละ 199 บาทก็ไม่ค่อยมีใครซื้อหาเท่าไร แต่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าอ่าน
เพราะว่า ระดับปู่อลัน กรีนสแปน มาเขียนหนังสือเอง มันต้องมีอะไร บางอย่าง ถึงแม้นว่า เก่าไปหน่อย แต่มันคือประวัติศาสต์
ที่สำคัญทางเศรษฐกิจเลยก็ว่าได้ เพราะ ปัจจุบันย้อนรอยอดีต ในบริบทเดิมอยู่แล้วนั้นเอง
เมื่อคนลืม หรือยุคสมัยลืมไปแล้ว นั้นแหละที่ต้องระวัง
ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ มาตรการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกมาในช่วงเวลานี้ ที่ออกมาดูแล อสังหาริมทรัพย์ เป็นพิเศษ
กลัวว่า ถ้าหดอสังหาริมทรัพย์ มีปัญหาฟองสบู่ก็ทำให้กระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้นเอง
ต้องรอดูว่า การลดความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ แล้วยังคงร้อนแรงอยู่หรือไม่
รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ย แล้วกระทบผู้ผ่อนชำระอสังหาริมทรัพย์ หรือไม่ในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 483
ฝุ่นและควัน
กลางเดือนมกราคม ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นั้นเกิดปรากฏการณ์คนกรุงเทพ ตื่นเรื่องหมอกที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็กคือ PM 2.5 และ PM10
อันนี้มันเกิดมาหลายปี สาเหตุมาจาก
1. การก่อสร้าง ต่างๆ ที่ระดมก่อสร้างกันในช่วงนี้ ไล่ตั้งแต่ รถไฟฟ้า ทั้งใต้ดินและบนดิน ,สร้างสะพาน ,ปิดสะพานข้ามแยกเกษตร ,ขุดอุโมงค์
2. การทุบทำลายตึก อาคารต่างๆ เช่น โรบินสันสีลม ทุบทางเท้า
3. การเผาไร่
4. รถติด อันนี้หนักหนาสาหัสสกรรณมาก
แต่อย่าลืมไปเสียว่า สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามไปคือ อาคารสูง ในการศึกษาสภาพแวดล้อมของอาคารสูง นั้นไม่ได้ศึกษาเรื่องทิศทางของลม ที่มีผลต่ออาคารเลย ว่าสร้างไปแล้วขวางทางลมหรือไม่ ลมจะพัดไม่สะดวกขึ้น อันนี้ถ้าหากหน้าร้อนคือ โดมความร้อน คือทั้งอาคารเปิดเครื่องปรับอากาศพร้อมกัน ระบายความร้อนจากห้องออกภายนอก ข้างนอกก็ยิ่งร้อนและร้อนมากกว่าเดิม
ไม่เพียงแค่นั้น ลมพัดเอาอากาศที่เย็นกว่าเข้าไม่ได้ งานก็เข้าซิ ร้อนก็ร้อนมากกว่าเดิมในหน้าร้อน
ส่วนหน้าหนาวก็ไม่มีลมพัด ลมนิ่ง อากาศก็ไม่ถ่ายเท ประกอบกับ หนาวหน้าเป็นช่วงที่มีความกดอากาศสูง นั้นคือ อากาศโดนกดมาด้านล่างลอยขึ้นไปข้างบนได้ยากกว่าเดิม ก็ทำให้ฝุ่นอยู่ด้านล่าง คราวนี้ก็หมอกและควันเลย
อันนี้ละเลยกัน แต่ทว่าในอนาคตละเลยไม่ได้ สำหรับหน่วยงานโยธาธิการและผังเมือง
ถ้าหากสังเกต ในปี 2530มีเอกสารของ ธปท (เก่าเก็บแต่เอามา Scan ย้อนความหลัง) อาคารสูงภายในกรุงเทพมีประมาณ 100 ตึกเท่านั้น แต่ปัจจุบันไม่ได้สำรวจว่า มีถึงหลักพันตึกหรือยัง เพราะหลังๆ คอนโดมิเนี่ยมก็เพียบ ทำให้มันเป็นกำแพงกั้นลมไปโดยปริยาย
สิ่งที่เห็นในรอบนี้คืออะไร คือ เอกชนช่วยรัฐ เหมือนตอนถ้ำหลวงเลย
หน่วยงานไหนช่วยอะไรได้บาง โดยเฉพาะอาคารสูง ฉีดน้ำลงมาช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศ เลยทีเดียว
มีฝูงบินช่วยปอยน้ำจากที่สูงอีกต่างหาก เรียกได้ว่า ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาอะไรทั้งสิ้น แถมได้กล่องจากประชาชนชาวกรุงเทพไปอีกต่างหากในฐานะพระเอกขี่ม้าขาว นั้นเอง
แต่ทว่า ช่วงนี้ผ่านพ้นไป ปีนี้ยังไม่หมดช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายละ ต้องวัดกันต่อไปว่าเกิดเหตุไหม
อย่างไรเสีย ถ้าหาก ใครจับแพะชนแกะ คือ ช่วงที่เกิด นั้น เป็นช่วงฝุ่นตลบจากการประกาศเลือกตั้ง
ช่วงหนักๆคือช่วงที่ใกล้ประกาศรับผู้สมัคร พอผ่านมาปุ๊บ ฝุนและควันหายไปเลย เหมือนเสกสั่งมา เลยละเนี่ย
เอาละไปก่อนละ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน
กลางเดือนมกราคม ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นั้นเกิดปรากฏการณ์คนกรุงเทพ ตื่นเรื่องหมอกที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็กคือ PM 2.5 และ PM10
อันนี้มันเกิดมาหลายปี สาเหตุมาจาก
1. การก่อสร้าง ต่างๆ ที่ระดมก่อสร้างกันในช่วงนี้ ไล่ตั้งแต่ รถไฟฟ้า ทั้งใต้ดินและบนดิน ,สร้างสะพาน ,ปิดสะพานข้ามแยกเกษตร ,ขุดอุโมงค์
2. การทุบทำลายตึก อาคารต่างๆ เช่น โรบินสันสีลม ทุบทางเท้า
3. การเผาไร่
4. รถติด อันนี้หนักหนาสาหัสสกรรณมาก
แต่อย่าลืมไปเสียว่า สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามไปคือ อาคารสูง ในการศึกษาสภาพแวดล้อมของอาคารสูง นั้นไม่ได้ศึกษาเรื่องทิศทางของลม ที่มีผลต่ออาคารเลย ว่าสร้างไปแล้วขวางทางลมหรือไม่ ลมจะพัดไม่สะดวกขึ้น อันนี้ถ้าหากหน้าร้อนคือ โดมความร้อน คือทั้งอาคารเปิดเครื่องปรับอากาศพร้อมกัน ระบายความร้อนจากห้องออกภายนอก ข้างนอกก็ยิ่งร้อนและร้อนมากกว่าเดิม
ไม่เพียงแค่นั้น ลมพัดเอาอากาศที่เย็นกว่าเข้าไม่ได้ งานก็เข้าซิ ร้อนก็ร้อนมากกว่าเดิมในหน้าร้อน
ส่วนหน้าหนาวก็ไม่มีลมพัด ลมนิ่ง อากาศก็ไม่ถ่ายเท ประกอบกับ หนาวหน้าเป็นช่วงที่มีความกดอากาศสูง นั้นคือ อากาศโดนกดมาด้านล่างลอยขึ้นไปข้างบนได้ยากกว่าเดิม ก็ทำให้ฝุ่นอยู่ด้านล่าง คราวนี้ก็หมอกและควันเลย
อันนี้ละเลยกัน แต่ทว่าในอนาคตละเลยไม่ได้ สำหรับหน่วยงานโยธาธิการและผังเมือง
ถ้าหากสังเกต ในปี 2530มีเอกสารของ ธปท (เก่าเก็บแต่เอามา Scan ย้อนความหลัง) อาคารสูงภายในกรุงเทพมีประมาณ 100 ตึกเท่านั้น แต่ปัจจุบันไม่ได้สำรวจว่า มีถึงหลักพันตึกหรือยัง เพราะหลังๆ คอนโดมิเนี่ยมก็เพียบ ทำให้มันเป็นกำแพงกั้นลมไปโดยปริยาย
สิ่งที่เห็นในรอบนี้คืออะไร คือ เอกชนช่วยรัฐ เหมือนตอนถ้ำหลวงเลย
หน่วยงานไหนช่วยอะไรได้บาง โดยเฉพาะอาคารสูง ฉีดน้ำลงมาช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศ เลยทีเดียว
มีฝูงบินช่วยปอยน้ำจากที่สูงอีกต่างหาก เรียกได้ว่า ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาอะไรทั้งสิ้น แถมได้กล่องจากประชาชนชาวกรุงเทพไปอีกต่างหากในฐานะพระเอกขี่ม้าขาว นั้นเอง
แต่ทว่า ช่วงนี้ผ่านพ้นไป ปีนี้ยังไม่หมดช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายละ ต้องวัดกันต่อไปว่าเกิดเหตุไหม
อย่างไรเสีย ถ้าหาก ใครจับแพะชนแกะ คือ ช่วงที่เกิด นั้น เป็นช่วงฝุ่นตลบจากการประกาศเลือกตั้ง
ช่วงหนักๆคือช่วงที่ใกล้ประกาศรับผู้สมัคร พอผ่านมาปุ๊บ ฝุนและควันหายไปเลย เหมือนเสกสั่งมา เลยละเนี่ย
เอาละไปก่อนละ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 484
Rare item ในโลกการ์ตูน
ธุรกิจที่ทุกคนคิดว่าเป็นตะวันตกดินคือการพิมพ์หนังสือการ์ตูน แต่หารู้ไม่ว่า
เมื่อคนรุ่น ที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่องนั้นมีกำลังเงินแต่หาอ่านการ์ตูนเรื่องที่เราเป็นเด็กไท่ได้ราคาสูงแค่ไหน
มีตัวอย่างให้เห็น เรื่อง dragon ball ค่าย nation ได้ลิขสิทธิ์ มีสองรูปแบบ แบบเล่มเล็กตอนนี้ราคาอยู่ที่ 4,000-6,000 แล้วแต่สภาพ ราคาหน้าปก 35 บาท มี 42 เล่ม
เล่มใหญ่ 5,000-7,000 บาทจำนวนเล่มเท่ากัน แต่ปกออกแดงๆ
เซ็นต์ไซย่าของวิบูลย์กิจ ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ มี 7,000+ ถ้าลิขสิทธิ์ ตั้งแต่3000 -5,000 บาท
แต่ถ้ารุ่นใหม่ล่าสุด มีกล่อง 2 กล่อง ขาดตัว 7,000 บาทมีทอน
ถ้าปรสิต อันนั้น 2,000-3,000 บาทเล็กใหญ่แล้วแต่สภาพ
City hunter อันนี้ ยังมีขายทั่วไป 3,000-4,000บาท
ราคาของพวกนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการเก็บหนังสือและความต้องการของตลาด
ส่วนใหญ่ราคาจะเป็น discount นอกจากการ์ตูนระดับตำนรนเท่านั้น
อันนี้เหมือนแทงหวยว่าการ์ตูนเรื่องใดเป็นตำนานนั้นเอง
ธุรกิจที่ทุกคนคิดว่าเป็นตะวันตกดินคือการพิมพ์หนังสือการ์ตูน แต่หารู้ไม่ว่า
เมื่อคนรุ่น ที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่องนั้นมีกำลังเงินแต่หาอ่านการ์ตูนเรื่องที่เราเป็นเด็กไท่ได้ราคาสูงแค่ไหน
มีตัวอย่างให้เห็น เรื่อง dragon ball ค่าย nation ได้ลิขสิทธิ์ มีสองรูปแบบ แบบเล่มเล็กตอนนี้ราคาอยู่ที่ 4,000-6,000 แล้วแต่สภาพ ราคาหน้าปก 35 บาท มี 42 เล่ม
เล่มใหญ่ 5,000-7,000 บาทจำนวนเล่มเท่ากัน แต่ปกออกแดงๆ
เซ็นต์ไซย่าของวิบูลย์กิจ ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ มี 7,000+ ถ้าลิขสิทธิ์ ตั้งแต่3000 -5,000 บาท
แต่ถ้ารุ่นใหม่ล่าสุด มีกล่อง 2 กล่อง ขาดตัว 7,000 บาทมีทอน
ถ้าปรสิต อันนั้น 2,000-3,000 บาทเล็กใหญ่แล้วแต่สภาพ
City hunter อันนี้ ยังมีขายทั่วไป 3,000-4,000บาท
ราคาของพวกนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการเก็บหนังสือและความต้องการของตลาด
ส่วนใหญ่ราคาจะเป็น discount นอกจากการ์ตูนระดับตำนรนเท่านั้น
อันนี้เหมือนแทงหวยว่าการ์ตูนเรื่องใดเป็นตำนานนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 485
เห็นด้วยครับ การ์ตูนบางเล่มเคยซื้อไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนี้ไม่อยู่ เห็นแล้ว
ก็อยากซื้อ แต่ราคาก็สูงมาก บางครั้งก็ตัดใจซื้อไปเพื่อเก็บเป็นของที่ระลึก
แต่บางเรื่องนำมาพิมพ์ใหม่และขายลดราคา ถือว่ามีMOSน่าสะสม เช่นการ์ตูนของเนชั่น
เกี่ยวกับเรื่องของคนเขียนโดเรมอนเป็นต้น
ก็อยากซื้อ แต่ราคาก็สูงมาก บางครั้งก็ตัดใจซื้อไปเพื่อเก็บเป็นของที่ระลึก
แต่บางเรื่องนำมาพิมพ์ใหม่และขายลดราคา ถือว่ามีMOSน่าสะสม เช่นการ์ตูนของเนชั่น
เกี่ยวกับเรื่องของคนเขียนโดเรมอนเป็นต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 486
999
ในแวดดวงการหวย นั้น เลขที่มีโอกาสที่ถูกรางวัลได้ต่ำที่สุดคือ เลขตอง สำหรับสามตัวหน้าหรือสามตัวหลัง
แต่การออกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลสัญจรอีกครั้ง
ครั้งนี้ที่คอหวยทั้งหลาย ออกอาการตั้งแต่การออกสามตัวหน้า คือ ผลรางวัลคือ 999
แถมแค่ั้นไม่พอ สองตัวท้าย นั้นออก 65 ถ้าย้อนกลับไปงวดประจำวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 สองตัวท้ายออก 56
งานนี้คอหวยเกิดอาการคอพับไปเป็นทิวแถว
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงในงวด 1 มีนาคม 2562 คือ การขายสลากที่คละเลขในเล่ม แถมไม่พอ กองสลากออก2 ใบเหมือน
มากดราคาขายอีกต่างๆหาก ไม่ให้พวกยี่ปั้ว ทั้งหลายจับเลขมาชนแล้วขายเป็นชุดได้ เรียกได้ว่า ทำเองซักเลย ขายเองอีกต่าหงาก
การลุ้มโชคโดยการลงทุนในสลากินแบ่งรัฐบาลนั้น โอกาสถูกน้อยๆมากๆ แค่ทว่า เป็นการลุ้นที่ประชาชนทั่วไปชอบ
เพราะว่า ลงทุนต่ำ แต่ถ้าฟลุ๊คได้รางวัลใหญ่ก็คุ้มค่านั้นเอง
ซึ่งบางคนเปลี่ยนชีวิตได้จากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นเอง แ
แถมกำลังของกองสลากนั้นกลับคืนสังคมไทย ในหลากหลายรูปแบบ คือ ด้านการศึกษา การลงทุนในสาธารณูปโภค องค์กรการกุศลต่างๆ เป็นต้น
อันนี้ให้อ่านกันขำๆ กับพฤติกรรมของคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคม ที่มีพฤิตกรรมเกี่ยวข้องกับตัวเลขทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน นั้นเอง
ในแวดดวงการหวย นั้น เลขที่มีโอกาสที่ถูกรางวัลได้ต่ำที่สุดคือ เลขตอง สำหรับสามตัวหน้าหรือสามตัวหลัง
แต่การออกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลสัญจรอีกครั้ง
ครั้งนี้ที่คอหวยทั้งหลาย ออกอาการตั้งแต่การออกสามตัวหน้า คือ ผลรางวัลคือ 999
แถมแค่ั้นไม่พอ สองตัวท้าย นั้นออก 65 ถ้าย้อนกลับไปงวดประจำวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 สองตัวท้ายออก 56
งานนี้คอหวยเกิดอาการคอพับไปเป็นทิวแถว
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงในงวด 1 มีนาคม 2562 คือ การขายสลากที่คละเลขในเล่ม แถมไม่พอ กองสลากออก2 ใบเหมือน
มากดราคาขายอีกต่างๆหาก ไม่ให้พวกยี่ปั้ว ทั้งหลายจับเลขมาชนแล้วขายเป็นชุดได้ เรียกได้ว่า ทำเองซักเลย ขายเองอีกต่าหงาก
การลุ้มโชคโดยการลงทุนในสลากินแบ่งรัฐบาลนั้น โอกาสถูกน้อยๆมากๆ แค่ทว่า เป็นการลุ้นที่ประชาชนทั่วไปชอบ
เพราะว่า ลงทุนต่ำ แต่ถ้าฟลุ๊คได้รางวัลใหญ่ก็คุ้มค่านั้นเอง
ซึ่งบางคนเปลี่ยนชีวิตได้จากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นเอง แ
แถมกำลังของกองสลากนั้นกลับคืนสังคมไทย ในหลากหลายรูปแบบ คือ ด้านการศึกษา การลงทุนในสาธารณูปโภค องค์กรการกุศลต่างๆ เป็นต้น
อันนี้ให้อ่านกันขำๆ กับพฤติกรรมของคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคม ที่มีพฤิตกรรมเกี่ยวข้องกับตัวเลขทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน นั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 487
ค่าแรง ขั้นต่ำ ปรับเป็น 300 บาท
อันนี้ต้องย้อนอดีตตอนที่ปรับค่าแรงเป็น 300 บาท ราคาเดียวทั้งประเทศ ซึ่ง เป็นการปรับที่แยกมากๆ
ไม่มองเรื่องอื่นน่า มองแค่ ปรับค่าแรง 300 บาท นั้น เป็นการดึงอำนาจการซื้อเพิ่มขึ้น แน่นอน
มันคือต้นทุนของบริษัท/ห้าง/ร้านต่างๆ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือ ร้านไหนที่ใช้กำลังแรงแบบหนักหน่วง ไม่ยอมปรับปรุงก็อยู่ไม่ได้
นั้นคืออะไร คือ รัฐ ใส่แรงเค้นลงไปในระบบแรงงานเลยว่า ถ้าหากแรงงานไม่ปรับปรุง ให้มีทักษะที่สูงขึ้น และบริษัท ไม่ปรับปรุง
ให้สามารถขายสินค้าที่ใช้ เทคโนโลยี่ระดับสูงได้ หรือ บริษัท ที่มีกินขนาดตลาดมากขึ้นได้ ก็ยอมตายไป
ด้านนี้มองแล้ว เป็นอย่างไร ก็คือ รัฐ ต้องการให้บริษัทในประเทศมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ลงทุนในด้านเทคโนโลยี่ที่ใช้แรงงานคนมากขึ้น เพราะอะไร เพราะว่า ประชาชนกรของเรา เป็นผู้สูงอายุมากขึ้น คือ แรงมีน้อยลง แต่มีความเก๋าเกมมากขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้น ต้องใช้ความเก๋าเกม ที่ผ่านร้อนความหนาวมาให้เป็นประโยชน์คือ ปรับปรุงให้ประเทศไทย จากรายได้กลางๆ ไปสู่รายได้สูงให้ได้
ถ้าทำแบบนี้แล้ว ประเทศไปเป็นประเทศรายได้สูงไม่ได้ นั้นคือเกิดภาวะ ช็อคขึ้นมาก ก็คืออะไร ก็คือ เกิดปัญหา ว่าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น และ ไม่เพียงแค่นั้น รัฐต้องกดราคาสินค้าให้ต่ำให้ประชาชนครองชีพให้ได้ คนตกงานต้องหาอาชีพมารองรับ
คำถามใหญ่ๆก็เกิดขึ้นว่า ระยะหลัง กลับกลายเป็นรัฐ เป็นผู้จ้างงานหลักๆของประเทศเลย นี้คือ รัฐต้องปรับตัวให้ได้ด้วยหรือเปล่า
ถ้าหากขึ้นค่าแรงแบบนี้ ซึ่งรัฐ ก็จ้างประชาชนเป็นพนักงานอัตราจ้าง แบบรายได้ รายวันก็เพียบ ไม่ได้แจ้งเป็นข้าราชการ ดังนั้น ก็คือ ต้อปรับตัว ให้เป็นรัฐ ที่ใช้เทคโนโลยี ที่ สอดประสานกัน ในระดับกอง ระดับกรม ระดับกระทรวง ทบวง ให้ได้นั้นเอง
ถ้ามองแบบเบื้องหลังแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีปัญหา ที่บอกว่า Hyper inflation นั้น ต้องบอกว่า ต้องสาบ คือ รัฐ ทำไม่ได้ พรบ ยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี พรบ หลักจัดทำงบประมาณ และรัฐธรรมนูญ ก็ทำไม่ได้ เพราะ ขาดดุลงบประมาณ ทำได้ไม่มากอะไร นอกจากฉีกกฏเกณฑ์ทั้งหมด คือไปกันไม่ได้อีกรอบ ก็ล้มกระดานใหม่เท่านั้น คือเคลียร์ทุกอย่างเหมือน ซึนามิ ที่ถล่มญี่ปุ่น จากแผ่นดินไหว 9 ริกเตอร์นั้นเอง
สิ่งที่กังวลกัน ดูปัจจุบันก่อนว่า มีอะไรเป็นกำแพง หรือเปล่า ถ้ามีก็ไม่น่าห่วง
สิ่งที่น่าห่วงคือ เทคโยโลยี่ ที่เราเอามานั้น ทำแล้ว สอดประสานกับสิ่งที่เป็นอยู่หรือไม่
สิ่งหนึ่งที่น่าห่วงคือปากท้องมากกว่า ว่าประชาชนท้องอิ่ม หรือประชาชนอดอยาก ถ้าประชาชนท้องอิ่มประเทศก็เดินหน้าได้ แต่หากประชาชนอดอยากก็เกิดคลื่นกำแพงสูงขึ้นมาแทน เพื่อล้มล้างสิ่งปลูกสร้างตามชายฝั่งนั้นเอง
ต้องรอดูว่าอะไรคืออะไร
จงอยู่ปัจจุบัน แล้วค่อยๆ มองไปข้างหน้า
อีกเรื่องที่ยังไม่ได้เขียนคือ รถร้อนของขสมก นั้นปี 2565 ไม่มีวิ่งแล้ว ไปเอารถประจำทางปรับอากาศวิ่งแทนทั้งหมด
งานนี้ มีนอกมีในหรือเปล่า ต้องรอดูข้ออ้างว่า เป็นเช่นไร คำถามที่น่าถามตอนนี้คือ ถ้าหากรถประจำทางปรับอากาศทั้งหมดแล้วไซร้ แล้วน่าร้อน แอร์ในรถสู้อากาศร้อนได้แค่ไหน ท่านที่คิด ลองไปนั่งดูได้ก่อนแล้วค่อยคิด นโยบายอันนี้ออกมาก่อนครับ
ช่วงนี้หน้ารอพอดี น่าลองก่อน เทียบระดับรถประจำทางปรับอากาศ กับ รถร้อน เอาตอน เที่ยงถึงบ่ายสี่โมงเย็น ว่าแอร์มันน็อค หรือเปล่าครับ ถ้าน็อค แล้ว มันนรกแตกหรือไหมครับ
ลองไปดูก่อนแล้วค่อยออกนโยบาย อันนี้เล่าสู่กันฟัง
อันนี้ต้องย้อนอดีตตอนที่ปรับค่าแรงเป็น 300 บาท ราคาเดียวทั้งประเทศ ซึ่ง เป็นการปรับที่แยกมากๆ
