มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4681

โพสต์

เล่นกันจนหนำใจ ก็ได้เวลาเข้าพักผ่อนกันที่รีสอร์ท

ก่อนจะเตรียมแช่ออนเซ็น ขอหม่ำซะให้เต็มที่ก่อนครับ :ep:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4682

โพสต์

หม่ำปู ซะให้ฉ่ำใจเลย

แต่แกะยากไปนิด ตามประสาคนไม่ค่อยถนัด แต่ก็อร่อยดีครับ ยิ่งจิบสาเกด้วยแล้ว อร่อยเลิศเลยครับ :ep:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4683

โพสต์

ใส่ชุดยูกาตะ มาหม่ำข้าว
หม่ำเสร็จก็ออกมาถ่ายรูป ข้างนอกหนาวมากๆ ตอนนี้เป็น -4 องศาแล้ว ไม่ไหว มันดุหวิวๆครับ กลับมาข้างในโรงแรมดีกว่า :mrgreen:

เข้ามาก็เจออีกแล้ว เครื่องกดตู้อัตโนมัติ มีทุกที่จริงๆ เจ้าตู้พวกนี้ สมกับเป็นญี่ปุ่น จ้าวแห่งตู้อัตโนมัติจริงๆ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4684

โพสต์

มาญี่ปุ่น ทั้งที ไม่มาแช่ออนเซ็น ก็เสียเที่ยวแย่เลย

เลยแวบมาถ่ายรูปไว้ก่อน บรรยากาศตอนยังไม่ดึกคนน้อยครับ

ยิ่งคนไทยแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ชอบแอบมาตอนดึกๆกัน

ผมรู้แกวเลยมาตอนนี้เลยดีกว่า คนน้อยดี ชวนเจ้าลูกชายมาลงแช่ออนเซ็นกัน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4685

โพสต์

ก่อนจะเข้าออนเซ็นก็ยังอุตสาห์มีตู้กด อัตโนมัติอีก

หนาวขนาดนี้ จะกิน ไอติม คงม่ายไหว :mrgreen:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4686

โพสต์

เข้าไปถ่ายรูปมาเพิ่งรู้ทีหลังว่า เค้าห้ามถ่ายรูป
แต่ตอนที่ถ่ายก็ยังไม่มีคนเลย

ถ่ายยากมาก เพราะ เป็นฝ้าไอน้ำ ที่เลนส์จนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย

มีบ่อใหญ่ๆ อยู่ 2 บ่อร้อนต่างกันพอประมาณ

แล้วก็มีบ่อข้างนอก ซึ่งเจออากาศหนาวข้างนอก ตอนออกไปข้างนอก แทบจะวิ่ง 100 เมตร เพราะหนาวจับใจเลยทีเดียว :roll:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4687

โพสต์

ไอ้เจ้าลูกชายก็ขำใหญ่

เพราะไปแช่น้ำแร่ ระนองใส่ชุดว่ายน้ำลง หรือใส่กางเกงขาสั้นลงยังพอได้ แต่ที่นี่ ถอดหมดสถานเดียว

รู้แต่ว่าถอดหมดปั๊บ วิ่งปรู้ดเข้าอาบน้้ำ ไม่ได้อายอะไรหรอก มันหนาวน่ะครับ :mrgreen:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4688

โพสต์

รู้แต่คืนนี้ นอนหลับสบายมากเลย

อีกอย่าง ผมเปิดแง้มหน้าต่าง สูดอากาศ -4 องศา นี่มันเย็นสะใจยังไงไม่รู้

เพราะส่วนตัวชอบอากาศหนาวเป็นที่สุด

ตอนเช้ามาเก็บรูปโรงแรม เพราะตอนเข้ามา ไม่ทัน 5 โมงเย็น พี่ยุ่นเล่น เอามืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย อย่างกับ 2 ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4689

โพสต์

ออกเดินทางตอนเช้า ตามสไตล์ทัวร์ ผมไม่ชอบอยู่อย่างนึงคือ ต้องกำหนดเวลา
เช่นสูตร 6-7-8

