VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 871

โพสต์

comrade เขียน:
Nevercry.boy เขียน:
Nevercry.boy เขียน:บนฟ้ามีเมฆลอย.....
บนดอยมีเมฆบัง...........
มีสาวงามชื่อดัง........
อยู่หลังแดนดงป่า...........

มีกะลา ล่าเซอ
มีหนุ่มๆ เผลอฮ้องหา
มีสาวงาม ขึ้นมา แล้วมี... :?: :?:
นางนั้นยืนท่ากอย....
หนุ่มน้อยที่ยังบ่เกยผ่าน....
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
comrade
Verified User
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 872

โพสต์

หุ้นคอมโมรากพืชของพี่ leky เทอมนี้ ผลการเรียนดีเกินคาด
:D
SURE I AM OF THIS
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 873

โพสต์

comrade เขียน:หุ้นคอมโมรากพืชของพี่ leky เทอมนี้ ผลการเรียนดีเกินคาด
:D
สะดุดไปหน่อยตอน Q2 เพราะปิดโรงงาน ต้องมาลุ้น Q4 กันต่อ แต่ Q4 จะเป็นช่วงผลผลิตออกมากครับ ปีหน้าก็ไปลุ้นต่ออย่าให้ปิดโรงงานนานแบบปีนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็มีเรื่องบขยายกำลังการผลิตอีก 30% แต่ที่ต้องระวังหน่อยคือเรื่องภัยแล้งนี่แหละครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 874

โพสต์

ช่วงเช้าลุ้นหุ้น "แม่สี" ครับ เสียดายนิดหน่อย เพราะก่อนหน้านี้ลังเลว่าจะซื้ออีกดีไหม พอดีไปเล็งตัวอื่นอยู่น่ะครับ :D

รอบบ่ายนี้ลุ้น "ถังแก๊ส" จะระเบิดหรือเปล่า :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 875

โพสต์

หุ้นรายตัวที่ได้ผลตอบแทนดีมาก ๆ นี่ ยอมรับเลยว่าบ้างครั้งไม่ได้คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้นะครับ แต่พอถือ ๆ ไป กำไรมันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ มี story ดี ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ มันก็เลยถือต่อได้เรื่อย ๆ เหมือนกันครับ

ผมว่ากรณีของหุ้นถังแก๊สนี่ ถ้าจะทำได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แตกพาร์ บ.ไม่เสียอะไรอยู่แล้วครับ แต่มันเหมือนจิตวิทยาที่ทำให้หุ้นดูราคาไม่แพงครับ คนซื้อขายก็รู้สึกได้หุ้นมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน

ส่วนหุ้น "แก๊สของจริง" ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นหุ้นที่ "เล่นยาก" ตามเดิม งบออกมาดูฟื้นน้อยกว่าคาด ก็เจอแรงขายตามระเบียบ แต่ผมว่าใกล้แล้วล่ะครับ 555
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 876

โพสต์

แนะนำหนังสือหน่อยครับ จริง ๆ ผมเคยอ่านในบล็อคของคุณสุมาอี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นมีการรวมเล่ม 2 ครั้ง แต่ล่าสุดรวมเป็นเล่มเดียวครับ "85 ไอเดียการลงทุนในตลาดหุ้นไทย" หนังสืออาจจะหาซื้อยากหน่อยครับ อาทิตย์ก่อน ผมหยิบมาอ่านอีกครั้ง ถึงแม้จะเขียนไว้ตั้งแต่ปี 50-51 ก็ยังรู้สึกว่าโดนมาก อ่านรอบที่แล้วว่าดีแล้ว รอบนี้ความรู้เราดีขึ้นกลับไปอ่านอีกยิ่งโดน หลัง ๆ คุณสุมาอี้ทำเว็บที่เก็บค่าสมาชิก เลยไม่ได้เข้าไปอ่านอีก หลังจากผมอ่านจบเมื่ออาทิตย์ก่อน เลยอดไม่ไหว สมัครเป็นสมาชิกกับคุณสุมาอี้ เป็นแบบตลอดชีพครับ จ่ายครั้งเดียว พร้อมกับได้หนังสือมาสองเล่ม ซึ่งเป็นบทความในเว็บครับ

http://www.chulabook.com/description.as ... 6169011750
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 877

โพสต์

เสียดายแนวคิดของพี่สุมาอี้นะครับ

เห็นว่าเมื่อก่อน​ก็มีล็อกอิน​ในนี้​ แต่ท้ายสุดก็ออกไปเปิดเวบเอง

คิดอีกที​ ก็ดีไปอย่างครับ​ พี่เขาจะได้พูดในสิ่งที่อยากพูด​ ได้เต็มที่

ปล.งบหลายตัวแย่ลงจริงๆนะครับ​ โดยเฉพาะค้าปลีก​ ค้าขาย​ช่วงนี้ก็ตึงๆมือ

ปล.2ดีใจกับพี่หมอ กับหุ้นแม่สีและหุ้นถังแก๊ส​ด้วยนะครับ

ส่วนผมขอลุ้นหุ้นรับเหมาพิเศษ​ ต่อไป​ :)
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 878

โพสต์

romee เขียน:ส่วนผมขอลุ้นหุ้นรับเหมาพิเศษ​ ต่อไป​ :)
ว่าไงนะครับ รับเหมามีแบบพิเศษกับแบบธรรมดาด้วยเหรอครับ

เค้าเพิ่มลูกชิ้นให้กี่ลูกล่ะครับ แบบพิเศษ :B
comrade
Verified User
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 879

โพสต์

ไฟไหม้แถวบางกระดี่ แต่กระเทือนมาถึงบ้านเลย :(
SURE I AM OF THIS
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 880

โพสต์

เมื่อเช้าวานนี้ ผมรู้ซึ้งกับคำว่า Black Swan เลยครับ กำไรที่สะสมมากับตัวนี้ หายวับเลย

ผมว่าเราผถห. โชคดีกว่า ผบห. นะครับ มีเหตุการณ์ไรก็ขายทิ้ง ไม่ต้องยึดติดกับตัวบริษัทนั้นๆ จะสงสารก็พนักงานผู้น้อยในบริษัทนั้น ไม่รุ้ว่าจะโดนปลดคนหรือเปล่า

อีกเรื่องก็รู้สึกว่า CEOที่นิสัยดี ทำงานจริงจัง ท้ายสุดคนก็จะเห็นถึงความดี ความเก่ง หาแบบผถห.เอาใจช่วยแบบนี้ลำบาก :( ...ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับบริษัทอื่นๆ เผลอๆมีโดนด่าไล่หลัง

อีกเรื่องก็คือ ชีวิตมีแต่ความไม่แน่นอน และตลาดหุ้นก็ยิ่งพอกัน

ปล.ตอนนี้พี่ๆ น้องๆ ที่อยู่ภาคใต้ ฝนยังตกหนักมั้ยครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 881

โพสต์

เท่าที่ผมจำความได้บ.ที่โดนไฟไหม้นั้นส่วนใหญ่ก็จะกลับมาเหมือนเดิม บางบ.ดีขึ้นด้วยซ้ำ เช่น SITHAI, GYT เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน

ส่วนที่ไฟไหม้โรงงานแล้วถึงขั้นเจ๊งไปเลยก็มีเหมือนกันครับ คือ SUE หรือซันโย อดีตหุ้นดี ปันผลสูง พอโดนไฟไหม้โรงงานก็กู่ไม่กลับอีกเลย จนถึงขนาดต้องออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป

เมื่อเช้าผมได้ข่าวจากวิทยุ ก็เลย line ไปบอกน้องที่รู้จักกันที่ถือหุ้นอยู่ ซึ่งเค้าซื้อไว้มากพอสมควร เค้าเองยังเล่าให้ฟังว่าสัญญาณทางเทคนิคกำลังไปได้สวย สุดท้ายก็ต้องยอมขายหุ้นทิ้ง ไม่ขาดทุน แต่ก็เล่นเอาเซ็งไปทีเดียวที่กำไรหายวับไป

เป็นกำลังใจให้กับผถห.ทุกท่านที่ยังถือหุ้นอยู่ครับ

ความรู้สึกมันคงคล้าย ๆ กับตอนที่ผมถือหุ้นก่อสร้างตัวที่เคยเล่าไป ที่ประกาศงบออกมาอยู่ ๆ ก็ขาดทุนหนัก เปิดมาเล่นกันไปถึงฟลอร์ กำไรหายวับ ตอนนั้นก็ได้บทเรียนว่าตลาดหุ้นคือความไม่แน่นอน และก็จะไม่พยายามซื้อหุ้นตัวไหนมากเกิน 30% ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 882

โพสต์

ขอบคุณ จารน์หมอเล็กครับ

อีกสองตัวที่จำได้คือ

Hana. ตอนนี้หลายเด้งแล้ว

และ tuf. ตอนนี้ก็เจ็ดแปดสิบแล้ว
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 883