ไม่มองเรื่องอื่นน่า มองแค่ ปรับค่าแรง 300 บาท นั้น เป็นการดึงอำนาจการซื้อเพิ่มขึ้น แน่นอน
มันคือต้นทุนของบริษัท/ห้าง/ร้านต่างๆ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือ ร้านไหนที่ใช้กำลังแรงแบบหนักหน่วง ไม่ยอมปรับปรุงก็อยู่ไม่ได้
นั้นคืออะไร คือ รัฐ ใส่แรงเค้นลงไปในระบบแรงงานเลยว่า ถ้าหากแรงงานไม่ปรับปรุง ให้มีทักษะที่สูงขึ้น และบริษัท ไม่ปรับปรุง
ให้สามารถขายสินค้าที่ใช้ เทคโนโลยี่ระดับสูงได้ หรือ บริษัท ที่มีกินขนาดตลาดมากขึ้นได้ ก็ยอมตายไป
ด้านนี้มองแล้ว เป็นอย่างไร ก็คือ รัฐ ต้องการให้บริษัทในประเทศมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ลงทุนในด้านเทคโนโลยี่ที่ใช้แรงงานคนมากขึ้น เพราะอะไร เพราะว่า ประชาชนกรของเรา เป็นผู้สูงอายุมากขึ้น คือ แรงมีน้อยลง แต่มีความเก๋าเกมมากขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้น ต้องใช้ความเก๋าเกม ที่ผ่านร้อนความหนาวมาให้เป็นประโยชน์คือ ปรับปรุงให้ประเทศไทย จากรายได้กลางๆ ไปสู่รายได้สูงให้ได้
ถ้าทำแบบนี้แล้ว ประเทศไปเป็นประเทศรายได้สูงไม่ได้ นั้นคือเกิดภาวะ ช็อคขึ้นมาก ก็คืออะไร ก็คือ เกิดปัญหา ว่าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น และ ไม่เพียงแค่นั้น รัฐต้องกดราคาสินค้าให้ต่ำให้ประชาชนครองชีพให้ได้ คนตกงานต้องหาอาชีพมารองรับ
คำถามใหญ่ๆก็เกิดขึ้นว่า ระยะหลัง กลับกลายเป็นรัฐ เป็นผู้จ้างงานหลักๆของประเทศเลย นี้คือ รัฐต้องปรับตัวให้ได้ด้วยหรือเปล่า
ถ้าหากขึ้นค่าแรงแบบนี้ ซึ่งรัฐ ก็จ้างประชาชนเป็นพนักงานอัตราจ้าง แบบรายได้ รายวันก็เพียบ ไม่ได้แจ้งเป็นข้าราชการ ดังนั้น ก็คือ ต้อปรับตัว ให้เป็นรัฐ ที่ใช้เทคโนโลยี ที่ สอดประสานกัน ในระดับกอง ระดับกรม ระดับกระทรวง ทบวง ให้ได้นั้นเอง
ถ้ามองแบบเบื้องหลังแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีปัญหา ที่บอกว่า Hyper inflation นั้น ต้องบอกว่า ต้องสาบ คือ รัฐ ทำไม่ได้ พรบ ยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี พรบ หลักจัดทำงบประมาณ และรัฐธรรมนูญ ก็ทำไม่ได้ เพราะ ขาดดุลงบประมาณ ทำได้ไม่มากอะไร นอกจากฉีกกฏเกณฑ์ทั้งหมด คือไปกันไม่ได้อีกรอบ ก็ล้มกระดานใหม่เท่านั้น คือเคลียร์ทุกอย่างเหมือน ซึนามิ ที่ถล่มญี่ปุ่น จากแผ่นดินไหว 9 ริกเตอร์นั้นเอง
สิ่งที่กังวลกัน ดูปัจจุบันก่อนว่า มีอะไรเป็นกำแพง หรือเปล่า ถ้ามีก็ไม่น่าห่วง
สิ่งที่น่าห่วงคือ เทคโยโลยี่ ที่เราเอามานั้น ทำแล้ว สอดประสานกับสิ่งที่เป็นอยู่หรือไม่
สิ่งหนึ่งที่น่าห่วงคือปากท้องมากกว่า ว่าประชาชนท้องอิ่ม หรือประชาชนอดอยาก ถ้าประชาชนท้องอิ่มประเทศก็เดินหน้าได้ แต่หากประชาชนอดอยากก็เกิดคลื่นกำแพงสูงขึ้นมาแทน เพื่อล้มล้างสิ่งปลูกสร้างตามชายฝั่งนั้นเอง
ต้องรอดูว่าอะไรคืออะไร
จงอยู่ปัจจุบัน แล้วค่อยๆ มองไปข้างหน้า
อีกเรื่องที่ยังไม่ได้เขียนคือ รถร้อนของขสมก นั้นปี 2565 ไม่มีวิ่งแล้ว ไปเอารถประจำทางปรับอากาศวิ่งแทนทั้งหมด
งานนี้ มีนอกมีในหรือเปล่า ต้องรอดูข้ออ้างว่า เป็นเช่นไร คำถามที่น่าถามตอนนี้คือ ถ้าหากรถประจำทางปรับอากาศทั้งหมดแล้วไซร้ แล้วน่าร้อน แอร์ในรถสู้อากาศร้อนได้แค่ไหน ท่านที่คิด ลองไปนั่งดูได้ก่อนแล้วค่อยคิด นโยบายอันนี้ออกมาก่อนครับ
ช่วงนี้หน้ารอพอดี น่าลองก่อน เทียบระดับรถประจำทางปรับอากาศ กับ รถร้อน เอาตอน เที่ยงถึงบ่ายสี่โมงเย็น ว่าแอร์มันน็อค หรือเปล่าครับ ถ้าน็อค แล้ว มันนรกแตกหรือไหมครับ
ลองไปดูก่อนแล้วค่อยออกนโยบาย อันนี้เล่าสู่กันฟัง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 488
เอามาลงให้ดูว่า สำนักพิมพ์ NED ปรับตัวแบบนี้ ลงตลาดแบบนี้ มาถูกทางไหม
ต้องตอบว่าไม่ใช่ของใหม่ เหมือน แผ่นเกมเมื่อก่อนนี้ครับ ตลาดนั้น รู้ผลภายใน 1 อาทิตย์ ว่าสินค้าขายได้หรือไม่ได้
สินที่ล่อให้คนซื้อในช่วงนั้น คือ ของแถม เป็น Limited edition ครับ
ตอนนี้ราคา มือสองที่เป็นชุด แถมที่ใส่พลาสติก คือ 8,000-9,000 บาท
เรียกได้ว่า คนที่กำลังเงินพอควรเลยแล้วสินค้าหาได้ยากอีกต่างหาก
https://scontent.fbkk2-8.fna.fbcdn.net/ ... e=5D09769E
ต้องตอบว่าไม่ใช่ของใหม่ เหมือน แผ่นเกมเมื่อก่อนนี้ครับ ตลาดนั้น รู้ผลภายใน 1 อาทิตย์ ว่าสินค้าขายได้หรือไม่ได้
สินที่ล่อให้คนซื้อในช่วงนั้น คือ ของแถม เป็น Limited edition ครับ
ตอนนี้ราคา มือสองที่เป็นชุด แถมที่ใส่พลาสติก คือ 8,000-9,000 บาท
เรียกได้ว่า คนที่กำลังเงินพอควรเลยแล้วสินค้าหาได้ยากอีกต่างหาก
https://scontent.fbkk2-8.fna.fbcdn.net/ ... e=5D09769E
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 489
Apple Change Biz Model อีกครั้ง
เมื่อสองวันที่แล้ว Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้น ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ฮือฮา กันอย่างมาคือ Apple Card
Apple ได้ก้าวไปสู่ ตัวทางการเงิน เข้าไปสู่ธุรกิจการให้ใช้เครดิต ซึ่ง ทุกคนคาดการณ์ไว้ว่า ซักวันหนึ่ง
Apple ต้องเข้ามา ในที่สุดก็เข้ามาจนได้
การที่เป็นเจ้าของบัตรเอง กับ การที่เป็น แค่ สื่อสาร มันแตกต่างกันอยู่
เพราะ เจ้าของบัตร ในระบบตัวเอง บริษัทผู้ออกบัตร ก็ต้อง สร้างกระแสการต่อต้านออกมาแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องหาพันธมิตรหรือ ทำเองในการจ่ายเงินของลูกค้าการใช้บัตรและระบบหลังบ้าน
จุดนี้น่าสนใจว่า เป็นเช่นไร
ในอดีต เป็นสื่อสาร คือ แค่ เอาบัตรผูกในระบบ ใครซื้ออะไรก็ จัดการให้ เป็นสื่อสารเก็บค่าธรรมเนี่ยมแทน
เปลี่ยนไปจากเดิมมา เรียกได้ว่า Biz Model Change จาก เจ้าของ Platform กลายเป็น ตัวแทนทางการเงินด้วย
ครั้งนี้น่าจับตาอย่างยิ่ง
ยังไม่จบแค่นั้น บัตรการเป็น ตัวเสริม แต่ บัตรดันออกมาในรูปแบบเรียบงานมากๆ ไม่มี Logo ของ Master/VISA อะไรทั้งสิ้น
งานนี้ ต้องถามเรื่อง ความปลอดภัย ว่าอย่างไรต่อไป เก็บใน Chip แน่นอน แล้ว เลขที่บัตรต้องเป็นมาตรฐานสากลด้วย
ต้องดูว่า บัตรตัวจริงเหมือนบนเวทีหรือเปล่า เรียกได้ว่า ถ้าใช่ งานนี้บริษัทบัตรเครดิตในเมืองไทย ทำอย่างหรือไม่
เคสนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง
สำหรับเมืองไทย ยังต้องร้องเพลงรอไปก่อนน่า เพราะกฏหมายของเรา แน่นหนามากในเรื่องนี้
เมื่อสองวันที่แล้ว Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้น ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ฮือฮา กันอย่างมาคือ Apple Card
Apple ได้ก้าวไปสู่ ตัวทางการเงิน เข้าไปสู่ธุรกิจการให้ใช้เครดิต ซึ่ง ทุกคนคาดการณ์ไว้ว่า ซักวันหนึ่ง
Apple ต้องเข้ามา ในที่สุดก็เข้ามาจนได้
การที่เป็นเจ้าของบัตรเอง กับ การที่เป็น แค่ สื่อสาร มันแตกต่างกันอยู่
เพราะ เจ้าของบัตร ในระบบตัวเอง บริษัทผู้ออกบัตร ก็ต้อง สร้างกระแสการต่อต้านออกมาแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องหาพันธมิตรหรือ ทำเองในการจ่ายเงินของลูกค้าการใช้บัตรและระบบหลังบ้าน
จุดนี้น่าสนใจว่า เป็นเช่นไร
ในอดีต เป็นสื่อสาร คือ แค่ เอาบัตรผูกในระบบ ใครซื้ออะไรก็ จัดการให้ เป็นสื่อสารเก็บค่าธรรมเนี่ยมแทน
เปลี่ยนไปจากเดิมมา เรียกได้ว่า Biz Model Change จาก เจ้าของ Platform กลายเป็น ตัวแทนทางการเงินด้วย
ครั้งนี้น่าจับตาอย่างยิ่ง
ยังไม่จบแค่นั้น บัตรการเป็น ตัวเสริม แต่ บัตรดันออกมาในรูปแบบเรียบงานมากๆ ไม่มี Logo ของ Master/VISA อะไรทั้งสิ้น
งานนี้ ต้องถามเรื่อง ความปลอดภัย ว่าอย่างไรต่อไป เก็บใน Chip แน่นอน แล้ว เลขที่บัตรต้องเป็นมาตรฐานสากลด้วย
ต้องดูว่า บัตรตัวจริงเหมือนบนเวทีหรือเปล่า เรียกได้ว่า ถ้าใช่ งานนี้บริษัทบัตรเครดิตในเมืองไทย ทำอย่างหรือไม่
เคสนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง
สำหรับเมืองไทย ยังต้องร้องเพลงรอไปก่อนน่า เพราะกฏหมายของเรา แน่นหนามากในเรื่องนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 490
ไปซื้อการ์ตูนจากสำนักพิมพ์โดยตรง โปรโมทชั่นเดียวกับงานสัปดาห์หนังสือแต่ทว่า ....
อันนี้เกิดขึ้นจากการที่ขี้เกียจขนการ์ตูนกลับบ้านเพราะ ว่ามันต้องไปสองรอบเป็นอย่างต่ำ
เลยสั่งซื้อจากสำนักพิมพ์โดยตรงจากหน้า web site
อย่างแรกคือ หน้า WebSite ของสำนักงานพิมพ์นี้ ไม่รับบัตรเครดิต อันนี้พอทน แต่ทว่าสิ่งต่อมา
คือ รับเงินสด ก็ยังพอทน แต่ทว่า ไม่ทำงานวันเสาร์และวันอาทิตย์ อันนี้พอทน
แต่ทว่า การจัดส่ง อย่างช้าคือ ได้รับ 3-7 วัน แต่ทว่า เวลาผ่านไป 3 วัน คำสั่งซื้อยังไม่ปรากฏว่า
ทำอะไร คือ จ่ายเงินไปแล้ว มันก็ควรบอกว่า จ่ายเงินแล้ว กำลังจัดสินค้า กลับเป็น จ่ายเงินแล้วเท่านั้น
ส่งแบบปกติ อันนี้คือ ทั่วไป รับวันรุ่งขึ้นเพราะ อยู่กทม เหมือนกัน ปรากฏว่า
จากสำนักพิมพ์ ส่งให้ ขนส่งตอนช่วงเช้า วันพุธ กว่าจะได้ของถึงบ้านคือวันศุกร์เช้า
เรียกได้ว่า ช้าพอควรเลยทีเดียว แบบนี้ ไม่เพียงแคนั้น เปิดกล่องออกมา ของไม่ครบ
โทรไป เบอร์ที่ระบุก็ไม่มีใครรับ สาย ก็ทำเนา ต้องนั่งเขียนปัญหากลับไปอีกต่างหาก ว่าเกิดอะไรขึ้น
กว่าจะตอบกลับคือ วันอาทิตย์ (อ้าวทำงานวันอาทิตย์ด้วย) บอกว่า เดี๋ยวส่งให้ แต่ทว่าช้าหน่อยละกัน
คือเป็นอาทิตย์กว่าจะได้
ตอนนี้ที่เขียนอยู่ รอคอย ว่าจะได้ครบวันไหน จะได้แกะมาอ่านซักที จากลดเครียดดันเพิ่มความเครียด
ที่พิมพ์ให้อ่านเพราะอะไร เพราะว่า หากระบบดี และ สอดคล้องการทำงานกัน แบบไหลลื่น ผลประกอบการ
คงดี เหมือนกับ เจ้าอื่นๆ พอสั่งแล้วรู้ซึ้งเลยว่าเป็นเช่นไร
ที่คิดคือ ไล่ตั้งแต่ระบบหน้าร้าน ให้ไปดูงาน SME รายเล็กว่า ตอบเร็วมาก เรียกได้ว่าเค้าจ้างคนมานั่งเฝ้าเลย
ส่งของได้ตรงตาม Order แถมมีระบบคืนสินค้าด้วยอีกต่างหาก หากไม่พอใจ แต่ทว่า สำนักพิมพ์ไม่มี ซื้อแล้วซื้อเลย
ไม่รับคืน นอกจากชำรุด ส่งไปขอรับใหม่ต้องเสียค่าส่งอีกต่างหาก
ตรวจสอบการแพ็คสินค้า ก็มีปัญหาคือ แพ็คอย่างไร ให้สินค้าหลุด ได้ไม่ครบได้ ต้องตามท้วง
เรื่องพวกนี้คือระบบการขาย ,ระบบคลังสินค้า ,ระบบการเบิกสินค้าออกจากคลัง มีปัญหา
แถมระบบที่ไปยังขนส่ง Deal ได้ห่วยอีก (ขนส่งน่าจะเป็นพวกตัวกลางทีครอบสายส่งอีกที ทำไมไม่ใช้ คนส่งจริงๆ
น่าสงสัยว่า ครอบแบบนี้เพื่อ อะไรอีกละ )
ผิดหวังจริงๆ กับไม้บรรทัดของสำนักพิมพ์นี้
เดี๋ยวมา update ต่อว่าเป็นเช่นไร ละกัน
ปล ปัจจุบันคือ ติดตามสินค้าที่ส่งมาเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะโทรมาไม่บอกอะไร บอกว่าเดี๋ยวส่งให้พี่เพิ่มเติม
ไม่มี E-mail มาตอบอะไรด้วย
สุดยอดมาก
T_T
อันนี้เกิดขึ้นจากการที่ขี้เกียจขนการ์ตูนกลับบ้านเพราะ ว่ามันต้องไปสองรอบเป็นอย่างต่ำ
เลยสั่งซื้อจากสำนักพิมพ์โดยตรงจากหน้า web site
อย่างแรกคือ หน้า WebSite ของสำนักงานพิมพ์นี้ ไม่รับบัตรเครดิต อันนี้พอทน แต่ทว่าสิ่งต่อมา
คือ รับเงินสด ก็ยังพอทน แต่ทว่า ไม่ทำงานวันเสาร์และวันอาทิตย์ อันนี้พอทน
แต่ทว่า การจัดส่ง อย่างช้าคือ ได้รับ 3-7 วัน แต่ทว่า เวลาผ่านไป 3 วัน คำสั่งซื้อยังไม่ปรากฏว่า
ทำอะไร คือ จ่ายเงินไปแล้ว มันก็ควรบอกว่า จ่ายเงินแล้ว กำลังจัดสินค้า กลับเป็น จ่ายเงินแล้วเท่านั้น
ส่งแบบปกติ อันนี้คือ ทั่วไป รับวันรุ่งขึ้นเพราะ อยู่กทม เหมือนกัน ปรากฏว่า
จากสำนักพิมพ์ ส่งให้ ขนส่งตอนช่วงเช้า วันพุธ กว่าจะได้ของถึงบ้านคือวันศุกร์เช้า
เรียกได้ว่า ช้าพอควรเลยทีเดียว แบบนี้ ไม่เพียงแคนั้น เปิดกล่องออกมา ของไม่ครบ
โทรไป เบอร์ที่ระบุก็ไม่มีใครรับ สาย ก็ทำเนา ต้องนั่งเขียนปัญหากลับไปอีกต่างหาก ว่าเกิดอะไรขึ้น
กว่าจะตอบกลับคือ วันอาทิตย์ (อ้าวทำงานวันอาทิตย์ด้วย) บอกว่า เดี๋ยวส่งให้ แต่ทว่าช้าหน่อยละกัน
คือเป็นอาทิตย์กว่าจะได้
ตอนนี้ที่เขียนอยู่ รอคอย ว่าจะได้ครบวันไหน จะได้แกะมาอ่านซักที จากลดเครียดดันเพิ่มความเครียด
ที่พิมพ์ให้อ่านเพราะอะไร เพราะว่า หากระบบดี และ สอดคล้องการทำงานกัน แบบไหลลื่น ผลประกอบการ
คงดี เหมือนกับ เจ้าอื่นๆ พอสั่งแล้วรู้ซึ้งเลยว่าเป็นเช่นไร
ที่คิดคือ ไล่ตั้งแต่ระบบหน้าร้าน ให้ไปดูงาน SME รายเล็กว่า ตอบเร็วมาก เรียกได้ว่าเค้าจ้างคนมานั่งเฝ้าเลย
ส่งของได้ตรงตาม Order แถมมีระบบคืนสินค้าด้วยอีกต่างหาก หากไม่พอใจ แต่ทว่า สำนักพิมพ์ไม่มี ซื้อแล้วซื้อเลย
ไม่รับคืน นอกจากชำรุด ส่งไปขอรับใหม่ต้องเสียค่าส่งอีกต่างหาก
ตรวจสอบการแพ็คสินค้า ก็มีปัญหาคือ แพ็คอย่างไร ให้สินค้าหลุด ได้ไม่ครบได้ ต้องตามท้วง
เรื่องพวกนี้คือระบบการขาย ,ระบบคลังสินค้า ,ระบบการเบิกสินค้าออกจากคลัง มีปัญหา
แถมระบบที่ไปยังขนส่ง Deal ได้ห่วยอีก (ขนส่งน่าจะเป็นพวกตัวกลางทีครอบสายส่งอีกที ทำไมไม่ใช้ คนส่งจริงๆ
น่าสงสัยว่า ครอบแบบนี้เพื่อ อะไรอีกละ )
ผิดหวังจริงๆ กับไม้บรรทัดของสำนักพิมพ์นี้
เดี๋ยวมา update ต่อว่าเป็นเช่นไร ละกัน
ปล ปัจจุบันคือ ติดตามสินค้าที่ส่งมาเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะโทรมาไม่บอกอะไร บอกว่าเดี๋ยวส่งให้พี่เพิ่มเติม
ไม่มี E-mail มาตอบอะไรด้วย
สุดยอดมาก
T_T
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 491
update เรื่องของสั่งการ์ตูน ออนไลน์หน่อย
วันศุกร์(5 เมษายน 2562) โทรไปถาม ว่าติดตามอย่างไร ผลคือใช้ order ติดตาม ระบบไม่มีแจ้งว่าเรื่องไปถึงไหน ดูเองไม่ได้ว่า ดำเนินการอย่างไร
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2562 ตอนบ่ายสองกว่าๆ ส่งมาให้เล่มที่ขาด ซึ่งจบงานหนังสือเรียบร้อยแล้ว งานนี้บอกได้ว่า
เราไปเดินงานสัปดาห์หนังสือวันที่ 6 เมษายน 2562 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ นั้นถ้าซื้อในงานคือ ได้รูดบัตร แถมได้แต้ม และ Cash Back ซื้อ Online จ่ายสด แถมเจอว่าส่งช้า ไม่ได้อ่านทันที ต้องตามเล่มที่ขาดอีก
เหนื่อยใจมากๆ สำหรับเคสนี้
เอาล่ะมาเรื่องงานหนังสือต่อ รอบที่นี้เป็นรอบสุดท้ายที่จัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ รอบหน้าไปที่ เชเลนเจอร์ เมืองทองธานี
ทำให้เกิดการเปลี่ยนเทียบกับงานหนังสือของต่างประเทศ คือ Wolf ว่า
1. ที่จอดรถฟรี ในอาคารหลัง 21.00 น. ถ้าหากซื้อในงาน
2. เปิดมัน 24 ชั่วโมง
3. การรับส่งประชาชนร่วมงาน เพราะงาน Wolf ไปหลัง 2 ทุ่มรถวิ่งวนหมด
4. ที่จอดรถฟรี นั้นปิด ตอน 22.00 น. เท่านั้น แถมจอดไปแย่งชิงกับงานอื่นๆ
ดังนั้นพวกนี้ เป็นการเปรียบเทียบว่างานไทยกับงานเทศใครจัดได้ดีกว่ากัน ในทีเดียวกัน
รอดูกันต่อไป
แต่งานหนังสือรอบนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงคือ จุดระหว่างฮอลล์ C กับ ห้องประชุม Meeting room ก่อนเดินไปห้องหลัก นั้น
เมื่อก่อน ไปรษณีย์ตั้ง บูตมาจัดส่งสินค้าให้แก่ประชาชน แต่รอบนี้เป็น Kerry มาจัดบูต แถมการเปลี่ยนแปลงคือ
รอบนี้ มีการต่อคิวในการใช้บริการ มีคนช่วยในการแพ็คหนังสือลงกล่อง (ไปรษณีย์ไม่ค่อยมีคนช่วย ให้เจ้าของจัดการเอง)
การจ่ายเงินมีระบบและระเบียบดีกว่า
ส่วนไปรษณีย์ล่าถอยไปยังที่ทำการที่อยู่ภายในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์แทน ทำเลไม่ดี เพราะทำเลเดิมที่ Kerry อยู่คือ จุดศูนย์กลางของคนเดิน ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง นั้นเอง
อันนี้สำคัญเพราะ การส่งกลับนั้น เพิ่งมีมาประมาณ 5-6 ปีหลังๆ นี้
ถ้าหากย้อนไปการจัดงานหนังสือนั้น ที่จำได้คือ เมื่อก่อน อยู่ที่ข้างกระทรวงศึกษาธิการ ริมคลองผดุงกรุงเกษมนั้นจัดปีละ ครั้ง จนเป็นปีละสองครั้ง แล้วย้ายมากที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติจัดกันปีละ สองครั้ง จัดกันเรื่อยมาจนถึงครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เดินริมคลองคือ เดิมเมื่อยขาเพราะทางมันยาวมากๆ 1 Block หรือ 2 Block เลยทีเดียวกว่าจะหมด แถมบังคับเดินอีกต่างหาก ไม่สุดไม่ได้ออก แต่ที่ศูนย์ประชุมมาเป็นโซนๆ แล้วมีเก้าอี้นั่ง (น้อยแต่มีทีพัก)
การเดินทางหลังๆก็สะดวกคือ ใครใคร่เอารถมาก็มีที่จอด ไล่ตั้งแต่ยาสูบ ตึกตลาดหลักทรัพย์(หลังเดิม) ที่จอดของ รถไฟฟ้าใต้ดิน มาด้วยการเดินทางสาธารณะได้แก่รถประจำทาง และรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ได้
แต่ไปที่ เมืองทอง คือ รถยนต์ส่วนตัว หรือ รถตู้ ,ชัดเตอร์บัสของเมืองทอง ,รถประจำทาง (มีไม่มากสาย)
ดังนั้น ต้องใช้เวลาปรับตัวอีกซักพักหนึ่ง