ทุกคนก็จะรู้กันว่า ปลุก 6 โมงเช้า กินข้าวเช้า 7 โมง ล้อรถหมุนออก 8 โมงเช้า

แต่ที่ไม่ชอบที่สุดเลยก็ สูตร 5-6-7 ยิ่งถ้าใครมีลูกเล้กจะรู้กันเลยทีเดียว ว่านอนสบายๆ แล้วถูกปลุกนี่ เด็กๆปลุกไม่ง่ายเลย แถมน่าเห็นใจด้วย

ทริปหลังๆจะพยายามไปเที่ยวเองดีกว่า
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4690

โพสต์

วันนี้จะพาเด็กๆ ไปล่องเรือโจรสลัดกัน ที่ทะเลสาบ อาชิ

เหมือนเดิม ผมชอบถ่ายรูปตามทางไปเรื่อยๆ ถ่ายเก็บพวกตึกรามบ้านช่องของประเทศที่ไปครับ

กลับมาก็จะมาดูย้อนๆ เรียกความทรงจำครับ

อีกอย่าง มันก็แสดงถึง เอกลักษณ์ประจำชาติของประเทศที่เราไปด้วยครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4691

โพสต์

ลืมไปว่า ก่อนไปล่องเรือที่ทะเลสาบอาชิ

ต้องไป หม่ำไข่ดำ ที่หุบเขาโอวาคุตานิ ก่อนครับ

อากาศหนาวมากมาย แถมรองเท้า ดันเจ๊งไปตั้งแต่เมื่อวานที่เล่นสกี เล่นมันส์มากไป ไม่ก็โดนหิมะ กัดซะปากรองเท้าเปิดเลย 555

รู้เลยว่าเดินท่ามกลางอากาศหนาวสะท้านแบบตัวเลขหลักเดียว ด้วยรองเท้าแตะ มันทรมานเท้ามากขนาดไหน :'O

ที่หุบเขาปีศาจ โอวาคุตานิ รู้ได้เลยว่าเข้าเขต เพราะมีกลิ่นกำมะถัน โชยมาแต่ไกล

มาที่นี่หม่ำไข่ดำ 1 ฟอง อายุยืนขึ้น 1 ปีครับ

ว่าจะเหมาซัก 10 ฟอง กลัวจะไม่ยืนขึ้น 10 ปี แต่อาจจะสั้นลงแทน เพราะไขมันจุกอก :mrgreen:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4692

โพสต์

สัญลักษณ์ของที่นี่ เป็น เจ้าไข่ดำ

เลยเอาเจ้าไข่ขาว ไปถ่ายคู่ซะเลย :mrgreen:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4693

โพสต์

เหมือนเดิมไม่ว่าไปที่ไหน ก็เจอตู้อัตโนมัติ ตลอดๆ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4694

โพสต์

หลังจากเดินแบบ หนาวที่เท้ามาก จากหุบเขามรณะ โอวาคุตานิ แล้วก็ถึงเวลาไปผจญภัย (ของเด็กๆ กับเรือโจรสลัด )

กับนั่งเรือแบบชิลๆ ( ของพ่อแม่) กันแบบสบายๆ โรแมนติก :wink:

อากาศดีมากๆ เย็นสบายๆ อยากให้เมืองไทย อากาศแบบนี้ ทั้งปีเลยทีเดียว

ระหว่างรอขึ้นเรือ ก็หนาวจับหัวใจ จากลมแรงๆ กันเลยทีเดียว :wink:
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4695

โพสต์

เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ สำหรับการไปเยือนชาวเชียงใหม่

ชาว VI เชียงใหม่ ตั้งใจเรียนรู้มากครับ โดยเฉพาะมีผู้นำที่เข้มแข็งอย่างพี่ yy

และมีน้องๆหลายคนที่ต้องเรียกว่ามีความรู้ในการแลกเปลี่ยนอย่างออกรส เพียงแต่เสียดายนิดนึงตรงที่มีเวลาคุยกันน้อยไปหน่อย เพราะผมพุดเพลินไปหน่อย อิอิ :mrgreen:

ก็จะทำยังไงได้ครับ หลังจากผ่านการตัดสินใจไปเชียงใหม่ในตอนเช้า ด้วยความห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว

ผมพูดกับตัวเองว่า วันนี้จะปล่อยความรู้แบบเต็มที่เลย ไหนๆก็ตั้งใจมาเชียงใหม่แล้ว ต้องให้คนที่มาได้ความรู้่แนว VI
อย่างเต็มที่

มีโอกาสคงกลับไปเยี่ยม ชาวเชียงใหม่อีกนะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4696

โพสต์

ขอเอารูปชาว VI เชียงใหม่มาฝากพวกเราครับ

ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นมากๆครับ :wink:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4697

โพสต์

ข่าวดีของคนฝั่งธน และของผมด้วยครับ

กทม.ดีเดย์ 5 ธ.ค.เปิดให้บริการบีทีเอสส่วนต่อขยายสายสีลม ตากสิน-บางหว้า ฟรี 1 เดือน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้การก่อสร้างสถานีและระบบรถไฟฟ้าตามโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสีลม (ตากสิน- เพชรเกษม) ได้ดำเนินแล้วเสร็จอีก 2 สถานี คือ สถานีวุฒากาศ (S11) และสถานีบางหว้า (S12) เหลือเพียงการเก็บรายละเอียดบริเวณบันไดขึ้นลงเท่านั้น

จากก่อนหน้านี้กรุงเทพมหานครได้เปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีลมโดยไม่คิดค่าโดยสาร ไปแล้ว 2 สถานี คือ สถานีโพธินิมิตร และสถานีตลาดพลู ซึ่งจากการทดสอบของสถานีใหม่ทั้งสองแห่งพบว่ามีความพร้อมในการเดินรถแล้ว จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ และเพื่อเป็นการทดลองให้บริการและประชาสัมพันธ์เส้นทางก่อนในระยะแรก กรุงเทพมหานครจะเปิดให้บริการโดยไม่คิดค่าโดยสาร เป็นเวลา 1 เดือน จนถึงวันที่ 5 ม.ค.57 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา จากนั้นจะเริ่มเก็บค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.57 เป็นต้นไป ในอัตรา 10 บาทตลอดเส้นทาง เช่นเดียวกับส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท

ทั้งนี้การเปิดเพิ่มอีก 2 สถานีคือ สถานีวุฒากาศ (S11) และสถานีบางหว้า (S12) รวมเป็นระยะทาง 7.5 กม. และคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการสูงถึง 70,000 เที่ยว/วัน หลังเปิดให้บริการครบทั้ง 4 สถานีดังกล่าว นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของผู้โดยสาร กรุงเทพมหานครยังได้ติดตั้งกล้อง CCTV โดยรอบสถานี รวมจำนวน 64 ตัว พร้อมทั้งติดตั้งลิฟต์โดยสารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้สูงอายุในทุกสถานีอีกด้วย

นอกจากนี้ กทม.ยังมีแนวคิดที่จะพัฒนารถไฟฟ้าส่วนต่อขยายจากสถานีบางหว้าไปจนถึงสถานีตลิ่งชัน รวมจำนวน 6 สถานี งบประมาณในการก่อสร้าง 11,000 ล้านบาท เพื่อให้ชาวกรุงเทพฯ ในฝั่งธนบุรี สามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนสาธารณะของกรุงเทพมหานครได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 62

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า นอกจากจะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายแล้ว กรุงเทพมหานครได้เตรียมประสานกรมเจ้าท่า เพื่อเปิดให้บริการเดินเรือโดยสารในคลองภาษีเจริญ ระยะทาง 11.5 กิโลเมตรอีกด้วย ซึ่งการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าและเรือโดยสารดังกล่าว จะสามารถตอบสนองความต้องการในการเดินทางของพี่น้องประชาชนได้ครอบคลุมและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในฝั่งธนบุรีจะสามารถเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ประหยัดและปลอดภัย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4698

โพสต์

เป็นผมคงมึนเหมือนกันครับ เจอค่าโทรศัพท์เดือนละ 2 ล้าน :shock:

http://pantip.com/topic/31333410
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4699