โพสต์

ผมซื้อหุ้นโดนไฟไหม้บ่อยไม่รู้เป็นไร

แต่ครั้งนี้ไม่โดนเอสวีไอ เป็นกำลังใจให้ผู้ถือหุ้นทุกคนครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 884

โพสต์

เอสวีไอ โดนปัญหา ซ้ำซ้อน
น่าหนักใจแทน ผบห. พนักงาน และ ผถห. จริงๆ ครับ

รอฝุ่นหายตลบ และดูว่าจะปรับกลยุทธ์ แก้ปัญหายังไง

ผมเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของ ผบห. ครับ
หวังว่าจะมี third time lucky
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 885

โพสต์

ถามพี่ๆ นิดนึง เกี่ยวกับบริษัทกลุ่มอิเลกทรอนิคส์ ครับ

จากเหตุการณ์เอสวีไอ ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ โบรค แห่งหนึ่ง เชียร์ ให้ "ขาย"
แล้วบอกให้ไป "ซื้อ" บริษัท ที่ CEO เป็นแฟน "ซุปตาร์" ชื่อดังแทน

และพอตามไปดูงานบริษัทดังกล่าว แล้วก็ น่าประทับใจจริงๆ อัตรากำไรต่างๆ สูงมาก

เลยอยากสอบถามว่า Business Model เอสวีไอ กับ บริษัท "ซุปตาร์" ต่างกันยังไงครับ?

ทำไม เอสวีไอ ถึง ถูก Lock Gross Margin ไว้แค่ 1x % ต้นๆ เท่านั้น
ขณะที่อีกบริษัท ซัด Gross Margin ไป 3x% แถม Revenue ยังสูงกว่าซะด้วย
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 886

โพสต์

kongkiti เขียน:ถามพี่ๆ นิดนึง เกี่ยวกับบริษัทกลุ่มอิเลกทรอนิคส์ ครับ

จากเหตุการณ์เอสวีไอ ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ โบรค แห่งหนึ่ง เชียร์ ให้ "ขาย"
แล้วบอกให้ไป "ซื้อ" บริษัท ที่ CEO เป็นแฟน "ซุปตาร์" ชื่อดังแทน

และพอตามไปดูงานบริษัทดังกล่าว แล้วก็ น่าประทับใจจริงๆ อัตรากำไรต่างๆ สูงมาก

เลยอยากสอบถามว่า Business Model เอสวีไอ กับ บริษัท "ซุปตาร์" ต่างกันยังไงครับ?

ทำไม เอสวีไอ ถึง ถูก Lock Gross Margin ไว้แค่ 1x % ต้นๆ เท่านั้น
ขณะที่อีกบริษัท ซัด Gross Margin ไป 3x% แถม Revenue ยังสูงกว่าซะด้วย
ผมว่าหุ้นพวกกลุ่มชิ้นส่วนนี่คงขึ้นกับสินค้าที่ผลิตออกมาขายครับ คือถ้าเป็นสินค้าที่มีแวลูมากหน่อย มาร์จิ้นก็น่าจะดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น หุ้น DELTA ที่มีการเปลี่ยนไลน์การผลิตสินค้าครับ ทำให้กำไรดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นที่ผมได้มีโอกาสอ่านข้อมูลจากบทวิเคราะห์ หุ้นน่าจะอยู่ราว ๆ 45 บาท ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มการผลิตสินค้าใหม่ได้ไม่นาน ผมจำไม่ได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับรถยนต์หรือเปล่านะครับ

ส่วนหุ้นที่คุณ Kongkiti บอกมา โบรกที่ผมใช้บริการอยู่กลับแนะนำให้ขายไปตั้งแต่ Q ก่อนแล้ว ประมาณว่ากำไรไม่น่าจะสูงต่อไปได้มากไปกว่านี้แล้ว เทียบกับราคาหุ้น ถ้าจะรอ "ตัวเร่ง" ใหม่ก็ต้องรอโครงการอะไรบางอย่างนี่แหละครับ

และถ้าผมจำไม่ผิดตอนนั้นเค้าก็แนะนำให้มาเข้า SVI แทน :D

หุ้นในกลุ่มนี้หลายตัวเคยดีมากครับ อย่าง CCET เมื่อก่อนกำไรดีมาก ปันผลสูงมาก SMT ที่ฮิต ๆ ในเว็บอยู่ช่วงหนึ่ง

แต่ผมคิดว่าที่หุ้นเหล่านี้บางตัวยังไม่ดีขึ้น น่าจะมาจากชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถทำมาร์จิ้นให้สูง ๆ ได้เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในกลุ่มน่ะครับ ผมว่าถ้าเราจะตามดูคงต้องคอยดูพัฒนาการเรื่องสินค้าชนิดใหม่ ๆ ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 887

โพสต์

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านในเหตุการณ์ไม่คาดคิดครั้งนี้ด้วยนะครับ ต้องขอเอาใจช่วยผบห.ขยัน,เก่ง.และดีฮะ
เที่ยวนี้มีเหตุต้องไปอบรม(ฟังดูเหมือนเกเรเป็นเด็กมีปัญหา)เลยไม่ได้เข้ามี้ตติ้งฮะ ฝากเพื่อนๆเล่าให้ฟังด้วยนะฮะ
ถ้าสรุปไม่ถูกก็เอาแค่ชื่อหุ้นที่อ.เค้าอธิบายเยอะๆนั่นแหละ อันที่อ.บอกว่า"ไม่ได้ตาม"กะ"อย่าไปยุ่ง"ไม่ต้องก็ได้ฮะ
เรื่องการบ้านMOS กำลังทำอยู่ฮะ แปลย้ากยาก ฝรั่งเขียน อินเดียย่อ ไทยปนเจ๊กแปล รับประกันความเพี้ยน..
ถ้ามีเพื่อนๆจบคณะอักษรศาสตร์มาช่วยก็ยินดีฮะ คณะรักษาความสงบไม่ต้องนะฮะ
ช่วยคุณลุงตุ๊ดตู่ท่านขายยางดาวอังคารดีกว่าฮะ ชาวสวนยางกะหุ้นผมจะได้คืนความสุขกะเค้ามั่งนิ

ไปสัมมนามาอีกแล้ว โบรคญี่ปุ่นเจ้าที่บทวิแคะละเอียดเยอะสุด แต่ชื่อขึ้นว่า"NO"กะสีแดง(น่าจะใช้สีเขียวเนอะ)
ไม่มีใครโตจากการเก็งกำไร ทุกคนโตจากการ"ลงทุน"เท่านั้น(จะ50-70%ของผอร์ทมากน้อยก็แล้วแต่)
การลงทุนคือ เข้าใจตลาดและซื้อตอนมีmargin of safety บางครั้งต้องเป็นcontrarian
ถ้าหุ้นขึ้นหรือลง ต้องถามตัวเองว่า"จากอะไร" ไม่ใช่ขึ้นหรือลงจากตีกราฟ
จะเล่นกราฟใช้แค่เส้นค่าเฉลี่ยเอาตัวรอด(ไม่ได้บอกว่าใช้ทำกำไรนะ)ก็พอ
ตัด10วัน ซื้อหรือขาย30% หลุด25วัน=เสียเส้น ขายทิ้งให้หมด

ภาพใหญ่
กราฟเทียบG7equity vs gov bond return ตอนนี้อยู่ที่-1SDถ้าไม่มีวิกฤติมักเด้งขึ้น
เมกาเลื่อนขึ้นดอกเบี้ยQ2ไปQ3
ยูโรจะอัดคิวอีอีก1ล้านล้าน( จากสองไปสามล้านล้าน)ครั้งที่แล้วหุ้นไทย800ไป1200
คิวอีญี่ปุ่นเทียบได้กับคิวอี3เมกาเลย ถ้าจีนทำบ้าง แล้วไทยปลดล็อกเศรษฐกิจได้ หุ้นระเบิดแน่
ญี่ปุ่นเปลี่ยนโครงสร้างกองทุนกบข. บอนด์ยุ่น60%เหลือ20% เพิ่มหุ้น12%เป็น25%(น่าจะเป็นจุดซื้อหุ้นญี่ปุ่น)
หุ้นนอก12%เป็น18% เพิ่มมา70,000ล้านดอลล์ มาอาเซียน3,000ล้าน น่าจะมาไทยราว25,000ล้านบาท ค่อยๆมา
อินโด ฟิลลิปปินส์ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตอนโอกาสดี สับพรามดอกต่ำ ไทยยังไม่ได้ทำ
เงินเฟ้อไทยเริ่มดีขึ้น ปีหน้าไทยโต3-4%จากฐานต่ำ(กราฟคล้ายตอนน้ำท่วมใหญ่) ถ้ามีฝีมือต้องโตกว่า4%
ดูGDP ไทยมีmomentumดีกว่า ยุ่น เมกา จีน(เห็ดฟันด์จะดูแรงเหวี่ยงมากกว่า ชอบขั้นบันไดขึ้นมากกว่าทางลาดลง)
ฟันด์โฟลว ปกติพย.จะออก แต่ปีนี้อาจเข้า เพราะไทยจะpeak58 Q1กพ.-มีค.(ประกาศพค.)
ช่วงนั้นถ้ามาตามนัดก็ซื้อหุ้นได้ ถ้าไม่มีอะไรก็วงแตกหนีตาย