ส่วนปริมาณคนเดินนั้น ไม่เหมือนตอนที่รุ่งๆของหนังสือ แน่นมากๆ แต่ตอนนี้เบาบางลง แต่ทว่าก็ยังแน่นในบางบูต เรียกได้ว่า คนยืนเต็มหน้าบูต (เมื่อก่อนนี้ บูตที่เป็นนิยาย มีแต่สาวๆยืนคนเดินไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว)
ส่วนหน้า SCG green read นั้น คนก็เบาบาง แต่คิวนี้ มากมายเหมือน กดไปหลายร้อยคิวเหมือนเดิม อันนี้ ก็เรียกได้ว่า SCG green read นั้น เป็นตัวขับดันอีกตัวหนึ่ง คือ สำนักพิมพ์/หนังสือ พิมพ์กระดาษแบบนี้แพงกว่าปกติ ก็ต้องส่งเสริมการขายคือ ช่วยกัน ในเรื่องโปรโมทให้ใช้งาน ก็ต้องออกบูตมาช่วยกระตุ้นแบบนี้ มีทั้งกดชิงโชค และ ส่วนลดหนังสือ (บางบูตที่เข้าร่วม) ขึ้นอยู่กับปริมาณหนังสือ แต่เจ้าอื่นที่เป็น Green read ไม่มีมาจัดบาง มีแต่ SCG ในเน้นตลอดเลย
อีกส่วนที่สำคัญคือ เรื่องของทาน ปีหลังๆ มีบูตเล็กๆเรื่องของกินมาตั้ง ทำให้คนหิว คนเหนื่อยก็แวะเต็มพลังนั้นเอง
สิ่งนี้ขาดไม่ได้ กองทัพเดินด้วยท้อง นั้นเอง
จบจากงานนี้ ไปเจอกันที่เมืองทองละ
ปล อีกเรื่องที่น่าเขียนตอนนี้ คือ เรื่องของ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ อันนี้เปลียนการจัดซื้อจัดจ้างมาตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
ที่น่าเขียนเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่งานประมูล โครงการใหญ่มีจำนวนมาก แต่บางท่านอาจจะเข้าใจผิดในการประมูล ว่ามีขั้นตอนอย่างไร เพราะเปลี่ยนขั้นตอน และกฏระเบียบเริ่มชัดเจนมากขึ้น และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้างานประมูลภาครัฐจำนวนมาก เดี๋ยวว่างๆเขียนให้อ่านกัน
วันศุกร์(5 เมษายน 2562) โทรไปถาม ว่าติดตามอย่างไร ผลคือใช้ order ติดตาม ระบบไม่มีแจ้งว่าเรื่องไปถึงไหน ดูเองไม่ได้ว่า ดำเนินการอย่างไร
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2562 ตอนบ่ายสองกว่าๆ ส่งมาให้เล่มที่ขาด ซึ่งจบงานหนังสือเรียบร้อยแล้ว งานนี้บอกได้ว่า
เราไปเดินงานสัปดาห์หนังสือวันที่ 6 เมษายน 2562 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ นั้นถ้าซื้อในงานคือ ได้รูดบัตร แถมได้แต้ม และ Cash Back ซื้อ Online จ่ายสด แถมเจอว่าส่งช้า ไม่ได้อ่านทันที ต้องตามเล่มที่ขาดอีก
เหนื่อยใจมากๆ สำหรับเคสนี้
เอาล่ะมาเรื่องงานหนังสือต่อ รอบที่นี้เป็นรอบสุดท้ายที่จัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ รอบหน้าไปที่ เชเลนเจอร์ เมืองทองธานี
ทำให้เกิดการเปลี่ยนเทียบกับงานหนังสือของต่างประเทศ คือ Wolf ว่า
1. ที่จอดรถฟรี ในอาคารหลัง 21.00 น. ถ้าหากซื้อในงาน
2. เปิดมัน 24 ชั่วโมง
3. การรับส่งประชาชนร่วมงาน เพราะงาน Wolf ไปหลัง 2 ทุ่มรถวิ่งวนหมด
4. ที่จอดรถฟรี นั้นปิด ตอน 22.00 น. เท่านั้น แถมจอดไปแย่งชิงกับงานอื่นๆ
ดังนั้นพวกนี้ เป็นการเปรียบเทียบว่างานไทยกับงานเทศใครจัดได้ดีกว่ากัน ในทีเดียวกัน
รอดูกันต่อไป
แต่งานหนังสือรอบนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงคือ จุดระหว่างฮอลล์ C กับ ห้องประชุม Meeting room ก่อนเดินไปห้องหลัก นั้น
เมื่อก่อน ไปรษณีย์ตั้ง บูตมาจัดส่งสินค้าให้แก่ประชาชน แต่รอบนี้เป็น Kerry มาจัดบูต แถมการเปลี่ยนแปลงคือ
รอบนี้ มีการต่อคิวในการใช้บริการ มีคนช่วยในการแพ็คหนังสือลงกล่อง (ไปรษณีย์ไม่ค่อยมีคนช่วย ให้เจ้าของจัดการเอง)
การจ่ายเงินมีระบบและระเบียบดีกว่า
ส่วนไปรษณีย์ล่าถอยไปยังที่ทำการที่อยู่ภายในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์แทน ทำเลไม่ดี เพราะทำเลเดิมที่ Kerry อยู่คือ จุดศูนย์กลางของคนเดิน ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง นั้นเอง
อันนี้สำคัญเพราะ การส่งกลับนั้น เพิ่งมีมาประมาณ 5-6 ปีหลังๆ นี้
ถ้าหากย้อนไปการจัดงานหนังสือนั้น ที่จำได้คือ เมื่อก่อน อยู่ที่ข้างกระทรวงศึกษาธิการ ริมคลองผดุงกรุงเกษมนั้นจัดปีละ ครั้ง จนเป็นปีละสองครั้ง แล้วย้ายมากที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติจัดกันปีละ สองครั้ง จัดกันเรื่อยมาจนถึงครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เดินริมคลองคือ เดิมเมื่อยขาเพราะทางมันยาวมากๆ 1 Block หรือ 2 Block เลยทีเดียวกว่าจะหมด แถมบังคับเดินอีกต่างหาก ไม่สุดไม่ได้ออก แต่ที่ศูนย์ประชุมมาเป็นโซนๆ แล้วมีเก้าอี้นั่ง (น้อยแต่มีทีพัก)
การเดินทางหลังๆก็สะดวกคือ ใครใคร่เอารถมาก็มีที่จอด ไล่ตั้งแต่ยาสูบ ตึกตลาดหลักทรัพย์(หลังเดิม) ที่จอดของ รถไฟฟ้าใต้ดิน มาด้วยการเดินทางสาธารณะได้แก่รถประจำทาง และรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ได้
แต่ไปที่ เมืองทอง คือ รถยนต์ส่วนตัว หรือ รถตู้ ,ชัดเตอร์บัสของเมืองทอง ,รถประจำทาง (มีไม่มากสาย)
ดังนั้น ต้องใช้เวลาปรับตัวอีกซักพักหนึ่ง
ส่วนปริมาณคนเดินนั้น ไม่เหมือนตอนที่รุ่งๆของหนังสือ แน่นมากๆ แต่ตอนนี้เบาบางลง แต่ทว่าก็ยังแน่นในบางบูต เรียกได้ว่า คนยืนเต็มหน้าบูต (เมื่อก่อนนี้ บูตที่เป็นนิยาย มีแต่สาวๆยืนคนเดินไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว)
ส่วนหน้า SCG green read นั้น คนก็เบาบาง แต่คิวนี้ มากมายเหมือน กดไปหลายร้อยคิวเหมือนเดิม อันนี้ ก็เรียกได้ว่า SCG green read นั้น เป็นตัวขับดันอีกตัวหนึ่ง คือ สำนักพิมพ์/หนังสือ พิมพ์กระดาษแบบนี้แพงกว่าปกติ ก็ต้องส่งเสริมการขายคือ ช่วยกัน ในเรื่องโปรโมทให้ใช้งาน ก็ต้องออกบูตมาช่วยกระตุ้นแบบนี้ มีทั้งกดชิงโชค และ ส่วนลดหนังสือ (บางบูตที่เข้าร่วม) ขึ้นอยู่กับปริมาณหนังสือ แต่เจ้าอื่นที่เป็น Green read ไม่มีมาจัดบาง มีแต่ SCG ในเน้นตลอดเลย
อีกส่วนที่สำคัญคือ เรื่องของทาน ปีหลังๆ มีบูตเล็กๆเรื่องของกินมาตั้ง ทำให้คนหิว คนเหนื่อยก็แวะเต็มพลังนั้นเอง
สิ่งนี้ขาดไม่ได้ กองทัพเดินด้วยท้อง นั้นเอง
จบจากงานนี้ ไปเจอกันที่เมืองทองละ
ปล อีกเรื่องที่น่าเขียนตอนนี้ คือ เรื่องของ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ อันนี้เปลียนการจัดซื้อจัดจ้างมาตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
ที่น่าเขียนเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่งานประมูล โครงการใหญ่มีจำนวนมาก แต่บางท่านอาจจะเข้าใจผิดในการประมูล ว่ามีขั้นตอนอย่างไร เพราะเปลี่ยนขั้นตอน และกฏระเบียบเริ่มชัดเจนมากขึ้น และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้างานประมูลภาครัฐจำนวนมาก เดี๋ยวว่างๆเขียนให้อ่านกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 492
ตอนนี้ ใครที่ถือตั๋วนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2018-2019 ของ สโมสร ลิเวอร์พูล คงลุ้นกันสนุกว่า
จะได้ ชูถ้วย หรือไม่ ก็ต้องติดตามดูว่า
คู่แข่งคือ แมนซิติ้ สามารถทำได้หรือไม่
นัดต่อไปคือ เจอะเจอ สเปอร์ สองนัดติดต่อกันในบ้าน ทั้ง UCL และ พรีเมียร์ลีก แล้วตามด้วย แมนฯยู
ซึ่งสถานะของแมนฯยู คือต้องลุ้นไป UCL ฤดูกาลหน้า ผ่าน ติด 1 ใน 4 หรือ ต้องแชมป์ UCL เท่านั้น
ถ้าแชมป์ UCL ต้องเปิด ปาฏิหาร์ที่คัมนู ในกลางอาทิตย์นี้ แล้วผ่าน คู่แข่งอีกสองนัด
ดังนั้น วิเคราะห์เลย เอาติด 1 ใน 4 ง่ายกกว่า ลุ้น UCL ที่เหลือแต่พวกยอดทีมเท่านั้น
อีกประการ คือ ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ที่โกงความตาย มีน้อยทีมที่โกงความตายมากกว่า 1 รอบ ซึ่งน้อยมากๆ
โอกาสยังไม่หมดก็อย่าทิ้งความหวังละกันสำหรับแมนฯยู
อีกข่าวที่น่าสนใจคือ ไทเกอร์ วุ๊ด ก็กลับมาเป็นแชมป์จนได้ แถมเป็นแชมป์ เดอะมาสเตอร์ 2019 ด้วยซิ
งานนี้จากสถิติที่หยุดมานาน ก็ไล่ตามหลังตำนานลดลงแล้ว คนนี้รอสร้างตำนานฉบับใหม่ของวงการกอล์ฟอยู่
ตำนานที่เดินได้
ส่วนเรื่องที่บอกว่าเขียนเรื่องการประมูลนั้น ได้อ่านแน่นอน
จะได้ ชูถ้วย หรือไม่ ก็ต้องติดตามดูว่า
คู่แข่งคือ แมนซิติ้ สามารถทำได้หรือไม่
นัดต่อไปคือ เจอะเจอ สเปอร์ สองนัดติดต่อกันในบ้าน ทั้ง UCL และ พรีเมียร์ลีก แล้วตามด้วย แมนฯยู
ซึ่งสถานะของแมนฯยู คือต้องลุ้นไป UCL ฤดูกาลหน้า ผ่าน ติด 1 ใน 4 หรือ ต้องแชมป์ UCL เท่านั้น
ถ้าแชมป์ UCL ต้องเปิด ปาฏิหาร์ที่คัมนู ในกลางอาทิตย์นี้ แล้วผ่าน คู่แข่งอีกสองนัด
ดังนั้น วิเคราะห์เลย เอาติด 1 ใน 4 ง่ายกกว่า ลุ้น UCL ที่เหลือแต่พวกยอดทีมเท่านั้น
อีกประการ คือ ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ที่โกงความตาย มีน้อยทีมที่โกงความตายมากกว่า 1 รอบ ซึ่งน้อยมากๆ
โอกาสยังไม่หมดก็อย่าทิ้งความหวังละกันสำหรับแมนฯยู
อีกข่าวที่น่าสนใจคือ ไทเกอร์ วุ๊ด ก็กลับมาเป็นแชมป์จนได้ แถมเป็นแชมป์ เดอะมาสเตอร์ 2019 ด้วยซิ
งานนี้จากสถิติที่หยุดมานาน ก็ไล่ตามหลังตำนานลดลงแล้ว คนนี้รอสร้างตำนานฉบับใหม่ของวงการกอล์ฟอยู่
ตำนานที่เดินได้
ส่วนเรื่องที่บอกว่าเขียนเรื่องการประมูลนั้น ได้อ่านแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 493
ขอคั้นเวลานิดหนึ่ง ว่าด้วยจำนวน นายหน้านิติบุคคล ว่าเท่าไร
ไปหาข้อมูลมา จากคปภ ได้จากตัวนี้ เป็นข้อมูล ถึงแค่เดือนธันวาคม 2560 เท่านั้น (คปภ มีแค่นี้)
สถิตินายหน้านิติบุคคล (Juristic Broker Statistics)
http://www.oic.or.th/sites/default/file ... maas-4.pdf
ไม่ต้องอธิบายมาก อะไร เอกสารระบุชัดเจนแล้ว
ท่านพิจารณาเอาเองว่า เป็นทะเลเลือด ,ทะเลสีคราม หรือทะเลสีขาว เอากันเอง
ไปหาข้อมูลมา จากคปภ ได้จากตัวนี้ เป็นข้อมูล ถึงแค่เดือนธันวาคม 2560 เท่านั้น (คปภ มีแค่นี้)
สถิตินายหน้านิติบุคคล (Juristic Broker Statistics)
http://www.oic.or.th/sites/default/file ... maas-4.pdf
ไม่ต้องอธิบายมาก อะไร เอกสารระบุชัดเจนแล้ว
ท่านพิจารณาเอาเองว่า เป็นทะเลเลือด ,ทะเลสีคราม หรือทะเลสีขาว เอากันเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 494
ได้เวลาการเขียนเรื่องพรบ จัดซื้อจัดจ้าง พศ 2560
รายละเอียดจาก
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/ ... 024/13.PDF
อันนี้ ต้องบอกไว้ว่า ทำให้ การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หยุดชะงักไปซักพักใหญ่ ในปี 2560 เนื่องจาก พรบ นี้มีผลบังคับใช้
แนวทางในการจัดซื้อจัดจ้างในชั่วเวลานั้น ไม่มีหลักยึด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลากหลายประเด็น และหลายประเด็นไม่ชัดเจน ต้องให้ คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างส่วนกลางเป็นผู้ตัดสิน โดยการที่ หน่วยงานต้องส่งจดหมายเข้ามาถามคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ในประเด็นที่สงสัยว่าทำได้หรือไม่ ทำให้เกิดสูญญากาศในการจัดซื้อจัดจ้างกว่าเข้าทีเข้าทางก็ใช้ระยะเวลาเป็นปี
ไม่เพียงแค่นั้น พนักงานจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานแต่ละแห่งต้องสอบให้ได้ประกาศนียบัตรอีกต่างหาก ทำให้เกิดความล่าช้า
แต่ในปัจจุบันเริ่มเข้าที่เข้าทาง และมีช่องทาง Youtube ในการชี้แจง แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน และที่เกี่ยวข้อง
เปลี่ยนขั้นตอนบางอย่างใน พรบ ฉบับนี้ เช่น
เดิมการจัดซื้อเป็น E-auction นั้นกลายเป็น E-bidding โดยการปรับลดวงเงินจากเดิมที่ มากกว่า 2 ล้านบาท เป็น E-Auction ของใหม่คือ E-bidding เกิน 5 แสนบาททุกรายการถ้าหากไม่อยู่ในบัญชีกลาง ก็จัดซื้อแบบนี้ทั้งหมด
ที่เพิ่มเข้ามาคือ การจัดซื้อจัดจ้างแบบนานาชาติ อันนี้เพิ่มขึ้นมาใหม่ ในพรบ ฉบับใหม่เลย
ที่เพิ่มเข้ามาอีกตัวคือ บัญชีสินค้ากลางนั้นเอง ที่มีราคากลางไว้
ทั้งหมดนี้คือประเด็นหลัก พรบ จัดซื้อจัดจ้างปี 2560 นั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่ดีขึ้น คือ การประกาศการจัดซื้อจัดจ้างชัดเจน มากกว่า ประกาศหลายแห่ง สามารถตรวจสอบได้ จุดนี้ทำให้เกิดการโปร่งใสมากขึ้น เมื่อก่อนมีบางโครงการ ไม่ประกาศให้ทั่วไปรับทราบ ประกาศ ณ ที่หน่วยงานนั้นเท่านั้น
ดังนั้นเป็นหน้าที่ของนักลงทุนตรวจสอบเอง/ติดตามกิจการได้ว่าเป็นเช่นไร เพราะมีความชัดเจนมากขึ้น
สุดท้ายนี้ คืออะไร
ขยันเท่านั้น ในตอนนี้
รายละเอียดจาก
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/ ... 024/13.PDF
อันนี้ ต้องบอกไว้ว่า ทำให้ การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หยุดชะงักไปซักพักใหญ่ ในปี 2560 เนื่องจาก พรบ นี้มีผลบังคับใช้
แนวทางในการจัดซื้อจัดจ้างในชั่วเวลานั้น ไม่มีหลักยึด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลากหลายประเด็น และหลายประเด็นไม่ชัดเจน ต้องให้ คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างส่วนกลางเป็นผู้ตัดสิน โดยการที่ หน่วยงานต้องส่งจดหมายเข้ามาถามคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ในประเด็นที่สงสัยว่าทำได้หรือไม่ ทำให้เกิดสูญญากาศในการจัดซื้อจัดจ้างกว่าเข้าทีเข้าทางก็ใช้ระยะเวลาเป็นปี
ไม่เพียงแค่นั้น พนักงานจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานแต่ละแห่งต้องสอบให้ได้ประกาศนียบัตรอีกต่างหาก ทำให้เกิดความล่าช้า
แต่ในปัจจุบันเริ่มเข้าที่เข้าทาง และมีช่องทาง Youtube ในการชี้แจง แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน และที่เกี่ยวข้อง
เปลี่ยนขั้นตอนบางอย่างใน พรบ ฉบับนี้ เช่น
เดิมการจัดซื้อเป็น E-auction นั้นกลายเป็น E-bidding โดยการปรับลดวงเงินจากเดิมที่ มากกว่า 2 ล้านบาท เป็น E-Auction ของใหม่คือ E-bidding เกิน 5 แสนบาททุกรายการถ้าหากไม่อยู่ในบัญชีกลาง ก็จัดซื้อแบบนี้ทั้งหมด
ที่เพิ่มเข้ามาคือ การจัดซื้อจัดจ้างแบบนานาชาติ อันนี้เพิ่มขึ้นมาใหม่ ในพรบ ฉบับใหม่เลย
ที่เพิ่มเข้ามาอีกตัวคือ บัญชีสินค้ากลางนั้นเอง ที่มีราคากลางไว้
ทั้งหมดนี้คือประเด็นหลัก พรบ จัดซื้อจัดจ้างปี 2560 นั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่ดีขึ้น คือ การประกาศการจัดซื้อจัดจ้างชัดเจน มากกว่า ประกาศหลายแห่ง สามารถตรวจสอบได้ จุดนี้ทำให้เกิดการโปร่งใสมากขึ้น เมื่อก่อนมีบางโครงการ ไม่ประกาศให้ทั่วไปรับทราบ ประกาศ ณ ที่หน่วยงานนั้นเท่านั้น
ดังนั้นเป็นหน้าที่ของนักลงทุนตรวจสอบเอง/ติดตามกิจการได้ว่าเป็นเช่นไร เพราะมีความชัดเจนมากขึ้น
สุดท้ายนี้ คืออะไร
ขยันเท่านั้น ในตอนนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 495
ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนถ่าย digital TV รอบสอง
อันนี้ บทเรียนของรอบแรกคือ จำนวนช่องมากเกินไป ทำให้ต้องลดช่องลง จังหวะเดียวกัน ของการเติบโตของอินเตอร์เน็ตไร้สาย จากอุปกรณ์มือถือเข้ามาอย่างรวดเร็ว จาก Smart Phone ราคาได้ถูกลง ทำให้ ทุกคนสามารถเข้าถึง เนื้อหาสาระเมื่อไรก็ได้
เพียงแค่ จ่ายค่าอินเตอร์เน็ตบนมือถือ บางทีก็สมัครสมาชิกเสียเงินเพิ่มเติมด้วย (ค่ายมือถือบางค่ายที่ถอนตัวจากการประมูล นั้นก็สร้างช่องทางของตัวเองจากช่องทางที่เปิดโล่งมากขึ้น)
อันนี้คือ สิ่งที่น่าคิดต่อไป ว่า Digital TV ลดลงแล้ว เม็ดเงินโฆษณา ที่กระจายออกไปเป็นเช่นไร แล้วช่องทางอื่นๆเป็นเช่นไร
ส่วนมุมต่อไปคือ การย้ายจากการใช้คลื่น 700MHz เดิมที่เป็นตัวส่งสัญญาณ ให้แก่ภาครับ นำออกประมูลแก่ค่ายมือถือ
อันนี้ประเด็นที่น่าสนใจคือ การย้ายคลื่นจาก 700MHz ไปยังคลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่า อันนี้ Mux ต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่
แล้วสถานีฐานเพียงพอหรือเปล่าในปัจจุบัน อันนี้ก็เป็นคำถาม เพราะว่า ระยะแรกก็มีการแจกคูปองเพื่อการเปลี่ยนถ่าย แล้วเกิดความล่าช้าในการนี้ ไม่แค่นั้น การครอบครองพื้นที่ในการแพร่ภาพสัญญาณของ Digital TV เองก็มีปัญหา ไม่ครอบคลุมตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนถ่ายครั้งนี้ ก็คงมีบทเรียนจากรอบแรก แล้วว่าเป็นเช่นไร นั้นเอง รอดูว่า เป็นเช่นไร
ส่วนที่สำคัญคือ ผู้ชมต้องเสียเงินเพิ่มเติม หรือ มีคูปองที่บอกไว้ เหมือนรอบแรก หรือ ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ภาครับหรือไม่ อันนี้น่าถามต่อ ยังไม่มีคำเฉลย ไม่ใช่แค่กล่องรับเท่านั้น มีอุปกรณ์อีกเพียบที่กระทบ คือ TV ที่มีส่วนของภาครับในตัวเอง ,TV เคลื่อนที่ด้วย ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นต้องรอความชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นเช่นไร
พวกนี้รอเวลาที่หน่วยงานรับผิดชอบออกมาเปิดเผยว่าเป็นเช่นไร แต่การบ้านเพียบ และคำถามเพียบเลย รอบนี้
เอาแค่เรื่องพวกนี้ก็มีเรื่องให้เล่าสำหรับกิจการที่เกี่ยวข้องเพียบแล้วน่า