โพสต์

บทความ ดร.นิเวศน์ แต่ละบทความนี่ต้องยกนิ้วกด Like ให้เลยครับ

สำหรับแต่ละมุมมอง

พออ่านเสร็จ คิดตามก็ว่า เออแฮะ จริงด้วยสิ :D
ช่วงสิบปีที่ผ่านมานั้น หุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไปมากในด้านของ “คุณภาพ” ของกิจการก่อนหน้านั้นดูเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ของไทย ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทผลิตและขายสินค้าเป็นโภคภัณฑ์เป็นหลัก

บริษัทขายสินค้ามี “ยี่ห้อ” หรือบริษัทขายสินค้าเป็นที่ต้องการผู้บริโภค ที่มีกำไรต่อยอดขายหรือมีมาร์จินสูง ถือเป็นกิจการมี “คุณภาพสูง” นั้น มักเป็นบริษัทขนาดเล็ก สัดส่วน Market Cap. หรือมูลค่าตลาดบริษัทมี “คุณภาพดี” เหล่านั้นมีน้อยมาก

แต่เดี๋ยวนี้ “หุ้นผู้บริโภค” มีมูลค่าตลาดของหุ้นใหญ่ขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทเหล่านั้นยอดขายและกำไรขยายตัวสูงกว่าหุ้นโภคภัณฑ์ แต่ที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าคือราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น “แพง” ขึ้นมาก นั่นคือค่า PE ของหุ้นผู้บริโภคสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับหุ้นโภคภัณฑ์ที่ยังมีค่า PE ในระดับ 10 เท่าบวก-ลบ ในขณะที่หุ้นผู้บริโภคจำนวนมากมีค่า PE ในระดับอาจจะ 20 เท่าบวก-ลบ และมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หุ้น “ผู้บริโภค” ที่กำลังพูดถึงนั้น ไม่ใช่หุ้นตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจัดโดยตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นหุ้นบริษัทที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้อสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง บริษัทนั้นเป็นคนทำการตลาดเพื่อเชิญชวนให้คนมาซื้อสินค้า บริษัทเป็นคนตั้งราคาขายสินค้าเอง ยอดขายและกำไรบริษัทขึ้นอยู่กับนโยบายและกลยุทธ์ต่างๆ ที่บริษัทใช้แข่งขันกับคู่แข่ง หรือต่อรองกับหน่วยงานควบคุมของรัฐ

ในกรณีที่เป็นบริษัทที่อิงอยู่กับสัมปทานหรือกฎระเบียบต่างๆ ดังนั้นหุ้นผู้บริโภคจึงมีกระจายกันไปในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไร ถ้าเขาขายให้คนซื้อที่มีเป็นพัน หมื่น แสน หรือเป็นล้าน ๆ คน สินค้าของเขามียี่ห้อที่คนรับรู้ และเขาเป็นคนทำการตลาดและกำหนดราคาเองได้ แบบนี้ก็เข้าข่ายที่เขาจะเป็น “หุ้นผู้บริโภค”

หุ้นผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ ที่เริ่มปรากฏมากขึ้นในระยะหลังประมาณ 10 ปีมานี้ มักจะเป็นบริษัทที่เป็น “ผู้ชนะ” ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของตนเอง พวกเขามักเป็นคนที่ขายสินค้าโดยตรงต่อผู้บริโภค ไม่ได้ขายผ่านผู้อื่นมากนัก ความหมายคือพวกเขามักมี “หน้าร้าน” ที่ได้สัมผัสกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด

ที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ สินค้าหรือบริการของพวกเขานั้น มักเป็นสินค้า “สมัยใหม่” หรือเป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ใช้กันมากขึ้น พูดง่าย ๆ เป็นสินค้าที่อยู่ใน “เมกาเทรนด์” ลองมาดูกันว่ามีบริษัทไหนบ้าง ไล่กันไปทีละกลุ่มอุตสาหกรรม

กลุ่มแรกคือหุ้นในกลุ่มอาหาร จะพบว่าหุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่ตาม Market Cap. ก็คือ หุ้น CPF ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนคิดเป็นมูลค่าตลาด 2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม สินค้าส่วนใหญ่ของ CPF นั้น จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่บริษัทถือหุ้นจำนวนมากใน CPALL ซึ่งเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นมาก