การเมืองและเศรษฐกิจ
ทุกคนไม่เชื่อรัฐบาลทหาร เพราะไม่เคยมีประเทศไหนบริหารเศรษฐกิจได้ดี
ส่วนใหญ่มาเพื่อออกกฎหมาย กับเลือกตั้ง จะรอดูเศรษฐกิจดีแล้วจึงลงทุน(คล้ายปี49)
แต่รัฐบาลนี้ทำหมดทั้งกฎหมาย ,infrastructure 2ไป2.4ไป3ล้านล้านแล้ว
รถไฟ โคราชระยอง จีนเอาแล้ว เริ่ม1มค.58 โคราชเชียงใหม่ กำลังคุยกับญี่ปุ่น
รถไฟสายใต้ใช้ของอังกฤษสมัยร.5ที่เอาไทรบุรี กลันตัน ตรังกานูไปแลก5ล้านปอนด์มาได้ไปก่อนนะ
คลื่นความเจริญจะกระจายออกตจว. การค้าใน,นอก ที่ดินๆลๆ
รถไฟฟ้า หม่อมกะหมาย พูดชัด เอา7สาย จาก4สาย เล่นเองไม่รอรัฐบาลเลือกตั้ง(เสียเวลาประมูล,ศึกษาสวล.)
NGVขึ้นราคาต่อเนื่อง5ขั้น เพื่อให้คนประหยัด(ปกติฝรั่งไม่ซื้อปตท. เที่ยวนี้มาเลย ให้422แต่อาจทะลุ)
ปรับระบบสายส่งไฟฟ้า1.6แสนล้าน หุ้นรับเหมาไฟฟ้าน่าจะโตเรื่อยๆได้
พลังงานทางเลือก ชีวมวลขยายเยอะ(ข้อเสียแค่ชาวบ้านไม่ยอม คล้ายถ่านหิน) ลมขายหมดแล้ว
โซล่าร์ขยาย2,000ไป2,800 ค้างเดิม576ไป800 ของใหม่1,400
ต้นทุนจาก150ล้าน/MW เหลือ70ล้าน adder8บาท10ปีเป็น5.76บาท25ปี
ท่องเที่ยวเป็น"วาระแห่งชาติ" น่าจะเห็นเลิกอัยการศึกต้นปีหน้าบางพื้นที่เพิ่ม
Nano finance เกิดจากเงินนอกระบบที่หายไป6.5หมื่นล้านจากดอก5-20%/เดือน(60-240%/ปี)
ให้พวกเดิมๆจดนิติบุคคล ดอก36% รายได้ลดภาษีได้50% รัฐได้ภาษีดอกเบี้ย
Digital economy จะมีฟรีไวไฟทั่วประเทศ
2015เล่นข่าวAEC ,2016เล่นเลือกตั้ง

ตลาดหุ้นไทย
Forward PE16 แพงมาก เล่นนำครั้งแรกในรอบ10ปี(trailingPE18)
รอeps2015-17โตมารับ แต่คาดว่านักวิแคะส่วนใหญ่จะค่อยๆปรับขึ้นตามๆกัน
ฝรั่งถือ3.2%ของ12.4ล้านล้าน(ซื้อ3.6แสนล้าน เหลือ1แสนล้าน)
รอเข้า5-6.5หมื่นล้าน เพิ่มPEได้ราว2.1 ดัชนี1757-1843 ปีหน้า อาจเห็นในQ1
LTFปกติ40,000ล้าน ช่วงนี้เข้า2.5-30,000 Q4 อาจมีแกว่งขึ้น
ช่วงแจกหุ้น
ไม่แนะนำหุ้นซิ่ง ให้ไปก็ไม่รอด แฮปปี้แค่ช่วงแรก ไม่อยากให้ไปไล่หุ้นให่ใคร
หุ้นพื้นฐานเหมือนบทวิแคะ แจกกระจาย แต่ถ้าเอาเด็ดๆตัวเดียวให้ช้างสามเศียรราชประสงค์ฮะ
samatah
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 888

โพสต์

ขอบคุณมากๆนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 889

โพสต์

ขอบคุณพี่หมอ leky ช่วยชี้แนะครับ
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 890

โพสต์

dr1 เขียน:เกริ่นแนะนำอ.เซธ คลาร์แมน กันหน่อย
จากหนังสือ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักสูตรม.โคลัมเบีย" ที่อ.webแปลมา
อ.เซธเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังไม่มีใบขับขี่ เรียนฮาวาร์ด ฝึกงานกับแม็กซ์ ไฮนี(เซียนบ.ล้มละลาย)และไมเคิลไพรซ์
จบ1982มาตั้งกองทุนBaupost โดยมีกฎสองข้อ คือ1. อย่าขาดทุนและ2. อย่าลืมกฏข้อแรก
เขียนหนังสือ margin of safety: risk-averse value investing strategies for the thoughful investor 1991

Margin of safety ของอ.seth
ประเมินหลายทาง pbv, pe, p/cf ,break- up value, dividen yield, private ,market value
ยังมี ผบห.ซื้อหุ้น ,การซื้อหุ้นคืน รวมๆแล้วแบ่งตัววัดเป็น1. สินทรัพย์ 2. ผลกำไร
อ.สบายใจที่สุดเมื่อได้ซื้อของถูกที่"มูลค่าสินทรัพย์ถูกสนับสนุนด้วยศักยภาพการทำกำไร"

หลักการของอ.เซธ
1. ประเมินความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
คือโอกาสและขนาดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
ไม่นิยมการhedge(พยายามทำกำไรทั้งซื้อและขาย)เพราะตัดสินใจสองครั้งยากกว่าครั้งเดียว
โดยเฉพาะการกู้เงิน แต่ก็ซื้อput optionsดัชนี เหมือนซื้อประกันกรณีตลาดตก
2. หาผู้ขายที่มีแรงกระตุ้น
คือเหตุผลขายไม่ได้มาจากทางธุรกิจ เช่น
2.1 หุ้นถูกตัดออกจากดัชนี(จะถูกกองทุนเทขาย)
2.2 spin-offs ที่ไม่ใช่ipo กองทุนใหญ่ที่ถือหุ้นแม่จะไม่มีเวลาและไม่อยากถือหุ้นลูกเล็กๆ มักจะขายลูกออกเลย
2.3 บ.ที่ยื่นขอล้มละลาย เพื่อป้องกันตัวจากเจ้าหนี้ จะโดนกองทุนถล่มขายเช่นกัน
2.4 อสังหาริมทรัพย์ ที่ยึดจากลูกหนี้ ที่ธนาคารขายออกมาถูกๆเพราะไม่ใช่ธุรกิจหลัก
3. ของที่ไม่มีผู้ซื้อ
เช่น ขนาดเล็ก ไม่มีใครวิเคราะห์ หนี้สินบ.ไกล้เจ๊ง ผอร์ทอสังหาจาก resolution trust company
จะไม่มีคู่แข่งมาแย่งซื้อ พอมีคนมาสนใจมากขึ้นจนเป็นงานประมูล ก็จะย้ายไปหาของที่อื่นต่อไป
4. ตัวเร่งที่ไม่เกี่ยวกับตลาด
4.1 เงินปันผล ที่สูงกว่าบอนด์ยาวๆ มากกว่า4% หรือ6%นานๆที
แต่เมื่อไรที่หุ้นแพงจนปันผลน้อยกว่า2% ก็จะไปหาการลงทุนที่ไม่ขึ้นกับตลาด
โดยมุ่ง"ผลตอบแทนเชิงสัมบูรณ์"(คือบวกทุกปีเทียบกับตัวเอง,ไม่เทียบกับชาวบ้าน)
เช่นบอนด์ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ทุกหกเดือนและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
4.2 หนี้สินบ.ล้มละลาย (distressed debt)เช่นหุ้นกู้ผิดนัดชำระ
ต้องมีทรัพย์สินหนุนหลังมากพอจะได้เงินคืน(ขึ้นกับกระบวนการล้มละลายมากกว่าขึ้นกับตลาด)
4.3 การขายทอดกิจการ(liquidation)
อาจได้เงินเป็นช่วงๆตามแผน ต้องดูความแน่นอนของแผนเรื่องเงินและเวลา
4.4 การเทคโอเวอร์
ขึ้นกับข้อตกลง ไม่ขึ้นกับตลาด ยิ่งแน่นอนผลตอบแทนยิ่งลดลง