อันนี้ บทเรียนของรอบแรกคือ จำนวนช่องมากเกินไป ทำให้ต้องลดช่องลง จังหวะเดียวกัน ของการเติบโตของอินเตอร์เน็ตไร้สาย จากอุปกรณ์มือถือเข้ามาอย่างรวดเร็ว จาก Smart Phone ราคาได้ถูกลง ทำให้ ทุกคนสามารถเข้าถึง เนื้อหาสาระเมื่อไรก็ได้
เพียงแค่ จ่ายค่าอินเตอร์เน็ตบนมือถือ บางทีก็สมัครสมาชิกเสียเงินเพิ่มเติมด้วย (ค่ายมือถือบางค่ายที่ถอนตัวจากการประมูล นั้นก็สร้างช่องทางของตัวเองจากช่องทางที่เปิดโล่งมากขึ้น)
อันนี้คือ สิ่งที่น่าคิดต่อไป ว่า Digital TV ลดลงแล้ว เม็ดเงินโฆษณา ที่กระจายออกไปเป็นเช่นไร แล้วช่องทางอื่นๆเป็นเช่นไร
ส่วนมุมต่อไปคือ การย้ายจากการใช้คลื่น 700MHz เดิมที่เป็นตัวส่งสัญญาณ ให้แก่ภาครับ นำออกประมูลแก่ค่ายมือถือ
อันนี้ประเด็นที่น่าสนใจคือ การย้ายคลื่นจาก 700MHz ไปยังคลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่า อันนี้ Mux ต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่
แล้วสถานีฐานเพียงพอหรือเปล่าในปัจจุบัน อันนี้ก็เป็นคำถาม เพราะว่า ระยะแรกก็มีการแจกคูปองเพื่อการเปลี่ยนถ่าย แล้วเกิดความล่าช้าในการนี้ ไม่แค่นั้น การครอบครองพื้นที่ในการแพร่ภาพสัญญาณของ Digital TV เองก็มีปัญหา ไม่ครอบคลุมตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนถ่ายครั้งนี้ ก็คงมีบทเรียนจากรอบแรก แล้วว่าเป็นเช่นไร นั้นเอง รอดูว่า เป็นเช่นไร
ส่วนที่สำคัญคือ ผู้ชมต้องเสียเงินเพิ่มเติม หรือ มีคูปองที่บอกไว้ เหมือนรอบแรก หรือ ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ภาครับหรือไม่ อันนี้น่าถามต่อ ยังไม่มีคำเฉลย ไม่ใช่แค่กล่องรับเท่านั้น มีอุปกรณ์อีกเพียบที่กระทบ คือ TV ที่มีส่วนของภาครับในตัวเอง ,TV เคลื่อนที่ด้วย ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นต้องรอความชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นเช่นไร
พวกนี้รอเวลาที่หน่วยงานรับผิดชอบออกมาเปิดเผยว่าเป็นเช่นไร แต่การบ้านเพียบ และคำถามเพียบเลย รอบนี้
เอาแค่เรื่องพวกนี้ก็มีเรื่องให้เล่าสำหรับกิจการที่เกี่ยวข้องเพียบแล้วน่า
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 496
การขานชื่อ นักเรียน
วันเปิดเทอมวันแรก นั้น เป็นวันที่นักเรียนไปโรงเรียน
ถ้าเป็นโรงเรียน ระบบรัฐ มีการย้ายห้อง มีการคัดนักเรียน ไปตามห้องต่างๆ เกิดขึ้น
เป็นการรู้จักเพื่อนใหม่ เพิ่มขึ้นในเอง กระจายนักเรียนออกไปอยู่ตามห้องต่างๆ
ซึ่ง ในวันแรก อจ ประจำชั้น ก็ขานชื่อนักเรียน ในห้อง เพื่อตรวจสอบตัวสะกด การอ่านชื่อ
การทักทาย เพื่อให้เริ่มสร้างความสนิทสนมขึ้นมานั้นเอง
เนี่ยแหละคือ การเช็คชื่อไปในตัว ไม่ใช่แค่นักเรียนเท่านั้น อจ ในมหาวิทยาลัย ก็ใช้ระบบนี้ในการ ตรวจสอบเวลาเข้าเรียนของนักศึกษา ในแต่ละคาบเรียน อาจจะ ตรวจสอบด้วยการ Quiz หรือ การขานชื่อก็ได้
แต่ทว่า การขานชื่อเป็น การขานเพื่อ ให้ตรวจสอบตัวสะกดและการอ่านชื่อให้ถูกต้อง
การตรวจสอบและการอ่านชื่อนั้น ในแวดดวงของธุรกิจมีความสำคัญมากๆ เพื่อ เป็นมารยาทในการดำเนินธุรกิจเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่นั้น ระดับผู้นำประเทศ มีคนทำหน้าที่โดยเฉพาะเลยทีเดียว ที่เรารู้กันๆ คือ ปธน ของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น การขานชื่อนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
วันเปิดเทอมวันแรก นั้น เป็นวันที่นักเรียนไปโรงเรียน
ถ้าเป็นโรงเรียน ระบบรัฐ มีการย้ายห้อง มีการคัดนักเรียน ไปตามห้องต่างๆ เกิดขึ้น
เป็นการรู้จักเพื่อนใหม่ เพิ่มขึ้นในเอง กระจายนักเรียนออกไปอยู่ตามห้องต่างๆ
ซึ่ง ในวันแรก อจ ประจำชั้น ก็ขานชื่อนักเรียน ในห้อง เพื่อตรวจสอบตัวสะกด การอ่านชื่อ
การทักทาย เพื่อให้เริ่มสร้างความสนิทสนมขึ้นมานั้นเอง
เนี่ยแหละคือ การเช็คชื่อไปในตัว ไม่ใช่แค่นักเรียนเท่านั้น อจ ในมหาวิทยาลัย ก็ใช้ระบบนี้ในการ ตรวจสอบเวลาเข้าเรียนของนักศึกษา ในแต่ละคาบเรียน อาจจะ ตรวจสอบด้วยการ Quiz หรือ การขานชื่อก็ได้
แต่ทว่า การขานชื่อเป็น การขานเพื่อ ให้ตรวจสอบตัวสะกดและการอ่านชื่อให้ถูกต้อง
การตรวจสอบและการอ่านชื่อนั้น ในแวดดวงของธุรกิจมีความสำคัญมากๆ เพื่อ เป็นมารยาทในการดำเนินธุรกิจเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่นั้น ระดับผู้นำประเทศ มีคนทำหน้าที่โดยเฉพาะเลยทีเดียว ที่เรารู้กันๆ คือ ปธน ของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น การขานชื่อนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 497
ช่วงหน้าซิวหน้าขวาน
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาในการเปลี่ยนถ่าย ทำไมถึงใช้คำนี้ เพราะว่าหากย้อนกลับไปดู ตอนที่ญี่ปุ่นขึ้นมามีอำนาจทางเศรษฐกิจ เป็นเพราะ US ช่วงเหลือ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง (การช่วยเหลือของ US นั้นมีให้แก่ผู้แพ้สงครามครั้งนั้น มีเยอรมันนีตะวันตกและ ญี่ปุ่น ส่วนเกาหลีใต้นั้นฟื้นฟูหลังสงครามเกาหลีจบลง) ทำไมต้องฟื้นฟู เพื่อให้ประชาชนสามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้ หากดูภาพยนต์ ก็มีหลายต่อหลายเรื่องที่สะท้อนภาพยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ลำบากยากแค้นมาก ธุรกิจพังทลายลง คนไม่มีงานทำตกงาน
เมื่อ US เข้ามาฟื้นฟู ก็เป็นฐานการผลิตสินค้าให้แก่ US นำไปใช้ในการสงครามที่เวียดนามด้วย
แล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญคือ ช่วงเวลาที่รุมกินโต๊ะ คือให้ค่าเงินเยนแข็ง อันนี้ทำให้ความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจของญี่ปุ่นเสียหาย เกิดการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) พร้อมกันการล่มสลายของเศรษฐกิจภายในประเทศ กดดอกเบี้ยภายในประเทศต่ำมาอย่างยาวนานมาก
เหตุการณ์ในปัจจุบันย้อนรอยในอดีตตรงที่ว่า จีนเป็นฐานการผลิตให้แก่ทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ของ US มาจ้างบริษัทในจีนเป็น Supply สินค้า เพื่อเอาไปขายทั่วโลก จีนเป็นแหล่งผลิตสินค้าของโลก จีนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก แต่ทว่ารุ่งเรืองก็มีตกต่ำ นำโดย US ขึ้นเพดานภาษีเป็นการกีดกั้นสินค้าจีน (จีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก WTO แล้ว)
แถมไม่พอ ปัญหาเรื่องการใช้แรงงานของจีน นั้นกระทบมาจาก บริษัทของ US ที่นำเรื่องสิทธิมนุษยชนมาอ้างอิง เรื่องของการทำงานที่แสนหนักหน่วงในประเทศจีน อันนี้เป็นเรื่องเป็นราวมาก ในด้าน US จึงเป็นข้อเรียกร้องอีกประการหนึ่งที่ทำให้ จีนต้องมีสวัสดิภาพของแรงงานเพิ่มเติมขึ้นจากในอดีต
ทำให้ช่องว่างค่าแรงของจีนและ US ที่มีช่องว่างที่ห่างกันมาก ค่อยๆ เล็กๆลงเรื่อยจนกระทั่ง ค่าแรงที่ประเทศจีนสูงกว่าค่าแรงที่ US
คำถามถัดมาหากจีนมีปัญหาเรื่องการผลิต แล้วใครที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ไทยหรือ เวียดนามหรือ อินเดียหรือ หรือไปทวีปแอฟริกาหรือเปล่า
อันนี้น่าคิดแต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่เรานักลงทุนได้รับมาจาก กระแสการลงทุนที่มุ่งไปทางด้านเวียดนาม อินเดีย และแอฟริกา มิใช่ไทย
ทำไมเป็นเช่นนั้น ต้องดูเรื่องค่าแรงและการผลิตที่ไปตามประเทศเหล่านั้นด้วย
เริ่มแรกจากแอฟริกา นั้น ค่าแรงถูกมากๆ แถมเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ เพราะประเทศยากจน เริ่มมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการลงทุนพื้นฐานของจีนเพื่อเปิดตลาดสินค้าของตัวเอง ทำไมอุตสาหกรรมที่ไปลงทุนที่นั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นคือ พวกสิ่งทอ เครื่องนุ่มห่มที่ย้ายฐานผลิตไปที่นั้น
ส่วนสินค้าที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี หรือเทคโนโลยี ขั้นสูงขึ้น ไปไหน ไปที่ เวียดนามและอินเดีย ทำไมไปที่สองที่นั้น
เอาที่เวียดนาม ก่อน เวียดนามนั้น มีการลงทุนไม่เฉพาะที่จีน มีเกาหลีใต้ และเพิ่งเปิดความสัมพันธ์กับ US อีกครั้งหลังจากเกิดสงครามเวียดนามจบลง ทำให้การลงทุนของ US ไหลเข้ามาที่เวียดนามจำนวนมาก ประชาชนก็มีความรู้ ความสามารถ
ส่วนอินเดีย นั้น ไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้น่าจับตามมองว่า อินเดียจะเดินตามรอยจีนได้หรือไม่
ที่นี้เป็นแหล่งผลิตคนทางด้านเทคโนโลยี เป็นหลัง เป็นศูนย์ IT หลังบ้านของบริษัทจดทะเบียนใน Fotune 500 มาหลายสิบปี (Call center /Help desk/MA program ต่างๆ) แถมคนอินเดีย ณ ตอนนี้นั่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Tech company ใหญ่ๆของโลก
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งในช่วงนี้ที่น่าติดตามแต่ไม่เป็นกระแสในเมืองไทย คือสงครามการค้าระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น อันนี้เป็นเรื่องของเทคโนโลยีเพียวๆเลย
เพราะ ญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่เกาหลีใต้นำไปประกอบเป็นชิ้นส่วนของชิป เรื่องนี้น่าจับตามองอย่างมากว่ากระทบต่อ Supply chain ในเรื่องของเทคโนโลยีอย่างมาก ในด้านของ Hardware เพราะ เกาหลีใต้ นั้นมี Sumsang ,LG เป็นผู้นำด้านนี้อยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เซ แล้วส่งผลกระทบมายังที่ต่างๆ ด้วย
อีกแหล่งคือ US ตอนนี้เรื่องของ Debt limit นั้นใครได้เป็นปธน รอบต่อไป รับมือเรื่องนี้เหมือนสมัยปธน บิล คลันตัน เป็นรอบแรก เพราะ เส้นตายรอบถัดไปคือ เดือน กรกฏาคม 2021 หลังเข้ารับตำแหน่งปธน ประมาณ 6-7 เดือน ต้องเรียบร้อย
สำหรับ เรื่องของ Brexit นั้นมองเป็นเรื่องของการปั้มเงินด้าน EU ว่าเอาไง รวมถึงการคืนหนี้ของกรีซ ในช่วงที่ค่าเงิน EU อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงิน US ในตอนนี้ (ประมาณ 1.1US ต่อ 1 ยูโร) นั้นเอง ถ้ากรีซไปกู้ภายใน EU ทำให้ต้องปั้มเงิน EU เพิ่มขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น เรื่องของ Brexit ด้วย
ตอนนี้ EU ก็ยัง ปั้มเงินอยู่ยังไม่เลิกปั้มเงิน
กลับมาที่จีนนั้น จบจากฮ่องกง เมื่อไร ก็ต้องปั้มเงินฟื้นฟู ที่นั้น แต่ทว่า ตอนนี้โดย Fitch rating เล่นงานก่อน ลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้ตอนนี้ศูนย์กลางทางการเงินทางด้านเอเชียตะวันออก ย้ายลงมาไปอยู่ที่สิงคโปร์แทนขั่วคราวหรือเปล่าน่าจับตา
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาในการเปลี่ยนถ่าย ทำไมถึงใช้คำนี้ เพราะว่าหากย้อนกลับไปดู ตอนที่ญี่ปุ่นขึ้นมามีอำนาจทางเศรษฐกิจ เป็นเพราะ US ช่วงเหลือ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง (การช่วยเหลือของ US นั้นมีให้แก่ผู้แพ้สงครามครั้งนั้น มีเยอรมันนีตะวันตกและ ญี่ปุ่น ส่วนเกาหลีใต้นั้นฟื้นฟูหลังสงครามเกาหลีจบลง) ทำไมต้องฟื้นฟู เพื่อให้ประชาชนสามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้ หากดูภาพยนต์ ก็มีหลายต่อหลายเรื่องที่สะท้อนภาพยุคภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ลำบากยากแค้นมาก ธุรกิจพังทลายลง คนไม่มีงานทำตกงาน
เมื่อ US เข้ามาฟื้นฟู ก็เป็นฐานการผลิตสินค้าให้แก่ US นำไปใช้ในการสงครามที่เวียดนามด้วย
แล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญคือ ช่วงเวลาที่รุมกินโต๊ะ คือให้ค่าเงินเยนแข็ง อันนี้ทำให้ความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจของญี่ปุ่นเสียหาย เกิดการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) พร้อมกันการล่มสลายของเศรษฐกิจภายในประเทศ กดดอกเบี้ยภายในประเทศต่ำมาอย่างยาวนานมาก
เหตุการณ์ในปัจจุบันย้อนรอยในอดีตตรงที่ว่า จีนเป็นฐานการผลิตให้แก่ทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ของ US มาจ้างบริษัทในจีนเป็น Supply สินค้า เพื่อเอาไปขายทั่วโลก จีนเป็นแหล่งผลิตสินค้าของโลก จีนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก แต่ทว่ารุ่งเรืองก็มีตกต่ำ นำโดย US ขึ้นเพดานภาษีเป็นการกีดกั้นสินค้าจีน (จีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก WTO แล้ว)
แถมไม่พอ ปัญหาเรื่องการใช้แรงงานของจีน นั้นกระทบมาจาก บริษัทของ US ที่นำเรื่องสิทธิมนุษยชนมาอ้างอิง เรื่องของการทำงานที่แสนหนักหน่วงในประเทศจีน อันนี้เป็นเรื่องเป็นราวมาก ในด้าน US จึงเป็นข้อเรียกร้องอีกประการหนึ่งที่ทำให้ จีนต้องมีสวัสดิภาพของแรงงานเพิ่มเติมขึ้นจากในอดีต
ทำให้ช่องว่างค่าแรงของจีนและ US ที่มีช่องว่างที่ห่างกันมาก ค่อยๆ เล็กๆลงเรื่อยจนกระทั่ง ค่าแรงที่ประเทศจีนสูงกว่าค่าแรงที่ US
คำถามถัดมาหากจีนมีปัญหาเรื่องการผลิต แล้วใครที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ไทยหรือ เวียดนามหรือ อินเดียหรือ หรือไปทวีปแอฟริกาหรือเปล่า
อันนี้น่าคิดแต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่เรานักลงทุนได้รับมาจาก กระแสการลงทุนที่มุ่งไปทางด้านเวียดนาม อินเดีย และแอฟริกา มิใช่ไทย
ทำไมเป็นเช่นนั้น ต้องดูเรื่องค่าแรงและการผลิตที่ไปตามประเทศเหล่านั้นด้วย
เริ่มแรกจากแอฟริกา นั้น ค่าแรงถูกมากๆ แถมเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ เพราะประเทศยากจน เริ่มมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการลงทุนพื้นฐานของจีนเพื่อเปิดตลาดสินค้าของตัวเอง ทำไมอุตสาหกรรมที่ไปลงทุนที่นั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นคือ พวกสิ่งทอ เครื่องนุ่มห่มที่ย้ายฐานผลิตไปที่นั้น
ส่วนสินค้าที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี หรือเทคโนโลยี ขั้นสูงขึ้น ไปไหน ไปที่ เวียดนามและอินเดีย ทำไมไปที่สองที่นั้น
เอาที่เวียดนาม ก่อน เวียดนามนั้น มีการลงทุนไม่เฉพาะที่จีน มีเกาหลีใต้ และเพิ่งเปิดความสัมพันธ์กับ US อีกครั้งหลังจากเกิดสงครามเวียดนามจบลง ทำให้การลงทุนของ US ไหลเข้ามาที่เวียดนามจำนวนมาก ประชาชนก็มีความรู้ ความสามารถ
ส่วนอินเดีย นั้น ไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้น่าจับตามมองว่า อินเดียจะเดินตามรอยจีนได้หรือไม่
ที่นี้เป็นแหล่งผลิตคนทางด้านเทคโนโลยี เป็นหลัง เป็นศูนย์ IT หลังบ้านของบริษัทจดทะเบียนใน Fotune 500 มาหลายสิบปี (Call center /Help desk/MA program ต่างๆ) แถมคนอินเดีย ณ ตอนนี้นั่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Tech company ใหญ่ๆของโลก
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งในช่วงนี้ที่น่าติดตามแต่ไม่เป็นกระแสในเมืองไทย คือสงครามการค้าระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น อันนี้เป็นเรื่องของเทคโนโลยีเพียวๆเลย
เพราะ ญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่เกาหลีใต้นำไปประกอบเป็นชิ้นส่วนของชิป เรื่องนี้น่าจับตามองอย่างมากว่ากระทบต่อ Supply chain ในเรื่องของเทคโนโลยีอย่างมาก ในด้านของ Hardware เพราะ เกาหลีใต้ นั้นมี Sumsang ,LG เป็นผู้นำด้านนี้อยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เซ แล้วส่งผลกระทบมายังที่ต่างๆ ด้วย
อีกแหล่งคือ US ตอนนี้เรื่องของ Debt limit นั้นใครได้เป็นปธน รอบต่อไป รับมือเรื่องนี้เหมือนสมัยปธน บิล คลันตัน เป็นรอบแรก เพราะ เส้นตายรอบถัดไปคือ เดือน กรกฏาคม 2021 หลังเข้ารับตำแหน่งปธน ประมาณ 6-7 เดือน ต้องเรียบร้อย
สำหรับ เรื่องของ Brexit นั้นมองเป็นเรื่องของการปั้มเงินด้าน EU ว่าเอาไง รวมถึงการคืนหนี้ของกรีซ ในช่วงที่ค่าเงิน EU อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงิน US ในตอนนี้ (ประมาณ 1.1US ต่อ 1 ยูโร) นั้นเอง ถ้ากรีซไปกู้ภายใน EU ทำให้ต้องปั้มเงิน EU เพิ่มขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น เรื่องของ Brexit ด้วย
ตอนนี้ EU ก็ยัง ปั้มเงินอยู่ยังไม่เลิกปั้มเงิน
กลับมาที่จีนนั้น จบจากฮ่องกง เมื่อไร ก็ต้องปั้มเงินฟื้นฟู ที่นั้น แต่ทว่า ตอนนี้โดย Fitch rating เล่นงานก่อน ลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้ตอนนี้ศูนย์กลางทางการเงินทางด้านเอเชียตะวันออก ย้ายลงมาไปอยู่ที่สิงคโปร์แทนขั่วคราวหรือเปล่าน่าจับตา
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 498
รู้ทัน ตรวจสอบภายใน และ ภายนอก (Internal audit และ External audit)