หุ้นตัวที่สองคือหุ้น M เครือข่ายร้านภัตตาคารซึ่งเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดที่มีมูลค่าตลาดกว่า 4 หมื่นล้านบาทกลายเป็นหุ้นใหญ่อันดับ 4 ในกลุ่ม หุ้นตัวที่สามคือหุ้น MINT ซึ่งทำโรงแรมและร้านอาหาร ที่มีมูลค่าตลาดเกือบหนึ่งแสนล้านบาท เช่นเดียวกับ CENTEL ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และนี่คือหุ้นที่ทำให้มูลค่าหุ้นในกลุ่มอาหารโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

หุ้นกลุ่มที่สองคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่อาจจะถือว่าอยู่ในหุ้นกลุ่มผู้บริโภคเช่นกัน เนื่องจากรับเงินฝากและให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การหาผู้ชนะในกลุ่มแบงก์เป็นเรื่องยาก และธุรกิจนี้ยังมีปัจจัยหลายอย่าง ในการที่จะประสบความสำเร็จ เช่นเรื่องภาวะหนี้เสียและอื่นๆ ทำให้มูลค่าตลาดของแบงก์เองนั้นโตขึ้นไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม พูดง่ายๆเดิมเมื่อ 10 ปีก่อนแบงก์เองใหญ่มากอยู่แล้ว สำหรับผมแล้วกลุ่มแบงก์ยังไม่อาจจะพูดได้เต็มที่ว่าเป็นหุ้นผู้บริโภค

หุ้นสถาบันการเงิน ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคที่น่าสนใจมาก เนื่องจากเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาไม่นานก็คือ หุ้นในกลุ่มประกันชีวิตที่มีหุ้น BLA และ SCBLIF ที่มีมูลค่าตลาด ประมาณ 7 หมื่นล้านบาททั้งคู่ จากที่ในอดีตนั้น หุ้นในกลุ่มนี้แทบไม่มีใครสนใจและ Market Cap. น้อยมาก ข้อสังเกตเพิ่มเติมคือทั้งสองบริษัทนั้น มีลูกค้าที่อิงอยู่กับธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญในการแข่งขัน และทำให้ประสบความสำเร็จ เป็น “ผู้ชนะ”

กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่คิดว่าเป็นหุ้นผู้บริโภคเติบโตขึ้นมากช่วง 10 ปีนี้ มีหลายบริษัทซึ่งน่าจะรวมถึงบริษัทที่พัฒนาห้างอย่าง CPN ซึ่งเติบโตขึ้นมากลายเป็นบริษัทขนาด 2 แสนล้านบาท และบริษัทสร้างบ้านขายที่เติบโตขึ้นมาก ซึ่งรวมถึง LH ที่มีขนาด 1 แสนล้านบาท PS ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และบริษัทที่มีขนาดประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมถึงหุ้น BLAND LPN MBK QH SIRI SPALI

หุ้นกลุ่มพาณิชย์ น่าจะถือเป็นหุ้นกลุ่มผู้บริโภคที่ตรงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง และน่าจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงก่อนนั้นกลุ่มพาณิชย์แทบจะไม่มีหุ้นที่มี Market Cap. ขนาดใหญ่เลย แต่ปัจจุบันนั้น หุ้นหลายตัวกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่ บางตัวติดอันดับหนึ่งในสิบของหุ้นใหญ่ที่สุดในตลาด

ประกอบไปด้วย หุ้น CPALL ซึ่งมีมูลค่าถึงประมาณ 3 แสน 5หมื่นล้านบาท หุ้น BIGC และหุ้น MAKRO ที่ต่างก็มีมูลค่าตลาดประมาณ 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท หุ้น HMPRO ที่มีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท และหุ้น ROBINS ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท

ในกลุ่มหุ้นบันเทิง ซึ่งเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เป็นผู้ชนะ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากคือ หุ้น BEC ซึ่งคือทีวีช่อง 3 มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นมากถึงประมาณแสนล้านบาท นอกจากนั้นยังมีหุ้น VGI ที่ขายโฆษณาที่เพิ่งเข้าตลาดไม่นาน มีมูลค่าสูงขึ้นถึงเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่ในอดีตไม่ใคร่จะมีค่ามากนักในตลาดหุ้น แต่ด้วยการเติบโตของหุ้นผู้บริโภคก็ทำให้หุ้นของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ BGH เติบโตขึ้นมหาศาล มีมูลค่าตลาดถึง 2 แสนล้านบาท เช่นเดียวกัน โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ BH ก็เติบโตมีมูลค่าประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท

หุ้นกลุ่มขนส่ง ซึ่งในอดีตมีเพียง THAI เท่านั้นที่มีมูลค่าตลาดสูง ในปัจจุบันกลับกลายเป็นหุ้น AOT และหุ้นของ BTS ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคที่มีมูลค่าสูงมากคือประมาณ 2 แสน 6 หมื่นล้านบาท และ 1 แสนล้านบาทตามลำดับ

หุ้นกลุ่มสื่อสาร ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคและมีขนาดเพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบนั้น รวมถึงหุ้นที่มีขนาดใหญ่มากอยู่แล้วอย่าง ADVANC ที่มีขนาดประมาณ 6 แสน 7 หมื่นล้านบาท หุ้น DTAC และ INTUCH หุ้นละ 2 แสน 5 หมื่นล้านบาท TRUE แสนสองหมื่นล้านบาท และ JAS 5.6 หมื่นล้านบาท

หุ้นผู้บริโภคที่รวมเฉพาะในรายการที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มี Market Cap. ถึงประมาณ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นทั้งหมด และนั่นคือตัวเลขที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเคลื่อนไปสู่การเป็นตลาดหุ้นที่มีหุ้นมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ค่า PE ของตลาดหุ้นไทยควรต้องสูงขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา ที่อยู่ระดับ PE 10 เท่า
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4700

โพสต์

วันก่อนที่พี่หมอมุขไปเชียงใหม่แล้ว post ข้อความใน fb
ว่าเป็นห่วงบ้านเพราะอยู่ใกล้จุดชุมนุมมากนั้น

นุชก็เลยพลอยติดตามข่าวการชุมนุมในจุดนั้นมากเป็นพิเศษไปด้วยค่ะ

ผ่านไปครึ่งวัน ก็มาช่วยลุ้นว่าเหลืออีกครึ่งวัน
พอตกเย็นก็ราบรื่นดี ก็ช่วยลุ้นต่อจนสิ้นวันค่ะ
แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปด้วยค่ะ :wink:

เข้าใจเลยว่าน่ากังวลใจขนาดไหน

.............................

มีรูปญี่ปุ่นมาเพิ่มอีกแล้ว....เยี่ยมเลยค่ะ
ติดตามทั้งรูปครอบครัว รูปท่องเที่ยว ข้อมูลและแนวคิดดีๆ
ด้วยความขอบคุณเสมอค่ะ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4701

โพสต์

theenuch เขียน:วันก่อนที่พี่หมอมุขไปเชียงใหม่แล้ว post ข้อความใน fb
ว่าเป็นห่วงบ้านเพราะอยู่ใกล้จุดชุมนุมมากนั้น

นุชก็เลยพลอยติดตามข่าวการชุมนุมในจุดนั้นมากเป็นพิเศษไปด้วยค่ะ

ผ่านไปครึ่งวัน ก็มาช่วยลุ้นว่าเหลืออีกครึ่งวัน
พอตกเย็นก็ราบรื่นดี ก็ช่วยลุ้นต่อจนสิ้นวันค่ะ
แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปด้วยค่ะ :wink:

เข้าใจเลยว่าน่ากังวลใจขนาดไหน

.............................