Bottom up
วิเคราะห์บริษัท(bottom up) ง่ายกว่าวิเคราะห์เศรษฐกิจ(top down)
และบางครั้งก็มีแบบออกข้างๆ คือหุ้นทั้งกลุ่มเป็นโอกาสการลงทุน
เช่นกรณี saving &loanเปลี่ยนรูปแบบจากสหกรณ์ไปเป็นบริษัทในยุค90 เป็นต้น

เวลาใหม่ คู่แข่งใหม่ ตลาดใหม่
อ.เซธใช้วิธีย้ายไปเรื่อยๆเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
จากหนี้บ.ล้มละลาย ไปผอร์ทอสังหาของRTC ไปหุ้นขนาดเล็ก ไปยุโรปตะวันตก ไปประเทศคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
ขอบพระคุณจารย์หมอหนึ่งอย่างสูงครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 891

โพสต์

วิธีการของ จารย์หมอเล็กนี่เป็นวิธีการที่เวิร์คมากสำหรับตลาดหุ้นไทย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 892

โพสต์

ผมกลับไปอ่านดูที่โบรกเค้าคอมเม้นต์เกี่ยวกับ DELTA สรุปแล้ว ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่าเกี่ยวข้องกับพวกพลังงานทางเลือกทั้งหลายครับ ตามข้างล่างที่ตัดมาให้ดูส่วนหนึ่ง แต่ในตอนนั้นถึงผมจะพอทราบเรื่องพวกนี้ มันก็เกินความรู้ผมอยู่ดีว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มันจะขายได้ดีแค่ไหน อย่างไรครับ

"DELTA จะเน้นสนค้าเกียวกับ Renewable Energy ทั้งด้านอุปกรณ์โซลาร์ พลังงานลม และ
อุปกรณ์ระบบประหยัดพลังงาน DELTA มี R&D เป็นจุดเด่นและมีแผนซื้อกิจการทีเป็น Distribution network เพื่อขยายฐานลูกค้าในอนาคต"
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 893

โพสต์

leky เขียน:ผมกลับไปอ่านดูที่โบรกเค้าคอมเม้นต์เกี่ยวกับ DELTA สรุปแล้ว ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่าเกี่ยวข้องกับพวกพลังงานทางเลือกทั้งหลายครับ ตามข้างล่างที่ตัดมาให้ดูส่วนหนึ่ง แต่ในตอนนั้นถึงผมจะพอทราบเรื่องพวกนี้ มันก็เกินความรู้ผมอยู่ดีว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มันจะขายได้ดีแค่ไหน อย่างไรครับ

"DELTA จะเน้นสนค้าเกียวกับ Renewable Energy ทั้งด้านอุปกรณ์โซลาร์ พลังงานลม และ
อุปกรณ์ระบบประหยัดพลังงาน DELTA มี R&D เป็นจุดเด่นและมีแผนซื้อกิจการทีเป็น Distribution network เพื่อขยายฐานลูกค้าในอนาคต"
อ.leky ครับ พอดีหุ้นตัวนี้ผมเคยตามอยู่เหมือนกัน ที่กำไรเพิ่มน่าจะเป็นส่วนของอุปกรณ์ Power Management สำหรับพวก Data Center พวก Cloud หรือ Server มากกว่านะครับ พวกอุปกรณ์เกี่ยวกับพลังงานทดแทนจำได้ว่าช่วงนึงมีปัญหาจนต้องถอนตัวออกมาด้วยซ้ำ ถ้าจำไม่ผิดจะเกี่ยวกับพลังงานลมที่อินเดียหรือไงเนี่ยครับ

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กำไรของ DELTA เติบโตคือ กระแสการบริโภคข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกไซเบอร์ครับ ส่วนอุปสรรคของ DELTA ในระยะถัดไปที่อาจเกิดขึ้นคือ ฐานลูกค้าในยุโรปครับ
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 894

โพสต์

หนังสือmargin of safety เล่มจริงคือเล่มนี้ครับ(เพิ่งเห็นว่ามีเพื่อนสมาชิกแนะนำไว้ในห้องใหญ่)
http://ebookbrowsee.net/seth-klarman-ma ... d725918481
มีตัวอย่างกรณีศึกษาในเมืองนอกประกอบเยอะ บางอันอาจเกิดขึ้นในอนาคตในบ้านเรา บางอันอาจไม่
ของคุณวิชาล กานเดวาลจากwww.safalniveshak.com(ชื่อเหมือนคนสามคน คนสุดท้ายชื่อแปลกดี)
คุณวิชาลเป็นนักวิแคะ8ปีเต็ม เห็นการหลอกลวง เก็งกำไร ความผิดพลาดจากคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญชุ่ยๆ
จึงอยากบอกว่า วีไอควรศึกษาการลงทุนเอง ลงทุนหุ้นไม่ใช่เรื่องยาก
แค่มี"นิสัยที่ถูกต้อง"แล้วก็ทำซะ สนุกด้วย รวยอีกต่างหาก
คุณวิชาลอ่านหนังสือเล่มนี้3รอบ สรุปมา30ข้อ ผมอ่าน3ที ฝรั่งเขียน อินเดียสรุป ไทยปนเจ๊กแปล มั่วแน่นอน..

1. เป็นวีไอ ไม่ง่าย
ต้องทำงานหนัก วินัยเข้ม อดทนนาน น้อยคนที่จะทำได้
การเข้าใจกฎ,สูตรแบบผิวเผิน (knowhow)โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ เจอความผันผวนตลาด อาจไม่รอดระยะยาว
โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ต้องเข้าใจ จริงจังในหลักการวีไอว่าลงทุน ทำไม เมื่อไร(knowwhy ,knowwhen)
หลักวีไอ" เข้าใจง่าย " ไม่ต้องอัจฉริยะสุดยอดพ่อมดสมการคอมพิวเตอร์เวลา"ตีคุณค่า"หุ้นหรอก
เข้าใจง่าย"แต่ทำยาก" ส่วนที่ยากที่สุดคือ วินัย ความอดทน ให้การลงทุนที่ไม่คุ้มผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า
และการตัดสินใจลงทุน เมื่อการลงทุนที่น่าสนใจมาถึง (รอลูก"เป๊ะ")

2.ริจะเป็นวีไอ
ต้องมีวินัย(ตรงนี้ยากที่สุด) ตามหาของถูก ลดความเสี่ยง
ต้องแยกตัวจากฝูงชน ท้าทายความเชื่อเดิมๆ ต้านกระแสเชี่ยวกราก มุ่งมั่นอย่างเดียวดาย
อาจมีผลตอบแทนแย่ยาวนานเมื่อเทียบกับแนวอื่น โดยเฉพาะตอนตลาดแพงเว่อร์
แต่ในระยะยาว แนววีไอยังได้ผลดี แม้บางช่วงจะมีคนลืมๆหลักวีไอไปบ้าง

3.ศัตรูตัวสำคัญของการเป็นวีไอ
ถ้าเดาทิศทางตลาดได้ ก็ไม่ต้องมาเป็นวีไอแล้ว
ตอนหุ้นตัวใหนขึ้นมากๆ แนววีไอจะดูง่อยไปเลย เพราะหุ้นไม่ฮิตจะขึ้นน้อยกว่าตัวที่ตลาดนิยมเล่นกัน
ตอนตลาด"เต็มมูลค่า"ไปถึง"แพงเว่อร์" วีไอก็กำไรน้อยอีก เพราะไปขายหมูก่อนเขา
เวลาดีที่สุดของวีไอ คือตอน"ตลาดล่ม"
พวกโลกสวยก็เจ็บตัวกันไป วีไอรอดเพราะลงทุนโดยมีmargin of safety ป้องกันความเสี่ยง
พวกทายอนาคตได้ก็ควรไปเล่นหุ้นแบบมาร์จิ้นซะ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครได้กำไรมากกว่าที่โม้
ดังนั้น ถ้ารู้ตัวว่าเดาทางราคาหุ้นไม่ได้ ก็ควรมาเป็นวีไอซะ ปลอดภัย ได้ผลในทุกสถานการณ์

4. ทั้งหมดคือ"แนวคิด"
แนวคิดที่เหมาะสมก็คือ
การลงทุนคือ "ธุรกิจแบบจริงจัง"ไม่ใช่บันเทิงแบบเล่นๆ
ต้องเป็น"นักลงทุน" ไม่ใช่นักเล่นหุ้นเก็งกำไร และต้องเข้าใจว่า2นักเนี่ย ต่างกันตรงไหนด้วย
เช่น นักลงทุนต้องแยก pepsico จากpicasso แยกการลงทุนจริงจัง จากการเล่นของสะสม
ถ้าเงินคุณที่หามายาก สำคัญในอนาคตละก็" แนวคิดผิดๆ" จะทำให้คุณเสียหายแบบ"รับไม่ได้"เลย

