พุธ พ.ย. 26, 2014 1:05 am | 0 คอมเมนต์
หนังสือmargin of safety เล่มจริงคือเล่มนี้ครับ(เพิ่งเห็นว่ามีเพื่อนสมาชิกแนะนำไว้ในห้องใหญ่)
http://ebookbrowsee.net/seth-klarman-ma ... d725918481
มีตัวอย่างกรณีศึกษาในเมืองนอกประกอบเยอะ บางอันอาจเกิดขึ้นในอนาคตในบ้านเรา บางอันอาจไม่
ของคุณวิชาล กานเดวาลจากwww.safalniveshak.com(ชื่อเหมือนคนสามคน คนสุดท้ายชื่อแปลกดี)
คุณวิชาลเป็นนักวิแคะ8ปีเต็ม เห็นการหลอกลวง เก็งกำไร ความผิดพลาดจากคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญชุ่ยๆ
จึงอยากบอกว่า วีไอควรศึกษาการลงทุนเอง ลงทุนหุ้นไม่ใช่เรื่องยาก
แค่มี"นิสัยที่ถูกต้อง"แล้วก็ทำซะ สนุกด้วย รวยอีกต่างหาก
คุณวิชาลอ่านหนังสือเล่มนี้3รอบ สรุปมา30ข้อ ผมอ่าน3ที ฝรั่งเขียน อินเดียสรุป ไทยปนเจ๊กแปล มั่วแน่นอน..
1. เป็นวีไอ ไม่ง่าย
ต้องทำงานหนัก วินัยเข้ม อดทนนาน น้อยคนที่จะทำได้
การเข้าใจกฎ,สูตรแบบผิวเผิน (knowhow)โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ เจอความผันผวนตลาด อาจไม่รอดระยะยาว
โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ต้องเข้าใจ จริงจังในหลักการวีไอว่าลงทุน ทำไม เมื่อไร(knowwhy ,knowwhen)
หลักวีไอ" เข้าใจง่าย " ไม่ต้องอัจฉริยะสุดยอดพ่อมดสมการคอมพิวเตอร์เวลา"ตีคุณค่า"หุ้นหรอก
เข้าใจง่าย"แต่ทำยาก" ส่วนที่ยากที่สุดคือ วินัย ความอดทน ให้การลงทุนที่ไม่คุ้มผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า
และการตัดสินใจลงทุน เมื่อการลงทุนที่น่าสนใจมาถึง (รอลูก"เป๊ะ")
2.ริจะเป็นวีไอ
ต้องมีวินัย(ตรงนี้ยากที่สุด) ตามหาของถูก ลดความเสี่ยง
ต้องแยกตัวจากฝูงชน ท้าทายความเชื่อเดิมๆ ต้านกระแสเชี่ยวกราก มุ่งมั่นอย่างเดียวดาย
อาจมีผลตอบแทนแย่ยาวนานเมื่อเทียบกับแนวอื่น โดยเฉพาะตอนตลาดแพงเว่อร์
แต่ในระยะยาว แนววีไอยังได้ผลดี แม้บางช่วงจะมีคนลืมๆหลักวีไอไปบ้าง
3.ศัตรูตัวสำคัญของการเป็นวีไอ
ถ้าเดาทิศทางตลาดได้ ก็ไม่ต้องมาเป็นวีไอแล้ว
ตอนหุ้นตัวใหนขึ้นมากๆ แนววีไอจะดูง่อยไปเลย เพราะหุ้นไม่ฮิตจะขึ้นน้อยกว่าตัวที่ตลาดนิยมเล่นกัน
ตอนตลาด"เต็มมูลค่า"ไปถึง"แพงเว่อร์" วีไอก็กำไรน้อยอีก เพราะไปขายหมูก่อนเขา
เวลาดีที่สุดของวีไอ คือตอน"ตลาดล่ม"
พวกโลกสวยก็เจ็บตัวกันไป วีไอรอดเพราะลงทุนโดยมีmargin of safety ป้องกันความเสี่ยง
พวกทายอนาคตได้ก็ควรไปเล่นหุ้นแบบมาร์จิ้นซะ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครได้กำไรมากกว่าที่โม้
ดังนั้น ถ้ารู้ตัวว่าเดาทางราคาหุ้นไม่ได้ ก็ควรมาเป็นวีไอซะ ปลอดภัย ได้ผลในทุกสถานการณ์
4. ทั้งหมดคือ"แนวคิด"
แนวคิดที่เหมาะสมก็คือ
การลงทุนคือ "ธุรกิจแบบจริงจัง"ไม่ใช่บันเทิงแบบเล่นๆ
ต้องเป็น"นักลงทุน" ไม่ใช่นักเล่นหุ้นเก็งกำไร และต้องเข้าใจว่า2นักเนี่ย ต่างกันตรงไหนด้วย
เช่น นักลงทุนต้องแยก pepsico จากpicasso แยกการลงทุนจริงจัง จากการเล่นของสะสม