เริ่มแรกก่อนว่า ทำไมต้องมี internal audit คำถามนี้สำคัญมาก
internal audit เป็นพนักงานของบริษัท แต่ทว่า เค้าทำหน้าที่ สอดส่องดูแล ว่ากิจการนั้น มีความเสี่ยงอะไร ที่ต้องลดระดับความเสี่ยงเหล่านั้นลงจนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ หรือ ผู้บริหารของบริษัทก็ดี /คณะกรรมการของบริษัท/คณะกรรมการบริหารของบริษัท ยอมรับความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
คำถามต่อมา ทำไม เกิดปัญหาแล้ว Audit ตรวจสอบไม่พบ
ประเด็นนี้ เป็นประเด็นใหญ่มาก เพราะว่า
1. Audit ปีๆหนึ่ง รับทำเคสที่ลงไปตรวจสอบก็ได้ไม่เท่าไร จึงหยิบแต่เคสที่มีความเสี่ยงสูง มาตรวจสอบก่อน หรือสิ่งที่ประเมินความเสี่ยงแล้วอยู่ในระดับสูงมาทำก่อน
2. Audit ยังไม่ได้ลงไปตรวจสอบเพราะยังไม่ถึงวงรอบในการตรวจสอบ
3. ปัญหานั้นทำเป็นขั้นตอนกระบวนการ มีหลายคนและหลายฝ่ายเกี่ยวข้องและซับซ้อนกันมากขึ้น
4. Audit หยิบเอาเคสเดิมมาตรวจสอบไม่ตรวจสอบเคสใหม่ๆ เน้นแต่ที่เดิมๆ
5. Audit ส่วนใหญ่ตรวจสอบแค่ บัญชี แต่ไม่ได้ลง ไปตรวจสอบอย่างอื่นด้วย (อันนี้ต้องถามว่า แผนในการตรวจสอบของ คณะกรรมการตรวจสอบภายในที่กำลังประชุมกันมีแผนการตรวจสอบอะไรบ้าง อันนี้ผู้ถือหุ้นน่าสอบถามไว้)
และมีอีกหลายเหตุผลที่ตรวจสอบที่ไม่ได้กล่าวถึง
Audit นั้นไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นเท่าไร โดยเฉพาะ CAE (Chief Audit Executive).แต่คนนี้เป็นคนที่รับรู้ว่า บริษัทเดินไปในทิศทางไหน เพราะจะได้วางแผนในการตรวจสอบได้ถูกต้อง นั้นเอง
Audit ส่วนใหญ่ นั้นมาจากนักบัญชี เพราะอะไร เพราะว่า สิ่งที่ตรวจสอบคือ บัญชีและการเงินเป็นหลัก แต่ทว่าปัจจุบัน ต้องใช้ technology มาขึ้นเลยมี IT Audit เกิดขึ้น แต่ทว่าไม่แพร่หลาย เพราะค่าตัวแพงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เก่งด้าน IT พอต้องรู้ด้าน Audit และอื่นๆด้วย นั้นเอง) แต่ในมุมมองของพนักงาน IT นั้นคือ IT Audit มาที่ไรน่าเบื่อทุกที่ เพราะ ตรวจสอบเรื่อง user /password เปลี่ยนไหม /มีนโยบายการใช้งานอุปกรณ์ทางด้านไอทีเป็นเช่นไร เป็นต้น มาแบบซ้ำเดิมตลอดเหมือนกัน
สุดท้าย ประกาศนียบัตรของ Audit มีตัวไหนบ้าง
ตัวที่ยอมรับกันคือ CIA เป็นหลัก แต่ถ้าของสภานักบัญชีก็ IACP
แต่ถ้าเป็นด้านคอมพิวเตอร์ก็ CISA (ไม่ใช่ใบประกาศด้านการเงินของไทยน่าอันนี้ของ IT ระดับ Gobal)
ปล สังเกตอยู่อย่าง หากบริษัทไหนที่ Audit แข็งแรง นั้นคือ Process แข็งแกร่งด้วย มันสะท้อนไปถึงอย่างอื่นด้วย
ลองไปหาดูกันว่า บริษัทไหนที่ CAE แข็งแรง และมีทีม IA ที่แข็งแรงบาง และ เอา External Audit มาตรวจสอบ IA
ว่าได้มาตรฐานระดับโลกหรือไม่ (ในประเทศไทยมี บริษัททำ) มันสะท้อนอย่างดีเลยละ
เริ่มแรกก่อนว่า ทำไมต้องมี internal audit คำถามนี้สำคัญมาก
internal audit เป็นพนักงานของบริษัท แต่ทว่า เค้าทำหน้าที่ สอดส่องดูแล ว่ากิจการนั้น มีความเสี่ยงอะไร ที่ต้องลดระดับความเสี่ยงเหล่านั้นลงจนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ หรือ ผู้บริหารของบริษัทก็ดี /คณะกรรมการของบริษัท/คณะกรรมการบริหารของบริษัท ยอมรับความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
คำถามต่อมา ทำไม เกิดปัญหาแล้ว Audit ตรวจสอบไม่พบ
ประเด็นนี้ เป็นประเด็นใหญ่มาก เพราะว่า
1. Audit ปีๆหนึ่ง รับทำเคสที่ลงไปตรวจสอบก็ได้ไม่เท่าไร จึงหยิบแต่เคสที่มีความเสี่ยงสูง มาตรวจสอบก่อน หรือสิ่งที่ประเมินความเสี่ยงแล้วอยู่ในระดับสูงมาทำก่อน
2. Audit ยังไม่ได้ลงไปตรวจสอบเพราะยังไม่ถึงวงรอบในการตรวจสอบ
3. ปัญหานั้นทำเป็นขั้นตอนกระบวนการ มีหลายคนและหลายฝ่ายเกี่ยวข้องและซับซ้อนกันมากขึ้น
4. Audit หยิบเอาเคสเดิมมาตรวจสอบไม่ตรวจสอบเคสใหม่ๆ เน้นแต่ที่เดิมๆ
5. Audit ส่วนใหญ่ตรวจสอบแค่ บัญชี แต่ไม่ได้ลง ไปตรวจสอบอย่างอื่นด้วย (อันนี้ต้องถามว่า แผนในการตรวจสอบของ คณะกรรมการตรวจสอบภายในที่กำลังประชุมกันมีแผนการตรวจสอบอะไรบ้าง อันนี้ผู้ถือหุ้นน่าสอบถามไว้)
และมีอีกหลายเหตุผลที่ตรวจสอบที่ไม่ได้กล่าวถึง
Audit นั้นไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นเท่าไร โดยเฉพาะ CAE (Chief Audit Executive).แต่คนนี้เป็นคนที่รับรู้ว่า บริษัทเดินไปในทิศทางไหน เพราะจะได้วางแผนในการตรวจสอบได้ถูกต้อง นั้นเอง
Audit ส่วนใหญ่ นั้นมาจากนักบัญชี เพราะอะไร เพราะว่า สิ่งที่ตรวจสอบคือ บัญชีและการเงินเป็นหลัก แต่ทว่าปัจจุบัน ต้องใช้ technology มาขึ้นเลยมี IT Audit เกิดขึ้น แต่ทว่าไม่แพร่หลาย เพราะค่าตัวแพงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เก่งด้าน IT พอต้องรู้ด้าน Audit และอื่นๆด้วย นั้นเอง) แต่ในมุมมองของพนักงาน IT นั้นคือ IT Audit มาที่ไรน่าเบื่อทุกที่ เพราะ ตรวจสอบเรื่อง user /password เปลี่ยนไหม /มีนโยบายการใช้งานอุปกรณ์ทางด้านไอทีเป็นเช่นไร เป็นต้น มาแบบซ้ำเดิมตลอดเหมือนกัน
สุดท้าย ประกาศนียบัตรของ Audit มีตัวไหนบ้าง
ตัวที่ยอมรับกันคือ CIA เป็นหลัก แต่ถ้าของสภานักบัญชีก็ IACP
แต่ถ้าเป็นด้านคอมพิวเตอร์ก็ CISA (ไม่ใช่ใบประกาศด้านการเงินของไทยน่าอันนี้ของ IT ระดับ Gobal)
ปล สังเกตอยู่อย่าง หากบริษัทไหนที่ Audit แข็งแรง นั้นคือ Process แข็งแกร่งด้วย มันสะท้อนไปถึงอย่างอื่นด้วย
ลองไปหาดูกันว่า บริษัทไหนที่ CAE แข็งแรง และมีทีม IA ที่แข็งแรงบาง และ เอา External Audit มาตรวจสอบ IA
ว่าได้มาตรฐานระดับโลกหรือไม่ (ในประเทศไทยมี บริษัททำ) มันสะท้อนอย่างดีเลยละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 499
งานสัปดาห์หนังสือ ครั้งแรกที่ ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี
ได้ไปวันที่เรียกได้ว่า มีหลายงานชนกัน (บางงานเพิ่งรู้ที่หลังว่ามี)
วันนั้นที่ไป ก็ขับรถวนรอบเมืองเลย กว่าจะถึงที่จอดได้ ก็ 11 โมงแล้ว ไปจอดลานไม่เสียเงินคือ ลาน Ativ (ตรงข้ามอิมแพ็ค)
ยังเหลือแต่เดินไกลหน่อยเพราะเกือบสุดลานแล้ว ที่เห็นตอนแรกคือ รถทำไมเพียบแบบนี้หนอ
เพราะวันนั้นมีงานลดราคาเครื่องใช้ไฟฟ้า งานเด็ก งานเปิดตัวหนังสือของเจ้าสัวธนินทร์(เพิ่งรู้ที่หลัง) งานหนังสือ งานจักรยาน (ก็เพิ่งรู้ที่หลัง)
ใครมาทาง มหาวิทยาลัยฯ ก็ติดมาก แต่เรามาทางด่วนลงก็เลี้ยว ไม่ติด
ลาน 100 บาททั้งวัน โล่งอยู่เลย
เดินเข้าไปในงาน ซื้อครบ 2000 บาท ดีแตกใจดี ให้กระเป๋าด้วย 1 ใบต่อเบอร์ต่อคน มีสามรอบคือรอบ11 โมง บ่ายสองและห้าโมงเย็น รอบเช้าคิวไม่ยาว แต่รอบบ่าย ยังไม่ถึงเวลา ก็ยาวประมาณ 80-90 คน เจ้าหน้าที่บอกเลยว่า มีแค่ 100 ใบ ให้บัตรคิวไว้ เลย
ส่วน บูท KTC ใช้แต้มแลก โดยนับยอดทุก 500 บาทใช้ 500 แต้มลด 18% มีบูทเดียวทำให้รอนานหน่อย
ส่วนของ กรุงศรี อันนี้ลด 15% ไม่รู้รายละเอียดละ
ใครใช้ KTC มีแต้มเหลือก็ถล่มได้เลย
ปีนี้ เดินสบายมาก ทางเดินกว้าง จัดเป็นโซน หมวดหมู่ได้ดีมากๆ แต่ไม่มีจุดแวะพักเท่าไร ส่วน บริการส่งกลับบ้านอยู่ไกลมาก น่าปรับให้อยู่ใกล้ทางออก เพราะว่า คนซื้อเสร็จแวะมาที่จุดนี้ แล้วเดินตัวปลิวกลับบ้าน
เรียกได้ว่าเดินสบาย ห้องน้ำ ก็มากกว่า ที่ศูนย์ประชุมด้วย ร้านอาหารข้างในมี ด้านอิมแพ็คมี Fast Food มีด้วย
ส่วนที่ฝากของ มีจุดเดียว ตรงทางเข้า ฝากได้ไม่มากเท่าไร ควรมีจุดฝากของมากกว่านี้ จุดน่าจะใกล้ทางออก ใกล้กับจุดส่งของ (ลืมบอกไปว่า เป็น Kerry อีกแล้ว แต่ไปรณีย์ไทย ไม่ได้เป็นบูทแต่เป็นร้านอยู่แล้ว เหมือนที่ศูนย์ประชุม ต้องรู้)
ออกมาที่รถ ตอนเที่ยง เอาของเก็บ ลาน ATIV พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ให้รถวนเข้าแล้ว แต่ข้างในพอมีที่จอด เค้้าไม่ให้วนเข้าเพราะกลัวว่า ติดมาก วนกันไม่จบไม่สิ้น นั้นเอง
พอเดินมาที่รถ ก็ช่วยเหลือคนที่ออกไม่ได้ เพราะจอด 3 แถว ออกไม่ได้จริงๆ ก็เปิดทางให้ ออก ก็ออกได้ รถทั้งสองคันก็ขอบคุณมากๆ เพราะเค้ารีบ ทำธุระต่อ
มองไปลานจอด 100 บาท ต่อวัน เต็มเข้าไม่ได้แล้ว
กลับไปหาของกิน เสร็จ ฝนตก น้ำท่วม งานเข้าเลย เพราะออกทางแจ้งวัฒนะก็ไม่ได้ เพราะทำรถไฟฟ้า ออกทางมหาวิทยาลัยฯก็ไม่ได้ ต้องวนขึ้นทางด่วน แต่สุดท้ายก็ขึ้นไม่ได้ รถปิดช่องทางขึ้นทางด่วน แถมติดแบบไม่ขยับด้วย งานนี้วิ่งอ้อมโลกเลย
สรุป งานหนังสือรอบนี้ที่บ่นกันว่า จัดไม่ดี นั้น ต้องบอกว่า ใครที่ไป อิมแพ็ค บ่อยๆ ก็รู้ที่จอดอยู่แล้วว่า มีที่จอดไหนบ้าง
ที่จอดฟรี ก็มีลานทะเลสาบ จุดนี้ ทางอิมแพ็ค มีรถวนไปรับหรือไม่รู้ ลานจอด Ativ (P3) อันนี้ติดกับเสียเงิน 100 บาทต่อวัน ในอาคารก็มีที่จอด ซึ่งคนชอบจอดในอาคารกัน เสียเงิน นั้นเอง
ต้องถามว่าเวลาไปดูคอนเสิร์ต ไปงาน motor show ไม่มีใครบ่นแบบงานหนังสือเลย มันก็แปลกใจไหมละ
งานนี้รถเข็นของ Impact มีมากกว่าตอนที่อยู่ที่ศูนย์ประชุมด้วย
ครั้งนี้ครั้งแรก เดี๋ยวก็คงดีขึ้น เพราะ ได้คำติคำชมเพื่อปรับปรุง งานในครั้งต่อไป
งานนี้ไกลแต่คุ้มค่าที่เดิน
ปล งาน wolf นี้เดินไกล ออกกำลังขาเดินยาว แต่ wolf นั้นจอดอาคารฟรี มันแตกต่างกันจุดนี้
ถ้าหาก งานนี้จอดบนอาคารฟรี แต่ยอดหนังสือเท่าไรก็ว่ากันไป ทำให้รถติดกว่านี้ แต่ได้ยอดหรือเปล่าก็น่าคิดน่า
ได้ไปวันที่เรียกได้ว่า มีหลายงานชนกัน (บางงานเพิ่งรู้ที่หลังว่ามี)
วันนั้นที่ไป ก็ขับรถวนรอบเมืองเลย กว่าจะถึงที่จอดได้ ก็ 11 โมงแล้ว ไปจอดลานไม่เสียเงินคือ ลาน Ativ (ตรงข้ามอิมแพ็ค)
ยังเหลือแต่เดินไกลหน่อยเพราะเกือบสุดลานแล้ว ที่เห็นตอนแรกคือ รถทำไมเพียบแบบนี้หนอ
เพราะวันนั้นมีงานลดราคาเครื่องใช้ไฟฟ้า งานเด็ก งานเปิดตัวหนังสือของเจ้าสัวธนินทร์(เพิ่งรู้ที่หลัง) งานหนังสือ งานจักรยาน (ก็เพิ่งรู้ที่หลัง)
ใครมาทาง มหาวิทยาลัยฯ ก็ติดมาก แต่เรามาทางด่วนลงก็เลี้ยว ไม่ติด
ลาน 100 บาททั้งวัน โล่งอยู่เลย
เดินเข้าไปในงาน ซื้อครบ 2000 บาท ดีแตกใจดี ให้กระเป๋าด้วย 1 ใบต่อเบอร์ต่อคน มีสามรอบคือรอบ11 โมง บ่ายสองและห้าโมงเย็น รอบเช้าคิวไม่ยาว แต่รอบบ่าย ยังไม่ถึงเวลา ก็ยาวประมาณ 80-90 คน เจ้าหน้าที่บอกเลยว่า มีแค่ 100 ใบ ให้บัตรคิวไว้ เลย
ส่วน บูท KTC ใช้แต้มแลก โดยนับยอดทุก 500 บาทใช้ 500 แต้มลด 18% มีบูทเดียวทำให้รอนานหน่อย
ส่วนของ กรุงศรี อันนี้ลด 15% ไม่รู้รายละเอียดละ
ใครใช้ KTC มีแต้มเหลือก็ถล่มได้เลย
ปีนี้ เดินสบายมาก ทางเดินกว้าง จัดเป็นโซน หมวดหมู่ได้ดีมากๆ แต่ไม่มีจุดแวะพักเท่าไร ส่วน บริการส่งกลับบ้านอยู่ไกลมาก น่าปรับให้อยู่ใกล้ทางออก เพราะว่า คนซื้อเสร็จแวะมาที่จุดนี้ แล้วเดินตัวปลิวกลับบ้าน
เรียกได้ว่าเดินสบาย ห้องน้ำ ก็มากกว่า ที่ศูนย์ประชุมด้วย ร้านอาหารข้างในมี ด้านอิมแพ็คมี Fast Food มีด้วย
ส่วนที่ฝากของ มีจุดเดียว ตรงทางเข้า ฝากได้ไม่มากเท่าไร ควรมีจุดฝากของมากกว่านี้ จุดน่าจะใกล้ทางออก ใกล้กับจุดส่งของ (ลืมบอกไปว่า เป็น Kerry อีกแล้ว แต่ไปรณีย์ไทย ไม่ได้เป็นบูทแต่เป็นร้านอยู่แล้ว เหมือนที่ศูนย์ประชุม ต้องรู้)
ออกมาที่รถ ตอนเที่ยง เอาของเก็บ ลาน ATIV พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ให้รถวนเข้าแล้ว แต่ข้างในพอมีที่จอด เค้้าไม่ให้วนเข้าเพราะกลัวว่า ติดมาก วนกันไม่จบไม่สิ้น นั้นเอง
พอเดินมาที่รถ ก็ช่วยเหลือคนที่ออกไม่ได้ เพราะจอด 3 แถว ออกไม่ได้จริงๆ ก็เปิดทางให้ ออก ก็ออกได้ รถทั้งสองคันก็ขอบคุณมากๆ เพราะเค้ารีบ ทำธุระต่อ
มองไปลานจอด 100 บาท ต่อวัน เต็มเข้าไม่ได้แล้ว
กลับไปหาของกิน เสร็จ ฝนตก น้ำท่วม งานเข้าเลย เพราะออกทางแจ้งวัฒนะก็ไม่ได้ เพราะทำรถไฟฟ้า ออกทางมหาวิทยาลัยฯก็ไม่ได้ ต้องวนขึ้นทางด่วน แต่สุดท้ายก็ขึ้นไม่ได้ รถปิดช่องทางขึ้นทางด่วน แถมติดแบบไม่ขยับด้วย งานนี้วิ่งอ้อมโลกเลย
สรุป งานหนังสือรอบนี้ที่บ่นกันว่า จัดไม่ดี นั้น ต้องบอกว่า ใครที่ไป อิมแพ็ค บ่อยๆ ก็รู้ที่จอดอยู่แล้วว่า มีที่จอดไหนบ้าง
ที่จอดฟรี ก็มีลานทะเลสาบ จุดนี้ ทางอิมแพ็ค มีรถวนไปรับหรือไม่รู้ ลานจอด Ativ (P3) อันนี้ติดกับเสียเงิน 100 บาทต่อวัน ในอาคารก็มีที่จอด ซึ่งคนชอบจอดในอาคารกัน เสียเงิน นั้นเอง
ต้องถามว่าเวลาไปดูคอนเสิร์ต ไปงาน motor show ไม่มีใครบ่นแบบงานหนังสือเลย มันก็แปลกใจไหมละ
งานนี้รถเข็นของ Impact มีมากกว่าตอนที่อยู่ที่ศูนย์ประชุมด้วย
ครั้งนี้ครั้งแรก เดี๋ยวก็คงดีขึ้น เพราะ ได้คำติคำชมเพื่อปรับปรุง งานในครั้งต่อไป
งานนี้ไกลแต่คุ้มค่าที่เดิน
ปล งาน wolf นี้เดินไกล ออกกำลังขาเดินยาว แต่ wolf นั้นจอดอาคารฟรี มันแตกต่างกันจุดนี้
ถ้าหาก งานนี้จอดบนอาคารฟรี แต่ยอดหนังสือเท่าไรก็ว่ากันไป ทำให้รถติดกว่านี้ แต่ได้ยอดหรือเปล่าก็น่าคิดน่า
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 500
ภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน
เหตุการณ์ครั้งนี้ มีเขียนไว้ในหนังสือของ คุณ อลัน กรีนสแปน เมื่อลงจากตำแหน่งผู้ว่างการของ FED
ครั้นที่โดนคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฏรของสหรัฐอเมริกา เรียกสอบสอนเรื่องของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ที่เกิดในปี 2008 ต้นเหตุหนึ่งมาจาก ดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นระยะเวลานาน ทำให้ทุกคนมองหาผู้ตอบแทนที่มากขึ้น
โดยละเลยเรื่องของความเสี่ยงลงไป เหมือน เคยชิน ว่าดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานานมันเป็นแบบนี้ตลอดไป
มาในประเทศไทยตอนนี้ ระเบิดเวลาของดอกเบี้ยต่ำก็เริ่มทำงาน เห็นได้ว่า มีการตั้งวงแชร์ แล้วมีปัญหาขึ้น
อีกครั้งแล้ว โดยมารอบนี้เป็นของ Forex 3D และ แขร์แม่มณี สังเกตว่า ข่าวว่าวงของแชร์แม่มณีข่าวใหญ่กว่า วงแชร์ของ Forex 3D ซึ่งความเสียหายนั้น วงแชร์ของ Forex 3D นั้นเสียหายมากกว่า แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวคราวเท่าไร ในกระแสหลัก
เดี๋ยวรอดูว่า จะเป็นข่าวหรือไม่
สังเกตไหมว่า วงแชร์ก็ยังไม่ได้หายไปจากสังคม ก็มีข่าวอยู่เรื่อยๆ ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจที่มีภาวะชะลอตัว แถมดอกเบี้ยต่ำแล้วยิ่งทำให้คนแสวงหาผลตอบแทนที่มากขึ้น ไม่สนใจความเสี่ยงเลยว่า เสี่ยงแค่ไหน
หากแนวทางแก้ไขเรื่องนี้คือ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซักที แต่ทว่า ขึ้นไมไ่ด้ เพราะว่า มันมีปัญหาภาคแรงงาน ในกลุ่มของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ และรถยนต์ที่ชะลอตัวอย่างมาก ไม่เพียงแค่นั้น อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วรอการขายอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ คือ ขายให้กับคนจีน แต่ทว่าไม่รับโยนเนื่องจากอะไรก็ไม่ทราบได้ แถมโดนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่อง LVT อีกต่างหาก ถึงแม้นว่าผ่อนผันกับผู้กู้ร่วมแล้วก็ตาม ก็ไม่คึกคักเท่าที่ควร
ตลาดของอสังหาริมทรัพย์นั้น ตัววัดความร้อนแรงคือการขายใบจอง ซึ่งมีการซื้อขายใบจองเริ่มซื้อขายยากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา 1 -2 ปี โครงสร้างเสร็จแล้ว แต่โอนมิได้ เพราะผู้ถือใบจองไม่มีเงิน หาคนซื้อต่อไม่ได้ อีกต่างหาก เลยทำให้ซบเซาอย่างที่เห็น
ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นเป็นช่วงที่ต่อสู้ระหว่าง รถที่ใช้น้ำมันกับรถไฟฟ้า ปลายปี 2561 นั้น รถยนต์กลับมามียอดซื้อขายมากขึ้นในรอบหลายปี แต่ทว่า พอมาปี 2562 ยอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนตอนนี้เริ่มเป็น 0% 5 ปีอีกครั้ง ในบางรุ่น กันแล้ว แสดงว่า อะไรหรือ ตลาด peak แป๊บเดียว ไม่ต่อเนื่อง ที่สำคัญ การปล่อยสินเชื่อรถยนต์นั้น เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ดีๆ ในสถานบันการเงินเจ้าหนึ่งโทรมาหา เสนอสินเชื่อรถยนต์ให้ เราเองก็อึ้งไปเล็กน้อยว่า เอ๋! เราก็ไมไ่ด้เดือดร้อนอะไรนิ แต่โทรมาเฉยเลย แสดงว่าตอนนี้เริ่ม Direct sales สินเชื่อรถยนต์ของรถใช้แล้ว
ส่วนอีกภาพหนึ่ง หากยังจำกันได้ วิกฤติต้มยำกุ้ง นั้นก่อนหน้านั้น คำหวานจากต่างประเทศทั้งหลาย ว่าเศรษฐกิจไทยคือ เสือตัวห้าของเอเชีย ให้ท่องไว้ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา เสมอดีที่สุด คำหวานมัน ทำให้ชะล่าใจ
ดังนั้น รอบนี้หลายต่อหลายท่านเชียร์ให้ลดดอกเบี้ย แต่เราเชียร์ให้ขึ้นดอกเบี้ย แล้วหาทางที่พิมพ์เงินออกมาในระบบเสียบ้าง เพื่อให้ค่าเงินอ่อนลง ไม่ใช่ว่าเพาะบ่มปัญหาจนสุกงอม แล้วลดค่าเงินเหมือนครั้ง 2523 และ 2527-2529 อีกรอบละกัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ มีเขียนไว้ในหนังสือของ คุณ อลัน กรีนสแปน เมื่อลงจากตำแหน่งผู้ว่างการของ FED