5. อย่าไปหาคำแนะนำจาก"นายตลาด"
นักลงทุนบางคน(จริงๆแล้วคือนักเก็งกำไร)ไปให้นายตลาดนำทาง
พอนายตลาดแห่ขายหุ้นถล่มราคา ก็ลืมหลักวีไอตีมูลค่าหุ้นซะฉิบ ขายตามเขาไป
พอนายตลาดแย่งกันซื้อ ก็ไปซื้อตามเขามาแพงๆ
เรื่องจริงคือ นายตลาด"ไม่รู้อะไรเลย"
เป็นผลรวมของการซื้อๆขายๆหลายร้อยพันโดยไม่ได้มาจากพื้นฐานการลงทุนเล้ย
พวกลงทุนตามอารมณ์ พวก"เกร็ง"กำไรก็เลยขาดทุนแบบช่วยไม่ได้
ส่วนวีไอตัวจริงก็ใช้ประโยชน์จากอารมณ์แปรปรวนนายตลาด มีความสุขกับความสำเร็จยาวๆไป

6.ราคาหุ้นกับความจริงในธุรกิจ
Louis lownstien เตือนไม่ให้สับสนว่า
หุ้นขึ้น ไม่ได้แปลว่าธุรกิจดี หรือ"มูลค่า"ธุรกิจเพิ่ม
หุ้นลง ไม่ได้แปลว่าธุรกิจแย่ หรือมูลค่าธุรกิจลดลง
ต้องแยกระหว่าง ราคาที่กระเพื่อม กับความจริงของมูลค่าธุรกิจ
ถ้าตลาดแห่ซื้อหรือแห่ขาย เราต้องต้านกระแสนี้ ไม่แห่ตามไป
และอย่าละเลยนายตลาด เพราะความผิดพลาดของเขาคือโอกาสของเรา อย่าให้นายตลาดมาบงการเราได้

7."ราคา"กับ"มูลค่า"
"คุณค่า"เมื่อเทียบกับราคา ไม่ใช่แค่"ราคา"จะเป็นตัวบอก ว่าคุณเป็นคนแบบไหน
ถ้าคุณมองว่า ตลาดเป็น"ตัวสร้างโอกาส"ลงทุน ตอนราคาต่างกับมูลค่ามากๆ แปลว่าคุณเริ่มเป็นวีไอแล้ว
แต่ถ้าคุณยังยืนยันให้นายตลาดมาชี้นำคุณอยู่อีก คุณควรให้คนอื่นมาบริหารเงินคุณจะดีกว่า
เพราะ"ราคา"หุ้น ขึ้นกับเหตุร้อยแปดพันเก้าจนไม่รู้ว่าจากอะไรกันแน่ ควรมองทะลุราคาเข้าไปถึง"คุณค่า"ภายในของธุรกิจ
และเปรียบเทียบคุณค่า กับราคาบ่อยๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุน

8. อารมณ์จะทำลายการลงทุน
พวกล้มเหลวจะใช้อารมณ์(โลภกับกลัว)มากกว่าจะใจเย็นมีเหตุผล เวลาตลาดผันผวน
บางคนที่มีสติ มีความรับผิดชอบชีวิต ใช้เวลาหลายเดือนปี ทำงานหนักอดออมเงิน
แต่เวลาลงทุนกลับตัดสินใจแบบลวกๆในเวลาไม่กี่นาทีแบบประสาทๆก็มี
คนพวกนี้ตอนจะซื้อกล้องถ่ายรูป เครื่องเสียง ใช้เวลานาน ศึกษา เข้าร้านฯลฯ
แต่พอจะลงทุน ดันซื้อหุ้นที่เพื่อนแนะนำแบบไม่ลังเล
ความเป็นเหตุเป็นผลตอนซื้อของ กลับไม่ได้เอามาใช้ตอนซื้อหุ้น

9. ตลาดหุ้น ไม่ใช่แหล่งเงินทันใจ
ส่วนใหญ่คิดว่าตลาดหุ้นเป็นแหล่งหาเงินง่าย แบบไม่ต้องทำงาน แทนที่จะเป็นแหล่ง"ลงทุน" ให้ได้ผลตอบแทน
ใครเคยได้เงินง่าย จะเริ่มโลภแล้วหาทางลัด ไม่รอให้ผลตอบแทนค่อยๆทบต้นตามเวลา
พยายามหาเคล็ดลับร้อนๆ หาหุ้นเด็ด โดยไม่เฉลียวใจว่านั่นมันหุ้นเด็ดชีพ
ความโลภกลายเป็นมองโลกสวย มองข่าวร้ายเป็นเรื่องสบายๆ
ความโลภทำให้การลงทุนระยะยาว กลายเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น

10.วงจรตลาดหุ้น
ตลาดขึ้นแล้วต้องลง ราคาหุ้นสูงจนมีคนขายมากกว่าคนซื้อ
ตลาดจะมีช่วงบ้าเล่นหุ้นกันเป็นพักๆ อาจแยกยากจากแนวโน้มความรุ่งเรืองของธุรกิจ
แต่เมื่อราคาหุ้นพุ่งสูงจนแพงเกินมูลค่าธุรกิจเมื่อไร ช่วงนั้นเป็นช่วงอันตราย
samatah
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 895

โพสต์

11. ทำไมคนส่วนใหญ่ทำตัวเพี้ยน ทำไมได้กำไรน้อย
พวกกองทุน(ไม่อยากใช้คำว่าสถาบัน)ไม่ทำตัวสยองก็ทำตัวน่าขำกลิ้ง
พวกนี้ละเลงเงินหลายพันล้าน(ที่ชาวบ้านหามาลำบาก)ลงไปโดยไม่วิแคะเจาะลึกหุ้นเลย
อารมณ์กองทุนคือ"มติเสียงส่วนใหญ่"เป็นเรื่องรับได้
ถ้าเห็นต่างจากเสียงส่วนใหญ่ ก็"เสี่ยง"กับได้ผลงาน"ต่าง"จากกองอื่น(และเสี่ยงกับตำแหน่งตัวเอง)
จริงๆแล้ว ไม่ควรใช้ผลตอบแทน"เขิงเปรียบเทียบ"ระยะสั้น มาวัดผลงานกองทุน
ผู้จัดการกองทุนได้ค่าธรรมเนียมจาก"ขนาด"กองทุน ไม่ใช่จาก"ผลงาน" ยิ่งขยายขนาดยิ่งได้เงินเยอะ
ดังนั้น ผลประโยชน์กองทุนกับผลประโยชน์ลูกค้าไม่ตรงกันเมื่อไร เมื่อนั้นผู้บริหารกองทุนจะตามใจตัวเองเป็นหลัก

12. ถ้วยรางวัลผลตอบแทนเชิงเปรียบเทียบระยะสั้น
กองทุนส่วนใหญ่ใช้วิธีวัดผลระยะสั้น(รายชั่วโมง รายวัน)แบบเปรียบเทียบ
พอมาแข่งกันระยะสั้นๆ จึงมองไกล้ๆ เพราะขืนมองไกลละก็ ขาดทุนระยะสั้นจะทำให้ตกงานระยะยาว
ลงทุนโดยไม่เข้าใจกองทุน ก็เหมือนขับรถบนถนนต่างถิ่นโดยไม่มีแผนที่
แม้รู้ว่าจะไปที่ไหน ก็เสียเวลาและหลงทาง

13.ข้อแรก"ห้ามขาดทุน"
ตามบัฟเฟต์บอก"กฎข้อแรกของทุกคนคือห้ามขาดทุน"
ไม่ได้แปลว่าห้ามเสี่ยง แต่หมายถึงหลายๆปีที่ลงทุน ผอร์ทไม่ควร"ขาดทุนเงินต้น"
แม้ไม่มีใครอยากขาดทุน แต่ก็เห็นๆกันอยู่ว่า ทั้งนักลงทุน,นักเก็งกำไร ทนแรงกระตุ้นจากนิสัยชอบเสี่ยงไม่ไหว
โดยเฉพาะตอนเห็นว่า"ใครๆก็ทำกัน ใครๆก็ได้กำไร" ไม่ระวังตัว เสียสมาธิระวังโอกาสขาดทุน แถมมาร์โทรบอกหุ้นไอพีโอร้อนๆอีก
จำไว้ว่า"การหลีกเลี่ยงขาดทุน คือวิธีแน่นอนที่สุดในการทำกำไร"