ถ้าเงินคุณที่หามายาก สำคัญในอนาคตละก็" แนวคิดผิดๆ" จะทำให้คุณเสียหายแบบ"รับไม่ได้"เลย
5. อย่าไปหาคำแนะนำจาก"นายตลาด"
นักลงทุนบางคน(จริงๆแล้วคือนักเก็งกำไร)ไปให้นายตลาดนำทาง
พอนายตลาดแห่ขายหุ้นถล่มราคา ก็ลืมหลักวีไอตีมูลค่าหุ้นซะฉิบ ขายตามเขาไป
พอนายตลาดแย่งกันซื้อ ก็ไปซื้อตามเขามาแพงๆ
เรื่องจริงคือ นายตลาด"ไม่รู้อะไรเลย"
เป็นผลรวมของการซื้อๆขายๆหลายร้อยพันโดยไม่ได้มาจากพื้นฐานการลงทุนเล้ย
พวกลงทุนตามอารมณ์ พวก"เกร็ง"กำไรก็เลยขาดทุนแบบช่วยไม่ได้
ส่วนวีไอตัวจริงก็ใช้ประโยชน์จากอารมณ์แปรปรวนนายตลาด มีความสุขกับความสำเร็จยาวๆไป
6.ราคาหุ้นกับความจริงในธุรกิจ
Louis lownstien เตือนไม่ให้สับสนว่า
หุ้นขึ้น ไม่ได้แปลว่าธุรกิจดี หรือ"มูลค่า"ธุรกิจเพิ่ม
หุ้นลง ไม่ได้แปลว่าธุรกิจแย่ หรือมูลค่าธุรกิจลดลง
ต้องแยกระหว่าง ราคาที่กระเพื่อม กับความจริงของมูลค่าธุรกิจ
ถ้าตลาดแห่ซื้อหรือแห่ขาย เราต้องต้านกระแสนี้ ไม่แห่ตามไป
และอย่าละเลยนายตลาด เพราะความผิดพลาดของเขาคือโอกาสของเรา อย่าให้นายตลาดมาบงการเราได้
7."ราคา"กับ"มูลค่า"
"คุณค่า"เมื่อเทียบกับราคา ไม่ใช่แค่"ราคา"จะเป็นตัวบอก ว่าคุณเป็นคนแบบไหน
ถ้าคุณมองว่า ตลาดเป็น"ตัวสร้างโอกาส"ลงทุน ตอนราคาต่างกับมูลค่ามากๆ แปลว่าคุณเริ่มเป็นวีไอแล้ว
แต่ถ้าคุณยังยืนยันให้นายตลาดมาชี้นำคุณอยู่อีก คุณควรให้คนอื่นมาบริหารเงินคุณจะดีกว่า
เพราะ"ราคา"หุ้น ขึ้นกับเหตุร้อยแปดพันเก้าจนไม่รู้ว่าจากอะไรกันแน่ ควรมองทะลุราคาเข้าไปถึง"คุณค่า"ภายในของธุรกิจ
และเปรียบเทียบคุณค่า กับราคาบ่อยๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุน
8. อารมณ์จะทำลายการลงทุน
พวกล้มเหลวจะใช้อารมณ์(โลภกับกลัว)มากกว่าจะใจเย็นมีเหตุผล เวลาตลาดผันผวน
บางคนที่มีสติ มีความรับผิดชอบชีวิต ใช้เวลาหลายเดือนปี ทำงานหนักอดออมเงิน
แต่เวลาลงทุนกลับตัดสินใจแบบลวกๆในเวลาไม่กี่นาทีแบบประสาทๆก็มี
คนพวกนี้ตอนจะซื้อกล้องถ่ายรูป เครื่องเสียง ใช้เวลานาน ศึกษา เข้าร้านฯลฯ
แต่พอจะลงทุน ดันซื้อหุ้นที่เพื่อนแนะนำแบบไม่ลังเล
ความเป็นเหตุเป็นผลตอนซื้อของ กลับไม่ได้เอามาใช้ตอนซื้อหุ้น
9. ตลาดหุ้น ไม่ใช่แหล่งเงินทันใจ
ส่วนใหญ่คิดว่าตลาดหุ้นเป็นแหล่งหาเงินง่าย แบบไม่ต้องทำงาน แทนที่จะเป็นแหล่ง"ลงทุน" ให้ได้ผลตอบแทน
ใครเคยได้เงินง่าย จะเริ่มโลภแล้วหาทางลัด ไม่รอให้ผลตอบแทนค่อยๆทบต้นตามเวลา
พยายามหาเคล็ดลับร้อนๆ หาหุ้นเด็ด โดยไม่เฉลียวใจว่านั่นมันหุ้นเด็ดชีพ
ความโลภกลายเป็นมองโลกสวย มองข่าวร้ายเป็นเรื่องสบายๆ
ความโลภทำให้การลงทุนระยะยาว กลายเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น
10.วงจรตลาดหุ้น
ตลาดขึ้นแล้วต้องลง ราคาหุ้นสูงจนมีคนขายมากกว่าคนซื้อ
ตลาดจะมีช่วงบ้าเล่นหุ้นกันเป็นพักๆ อาจแยกยากจากแนวโน้มความรุ่งเรืองของธุรกิจ
แต่เมื่อราคาหุ้นพุ่งสูงจนแพงเกินมูลค่าธุรกิจเมื่อไร ช่วงนั้นเป็นช่วงอันตราย