ครั้นที่โดนคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฏรของสหรัฐอเมริกา เรียกสอบสอนเรื่องของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ที่เกิดในปี 2008 ต้นเหตุหนึ่งมาจาก ดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นระยะเวลานาน ทำให้ทุกคนมองหาผู้ตอบแทนที่มากขึ้น
โดยละเลยเรื่องของความเสี่ยงลงไป เหมือน เคยชิน ว่าดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานานมันเป็นแบบนี้ตลอดไป
มาในประเทศไทยตอนนี้ ระเบิดเวลาของดอกเบี้ยต่ำก็เริ่มทำงาน เห็นได้ว่า มีการตั้งวงแชร์ แล้วมีปัญหาขึ้น
อีกครั้งแล้ว โดยมารอบนี้เป็นของ Forex 3D และ แขร์แม่มณี สังเกตว่า ข่าวว่าวงของแชร์แม่มณีข่าวใหญ่กว่า วงแชร์ของ Forex 3D ซึ่งความเสียหายนั้น วงแชร์ของ Forex 3D นั้นเสียหายมากกว่า แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวคราวเท่าไร ในกระแสหลัก
เดี๋ยวรอดูว่า จะเป็นข่าวหรือไม่
สังเกตไหมว่า วงแชร์ก็ยังไม่ได้หายไปจากสังคม ก็มีข่าวอยู่เรื่อยๆ ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจที่มีภาวะชะลอตัว แถมดอกเบี้ยต่ำแล้วยิ่งทำให้คนแสวงหาผลตอบแทนที่มากขึ้น ไม่สนใจความเสี่ยงเลยว่า เสี่ยงแค่ไหน
หากแนวทางแก้ไขเรื่องนี้คือ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซักที แต่ทว่า ขึ้นไมไ่ด้ เพราะว่า มันมีปัญหาภาคแรงงาน ในกลุ่มของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ และรถยนต์ที่ชะลอตัวอย่างมาก ไม่เพียงแค่นั้น อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วรอการขายอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ คือ ขายให้กับคนจีน แต่ทว่าไม่รับโยนเนื่องจากอะไรก็ไม่ทราบได้ แถมโดนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่อง LVT อีกต่างหาก ถึงแม้นว่าผ่อนผันกับผู้กู้ร่วมแล้วก็ตาม ก็ไม่คึกคักเท่าที่ควร
ตลาดของอสังหาริมทรัพย์นั้น ตัววัดความร้อนแรงคือการขายใบจอง ซึ่งมีการซื้อขายใบจองเริ่มซื้อขายยากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา 1 -2 ปี โครงสร้างเสร็จแล้ว แต่โอนมิได้ เพราะผู้ถือใบจองไม่มีเงิน หาคนซื้อต่อไม่ได้ อีกต่างหาก เลยทำให้ซบเซาอย่างที่เห็น
ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นเป็นช่วงที่ต่อสู้ระหว่าง รถที่ใช้น้ำมันกับรถไฟฟ้า ปลายปี 2561 นั้น รถยนต์กลับมามียอดซื้อขายมากขึ้นในรอบหลายปี แต่ทว่า พอมาปี 2562 ยอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนตอนนี้เริ่มเป็น 0% 5 ปีอีกครั้ง ในบางรุ่น กันแล้ว แสดงว่า อะไรหรือ ตลาด peak แป๊บเดียว ไม่ต่อเนื่อง ที่สำคัญ การปล่อยสินเชื่อรถยนต์นั้น เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ดีๆ ในสถานบันการเงินเจ้าหนึ่งโทรมาหา เสนอสินเชื่อรถยนต์ให้ เราเองก็อึ้งไปเล็กน้อยว่า เอ๋! เราก็ไมไ่ด้เดือดร้อนอะไรนิ แต่โทรมาเฉยเลย แสดงว่าตอนนี้เริ่ม Direct sales สินเชื่อรถยนต์ของรถใช้แล้ว
ส่วนอีกภาพหนึ่ง หากยังจำกันได้ วิกฤติต้มยำกุ้ง นั้นก่อนหน้านั้น คำหวานจากต่างประเทศทั้งหลาย ว่าเศรษฐกิจไทยคือ เสือตัวห้าของเอเชีย ให้ท่องไว้ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา เสมอดีที่สุด คำหวานมัน ทำให้ชะล่าใจ
ดังนั้น รอบนี้หลายต่อหลายท่านเชียร์ให้ลดดอกเบี้ย แต่เราเชียร์ให้ขึ้นดอกเบี้ย แล้วหาทางที่พิมพ์เงินออกมาในระบบเสียบ้าง เพื่อให้ค่าเงินอ่อนลง ไม่ใช่ว่าเพาะบ่มปัญหาจนสุกงอม แล้วลดค่าเงินเหมือนครั้ง 2523 และ 2527-2529 อีกรอบละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 501
IFRS 16 สัญญาเช่า
อันนี้เป็นการปรับปรุง เรื่องของการเช่า ซึ่งเมื่อก่อนปี 2563 (บางบริษัทเริ่มเอามาใช้ปี 2562 ก็มี) นั้น
แยกสัญญาเช่าออกเป็นสองแบบคือเช่าทางการเงินและเช่าดำเนินการ ซึ่ง ของเดิมนั้นเช่าทางการเงินนั้น
คิดค่าเสื่อมและ คิดดอกเบี้ยจ่ายด้วย แต่ทว่าเช่าดำเนินการ คิดเป็นค่าใช้จ่ายลงเป็นค่าเช่าอย่างเดียว (ไม่แยกให้เห็น)
ต่อไปนี้ใช้งาน IFRS16 แล้ว ก็เหลือ ตัวเดียวเท่านั้น คือ สัญญาเช่า ไม่สนใจว่า เช่าทางการเงินหรือเช่าดำเนินการอีกต่อไปแล้ว ไม่พอ เห็นรายการค่าเสื่อมราคาและค่าเช่าพร้อมกัน
ผลกระทบ ต้องแยกก่อนว่า ผลรวมทั้งหมดเท่าเดิม แต่ทว่า ระยะสั้นนั้น กระทบ เหมือนการคิดลดโดยทั่วไป ทำไมเป็นแบบนี้ เพราะว่า มันต้องตีมูลค่าสัญญาเช่าระยะยาวออกมาเป็นมูลค่าปัจจุบันด้วยอัตราคิดลดตัวหนึ่งส่วนใหญ่คือ WACC ที่ใช้งานกัน
แล้วเวลาตัดก็ตัดเป็นสองส่วนคือ ค่าเสื่อมและ ดอกเบี้ย
งานนี้คือ บริษัทใดที่เช่าดำเนินการมากๆ เมื่อก่อนไม่เห็นสินทรัพย์ เห็นแต่รายจ่ายในงบกำไรขาดทุนเท่านั้น ในตอนนี้มันตั้งเป็นสินทรัพย์และ มีค่าเสื่อมราคาด้วย และเมื่ออยู่ในงบกำไรขาดทุน ก็มีเรื่องของค่าเสื่อม และ ดอกเบี้ยที่จ่ายในการเช่าให้เห็นชัดเจน จากนั้น ไม่พอเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ทำให้ ตัว EBITDA และ free cash flow สูงขึ้น จากการมีค่าเสื่อมราคานั้นเอง มันทำให้นักลงทุนเห็นมูลค่าของบริษัทที่เป็น Entreprise value ได้ดีขึ้นนั้นเอง
อีกประการหนึ่งที่เมื่อก่อนนี้ไม่พูดเลย คือ ความสามารถในการหาเงินทดแทนค่าเช่าได้ไหม กิจการทำคุ้มกับค่าเช่าหรือเปล่า มาคราวนี้ได้เห็นเลยว่า กิจการทำธุรกิจคุ้มค่าเช่าสินทรัพย์หรือไม่ เพราะ มีสินทรัพย์ก็มีค่าเสื่อม หากเมื่อวันที่หมดค่าเสื่อมแล้ว ไม่คุ้มค่า ก็ทำให้ส่วนของผู้ถือไม่เพิ่มพูนนั้นเอง
สรุป มันเหมือนเราไปซื้อบ้านด้วยเงินผ่อน ตอนแรกเราส่งไป เงินที่ส่งนั้น ตัดดอกเบี้ยไปก่อน เงินต้นตัดน้อยๆ แต่หลังๆ ดอกเบี้ยน้อยลง ก็ตัดเงินต้นได้มากขึ้น มันก็เหมือนสัญญาเช่าทางการเงินนี้แหละ
งานนี้คงจะมึนไปซักพักแล้วตั้งหลักกันได้ ช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการปรับบัญชีอยู่บ้าง ต้องระวังไว้ด้วยละ
อันนี้เป็นการปรับปรุง เรื่องของการเช่า ซึ่งเมื่อก่อนปี 2563 (บางบริษัทเริ่มเอามาใช้ปี 2562 ก็มี) นั้น
แยกสัญญาเช่าออกเป็นสองแบบคือเช่าทางการเงินและเช่าดำเนินการ ซึ่ง ของเดิมนั้นเช่าทางการเงินนั้น
คิดค่าเสื่อมและ คิดดอกเบี้ยจ่ายด้วย แต่ทว่าเช่าดำเนินการ คิดเป็นค่าใช้จ่ายลงเป็นค่าเช่าอย่างเดียว (ไม่แยกให้เห็น)
ต่อไปนี้ใช้งาน IFRS16 แล้ว ก็เหลือ ตัวเดียวเท่านั้น คือ สัญญาเช่า ไม่สนใจว่า เช่าทางการเงินหรือเช่าดำเนินการอีกต่อไปแล้ว ไม่พอ เห็นรายการค่าเสื่อมราคาและค่าเช่าพร้อมกัน
ผลกระทบ ต้องแยกก่อนว่า ผลรวมทั้งหมดเท่าเดิม แต่ทว่า ระยะสั้นนั้น กระทบ เหมือนการคิดลดโดยทั่วไป ทำไมเป็นแบบนี้ เพราะว่า มันต้องตีมูลค่าสัญญาเช่าระยะยาวออกมาเป็นมูลค่าปัจจุบันด้วยอัตราคิดลดตัวหนึ่งส่วนใหญ่คือ WACC ที่ใช้งานกัน
แล้วเวลาตัดก็ตัดเป็นสองส่วนคือ ค่าเสื่อมและ ดอกเบี้ย
งานนี้คือ บริษัทใดที่เช่าดำเนินการมากๆ เมื่อก่อนไม่เห็นสินทรัพย์ เห็นแต่รายจ่ายในงบกำไรขาดทุนเท่านั้น ในตอนนี้มันตั้งเป็นสินทรัพย์และ มีค่าเสื่อมราคาด้วย และเมื่ออยู่ในงบกำไรขาดทุน ก็มีเรื่องของค่าเสื่อม และ ดอกเบี้ยที่จ่ายในการเช่าให้เห็นชัดเจน จากนั้น ไม่พอเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ทำให้ ตัว EBITDA และ free cash flow สูงขึ้น จากการมีค่าเสื่อมราคานั้นเอง มันทำให้นักลงทุนเห็นมูลค่าของบริษัทที่เป็น Entreprise value ได้ดีขึ้นนั้นเอง
อีกประการหนึ่งที่เมื่อก่อนนี้ไม่พูดเลย คือ ความสามารถในการหาเงินทดแทนค่าเช่าได้ไหม กิจการทำคุ้มกับค่าเช่าหรือเปล่า มาคราวนี้ได้เห็นเลยว่า กิจการทำธุรกิจคุ้มค่าเช่าสินทรัพย์หรือไม่ เพราะ มีสินทรัพย์ก็มีค่าเสื่อม หากเมื่อวันที่หมดค่าเสื่อมแล้ว ไม่คุ้มค่า ก็ทำให้ส่วนของผู้ถือไม่เพิ่มพูนนั้นเอง
สรุป มันเหมือนเราไปซื้อบ้านด้วยเงินผ่อน ตอนแรกเราส่งไป เงินที่ส่งนั้น ตัดดอกเบี้ยไปก่อน เงินต้นตัดน้อยๆ แต่หลังๆ ดอกเบี้ยน้อยลง ก็ตัดเงินต้นได้มากขึ้น มันก็เหมือนสัญญาเช่าทางการเงินนี้แหละ
งานนี้คงจะมึนไปซักพักแล้วตั้งหลักกันได้ ช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการปรับบัญชีอยู่บ้าง ต้องระวังไว้ด้วยละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 502
ปี 2019
ปีแห่งความวุ่นวาย จากขั้วอำนาจหลายขั้ว
ปี 2019 ทีกำลังผ่านพ้นไปนั้น เป็นปีแห่งความวุ่นวายทั่วโลก ต้องใช้คำนี้ เพราะว่าอะไร
จากการที่มหาอำนาจของโลก จากเดิมที่มีเพียง 1 ประเทศ หลังยุคสงครามเย็นมานั้น ตอนนี้เปลี่ยนถ่ายเป็น
หลายขั้วอำนาจ เกิดขึ้น
ทำให้อำนาจเดียว ที่ชี้ไปทั้งโลกได้ กลับกลายเป็นต้องคอยหาสมดุลของอำนาจของแต่ละฝ่ายให้ได้
เครื่องมือที่ใช้งานในคราวนี้มีทั้ง Twitter เป็นอาวุธสำคัญ
ไม่เพียงแค่เรื่องของอำนาจเท่านั้น ยังมีเรื่องสงครามทางการค้าที่มาพร้อมกับการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจต่อไปด้วย
มหาอำนาจยุคเดิมนั้น มีปัญหาเรื่องการเงินการธนาคารมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
แก้ไขโดยการเสกกระดาษให้เป็นเงิน ใช้อำนาจทางทหารหนุนหลังกระดาษเหล่านั้น ผ่านการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร
ให้มีสงครามเป็นหย่อมๆ จุดๆ เป็นประเทศไป ไม่เพียง
แค่เรื่องของสงครามทางการค้า ก็ยังมีเรื่องประท้วงที่เกิดขึ้นหลายแห่งของโลกจากหลายกรณี ไล่ตั้งแต่ เรื่องของชนกลุ่มน้อย เรื่องของกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เรื่องของกองทุนสวัสดิหลังเกษียณ เรื่องของการได้สัญชาติ เรื่องการนับถือศาสนา เป็นต้้น
อินเตอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางในการรวบรวมคนมาประท้วง ก็เลยต้องโดนตัดการใช้งานอินเตอร์เน็ตไปในระหว่างการปราบปรามการประท้วง
ต่อมาจากเรื่องของประท้วง ก็เรื่องของการเลือกตั้ง ในปี 2019 เป็นปีการเลือกตั้งเป็นหย่อมๆ การได้มาของผู้นำของรัฐ ก็ต้องใช้เวลาในการปรับแต่ง ปรับจูนการทำงาน บางรัฐก็ไม่มีงบประมาณใช้งาน ต้องใช้งบประมาณชั่วคราวไปก่อนจนกว่าได้งบประมาณใช้งาน ทำให้เกิดการเร่งจ่ายเงินงบประมาณในภาคหน้า หรือประมูลงาน หลายๆงานติดกันเลย
ส่วนเรื่องสำคัญในปี 2020 นั้นคือ เรื่องของปากท้องของประชาชน อยู่ดี หาก ประชาชนไพร่ฟ้า อยู่ดีกินดี
นั้นหมายถึงประเทศนั้นมีเศรษฐกิจดีนั้นเอง หากปากท้องประชาชนไม่อิ่ม นั้นแหละทำให้สิ่งอื่นๆเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่อไป
ส่วนเรื่องการลงทุนส่วนตัวนั้น ไม่ได้ แย่หรือไม่ได้ดีอะไรมากมาย พอที่หา 1 เท่าตัวได้ จากหุ้นที่ถือไม่นาน และหุ้นที่ถือนานมากแล้ว ปีนี้ ก็มี 2 ตัวที่อยู่ในระดับ 100% หรือใกล้เคียง 100% แต่โดยรวมก็ทรงๆ
ปี 2020 น่าจะฟ้าใหม่แล้ว เพราะว่าหลายคนทักว่าพ้นทุกข์ พ้นโศก แล้ว
ในสว่นด้านสุขภาพ นั้น ปี 2020 อยู่ดีๆ ก็โรคเก่ากำเริบ แต่กำเริบรอบนี้ไม่หักหนาอะไร แค่เดินแล้ว เจ็บที่หัวเข่า หรือมีเสียงดัง ก็ต้องกายภาพกันไป อันนี้ต้องบอกว่า ได้รักษารอบนี้ทำให้รู้ Biz model อันหนึ่งแถมมาด้วย ซึ่งตอนแรกนึกไม่ออกว่า มีด้วยหรือแบบนี้ แต่พอไปใช้บริการแล้ว เอ๋! มันเป็น Biz Model ที่น่าสนใจ ที่เกียวกับวงการแพทย์ แต่น่าเสียดาย ที่ไม่ยอมเข้าตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประทศไทย ใครก็ได้ดันให้เข้ามาที
ในส่วนนี้ ก็สร้างกล้ามเนื้อกันไป อย่างน้อยเห็นผลคือ 3-6 เดือน อาจจะ recover ได้ประมาณ 80-90% เอง ก็ถือว่าดีที่สุด
อันนี้เกิดจากการละเลย ใช้งานแล้วลืมไปออกกำลังในส่วนนี้
ตอนนี้เลย ทำให้ต้องเดินมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายใช้งาน ไม่ค่อยขับรถไปทำงานเท่าไร เพื่อให้เกิดการใช้งานบ้าง ให้รู้ว่ามันมีปัญหาตอนไหนด้วย
อีกเรื่องที่น่าคิด ในปี 2020 นั้น มีนักวิเคราะห์ด้านดวงดาว ทำนายไว้ว่า ปีชวด กลับมาอีกแล้ว จำได้ไหม 2008 ,1996,1984,1972,1960,1948,1936 เป็นเช่นไร นั้นแหละที่เค้าทำนายกัน ลองไปเปิดดูกันเอาเองละกันน่า ในเรื่องพวกนี้
แล้วแต่ใครจะเชื่อละกัน
ปีแห่งความวุ่นวาย จากขั้วอำนาจหลายขั้ว
ปี 2019 ทีกำลังผ่านพ้นไปนั้น เป็นปีแห่งความวุ่นวายทั่วโลก ต้องใช้คำนี้ เพราะว่าอะไร
จากการที่มหาอำนาจของโลก จากเดิมที่มีเพียง 1 ประเทศ หลังยุคสงครามเย็นมานั้น ตอนนี้เปลี่ยนถ่ายเป็น
หลายขั้วอำนาจ เกิดขึ้น
ทำให้อำนาจเดียว ที่ชี้ไปทั้งโลกได้ กลับกลายเป็นต้องคอยหาสมดุลของอำนาจของแต่ละฝ่ายให้ได้
เครื่องมือที่ใช้งานในคราวนี้มีทั้ง Twitter เป็นอาวุธสำคัญ
ไม่เพียงแค่เรื่องของอำนาจเท่านั้น ยังมีเรื่องสงครามทางการค้าที่มาพร้อมกับการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจต่อไปด้วย
มหาอำนาจยุคเดิมนั้น มีปัญหาเรื่องการเงินการธนาคารมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
แก้ไขโดยการเสกกระดาษให้เป็นเงิน ใช้อำนาจทางทหารหนุนหลังกระดาษเหล่านั้น ผ่านการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร
ให้มีสงครามเป็นหย่อมๆ จุดๆ เป็นประเทศไป ไม่เพียง
แค่เรื่องของสงครามทางการค้า ก็ยังมีเรื่องประท้วงที่เกิดขึ้นหลายแห่งของโลกจากหลายกรณี ไล่ตั้งแต่ เรื่องของชนกลุ่มน้อย เรื่องของกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เรื่องของกองทุนสวัสดิหลังเกษียณ เรื่องของการได้สัญชาติ เรื่องการนับถือศาสนา เป็นต้้น
อินเตอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางในการรวบรวมคนมาประท้วง ก็เลยต้องโดนตัดการใช้งานอินเตอร์เน็ตไปในระหว่างการปราบปรามการประท้วง
ต่อมาจากเรื่องของประท้วง ก็เรื่องของการเลือกตั้ง ในปี 2019 เป็นปีการเลือกตั้งเป็นหย่อมๆ การได้มาของผู้นำของรัฐ ก็ต้องใช้เวลาในการปรับแต่ง ปรับจูนการทำงาน บางรัฐก็ไม่มีงบประมาณใช้งาน ต้องใช้งบประมาณชั่วคราวไปก่อนจนกว่าได้งบประมาณใช้งาน ทำให้เกิดการเร่งจ่ายเงินงบประมาณในภาคหน้า หรือประมูลงาน หลายๆงานติดกันเลย
ส่วนเรื่องสำคัญในปี 2020 นั้นคือ เรื่องของปากท้องของประชาชน อยู่ดี หาก ประชาชนไพร่ฟ้า อยู่ดีกินดี
นั้นหมายถึงประเทศนั้นมีเศรษฐกิจดีนั้นเอง หากปากท้องประชาชนไม่อิ่ม นั้นแหละทำให้สิ่งอื่นๆเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่อไป
ส่วนเรื่องการลงทุนส่วนตัวนั้น ไม่ได้ แย่หรือไม่ได้ดีอะไรมากมาย พอที่หา 1 เท่าตัวได้ จากหุ้นที่ถือไม่นาน และหุ้นที่ถือนานมากแล้ว ปีนี้ ก็มี 2 ตัวที่อยู่ในระดับ 100% หรือใกล้เคียง 100% แต่โดยรวมก็ทรงๆ
ปี 2020 น่าจะฟ้าใหม่แล้ว เพราะว่าหลายคนทักว่าพ้นทุกข์ พ้นโศก แล้ว
ในสว่นด้านสุขภาพ นั้น ปี 2020 อยู่ดีๆ ก็โรคเก่ากำเริบ แต่กำเริบรอบนี้ไม่หักหนาอะไร แค่เดินแล้ว เจ็บที่หัวเข่า หรือมีเสียงดัง ก็ต้องกายภาพกันไป อันนี้ต้องบอกว่า ได้รักษารอบนี้ทำให้รู้ Biz model อันหนึ่งแถมมาด้วย ซึ่งตอนแรกนึกไม่ออกว่า มีด้วยหรือแบบนี้ แต่พอไปใช้บริการแล้ว เอ๋! มันเป็น Biz Model ที่น่าสนใจ ที่เกียวกับวงการแพทย์ แต่น่าเสียดาย ที่ไม่ยอมเข้าตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประทศไทย ใครก็ได้ดันให้เข้ามาที
ในส่วนนี้ ก็สร้างกล้ามเนื้อกันไป อย่างน้อยเห็นผลคือ 3-6 เดือน อาจจะ recover ได้ประมาณ 80-90% เอง ก็ถือว่าดีที่สุด
อันนี้เกิดจากการละเลย ใช้งานแล้วลืมไปออกกำลังในส่วนนี้
ตอนนี้เลย ทำให้ต้องเดินมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายใช้งาน ไม่ค่อยขับรถไปทำงานเท่าไร เพื่อให้เกิดการใช้งานบ้าง ให้รู้ว่ามันมีปัญหาตอนไหนด้วย
อีกเรื่องที่น่าคิด ในปี 2020 นั้น มีนักวิเคราะห์ด้านดวงดาว ทำนายไว้ว่า ปีชวด กลับมาอีกแล้ว จำได้ไหม 2008 ,1996,1984,1972,1960,1948,1936 เป็นเช่นไร นั้นแหละที่เค้าทำนายกัน ลองไปเปิดดูกันเอาเองละกันน่า ในเรื่องพวกนี้
แล้วแต่ใครจะเชื่อละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 503
การเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมไอที
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไอที คือแนวคิดการบริหารงานโครงการจากเดิมที่เป็น Water fall model ค่อยทำเป็นขั้นๆเป็นลำดับไป ในปัจจุบันการพัฒนาโครงการเป็น Agile (สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ใช้วิธีการนี้อยู่หลายแห่งแต่ทว่า ...)