14.ราคาที่ผันผวนชั่วคราว
นอกจากโอกาสลงทุนแล้วขาดทุน ยังมีโอกาสที่"ราคา"หุ้นผันหวนโดยไม่ขึ้นกับ"มูลค่า"อีก
หลายคนคิดว่า ราคาผันผวนคือความเสี่ยง ยิ่งราคาร่วงยิ่งเสี่ยง โดยไม่สนใจพื้นฐานหุ้น
จริงๆแล้ว ราคาผันผวน ไม่ทำให้คุณค่าหุ้นลดแบบถาวร
แม้ว่าราคาผันผวนจากแรงซื้อขาย ไม่เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานกิจการ แต่เราหลีกเลี่ยงราคาผันผวนระยะสั้นไม่ได้
ดังนั้นอย่าจ่ายแพง ซื้อหุ้นราคาร่วงระยะสั้น จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนระยะยาว
ถ้ารับเรื่องราคาผันผวนไม่ได้ ก็ไม่ควรลงทุนหุ้น
คนสามพวกในสถานการณ์หุ้นตก
1. พวกเดือดร้อนกับราคาร่วง ต้องการคัทลอส ทั้งๆที่ควรขายเมื่อได้ราคาที่ต้องการ ไม่ใช่ขายเมื่อจำเป็นต้องขาย
2. พวกชอบหุ้นที่มีปัญหา เช่นต้องเพิ่มทุน
3. พวกลงทุนยาว เห็นราคาผันผวนของนายตลาด เป็นโอกาสซื้อหรือขาย
ถ้ามีเงินสดก็ได้เปรียบ ถ้าถือหุ้นเต็ม ผอร์ทแดง ก็เสียโอกาสซื้อ
หรือถือหุ้นไม่มีสภาพคล่องก็อาจเสียโอกาสสวิทช์หุ้นที่ถูกกว่า

15. มีเหตุผลคงเส้นคงวา ดีกว่าวูบวาบตื่นตาตื่นใจ
ขาดทุนเยอะแค่ครั้งเดียว ทำให้กำไรผอร์ทที่ค่อยๆสะสมมาหลายปีเสียหายมากในทีเดียว
ทำผลตอบแทนได้สม่ำเสมอโดยป้องกันdownside risk ดีกว่าลงทุนแบบกำไรเยอะแต่เสี่ยงขาดทุนเงินต้น
กำไร16%10ปีติดต่อกัน ดีกว่ากำไร20%ติดต่อกัน9ปี แล้วเสีย15%ในปีสุดท้าย

16. เตรียมรับมือเรื่องแย่ที่สุด
ต้องเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ โชคร้าย,ความผิดพลาด,ความซวย เกิดใด้เสมอ
คนมองการไกลจะบริหารผอร์ทเสมือนว่า หายนะทางการเงินเกิดขึ้นใด้ทุกเวลา

17. มองที่ขบวนการ ไม่ใช่ผลลัพท์
หลายคนมองเป้าหมายผิด ไปเป็นตัวเลขผลตอบแทน
การตั้งเป้าไม่ได้แปลว่าจะถึงเป้าได้ ถ้าไม่ได้บอกว่าจะไปถึงได้อย่างไร เช่นตั้งเป้ากำไร15%แต่ไม่บอกวิธี
ผลตอบแทนไม่ได้ขึ้นตรงกับความอยาก เวลา แรงกายแรงใจ
คนทั่วไปอาจได้เงินเพิ่ม เมื่อใช้เวลาทำงานนานขึ้น หรือผลิตสินค้าได้มากขึ้น
แต่นักลงทุนอาจไม่ได้ผลตอบแทนเพิ่ม เมื่อคิดมากขึ้น หรือคิดนานขึ้น
สิ่งที่ทำได้คือ การมีวินัยสม่ำเสมอ วิแคะวิจัยหุ้นอย่างเข้มข้นทั่วถึง
และแทนที่จะตั้งเป้าเป็นกำไรที่ต้องการ(แม้จะสมเหตุสมผล)
ควรตั้งเป้าที่"ความเสี่ยง"(โอกาสขาดทุน)มากกว่า

18. รอจนกว่าจะ"เป๊ะ"
บัฟเฟต์ใช้เกมเบสบอล อธิบายจังหวะวิธีวีไอ
คือรอเป็นร้อยๆลูก กว่าจะได้ตีสักลูก
วีไอจะเรียนรู้ทุกลูกที่ขว้างมา ทั้งที่ตี และปล่อยผ่านไป
วีไอจะอดทนรอจนกว่าลูกที่ขว้างมา คือโอกาสลงทุนหุ้นที่ราคาถูกกว่าคุณค่า จึงจะลงทุน,ตีลูก
วีไอจะไม่ลงทุนธุรกิจที่ไม่เข้าใจ หรือเสี่ยงมากไป
ผลงานคนอื่นไม่มีผลต่อวีไอ ผลงานตัวเองเท่านั้น ที่เป็นแรงจูงใจ
กองทุนส่วนใหญ่ถูกกดดันให้ลงทุนเต็มที่ตลอดเวลา ทำเหมือนต้องตีทุกลูกที่ขว้างมาให้ได้
รายย่อยส่วนใหญ่ทำตัวเหมือนมือสมัครเล่น แยกลูกดีกับลูกแย่ไม่ได้
ทั้งกองทุน รายย่อย นายตลาด ยังรู้สึกดีที่ได้ซื้อๆขายๆวุ่นวายกันทั้งหมด
วีไอจะเลือกตีลูกดี และต้อง"เป๊ะ" จะได้ผลงานดีที่สุดโดยไม่ถูกกดดันให้ลงทุนผิดจังหวะ
หุ้นตัวที่ถูกที่สุดตอนตลาดแพง ก็อาจแพงไป
ไม่จำเป็นต้องลงทุนแบบกำไรชัวร์ๆ10% ในขณะที่อีกไม่นาน หุ้นกำไร15%แบบเซฟๆกำลังตามมา
บางครั้งลูกดีๆเป็นโหลๆ ตามกันมาติดๆในตลาดตื่นตระหนก ทั้งถูกกว่า หลายลูกกว่าเดิม ให้วีไอได้เลือกซื้อหุ้นถูกที่น่าสนใจที่สุดได้
ในทางกลับกัน ตอนตลาดเริงร่า หุ้นถูกๆจะมีน้อย วีไอควรคำนวนมูลค่าอย่างมีวินัย และไม่ซื้อแพงไป
"เหนือสิ่งอื่นใดคือ ระวังตลอดเวลาไม่ไปตีลูกแย่ๆ"

19.ความซับซ้อนของการคำนวนมูลค่า
เป็นเรื่องผิดร้ายแรงถ้าคิดว่ารู้ข้อมูลทุกอย่าง
ไม่เพียงแต่ข้อสงสัยที่ไม่มีคำตอบ แต่ยังไม่ได้ถามคำถามที่สมควรถามเลยก็มี
ต่อให้เข้าใจการนำเสนอข้อมูลอย่างดี ผลการลงทุนก็ยังออกมาไม่แน่นอน
ต่อให้รู้ข้อมูลทั้งหมด ความจริงที่ซับซ้อนของมูลค่าธุรกิจก็ไม่ได้สลักให้เห็นบนแท่นหิน
การลงทุนจะง่ายขึ้นเยอะ ถ้า"ราคา"หุ้นเคลื่อนไหวไปรอบๆ"มูลค่า"ที่"นิ่งๆ "เหมือนโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
ถ้าไม่แน่ใจมูลค่าที่คำนวนได้ แล้วจะรู้ได้ไงว่าซื้อในราคามีส่วนลด?
ความจริงคือ "คุณไม่รู้มูลค่า"เป๊ะๆ"หรอก"

20. คาดหวังจะคำนวนมูลค่าแม่นๆเป๊ะๆ
หลายคนยึดติดความแม่นยำของการตีมูลค่าหุ้น คือหาความแม่นยำในโลกที่แปรปรวน ซึ่งทำไม่ได้
ตัวเลขต่างๆในรายงานก็เป็นแค่ "การเดาอย่างดีที่สุด"ของนักบัญชี ผู้ใช้กรรมวิธีมาตรฐานเข้มงวด
ให้ได้"ตัวเลข"ออกมา แทนที่จะได้"มูลค่าทางเศรษฐกิจ"
คุณประเมินราคาบ้านที่คุณอยู่ได้แม่นยำเป็นหลักหมื่นยังไม่ได้เลย แล้วจะไปตีมูลค่าธุรกิจที่ซับซ้อนวุ่นวายนั่นให้แม่นกว่าบ้านได้รึ?
มูลค่าธุรกิจยังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กระเพื่อมจากเศรษฐศาสตร์มหภาค ,จุลภาค,ตัวแปรตลาด,ฯลฯ
พยายามตีมูลค่าแม่นๆ ก็ได้ตัวเลขผิดแบบจังๆ อย่าสับสนระหว่าง"ทำได้" กับ"ได้ทำ"
แค่เครื่องคิดเลขธรรมดาก็หาNPV IRR ออกมาคร่าวๆได้แล้ว
คอมพิวเตอร์จะทำให้วุ่นวายและลืมความจริงที่ว่า"ข้อมูลขยะเข้าไป ได้ผลลัพท์ขยะออกมา"
หนังสือsecurity analysis ของGraham&Doddอธิบาย"ช่วงมูลค่า"ไว้ว่า
"ประเด็นสำคัญคือ การวิเคราะห์หุ้น ไม่ได้แปลว่าต้องหามูลค่าออกมาเป็นตัวเลข"เป๊ะๆ"
แค่ประมาณคร่าวๆอย่าง"เพียงพอ"เพื่อใช้ตัดสินใจลงทุนว่า มูลค่าหุ้นหรือพันธบัตรนั้น ต่ำหรือสูงกว่าราคาตลาดก็พอ"
Grahamมักคำนวนเป็น net working capital/share, liquidation value
samatah
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 896