มีรูปญี่ปุ่นมาเพิ่มอีกแล้ว....เยี่ยมเลยค่ะ
ติดตามทั้งรูปครอบครัว รูปท่องเที่ยว ข้อมูลและแนวคิดดีๆ
ด้วยความขอบคุณเสมอค่ะ :wink:
ขอบคุณครับ คุณนุช

แต่วันนั้นยังไงก็ต้องไปครับ รับปากทาง VI เชียงใหม่ไปแล้ว อีกอย่างตั๋วเครื่องบินก็ทำไปแล้ว

ห่วงลูกยังไงก็ต้องไปครับ ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา

ตอนนี้ก็เป็นไข้หวัด นิดหน่อยครับเวลาเดินทางไกลๆ แล้วไม่ค่อยได้พักผ่อนครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4702

โพสต์

Paul VI เขียน:
theenuch เขียน:วันก่อนที่พี่หมอมุขไปเชียงใหม่แล้ว post ข้อความใน fb
ว่าเป็นห่วงบ้านเพราะอยู่ใกล้จุดชุมนุมมากนั้น

นุชก็เลยพลอยติดตามข่าวการชุมนุมในจุดนั้นมากเป็นพิเศษไปด้วยค่ะ

ผ่านไปครึ่งวัน ก็มาช่วยลุ้นว่าเหลืออีกครึ่งวัน
พอตกเย็นก็ราบรื่นดี ก็ช่วยลุ้นต่อจนสิ้นวันค่ะ
แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปด้วยค่ะ :wink:

เข้าใจเลยว่าน่ากังวลใจขนาดไหน

.............................

มีรูปญี่ปุ่นมาเพิ่มอีกแล้ว....เยี่ยมเลยค่ะ
ติดตามทั้งรูปครอบครัว รูปท่องเที่ยว ข้อมูลและแนวคิดดีๆ
ด้วยความขอบคุณเสมอค่ะ :wink:
ขอบคุณครับ คุณนุช

แต่วันนั้นยังไงก็ต้องไปครับ รับปากทาง VI เชียงใหม่ไปแล้ว อีกอย่างตั๋วเครื่องบินก็ทำไปแล้ว

ห่วงลูกยังไงก็ต้องไปครับ ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา

ตอนนี้ก็เป็นไข้หวัด นิดหน่อยครับเวลาเดินทางไกลๆ แล้วไม่ค่อยได้พักผ่อนครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ
ภารกิจของพี่หมอมุขน่าชื่นชมมากค่ะ...ยินดีกับชาว VI เชียงใหม่ด้วย
ภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของสังคมคุณภาพ อย่าง thaivi ค่ะ

ทั้งพี่หมอมุข คุณโจ และกรรมการทุกๆ ท่าน
รวมทั้งนักงทุนแนว VI ที่ประสพความสำเร็จอีกหลายท่าน
ล้วนมีความตั้งใจในการถ่ายทอดความรู้และแนวดิดที่ถูกต้อง
ให้แก่นักลงทุนรุ่นหลังๆ อย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเลย

คุ้น ๆ ว่าเมื่อไม่นานพี่หมอมุขก็เพิ่งป่วยไปนะคะ
ตอนนี้ก็เป็นไข้หวัดอีกนิดหน่อย
สงสัยช่วงนี้พี่หมอมุขต้องดูแลสุขภาพดีๆ นะคะ

เพราะใกล้ถึงกำหนดท่องเที่ยวรับลมหนาว
ของ "ครอบครัวที่น่ารัก" ของพี่หมอมุข อีกแล้วค่ะ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4703

โพสต์

นั่นสิครับ คุณนุช ก็ห่วงประเด็นเรื่องสุขภาพเหมือนกันครับ

ถ้าเราจะมั่งคั่งก็ต้อง พร้อมด้วยสุขภาพที่ดีด้วย จริงมั้ยครับ

อาจเป็นเพราะวันนั้น ไปแล้วกลับภายในวันเดียวครับ ถ้าย้อนไปซักช่วง 30 กว่าๆ สบายมากครับ

ตอนนี้ก็ซื้อจักรยานออกกำลังแบบอยู่กับที่ มาไว้ขี่แล้วครับ พยายามบังคับตัวเองให้มีวินัยครับ
ก็รู้สึกดีขึ้นครับ ขี่ให้หัวใจได้ออกกำลังบ้าง

แล้วก็ลดกาแฟลง (บ้าง) แล้ว กินวิตามิน กินพวก Antioxidants ครับ

ขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับคุณนุช ยิ่งตอนนี้ใกล้จะเที่ยวแล้ว ไม่ยอมป่วยแล้วครับ :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4704