Agile นั้นเป็นแนวความคิดในการพัฒนาเท่านั้น เป็นคำกลางในการพัฒนาโครงการนั้นเอง แต่ถ้าหากลงลึกแล้ว
มีแนวทางในการพัฒนาหรือนำไปใช้จริง หลายต่อหลายแนวทาง เช่น Scrum , XP,DSDMAUPScrunBam,Crystal เป็นต้น
แนวทางของ Agile นั้นโครงการที่พัฒนาไม่มีความชัดเจน ตัวโครงการชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป คือ ทำไปแล้วค่อยชัดเจนในแนวทางว่า มันคืออะไร เหมือนเดินในที่มืดที่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นำทางเท่านั้น ไม่เห็นอะไรเลย
แต่ทว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ปัญหามันก็เกิดขึ้นกับการพัฒนาโครงการที่ส่งมอบงานให้ลูกค้า ในจุดนี้เป็นจุดที่โครงการอาจจะล่าช้าหรือล้มเหลวงได้
เพราะว่าสัญญาระบุว่าส่งตาม Water fall model แต่คนปฏิบัตินั้นนำเอาความคิดของ Agile ไปทำงาน ตัวอย่างคือ
ส่งร่าง ,ส่งหน้าตา ,ส่งทั้งหมด แล้วตบท้ายด้วยเอกสาร
แต่ทว่า agile คือ ส่งแบบค่อยๆส่ง อาจจะได้หน้าตา 1-3 แล้วได้การทำงานเพียงเล็กน้อยก่อน จากนั้น ก็ได้เพิ่มขึ้นจนกระทั่งส่งได้ทั้งหมด
งานโครการที่ล่าช้าส่งไม่ได้ คือ อะไร คือ กำหนดการส่งมอบงาน ว่าแต่ละขั้นนั้นส่งอะไร แต่คนทำงานนั้นดังไปใช้งานผิดประเภท เช่นกำหนดว่า ออกแบบหน้าตา เพื่อส่งมอบ แต่ต้องการ Demo ที่ละหน้าพร้อมการทำงาน เลย แถมไม่เพียงแค่นั้น หน้าตาก็ไม่ได้ยืนยัน นอนยัน มาว่าต้องการแบบนั้น แล้ว Demo ตรวจว่าถูกต้องได้อย่างไร เป็นไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน อีกต่างหาก
การตรวจสอบยืนยันการทำงาน ก็ค่อยๆคิดว่า ต้องการอะไร คือ ให้ความต้องการไป ค่อยพัฒนาไป มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำไปข้าหน้ารื้อหลังบ้านกระทบสิ่งที่ยืนยันมาแล้ว รื้อทิ้งใหม่ ก็มันคือ demo ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ยืนยันกันได้
หากเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรม ละกันว่า มีรายการผลิต เพื่อผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง แล้วอยู่ๆ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดขอผลิตภัณฑ์ ไป มันต้อทำอย่างไร บางละ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอันใหม่
เนี่ยแหละ ที่อกว่า การเปลี่ยนถ่ายนี้ปัญหาสำคัญ
ไม่เพียงแค่เรื่องการส่งงานเท่านั้น
เรื่องของ ระยะเวลาพัฒนา,ขนาดของโครงการและจำนวนคนที่ใช้งานนั้นก็มีส่วน
ระยะเวลาพัฒนานั้น สำหรับ Water fall model นั้น นานๆแล้วถ้าหากผิดพลาดก็รู้ช้ากว่า
แต่ agile นั้นเข้า Concept ที่คุ้นหูกันคือ Fail fast (นักการตลาดชอบขายในจุดนี้อย่างมาก โดยเฉพาะ Startup ว่าต้องรีบๆทำให้ fail หรือรู้ข้อผิดพลาดว่าเราทำ fail เพราะอะไร ครั้งหน้าจะไม่ต้องเดินมานี้อีก (ขออภัยน่าครับ บางครั้งกลับไปดูประวัติศาสตร์ หรือถามคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนได้ไหมละ เพราะ มันซ้ำรอยเท้าเดิม หรือใกล้เคียงกัน)
แถมเดียวนี้ ผู้บริหารก็เอาแต่ใจอย่างมากมาย พูดแล้วเราเลย ไม่กี่วันก็เอา แต่ทว่า โครงสร้างภายในขององค์กรไม่ตอบโจทย์ อะไรไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องการ Fail fast แบบนี้มันหมายความว่าอะไรละเนี่ย
ขนาดของโครงการ นั้น สำหรับ Agile นั้น Small is beautiful ตามที่บอกว่าไปว่าค่อยๆชัดเจนดังนั้นความชัดเจนก็เกิดจากค่อนทำชิ้นเล็กๆ เหมือนค่อยๆก่ออิฐสร้างบ้าน ค่อยทำวางอิฐเรียงกันทีละก้อน นั้นเอง
ส่วน Water fall ไม่ต้องบอกอะไรมาก คือ ได้ทุกขนาด แต่ขนาดเล็กก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แต่ขนาดกลางหรือใหญ่ก็เหมาะมาก เพราะกว่าจะเรียกทุกคนมาเข้าประชุมร่วมหัวได้ ก็ยากเหมือนกันน่า กว่าที่ทุกคนเห็นไปในแนวทางเดียวกัน หรือคนส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกันได้ ก็เหนื่อยน่า
ส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ จำนวนคน หรือ mind set ของคนร่วมไปด้วย
เรื่องนี้คือ คนมากก็มากความ เหมาะสำหรับ water fall เลย แต่หาก Small is beautiful คือ Agile คือน้อยคนก็เรื่องน้อยลง จัดการได้ง่ายกว่า ร่วมหัวประเด็นต่างๆก็ได้ง่ายกว่า นั้นเอง
ดังนั้น อย่าหยิบมาใช้งานผิดประเภท ไม่งั้นชิบหาย แน่นอน
หรือีกอย่างคือ ทำงานอยู่ดีๆก็มีงานแทรกมาเรื่อยๆ ต้องการงานด่วน ทำให้เกิด Set up time เพิ่มขึ้นแบบนี้ โรงงานวุ่นวายขนาดไหนละ
เนี่ยแหละสิ่งที่เรียกได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม IT
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไอที คือแนวคิดการบริหารงานโครงการจากเดิมที่เป็น Water fall model ค่อยทำเป็นขั้นๆเป็นลำดับไป ในปัจจุบันการพัฒนาโครงการเป็น Agile (สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ใช้วิธีการนี้อยู่หลายแห่งแต่ทว่า ...)
Agile นั้นเป็นแนวความคิดในการพัฒนาเท่านั้น เป็นคำกลางในการพัฒนาโครงการนั้นเอง แต่ถ้าหากลงลึกแล้ว
มีแนวทางในการพัฒนาหรือนำไปใช้จริง หลายต่อหลายแนวทาง เช่น Scrum , XP,DSDMAUPScrunBam,Crystal เป็นต้น
แนวทางของ Agile นั้นโครงการที่พัฒนาไม่มีความชัดเจน ตัวโครงการชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป คือ ทำไปแล้วค่อยชัดเจนในแนวทางว่า มันคืออะไร เหมือนเดินในที่มืดที่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นำทางเท่านั้น ไม่เห็นอะไรเลย
แต่ทว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ปัญหามันก็เกิดขึ้นกับการพัฒนาโครงการที่ส่งมอบงานให้ลูกค้า ในจุดนี้เป็นจุดที่โครงการอาจจะล่าช้าหรือล้มเหลวงได้
เพราะว่าสัญญาระบุว่าส่งตาม Water fall model แต่คนปฏิบัตินั้นนำเอาความคิดของ Agile ไปทำงาน ตัวอย่างคือ
ส่งร่าง ,ส่งหน้าตา ,ส่งทั้งหมด แล้วตบท้ายด้วยเอกสาร
แต่ทว่า agile คือ ส่งแบบค่อยๆส่ง อาจจะได้หน้าตา 1-3 แล้วได้การทำงานเพียงเล็กน้อยก่อน จากนั้น ก็ได้เพิ่มขึ้นจนกระทั่งส่งได้ทั้งหมด
งานโครการที่ล่าช้าส่งไม่ได้ คือ อะไร คือ กำหนดการส่งมอบงาน ว่าแต่ละขั้นนั้นส่งอะไร แต่คนทำงานนั้นดังไปใช้งานผิดประเภท เช่นกำหนดว่า ออกแบบหน้าตา เพื่อส่งมอบ แต่ต้องการ Demo ที่ละหน้าพร้อมการทำงาน เลย แถมไม่เพียงแค่นั้น หน้าตาก็ไม่ได้ยืนยัน นอนยัน มาว่าต้องการแบบนั้น แล้ว Demo ตรวจว่าถูกต้องได้อย่างไร เป็นไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน อีกต่างหาก
การตรวจสอบยืนยันการทำงาน ก็ค่อยๆคิดว่า ต้องการอะไร คือ ให้ความต้องการไป ค่อยพัฒนาไป มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำไปข้าหน้ารื้อหลังบ้านกระทบสิ่งที่ยืนยันมาแล้ว รื้อทิ้งใหม่ ก็มันคือ demo ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ยืนยันกันได้
หากเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรม ละกันว่า มีรายการผลิต เพื่อผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง แล้วอยู่ๆ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดขอผลิตภัณฑ์ ไป มันต้อทำอย่างไร บางละ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอันใหม่
เนี่ยแหละ ที่อกว่า การเปลี่ยนถ่ายนี้ปัญหาสำคัญ
ไม่เพียงแค่เรื่องการส่งงานเท่านั้น
เรื่องของ ระยะเวลาพัฒนา,ขนาดของโครงการและจำนวนคนที่ใช้งานนั้นก็มีส่วน
ระยะเวลาพัฒนานั้น สำหรับ Water fall model นั้น นานๆแล้วถ้าหากผิดพลาดก็รู้ช้ากว่า
แต่ agile นั้นเข้า Concept ที่คุ้นหูกันคือ Fail fast (นักการตลาดชอบขายในจุดนี้อย่างมาก โดยเฉพาะ Startup ว่าต้องรีบๆทำให้ fail หรือรู้ข้อผิดพลาดว่าเราทำ fail เพราะอะไร ครั้งหน้าจะไม่ต้องเดินมานี้อีก (ขออภัยน่าครับ บางครั้งกลับไปดูประวัติศาสตร์ หรือถามคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนได้ไหมละ เพราะ มันซ้ำรอยเท้าเดิม หรือใกล้เคียงกัน)
แถมเดียวนี้ ผู้บริหารก็เอาแต่ใจอย่างมากมาย พูดแล้วเราเลย ไม่กี่วันก็เอา แต่ทว่า โครงสร้างภายในขององค์กรไม่ตอบโจทย์ อะไรไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องการ Fail fast แบบนี้มันหมายความว่าอะไรละเนี่ย
ขนาดของโครงการ นั้น สำหรับ Agile นั้น Small is beautiful ตามที่บอกว่าไปว่าค่อยๆชัดเจนดังนั้นความชัดเจนก็เกิดจากค่อนทำชิ้นเล็กๆ เหมือนค่อยๆก่ออิฐสร้างบ้าน ค่อยทำวางอิฐเรียงกันทีละก้อน นั้นเอง
ส่วน Water fall ไม่ต้องบอกอะไรมาก คือ ได้ทุกขนาด แต่ขนาดเล็กก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แต่ขนาดกลางหรือใหญ่ก็เหมาะมาก เพราะกว่าจะเรียกทุกคนมาเข้าประชุมร่วมหัวได้ ก็ยากเหมือนกันน่า กว่าที่ทุกคนเห็นไปในแนวทางเดียวกัน หรือคนส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกันได้ ก็เหนื่อยน่า
ส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ จำนวนคน หรือ mind set ของคนร่วมไปด้วย
เรื่องนี้คือ คนมากก็มากความ เหมาะสำหรับ water fall เลย แต่หาก Small is beautiful คือ Agile คือน้อยคนก็เรื่องน้อยลง จัดการได้ง่ายกว่า ร่วมหัวประเด็นต่างๆก็ได้ง่ายกว่า นั้นเอง
ดังนั้น อย่าหยิบมาใช้งานผิดประเภท ไม่งั้นชิบหาย แน่นอน
หรือีกอย่างคือ ทำงานอยู่ดีๆก็มีงานแทรกมาเรื่อยๆ ต้องการงานด่วน ทำให้เกิด Set up time เพิ่มขึ้นแบบนี้ โรงงานวุ่นวายขนาดไหนละ
เนี่ยแหละสิ่งที่เรียกได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม IT
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 504
ป๊อกสามเด้งตั้งแต่ต้นปี 2563
หากใครที่เล่นไพ่ป๊อกเด้งเป็นนั้น หากใครที่ได้เลขตองนั้นถือว่าโชคดีเอามากๆ
มันสอดคล้องกับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ที่ประเทศไทย กำลัเผชิญอยู่คือ
1. งบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้า แม้นว่า การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาแล้วเสร็จแต่มีปัญหาเรื่องไม่อยู่ในหัวประชุมแล้วคะแนนโพล่ได้ ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 (วันนี้)
ซึ่งตอนนี้ทางออกคือ พรก หรือ รอศาลทั้งแก้ไขบางมาตรา หรือ ยกร่างใหม่ทั้งหมด หรือโมฆะ
ในขณะที่งบประมาณไม่ออก ก็ใช้งบประจำไปพรางก่อนคือ ใช้งบประมาณปี 2562 ที่เคยทำไว้ เป็นตัวตั้งจ่ายไปก่อนแต่จ่ายได้แค่ 50% ของที่เคยทำไว้ เป็นสิ่งที่จ่ายได้ แต่งบลงทุนไม่มีให้ใช้งาน นอกจากว่าใช้ยังไม่หมด ก็เบิกจนกว่าจะหมดไป
มาเรื่องที่สองคือ เรื่องของสุขภาพของคนไทย มาทั้ง ฝุ่น PM2.5 (ยังเป็น PM4.0 ไปเลยได้เข้าสมัย แต่อันนี้ยิ่งเล็กยิ่งอันตราย) ,น้ำในเขื่อนมีน้อยเลยทำให้น้ำทะเลหนุนสูงกระทบการผลิตน้ำประปา ประชาชนก็บริโภคน้ำกร่อยแทน
อันนี้ก็เพิ่งออกมาตรามาเป็นชุดมารองรับ ซึ่งเป็นการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า สิ่งที่เป็นต้นเหตุยังไม่ได้แก้ไข คือห้ามเผา คนเผาโดยยิงเป้า (ยิงหนึ่งในเมืองไทยเป็นแบบนี้ ไฟไหม้ที่ไหน ใครเป็นต้นเหตุโดนยิงเป้า) ก่อสร้างก็ต้องล้างขี้ดิน ที่หน้า Site (ก่อสร้างไม่ติดกล้องวงจรปิดไว้ที่หน้้า Site เลยว่า รถบรรทุกดินคันไหนที่ยังไม่ล้างเท้าก่อนออกจาก site ทำให้หมด
แล้วก็ไม่พอ ควันดำอันนี้ทำอยู่แล้ว แต่ทำให้มันสม่ำเสมอหน่อยละกัน แล้วอีกประการคือน้ำมัน เป็น ไฟฟ้า อันนี้ติดปัญหาว่า ราคายังแพงอยู่ แล้ว จุดชาร์จยังน้อยอยู่ เส้นทางหลักยังไม่ค่อยมี เพราะชาร์จแล้ว คนขับทำอะไร ระหว่างชาร์จ นอนรอ นั่งเล่นรอ หรือทำอะไรก็ต้องคิดว่ามีกิจกรรมทำอะไร หรือ เปลี่ยนแบตแบบมือถือรุ่นก่อนเลย ว่าหมดที่ถอดแบตมาชาร์จแล้วเอาเครื่องไปเสียบกับแบตสำรองใช้งานต่อไป (เหมือนแมงกะไซด์ของไต้หวัน)
เรื่องที่สาม อันนี้ การแพร่กระจายของไวรัสอู่ฮั่น อันนี้กระทบเต็มคือ การท่องเที่ยว ไล่ตั้งแต่จำนวนเที่ยวบินที่ลดลง จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง รายได้เข้าประเทศลดลง อ่านเพิ่มเติมได้ตามสำนักวิเคราะห์ละกัน ไม่บรรยายอะไรมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมกันไปคือ มาตราการจัดการกับการส่งสิ่งค้า ว่าหยุดชะงักแค่ไหน หากหยุดนานเหมือนน้ำท่วมกรุงเทพ Supplier chain มีผลแน่นอน วันนี้ยังไม่เท่าไร เดี๋ยวพอเป็นเดือนๆ งานจะเข้ากัน
แค่การขยายการปิดตรุษจีนก็มีผลกับการจัดการสินค้าประมาณหนึ่งเลย
ตอนนี้เรียกได้ว่า เครื่องยนต์ของไทย นั้นเดินเครื่องเบามาก แต่ยังดีที่ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
คือเอาดอลล่าร์มาแลกเงินบาทได้มากขึ้น จากเดิมทะลุ 30 บาทต่อ 1 ดอลลล่าร์ตอนนี้ ใกล้จะ 31 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์แล้ว
อันนี้อาจจะทำให้การส่งออกขอไทยดีขึ้นก็เป็นไปได้
ดังนั้น ก็ต้องติดตามกันใกล้ชิดว่า ปีนี้จะมีออกอีกไหม หลังจากนี้ ได้แต่ภาวนาว่า แค่นี้ก็จะแย่แล้ว
แต่ในความแย่ก็มีความโชคดีเสมอ ค้นหาให้เจอละกัน โอกาสอยู่ที่จีน
หากใครที่เล่นไพ่ป๊อกเด้งเป็นนั้น หากใครที่ได้เลขตองนั้นถือว่าโชคดีเอามากๆ
มันสอดคล้องกับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ที่ประเทศไทย กำลัเผชิญอยู่คือ
1. งบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้า แม้นว่า การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาแล้วเสร็จแต่มีปัญหาเรื่องไม่อยู่ในหัวประชุมแล้วคะแนนโพล่ได้ ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 (วันนี้)
ซึ่งตอนนี้ทางออกคือ พรก หรือ รอศาลทั้งแก้ไขบางมาตรา หรือ ยกร่างใหม่ทั้งหมด หรือโมฆะ
ในขณะที่งบประมาณไม่ออก ก็ใช้งบประจำไปพรางก่อนคือ ใช้งบประมาณปี 2562 ที่เคยทำไว้ เป็นตัวตั้งจ่ายไปก่อนแต่จ่ายได้แค่ 50% ของที่เคยทำไว้ เป็นสิ่งที่จ่ายได้ แต่งบลงทุนไม่มีให้ใช้งาน นอกจากว่าใช้ยังไม่หมด ก็เบิกจนกว่าจะหมดไป
มาเรื่องที่สองคือ เรื่องของสุขภาพของคนไทย มาทั้ง ฝุ่น PM2.5 (ยังเป็น PM4.0 ไปเลยได้เข้าสมัย แต่อันนี้ยิ่งเล็กยิ่งอันตราย) ,น้ำในเขื่อนมีน้อยเลยทำให้น้ำทะเลหนุนสูงกระทบการผลิตน้ำประปา ประชาชนก็บริโภคน้ำกร่อยแทน
อันนี้ก็เพิ่งออกมาตรามาเป็นชุดมารองรับ ซึ่งเป็นการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า สิ่งที่เป็นต้นเหตุยังไม่ได้แก้ไข คือห้ามเผา คนเผาโดยยิงเป้า (ยิงหนึ่งในเมืองไทยเป็นแบบนี้ ไฟไหม้ที่ไหน ใครเป็นต้นเหตุโดนยิงเป้า) ก่อสร้างก็ต้องล้างขี้ดิน ที่หน้า Site (ก่อสร้างไม่ติดกล้องวงจรปิดไว้ที่หน้้า Site เลยว่า รถบรรทุกดินคันไหนที่ยังไม่ล้างเท้าก่อนออกจาก site ทำให้หมด
แล้วก็ไม่พอ ควันดำอันนี้ทำอยู่แล้ว แต่ทำให้มันสม่ำเสมอหน่อยละกัน แล้วอีกประการคือน้ำมัน เป็น ไฟฟ้า อันนี้ติดปัญหาว่า ราคายังแพงอยู่ แล้ว จุดชาร์จยังน้อยอยู่ เส้นทางหลักยังไม่ค่อยมี เพราะชาร์จแล้ว คนขับทำอะไร ระหว่างชาร์จ นอนรอ นั่งเล่นรอ หรือทำอะไรก็ต้องคิดว่ามีกิจกรรมทำอะไร หรือ เปลี่ยนแบตแบบมือถือรุ่นก่อนเลย ว่าหมดที่ถอดแบตมาชาร์จแล้วเอาเครื่องไปเสียบกับแบตสำรองใช้งานต่อไป (เหมือนแมงกะไซด์ของไต้หวัน)
เรื่องที่สาม อันนี้ การแพร่กระจายของไวรัสอู่ฮั่น อันนี้กระทบเต็มคือ การท่องเที่ยว ไล่ตั้งแต่จำนวนเที่ยวบินที่ลดลง จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง รายได้เข้าประเทศลดลง อ่านเพิ่มเติมได้ตามสำนักวิเคราะห์ละกัน ไม่บรรยายอะไรมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมกันไปคือ มาตราการจัดการกับการส่งสิ่งค้า ว่าหยุดชะงักแค่ไหน หากหยุดนานเหมือนน้ำท่วมกรุงเทพ Supplier chain มีผลแน่นอน วันนี้ยังไม่เท่าไร เดี๋ยวพอเป็นเดือนๆ งานจะเข้ากัน
แค่การขยายการปิดตรุษจีนก็มีผลกับการจัดการสินค้าประมาณหนึ่งเลย
ตอนนี้เรียกได้ว่า เครื่องยนต์ของไทย นั้นเดินเครื่องเบามาก แต่ยังดีที่ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
คือเอาดอลล่าร์มาแลกเงินบาทได้มากขึ้น จากเดิมทะลุ 30 บาทต่อ 1 ดอลลล่าร์ตอนนี้ ใกล้จะ 31 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์แล้ว
อันนี้อาจจะทำให้การส่งออกขอไทยดีขึ้นก็เป็นไปได้
ดังนั้น ก็ต้องติดตามกันใกล้ชิดว่า ปีนี้จะมีออกอีกไหม หลังจากนี้ ได้แต่ภาวนาว่า แค่นี้ก็จะแย่แล้ว
แต่ในความแย่ก็มีความโชคดีเสมอ ค้นหาให้เจอละกัน โอกาสอยู่ที่จีน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 505
เงียบเป็นเป่าสาก
ตั้งแต่เข้าสู่ปี 2020 หรือ 2563 (ยังไม่เป็นปีใหม่ของไทย แต่ผ่านปีใหม่สากลและปีใหม่ของจีนไปแล้ว)
ตั้งแต่เดือน มกราคม 2563 เป็นต้นมานั้น เหตุการณ์ต่างๆ นั้นทวีความผันผวนให้แก่ตลาดการลงทุน และตลาดการเงินทั่วโลกอย่างมากมาย
ตั้งแต่เหตุการณ์ ด้านสงครามที่เรียกได้ว่า เกือบจะเป็นสงครามเต็มรูปแบบของ สหรัฐและอิหร่าน แต่ดีที่สหรัฐยอมอ่อนข้อให้ โดยรัฐสภานั้น
ค้านอำนาจไว้ ไม่งั้นคงจะเป็นเรื่องใหม่ไปแล้ว
ต่อมาคือ เรื่องของการพิจารณางบประมาณ ปี 2563 ที่น่าจะผ่านและประกาศใช้ได้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นั้น โดนโรคเลื่อนแบบว่า แพ้ภัยของตัวเอง
นั้นคือการเสียบบัตรแทนกัน จนต้องให้ศาลรัฐธรรมวินิจฉัยว่า ทำอย่างไร ผลคือ พิจารณาวาระ 2 และ 3 ในสภาผู้แทนราษฏรใหม่ และ ส่งเรื่องต่อให้วุฒิสภา
ลงมติต่อ ตอนนี้ถือว่า น่าจะได้ใช้งบประมาณหลังจากที่ประกาศลงในราชกิจจานุเษกษาไว้ โดยการดำเนินการตามขั้นตอนก็ไม่พ้นเดือน มีนาคม 2563 หากไม่มี
อุบัตเหตุทางเทคนิคอื่นๆเกิดขึ้นอีก
สิ่งที่ล่าช้าไป นั้นคือ การใช้งานประมาณเหลือเวลาประมาณ 9 เดือน ในการใช้ แต่ทว่า มันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือ เหตุการณ์ไวรัส Covic 19 เกิดขึ้น
มันกระทบต่อภาคท่องเที่ยวและภาคส่งออก อย่างรุนแรง ชนิดที่เรียกได้ว่า ทรุดแบบตึกถล่มลงมากองกับพื้นเลยทีเดียว สำหรับภาคท่องเที่ยวนั้น
ทั้งด้าน ธนาคาร และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมารับมืออย่างดีเยี่ยม ตั้งรับอย่างดี แต่ทว่าภาคส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีปัญหาเรื่อง ภัยแล้งไม่พอ
(ภัยแล้งทำให้ ผลผลิตออกมาน้อย ) ยังโดนซ้ำเติมในเรื่องของ การส่งออกที่ไม่สามารถส่งออกไปยังเมืองจีนได้ เพราะ การหยุดงานติดต่อกัน ในช่วงตรุษจีนก็ดี
หรือการปิดเมืองก็ดี หรือ การส่งออกหยุดชะงักจากการที่คลังสินค้าไม่สามารถดำเนินการได้นั้น ทำให้ ความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว คราวนี้คนไทยได้ทาน
ผลไม้ราคาถูกลง เพราะ ความต้องการที่ลดลงนั้นเอง แต่ในทางกลับกันคือ ในเมื่อส่งออกก็มีปัญหาไปด้วย โดยเฉพาะภาคเกษตรที่เป็นเครื่องจักรในการสร้างรายได้