โพสต์

21. ทำไมต้องมี margin of safety
เป็นวีไอ คือต้องมีวินัยเพื่อซื้อหุ้น"ราคาถูกกว่ามูลค่า" แล้วถือไว้จนกว่าราคาจะขึ้นมาเต็มมูลค่า
"ส่วนลด"คือกุญแจสำคัญของกระบวนการลงทุน
เพราะการลงทุน เป็นศาสตร์พอๆกับศิลป์ วีไอจึงต้องมี margin of safety
จะมี margin of safety ก็ต้องซื้อได้ถูกกว่ามูลค่า
ถูกมากพอจะชดเชยข้อผิดพลาด,ความซวย,ความผันผวนของโลก ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วซับซ้อน คาดเดาไม่ได้
Grahamบอกว่า margin of safety ขึ้นกับ"ราคาซื้อ"
มีMargin of safetyมากที่ราคานึง มีน้อยลงเรื่อยๆที่ราคาซื้อแพงขึ้น และไม่มีเลย ถ้าแพงขึ้นอีก
วีไอมองหา margin of safety ให้มีส่วนเผื่อ เผื่อความไม่แม่นยำ เผื่อความซวย เผื่อคำนวนผิด
"เพื่อที่จะไม่ขาดทุน"
Margin of safety จึงจำเป็นเพราะ
1. การคำนวนมูลค่าคือ ศิลปะที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
2. อนาคตเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ และ
3. นักลงทุนเป็นแค่คนคนหนึ่ง และมักทำผิดพลาดเสมอ

22. Margin of safety แค่ไหนจึงจะพอ?
แต่ละคนตอบไม่เหมือนกัน
"ทน"ความซวย,ความผิดพลาด,ความผันผวนธุรกิจ ได้แค่ไหน สรุปคือ"ทนขาดทุนได้เท่าไหร่?"
รายย่อยไม่มองหา margin of safety กองทุนแบบจัดเต็มก็ไม่มอง แมงเม่าโลภตามกระแสก็เช่นกัน
พวก"สุดขอบ"(margin investors)ที่ลง"นวัตกรรมทางการเงิน"ใหม่ๆ ก็มักจะไต่"ขอบเหว"(margin of peril)
งั้นจะมั่นใจว่ามี margin of safety ได้ไง
ก็ซื้อในราคาที่มี"ส่วนลด" จากมูลค่า ให้ความสำคัญส่วนที่จับต้องได้ มากกว่าส่วนจับต้องไม่ได้
(ไมได้แปลว่าจะไม่ลงทุนบริษัทที่มีทรัพย์สินจับต้องไม่ได้)
ถ้ามีหุ้นถูกกว่า ก็เปลี่ยนหุ้น
ขายเมื่อราคาตลาด เท่ากับหรือแพงกว่ามูลค่า
ถือเงินสดถ้าจำเป็น จนกว่าจะมีของถูกให้ซื้อ
ต้องรู้ว่า หุ้นที่ถืออยู่ อันไหนถูก และทำไมถึงถูก
ตัองรู้เหตุผลที่ซื้อ และขายเมื่อเหตุผลนั้นหมดไป
มองหา"ตัวเร่ง"ที่ทำให้ราคาขึ้นมารับรู้มูลค่า
บริษัทที่ผู้บริหารมีฝีมือ และมีผลประโยชน์ร่วมในนั้น
สุดท้าย กระจายและ"hedge" เมื่อราคาน่าสนใจ

23. ของดีสามอย่างของวีไอ
1. bottom up
วีไอหาโอกาสลงทุนจากการวิแคะพื้นฐาน มองหา"ส่วนลด" จากหุ้นนึง ไปอีกหุ้นนึง เป็นตัวๆไป
คือ"ซื้อถูกๆแล้วรอ" ดังนั้นต้องตีมูลค่าหุ้นเป็น มองราคาปั๊บ รู้ปุ๊บเลย ว่า"ถูก"มั้ย
แล้วก็ต้องอดทนและมีวินัย เพื่อรอจนเจอหุ้นถูก แล้วซื้อ ไม่สนทิศทางตลาด ,เศรษฐกิจมากนัก
2. absolute performance
กองทุนกับรายย่อยส่วนใหญ่มักดูผลงานเปรียบเทียบ(relative performance)
เพื่อเอาชนะตลาด,คนอื่นในระยะสั้น ไม่ว่าจะขาดทุนหรือกำไร โดยต้องจ้องหรือเดาว่าคนอื่นเขาทำอะไรกันอยู่
วีไอจะวัดผลแบบเทียบกับเป้าหมายตัวเอง(absolute performance)ไม่สนคนอื่น
ซึ่งผลงานดีๆจะมาจาก ซื้อหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า แล้วขายเมื่อราคาเกินมูลค่า ใช้ระยะยาว อาจมีผลงานแย่ระยะสั้น
เพราะไปซื้อหุ้นที่ไม่นิยม รอนานกว่าราคาจะขึ้น แต่โอกาสขาดทุนน้อยกว่า
3. Risk and return
ขณะที่คนส่วนใหญ่มองแต่กำไร มองข้ามขาดทุน วีไอจะมองทั้งโอกาสกำไรและขาดทุน
"ความเสี่ยง"คือ ขนาดและโอกาสของการขาดทุน เช่นพันธบัตรเบี้ยวหนี้ บ่อน้ำมันแห้ง หุ้นตกฯลฯ
แต่ถ้า พันธบัตรจ่ายดอกครบ บ่อมีน้ำมัน หุ้นขึ้น แปลว่าไม่เสี่ยง? ไม่ใช่เลย
ประเด็นคือ เราไม่รู้อะไรมากกว่าเดิม ทั้งก่อนและหลังเสี่ยง
เราทำได้แค่"กระจาย"ให้มากพอ และ"hedge"เมื่อเหมาะสม และลงทุนแบบมี margin of safety
แน่ๆคือ เราไม่รูความเสี่ยง เวลาลงทุนของถูก แต่ส่วนลดจากของถูก จะเป็นเบาะรองรับเวลาเกิดเรื่องผิดพลาด

24. จ่ายแพงไปสำหรับการเติบโต
หลายคนตัดสินใจจากการเดาการเติบโตในอนาคต ยิ่งกระแสเงินสดโตมากเท่าไร ราคาปัจจุบันยิ่งสูง แต่..
1. มักมั่นใจว่าเดาอนาคตใด้ แล้วก็ประมาท
2. ในธุรกิจโตเร็ว แค่ใส่ตัวเลขต่างไปนิดเดียว ผลคำนวนมูลค่าออกมาก็ผิดไปไกลลิบ
3. ยิ่งมีคนแย่งกันซื้อ ราคาก็พุ่งเลยพื้นฐานไปอีก
ยิ่งเอากำไรระเบิดชั่วคราว มาโลกสวยระยะยาว จนจ่ายแพงสำหรับธุรกิจธรรมดาๆ
เรื่องยากอีกอย่าง คือพยามคำนวนการเติบโตที่ขึ้นกับปัจจัยสารพัดอย่าง เช่น ราคาขายต่อหน่วย,ประชากร
อัตราการใช้สินค้า ,ส่วนแบ่งการตลาด,อัตราการแทรกซึม ฯลฯ ให้ออกมาเป็นตัวเลข(แบบผิด)เป๊ะๆ
บัฟเฟต์บอกไว้ว่า"ถ้าซื้อแพงไปมากๆ ต่อให้ธุรกิจนั้นดียังไง ก็อาจต้องรอเป็นสิบปี กว่ามูลค่าจะตามทันราคาซื้อ"

25. เรื่องลับ ลวง พราง ของการเติบโต
ส่วนใหญ่มองอนาคตโลกสวย ตัวอย่างเช่นตอนบ.ตัดขาดทุนทางบัญชี
วิธีทางบัญชีนี้อนุญาตให้บ."ล้างบ้าน"โดยเอาทรัพย์สินห่วยๆ ,หนี้สูญ,เงินกู้แย่ๆ,ค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้าง ดีดทิ้งในพริบตา
แบบนี้มักทำให้ตลาด,นักวิแคะ มองว่าหลังตัดขาดทุน ROE, profit margin จะเพิ่ม ตีราคาหุ้นสูงขึ้น
วีไอไม่ควรดีใจกับนิรโทษกรรมแบบนี้นัก เมื่อลบประวัติต้องโทษแล้ว มองอดีตไม่เห็นความผิด
ทีนี้ก็แค่มโนอดีตขาวสะอาดไปเป็นอนาคตสดใส ว่าปัจจุบันกลับใจ อนาคตจะไม่ทำผิดอีกแล้ว(แน่ใจ?)

26. ลงทุนในการเติบโตแบบอนุรักษ์นิยม
วีไอจะทำนายเรื่องอนาคตที่ทำนายไม่ได้ยังไง?
คำตอบเดียวคือ "อนุรักษ์นิยม" เพราะตัวเลขทุกตัวคลาดเคลื่อนได้หมด
โลกสวยอาจกลายเป็นโลกเศร้า คิดว่าทุกอย่างต้องสดใสซาบซ่า อาจเจอซวยซ้ำซากได้
ควรวิแคะแบบอนุรักษ์นิยมที่สุด และลงทุนใน"ราคามีส่วนลด"เสมอ

27. วิแคะวิจัย เท่าไหร่ถึงจะพอ?
บางคนยืนยันต้องวิจัยให้รู้ทุกประเด็นที่จะลงทุน ศึกษาอตสาหกรรม,คู่แข่ง,คุยกับอดีตลูกจ้าง,ผู้เชี่ยวชาญ,นักวิแคะ
ตีสนิทผู้บริหาร,ดูตัวเลขย้อนหลังหลายปี,กราฟราคา.สารพัด ทำได้ก็ดี แต่..
1. วิจัยลึกแค่ใหน ข้อมูลบางอย่างก็ยังมัวๆ ต้องรู้จักใช้ข้อมูลมัวๆนี้แหละ
2. ต่อให้ได้ข้อมูลชัดเจนทุกอย่าง ก็ไม่แน่ว่าลงทุนแล้วได้กำไร
ไม่ได้แปลว่าให้เลิกวิเคราะห์พื้นฐาน แต่ข้อมูลก็อยู่ในกฎ80/20 เหมือนกับหลายๆอย่าง
ข้อมูล80% ใช้เวลา20% จะหาข้อมูลลึกๆอีก20% อาจไม่คุ้มกับเวลาที่เสียเปล่า
จะหาความแน่นอนแม่นยำก็เสียเวลาเปล่า หลีกเลี่ยงข้อมูลยากๆจะดีกว่า
ความไม่แน่นอนมักมาพร้อมราคาหุ้นต่ำๆ พอเรื่องราวชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นเอง
ลงทุนแบบข้อมูลแบบไม่ครบ ไม่แน่นอน มักได้กำไรดีกว่าคนที่เสียเวลาหาข้อมูลรายละเอียดแบบไม่เจอคำตอบ
เสียโอกาสซื้อหุ้นถูกแบบมี margin of safety เพราะข้อมูลไม่ครบ

28. วีไอ และชาวสวน
โดยธรรมชาติ วีไอก็เป็นชาวสวนอยู่แล้ว
หุ้นไม่ฮิตอาจราคาถูก หุ้นฮิตไม่เคยถูก เพราะคนส่วนใหญโลกสวยตามแห่ซื้อแพง
งั้นหุ้นถูกๆอยู่ที่ไหน? ก็หุ้นที่เขาแห่ขาย,ละเลยไม่สนใจ,ตลาดยังไม่ค้นพบ
เป็นชาวสวนมันยาก เพราะไม่เคยมั่นใจว่า เมื่อไร อันไหน ที่มันใช่
เพราะต้องทำตัว"ผิด"จากชาวบ้าน อาจผิดมากกว่า ผิดนานกว่า อาจขาดทุนในตอนแรก
ขณะที่ชาวบ้านอาจ"ถูก"ช่วงแรก หรือนานกว่าจากแนวโน้มตลาด
เป็นชาวสวนอาจไม่ได้ผลทุกครั้ง และไม่ควรว่ายน้ำทวนกระแส
โดยเฉพาะเวลาที่ความเห็นส่วนใหญ่เป็น"ความจริง"ที่ไม่เปลี่ยนแปลงประเด็น เช่น พรุ่งนี้เช้า พระอาทิตย์ต้องขึ้น

29. ความเชื่อผิดๆเรื่องดัชนี
วีไอถือว่า แบบนี้บ้าและอันตราย
บัฟเฟต์สังเกตว่า ในการประกวดประชันทั้งการเงิน ความสวย ฯ จะมีคู่แข่งที่ถูกสอนว่า"ไม่ต้องลอง ไม่ได้ผลหรอก"
เซธ เชื่อว่าวีไอจะชนะตลอด โดยไม่ต้องไปแข่งกับพวกขี้เกียจและมองอะไรตื้นๆ
การใช้ดัชนี เป็นกลยุทธ์ ที่ผิดพลาดและอันตราย เพราะ
1. มันจะกลายเป็นวิธีทำลายตัวเอง เมื่อมีคนแห่ทำตามกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ดัชนีมีที่มาจากทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ ยิ่งมีคนตั้งดัชนีมากขึ้นเท่าไร ยิ่งมีคนวิแคะพื้นฐานหุ้นน้อยลงเท่านั้น
ในที่สุดแล้ว ถ้าทุกคนใช้ดัชนี ราคาหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีใครซื้อขาย
2. มีปัญหาเวลาต้องเปลี่ยนหุ้นในดัชนีื เพราะบ.ล้มละลายหรือโดนเทคโอเวอร์
เพราะถ้าใช้ดัชนี ต้องลงทุนหุ้นในดัชนีนั้นเต็มที่ตลอดเวลาเพื่อเกาะดัชนีนั้น
หุ้นที่เปลี่ยนตัวเข้าออกดัชนี จะถูกซื้อขายอย่างรุนแรงทันทีโดยกองทุนนับร้อยกอง
ถ้าหุ้นขาดสภาพคล่อง วันที่หุ้นตัวนั้นเข้าดัชนี ราคาจะพุ่งขึ้นเพราะมีคนยอมซื้อแพงโดยพื้นฐานหุ้นไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
ดัชนีก็เหมือนเรื่องบ้าตามแห่ในตลาดหุ้น พอเวลาผ่านไป ราคาหุ้นทั้งตัวก็ร่วงดิ่งทันทีที่หุ้นถูกตัดออกจากดัชนี
Barron's บอกว่า"ความสำเร็จของดัชนีจะทำให้ยิ่งมีดัชนีเพิ่มขึ้นอีก พอตลาดกลับทิศ การขายหนีตายจะทำให้ดัชนีร่วงลงตาม"

30. ณ. แดนอันตราย
ตลาดหุ้นเป็นแดนอันตรายสำหรับนักลงทุน
ไม่มีทางเลือก นอกจากจะลงทุนโดยระวังตัวตลอดเวลา
พฤติกรรมปกติของตลาดหุ้นคือ หาผลประโยชน์เข้าตัวให้มากที่สุด
ทิศทางมักเป็นระยะสั้น ซึ่งเราต้องยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้
ถ้าคุณทำธุรกิจกับตลาดหุ้นด้วยข้อเตือนใจทั้งหมดนี้ คุณก็รวยได้
แต่ถ้าคุณเอาแต่หวังพึ่งตลาดหุ้นละก็ ความสำเร็จในการลงทุนดูจะลางเลือน..

อาจมีข้อผิดพลาด โดยเฉพาะประโยคที่เป็นปฏิเสธซ้อนปฏิเสธนะครับ
ช่วยจับผิดและแก้ไขการบ้านให้ด้วยนะครับ..
samatah
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 897

โพสต์

ขอบคุณพี่ dr1 มากๆครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
comrade
Verified User
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 898

โพสต์

ขอบคุณพี่ dr1 ครับ
อย่างผมนี่ สมควรต้องอ่านทวนหลาย ๆ รอบให้เข้าสมองจริง ๆ
SURE I AM OF THIS
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 899

โพสต์

ขอบคุณอย่างสูงครับคุณdr1
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 900

โพสต์

ซู้ดดดดดดด หยอด จารย์หมอหนึ่ง

อ่านแล้วต้องเคาะกะลาที่ครอบหัวออกเลย

ยิ่งแก่ยิ่งต้องเรียน มัวแต่ดูคลิปเหนี่ยวไก๊ ไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้นเลย
ก่ำไร๊ ก็โดนลักตามเหนี่ยวไก๊

อยากไปคารวะจารย์ที่หาดใหญ่จริงๆ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/