ประมาณ 10-15% ของ GDP แต่เลี้ยงคนประมาณ 1/4 ของประเทศ งานนี้เลยทำให้ กระทบหนักมาก ในแง่ของคนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง ณ ตอนนี้ยังไม่มี หน่วยงานไหน
ออกมาเป็นเจ้าภาพเหมือนการท่องเที่ยวที่รับไปดำเนินการแล้ว
งานนี้ซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์กราดยิง ที่โคราช ที่เหมือนประชาชนเดินห้างกันน้อยลด จากไวรัส covic19 และโรคทรัพย์จางในหมู่ประชาชนทั่วไป
ทำให้เกิดภาวะบีบคั้นต่อไปว่า รัฐ จะเร่งให้จัดทำงบประมาณกลางปี เพื่อเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากงบประมาณปกติที่เพิ่งผ่านสภาไป
อย่างรวดเร็วหรือไม่
ไม่เพียงแค่นั้น การยุบตัวของเศรษฐกิจรอบนี้ เป็นรอบที่ย้อนกลับไป ถึงปี 2557 ทีเดียว เกือบ 6 ปีมาแล้วที่ไม่มีการยุบตัวของเศรษฐกิจ มาเลย
เครื่องมือที่ภาครัฐใช้ ณ ตอนนี้คือ กระตุ้นผ่านการจัดอบรมให้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เหมือนครั้นที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ไม่เพียงแค่นั้น
ขยายเวลาในการยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาไปสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2563 ,ลดดอกเบี้ยจากคณะกรรมการ กนง. ลดเหลือ 1.00% ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
ดังนั้นต้องรอดูว่า ความเงียบครั้งนี้ผ่านไปเมื่อไร มันจะเหมือนสายลมที่พัดผ่านตัวหรือไม่ ต้องรอดูต่อไป
ตั้งแต่เข้าสู่ปี 2020 หรือ 2563 (ยังไม่เป็นปีใหม่ของไทย แต่ผ่านปีใหม่สากลและปีใหม่ของจีนไปแล้ว)
ตั้งแต่เดือน มกราคม 2563 เป็นต้นมานั้น เหตุการณ์ต่างๆ นั้นทวีความผันผวนให้แก่ตลาดการลงทุน และตลาดการเงินทั่วโลกอย่างมากมาย
ตั้งแต่เหตุการณ์ ด้านสงครามที่เรียกได้ว่า เกือบจะเป็นสงครามเต็มรูปแบบของ สหรัฐและอิหร่าน แต่ดีที่สหรัฐยอมอ่อนข้อให้ โดยรัฐสภานั้น
ค้านอำนาจไว้ ไม่งั้นคงจะเป็นเรื่องใหม่ไปแล้ว
ต่อมาคือ เรื่องของการพิจารณางบประมาณ ปี 2563 ที่น่าจะผ่านและประกาศใช้ได้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นั้น โดนโรคเลื่อนแบบว่า แพ้ภัยของตัวเอง
นั้นคือการเสียบบัตรแทนกัน จนต้องให้ศาลรัฐธรรมวินิจฉัยว่า ทำอย่างไร ผลคือ พิจารณาวาระ 2 และ 3 ในสภาผู้แทนราษฏรใหม่ และ ส่งเรื่องต่อให้วุฒิสภา
ลงมติต่อ ตอนนี้ถือว่า น่าจะได้ใช้งบประมาณหลังจากที่ประกาศลงในราชกิจจานุเษกษาไว้ โดยการดำเนินการตามขั้นตอนก็ไม่พ้นเดือน มีนาคม 2563 หากไม่มี
อุบัตเหตุทางเทคนิคอื่นๆเกิดขึ้นอีก
สิ่งที่ล่าช้าไป นั้นคือ การใช้งานประมาณเหลือเวลาประมาณ 9 เดือน ในการใช้ แต่ทว่า มันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือ เหตุการณ์ไวรัส Covic 19 เกิดขึ้น
มันกระทบต่อภาคท่องเที่ยวและภาคส่งออก อย่างรุนแรง ชนิดที่เรียกได้ว่า ทรุดแบบตึกถล่มลงมากองกับพื้นเลยทีเดียว สำหรับภาคท่องเที่ยวนั้น
ทั้งด้าน ธนาคาร และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมารับมืออย่างดีเยี่ยม ตั้งรับอย่างดี แต่ทว่าภาคส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีปัญหาเรื่อง ภัยแล้งไม่พอ
(ภัยแล้งทำให้ ผลผลิตออกมาน้อย ) ยังโดนซ้ำเติมในเรื่องของ การส่งออกที่ไม่สามารถส่งออกไปยังเมืองจีนได้ เพราะ การหยุดงานติดต่อกัน ในช่วงตรุษจีนก็ดี
หรือการปิดเมืองก็ดี หรือ การส่งออกหยุดชะงักจากการที่คลังสินค้าไม่สามารถดำเนินการได้นั้น ทำให้ ความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว คราวนี้คนไทยได้ทาน
ผลไม้ราคาถูกลง เพราะ ความต้องการที่ลดลงนั้นเอง แต่ในทางกลับกันคือ ในเมื่อส่งออกก็มีปัญหาไปด้วย โดยเฉพาะภาคเกษตรที่เป็นเครื่องจักรในการสร้างรายได้
ประมาณ 10-15% ของ GDP แต่เลี้ยงคนประมาณ 1/4 ของประเทศ งานนี้เลยทำให้ กระทบหนักมาก ในแง่ของคนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง ณ ตอนนี้ยังไม่มี หน่วยงานไหน
ออกมาเป็นเจ้าภาพเหมือนการท่องเที่ยวที่รับไปดำเนินการแล้ว
งานนี้ซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์กราดยิง ที่โคราช ที่เหมือนประชาชนเดินห้างกันน้อยลด จากไวรัส covic19 และโรคทรัพย์จางในหมู่ประชาชนทั่วไป
ทำให้เกิดภาวะบีบคั้นต่อไปว่า รัฐ จะเร่งให้จัดทำงบประมาณกลางปี เพื่อเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากงบประมาณปกติที่เพิ่งผ่านสภาไป
อย่างรวดเร็วหรือไม่
ไม่เพียงแค่นั้น การยุบตัวของเศรษฐกิจรอบนี้ เป็นรอบที่ย้อนกลับไป ถึงปี 2557 ทีเดียว เกือบ 6 ปีมาแล้วที่ไม่มีการยุบตัวของเศรษฐกิจ มาเลย
เครื่องมือที่ภาครัฐใช้ ณ ตอนนี้คือ กระตุ้นผ่านการจัดอบรมให้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เหมือนครั้นที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ไม่เพียงแค่นั้น
ขยายเวลาในการยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาไปสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2563 ,ลดดอกเบี้ยจากคณะกรรมการ กนง. ลดเหลือ 1.00% ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
ดังนั้นต้องรอดูว่า ความเงียบครั้งนี้ผ่านไปเมื่อไร มันจะเหมือนสายลมที่พัดผ่านตัวหรือไม่ ต้องรอดูต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 506
Exit strategy
ตอนนี้ได้เกิดปรากฏการณ์อันสำคัญคือ ประชาชนมุ่งไปที่โชว์รูมรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ที่เป็นค่ายตะวันตก
ซึ่งประกาศข่าวว่าเลิกผลิตพวงมาลัยขวา โดยถล่มราคารถยนต์ที่อยู่ในสต๊อก 50% ในบางรุ่น
ทำให้ประชาชนแห่ไปจับจองรถรุ่นดังกล่าว แน่นโชว์รูมเลยทีเดียว เรียกได้ว่า ออกข่าวสารว่า จราจรติดขัดไปยังถนน
ให้หลีกเลี่ยงเลยทีเดียว
เนี่ยคือ Exit Strategy อย่างหนึ่ง คือ การเทกระจาดสินค้าที่อยู่ใน Stock ขายออกไป เพื่อให้ได้เงินสด แล้วเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ขายทุกอย่างให้คนอื่นเค้าทำต่อ เหมือนร้านค้าที่เลิกกิจการ หรือ การย้ายชั้นภายในห้างก็เหมือนกัน ไม่ต้องการขนของ ก็ขายของทิ้งแบบลดกระหน่ำ summer sales นั้นเอง เรียกได้ว่า ลดค่าขนย้ายลง และร้านใหม่ไม่ต้องใหญ่กว่าเดิมก็ได้
สำหรับกลยุทธ์การออกจากตลาดนั้น สามารถเป็นตัวประเมินว่าธุรกิจนั้นคู่แข่งเข้ามายากหรือง่าย จากจุดนี้ก็ได้ ดังนั้น
บางที่เห็นข่าวบางครั้งไม่สำคัญ แต่คิดไปคิดมา เอ๋! มันก็ความรู้ที่มีค่าเลยว่า คนที่ออกจากธุรกิจอย่างหนึ่งทำกันอย่างไร หนอ แล้วทำเพื่ออะไร หนอ แล้วคู่แข่งควรปรับตัวเช่นไร ในเมื่อ คู่แข่งลดราคาแบบนี้ แล้วรถค่ายตัวเองขายไม่ออก เห็นแล้วตาปริบๆ ว่า คนที่ออกได้ยอดแบบถล่มทลาย ก็เอาไปบอกว่า ตอนนั้นที่เราออกไปยอดขายทั้งหมดเท่าไร ได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ว่ากันไป หรือ ปีสุดท้ายของเรายอดเท่าไร ตลาดยังดีอยู่ ก็ว่ากัน
พวกนี้คือ กลยุทธ์การออกตลาด แถมไม่พอ อาจจะใช้เป็น โฆษณาให้แก่สินค้าตัวใหม่ได้อีกทางหนึ่งด้วย เมื่อเก่าไปใหม่ก็มานั้นเอง
ทุกอย่างจบลงด้วย ไม่มีอะไร แน่นอน ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นละ
ตอนนี้ได้เกิดปรากฏการณ์อันสำคัญคือ ประชาชนมุ่งไปที่โชว์รูมรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ที่เป็นค่ายตะวันตก
ซึ่งประกาศข่าวว่าเลิกผลิตพวงมาลัยขวา โดยถล่มราคารถยนต์ที่อยู่ในสต๊อก 50% ในบางรุ่น
ทำให้ประชาชนแห่ไปจับจองรถรุ่นดังกล่าว แน่นโชว์รูมเลยทีเดียว เรียกได้ว่า ออกข่าวสารว่า จราจรติดขัดไปยังถนน
ให้หลีกเลี่ยงเลยทีเดียว
เนี่ยคือ Exit Strategy อย่างหนึ่ง คือ การเทกระจาดสินค้าที่อยู่ใน Stock ขายออกไป เพื่อให้ได้เงินสด แล้วเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ขายทุกอย่างให้คนอื่นเค้าทำต่อ เหมือนร้านค้าที่เลิกกิจการ หรือ การย้ายชั้นภายในห้างก็เหมือนกัน ไม่ต้องการขนของ ก็ขายของทิ้งแบบลดกระหน่ำ summer sales นั้นเอง เรียกได้ว่า ลดค่าขนย้ายลง และร้านใหม่ไม่ต้องใหญ่กว่าเดิมก็ได้
สำหรับกลยุทธ์การออกจากตลาดนั้น สามารถเป็นตัวประเมินว่าธุรกิจนั้นคู่แข่งเข้ามายากหรือง่าย จากจุดนี้ก็ได้ ดังนั้น
บางที่เห็นข่าวบางครั้งไม่สำคัญ แต่คิดไปคิดมา เอ๋! มันก็ความรู้ที่มีค่าเลยว่า คนที่ออกจากธุรกิจอย่างหนึ่งทำกันอย่างไร หนอ แล้วทำเพื่ออะไร หนอ แล้วคู่แข่งควรปรับตัวเช่นไร ในเมื่อ คู่แข่งลดราคาแบบนี้ แล้วรถค่ายตัวเองขายไม่ออก เห็นแล้วตาปริบๆ ว่า คนที่ออกได้ยอดแบบถล่มทลาย ก็เอาไปบอกว่า ตอนนั้นที่เราออกไปยอดขายทั้งหมดเท่าไร ได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ว่ากันไป หรือ ปีสุดท้ายของเรายอดเท่าไร ตลาดยังดีอยู่ ก็ว่ากัน
พวกนี้คือ กลยุทธ์การออกตลาด แถมไม่พอ อาจจะใช้เป็น โฆษณาให้แก่สินค้าตัวใหม่ได้อีกทางหนึ่งด้วย เมื่อเก่าไปใหม่ก็มานั้นเอง
ทุกอย่างจบลงด้วย ไม่มีอะไร แน่นอน ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 507
Trend ที่มาพร้อมกับ ไวรัสโควิค 19
1. การจัดการ Crisis management ของ Smart city ในส่วนของการรับมือ disaster
2. การขนส่งที่เป็น automation และการจัดการฆ่าเชื้อ
3. การขัดการเรื่องประชุมทางไกล หรือ VDO conference แต่ยังไม่เห็นเรื่อง AGM ที่ใช้บน Platform ออกมายืนยันตัวตนว่าเข้าประชุมด้วย
4. การทำงานที่บ้าน ระหว่างโดยกักตัว 14 วัน
5. การออกกำลังกายที่อยู่ที่บ้าน ในช่วงกักตัว 14 วัน
6. ประกันสุขภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิค 19
7. การผลิตที่พึ่งพาตัวเองสำหรับส่วนป้องกันคือหน้ากากอนามัย ถุงมือยาง และ ชุดป้องกัน
8. Chain +1 แต่ +1 คือ ประเทศไหนละ แล้วต้องจัดการขนส่งใหม่ด้วย
สิ่งที่กระทบตอนนี้คือ
1. การเดินทางที่น้อยลง
2. การสร้างความเกลียดชังระหว่างประเทศ
1. การจัดการ Crisis management ของ Smart city ในส่วนของการรับมือ disaster
2. การขนส่งที่เป็น automation และการจัดการฆ่าเชื้อ
3. การขัดการเรื่องประชุมทางไกล หรือ VDO conference แต่ยังไม่เห็นเรื่อง AGM ที่ใช้บน Platform ออกมายืนยันตัวตนว่าเข้าประชุมด้วย
4. การทำงานที่บ้าน ระหว่างโดยกักตัว 14 วัน
5. การออกกำลังกายที่อยู่ที่บ้าน ในช่วงกักตัว 14 วัน
6. ประกันสุขภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิค 19
7. การผลิตที่พึ่งพาตัวเองสำหรับส่วนป้องกันคือหน้ากากอนามัย ถุงมือยาง และ ชุดป้องกัน
8. Chain +1 แต่ +1 คือ ประเทศไหนละ แล้วต้องจัดการขนส่งใหม่ด้วย
สิ่งที่กระทบตอนนี้คือ
1. การเดินทางที่น้อยลง
2. การสร้างความเกลียดชังระหว่างประเทศ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 508
การ์ตูน "ต้องรอด"
เขียนโดยทาคาโอะ ไซโต ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2520
พิมพ์ในยุคก่อนระบบลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเคยนำมาแปลและตีพิมพ์รวมเล่มในชื่อเรื่อง ผู้รอดตาย
ต่อมาฉบับลิขสิทธิ์ทางสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจพิมพ์ในชื่อต้อง ต้องรอด โดยตีพิมพ์มีความยาวทั้งสิ้น 28 เล่มจบ และ 16 เล่มจบ แถมมีเล่มพิเศษ 1 เล่ม
ในปัจจุบันบริษัทสยามอินเตอร์มัลติมีเดีย ได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การตีพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทย ต่อจากสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ โดยตีพิมพ์ทั้งสิ้น 18 เล่มจบ และเล่มพิเศษด้วย
เรื่องหาเกี่ยวกับ ซาโตรุไป เที่ยวถ้ำจากนั้นเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้เมืองทุกแห่งล่มสลาย คนตายจำนวนมาก น้ำท่วมเมืองสำคัญ ซาโตรุเดินทางเพื่อกลับบ้าน มาหาครอบครัวที่รัก ระหว่างทางก็ได้ พจญภัยเจอ สัตว์ป่า โรคภัยไข้เจ็บ การหาทางรอดในเหตุการณ์ต่่างๆ ที่เข้ามา แต่สุดท้ายจบด้วย คำถามว่า ซาโตรุไปเจอครอบครัวแล้วหรือเปล่า
เขียนโดยทาคาโอะ ไซโต ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2520
พิมพ์ในยุคก่อนระบบลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเคยนำมาแปลและตีพิมพ์รวมเล่มในชื่อเรื่อง ผู้รอดตาย
ต่อมาฉบับลิขสิทธิ์ทางสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจพิมพ์ในชื่อต้อง ต้องรอด โดยตีพิมพ์มีความยาวทั้งสิ้น 28 เล่มจบ และ 16 เล่มจบ แถมมีเล่มพิเศษ 1 เล่ม
ในปัจจุบันบริษัทสยามอินเตอร์มัลติมีเดีย ได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การตีพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทย ต่อจากสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ โดยตีพิมพ์ทั้งสิ้น 18 เล่มจบ และเล่มพิเศษด้วย
เรื่องหาเกี่ยวกับ ซาโตรุไป เที่ยวถ้ำจากนั้นเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้เมืองทุกแห่งล่มสลาย คนตายจำนวนมาก น้ำท่วมเมืองสำคัญ ซาโตรุเดินทางเพื่อกลับบ้าน มาหาครอบครัวที่รัก ระหว่างทางก็ได้ พจญภัยเจอ สัตว์ป่า โรคภัยไข้เจ็บ การหาทางรอดในเหตุการณ์ต่่างๆ ที่เข้ามา แต่สุดท้ายจบด้วย คำถามว่า ซาโตรุไปเจอครอบครัวแล้วหรือเปล่า
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 509
ขออนุญาตครับ พอดีผมกำลังทำบล็อกเกี่ยวกับการลงทุน
ชื่อเว็บ investingchoices.in.th ครับ
ตอนนี้อยากทำบทความวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นแต่ละตัวว่าสามารถถือยาวได้หรือไม่ครับ แยกเป็นรายตัวไปสำหรับหุ้นตัวใหญ่ๆครับ
หากพี่ๆท่านใด ได้เคยเขียนหรือสามารถเขียนวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นแต่ละได้ และมีความสนใจอยากหางานพิเศษทำเป็นงานอดิเรก รบกวนติดต่อได้ที่ อีเมลล์ [email protected] ยินดีและมีค่าใช้จ่ายให้ในการเสียเวลาครับ ขอบคุณครับ
เว็บผมถ้าเสิร์สกูเกิ้ลคำว่า ลงทุนอะไรดี ก็จะอยู่หน้าแรกเลยครับ
ชื่อเว็บ investingchoices.in.th ครับ
ตอนนี้อยากทำบทความวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นแต่ละตัวว่าสามารถถือยาวได้หรือไม่ครับ แยกเป็นรายตัวไปสำหรับหุ้นตัวใหญ่ๆครับ
หากพี่ๆท่านใด ได้เคยเขียนหรือสามารถเขียนวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นแต่ละได้ และมีความสนใจอยากหางานพิเศษทำเป็นงานอดิเรก รบกวนติดต่อได้ที่ อีเมลล์ [email protected] ยินดีและมีค่าใช้จ่ายให้ในการเสียเวลาครับ ขอบคุณครับ
เว็บผมถ้าเสิร์สกูเกิ้ลคำว่า ลงทุนอะไรดี ก็จะอยู่หน้าแรกเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 510
Change to New Normal from SAR-COV-2 (Covic-19)
ตอนนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงโดนบังคับ จาก โควิค-19
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เคยชินมา คือ ค่อยเปลี่ยนแปลง ทีละเล็กทีละน้อย
แต่ครั้งนี้ เรียกได้ว่า ถอนรากถอนโค่น จากเดิมทีเดียว
ตอนนี้สิ่งที่เรียกว่าโดนถอนรากถอนโค่น คือการทำงาน จากเดิมที่ต้องเดินทางไปที่ทำงาน
แต่เปลี่ยนแปลงไปเป็นการทำงานที่บ้าน ทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือ
1. การเข้าถึง infrastructure ของ บริษัทที่พร้อมให้เข้าถึงจากบ้าน ซึ่งมาพร้อมกับ Policy การป้องกันข้อมูล
บริษัท IT ใหญ่ที่ US มีปัญหา ว่า การป้องกันดี คือ สามารถ เข้าถึงได้ที่ทำงานเท่านั้น ทำให้โดนปรับปรุง และปรับเปลี่ยน
ให้สามารถยืดหยุ่นได้
2. การทำงานที่ทำงานที่บ้าน ไม่ใช่วันหยุด
3. วัดสิ่งที่บริษัท พูดๆกันว่า พนักงานสำคัญที่สุดวัดกันตอนนี้แหละ ว่าบริษัทห่วงใยพนักงานแค่ไหน
เพราะทุกครั้งที่พนักงานออกจากบ้านคือควมเสี่ยงที่ติด โดยเฉพาะคนที่ใช้ขนส่งสาธารณะ
นอกจากคนที่ต้องไปทำงานจริง อาจจะต้องส่งรถไปรับถึงที่หรือเปล่า หรือต้องขับรถไปเอง ที่จอดก็ต้องฟรี
คือไม่ต้องเสียเงิน ทุกที่ เพราะมันว่างไม่มีความแออัด
4. การประชุมที่มากมายมหาศาล เอาเวลาไปประชุมไม่ได้ทำงาน คราวนี้แหละ ประชุมน้อยลง และทำงานมากขึ้น
5. การปรับปรุง Business process ที่ Base on paper base เป็นหลัก ซึ่งมีปัญหาที่กฏหมายที่ไม่รองรับ
แต่อย่างไรเสีย เมื่อกฏหมายไม่รองรับ ก็เดี๋ยวโดนปรับเอง จากกระแสของสังคมที่มีปัญหา (เมืองไทยต้องเกิดปัญหาก่อน
ถึงปรับเปลี่ยนได้)
ครั้งนี้เป็นครั้งที่บอกได้ว่า สงครามใหญ่ของไทย หรือ ของทั้งโลกตั้แต่ 1920 เป็นต้นมา ที่เป็นโรคไข้หวัดสเปน เป็นต้นมา
มันไม่ใช่สงครามที่เอาทหารรบกัน แต่ทว่า เป็นสงครามเชื้อโรคที่ไม่เห็นตัวตนด้วยตาเปล่า เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ ดังนั้นต้องดูแลตัวเองนั้นเอง
ตอนนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงโดนบังคับ จาก โควิค-19
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เคยชินมา คือ ค่อยเปลี่ยนแปลง ทีละเล็กทีละน้อย
แต่ครั้งนี้ เรียกได้ว่า ถอนรากถอนโค่น จากเดิมทีเดียว
ตอนนี้สิ่งที่เรียกว่าโดนถอนรากถอนโค่น คือการทำงาน จากเดิมที่ต้องเดินทางไปที่ทำงาน
แต่เปลี่ยนแปลงไปเป็นการทำงานที่บ้าน ทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือ
1. การเข้าถึง infrastructure ของ บริษัทที่พร้อมให้เข้าถึงจากบ้าน ซึ่งมาพร้อมกับ Policy การป้องกันข้อมูล
บริษัท IT ใหญ่ที่ US มีปัญหา ว่า การป้องกันดี คือ สามารถ เข้าถึงได้ที่ทำงานเท่านั้น ทำให้โดนปรับปรุง และปรับเปลี่ยน
ให้สามารถยืดหยุ่นได้
2. การทำงานที่ทำงานที่บ้าน ไม่ใช่วันหยุด
3. วัดสิ่งที่บริษัท พูดๆกันว่า พนักงานสำคัญที่สุดวัดกันตอนนี้แหละ ว่าบริษัทห่วงใยพนักงานแค่ไหน
เพราะทุกครั้งที่พนักงานออกจากบ้านคือควมเสี่ยงที่ติด โดยเฉพาะคนที่ใช้ขนส่งสาธารณะ
นอกจากคนที่ต้องไปทำงานจริง อาจจะต้องส่งรถไปรับถึงที่หรือเปล่า หรือต้องขับรถไปเอง ที่จอดก็ต้องฟรี
คือไม่ต้องเสียเงิน ทุกที่ เพราะมันว่างไม่มีความแออัด
4. การประชุมที่มากมายมหาศาล เอาเวลาไปประชุมไม่ได้ทำงาน คราวนี้แหละ ประชุมน้อยลง และทำงานมากขึ้น
5. การปรับปรุง Business process ที่ Base on paper base เป็นหลัก ซึ่งมีปัญหาที่กฏหมายที่ไม่รองรับ
แต่อย่างไรเสีย เมื่อกฏหมายไม่รองรับ ก็เดี๋ยวโดนปรับเอง จากกระแสของสังคมที่มีปัญหา (เมืองไทยต้องเกิดปัญหาก่อน
ถึงปรับเปลี่ยนได้)
ครั้งนี้เป็นครั้งที่บอกได้ว่า สงครามใหญ่ของไทย หรือ ของทั้งโลกตั้แต่ 1920 เป็นต้นมา ที่เป็นโรคไข้หวัดสเปน เป็นต้นมา
มันไม่ใช่สงครามที่เอาทหารรบกัน แต่ทว่า เป็นสงครามเชื้อโรคที่ไม่เห็นตัวตนด้วยตาเปล่า เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ ดังนั้นต้องดูแลตัวเองนั้นเอง