โพสต์

บทความล่าสุด ดร.นิเวศน์ครับ
หุ้น10 เด้ง

บทความเมื่อสัปดาห์ก่อนของผมพูดถึง “หุ้นผู้บริโภค” ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นในปัจจุบันว่าเป็น หุ้นที่เป็น “ผู้ชนะ” ในแง่ที่มันได้เติบโตขึ้นมาจนมีขนาดใหญ่มาก สัดส่วนของหุ้นผู้บริโภคในตลาดหุ้นคิดตาม Market Cap. หรือมูลค่าตลาดนั้นเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นโดยเฉพาะหุ้นของบริษัทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ในบทความนั้น ผมพูดถึงหุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่จำนวนประมาณเกือบ 30 ตัว ในบทความนี้ ผมจะมองย้อนหลังไป 10 ปี และดูว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่เติบโตขึ้นมากจนมีมูลค่าตลาดโตขึ้นเป็น 10 เท่าขึ้นไป หรือเป็นหุ้น “10 เด้ง” ซึ่งเท่ากับการที่หุ้นให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปีแบบทบต้นและสามารถเรียกว่าเป็นหุ้น “Super Stock” ได้

หุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น MINT ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีราคาเพียง 1.99 บาท จนถึงช่วงปัจจุบันมีราคา 24 บาท เท่ากับราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 12 เท่า นี่คือหุ้นที่ทำกิจการภัตตาคารทั้งที่เป็นอาหารจานด่วน อาหารทั่วไป ร้านไอศกรีม และอีกครึ่งหนึ่งทำกิจการโรงแรมที่มีเครือข่ายกว้างขวางและขยายไปทั่วโลก ส่วนหุ้นตัวที่สองก็คือหุ้น CENTEL ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ทำกิจการแบบเดียวกับหุ้น MINT เกือบจะทุกประการ หุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคา 2.15 บาทเป็น 36 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 เท่าในเวลา 10 ปี

หุ้นตัวต่อมาคือหุ้น SCBLIF ซึ่งทำกิจการประกันชีวิตซึ่งมีการเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ธนาคารเข้ามาเป็นผู้ขายประกันให้กับลูกค้าของธนาคารได้ ส่งผลให้ SCBLIF ซึ่งอยู่ในเครือแบงค์ขนาดใหญ่ในขณะนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นของ SCBLIF ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.28 บาทกลายเป็น 1046 บาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารถึง 78.8 เท่า ถึงแม้ว่าราคาที่ประมาณ 13 บาทนั้นจะไม่ใคร่มีการซื้อขาย และราคาที่เริ่มมีการซื้อขายในช่วง 7- 8 ปีที่ผ่านมาจะเป็นประมาณ 70 กว่าบาท หุ้นตัวนี้ก็ยังเป็นหุ้น 10 เด้ง อยู่ดี

หุ้นกลุ่มที่มีหุ้น 10 เด้งมากที่สุด และเป็นหุ้นขนาดใหญ่ทุกตัวที่ผมได้กล่าวถึงก็คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ซึ่งประกอบด้วยหุ้น BIGC CPALL MAKRO HMPRO และ ROBINS โดยที่หุ้น BIGC ปรับตัวขึ้นจาก 18.1 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็น 185 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 10.2 เท่า หุ้น CPALL เพิ่มขึ้นจาก 3.03 บาทเป็น 41.75 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 13.8 เท่า หุ้น MAKRO เพิ่มขึ้นจาก 2.4 บาทเป็น 32.75 บาท หรือเพิ่มเป็น 13.7 เท่า หุ้น HMPRO เพิ่มขึ้นมหาศาลจาก 0.49 บาท เป็น 10.6 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 21.6 เท่าในเวลา 10 ปี และสุดท้ายหุ้น ROBINS ที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 บาทเป็น 53 บาทหรือเพิ่มขึ้น 15.1 เท่า

หุ้นโรงพยาบาลที่โตขึ้นเป็นหุ้น 10 เด้งก็คือหุ้น BGH ซึ่งโตขึ้นจาก 6.66 บาทเป็น 129.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นมากถึง 19.4 เท่า และนี่ก็คือหุ้นของโรงพยาบาลที่โตขึ้นเร็วมากด้วยกลยุทธ์การเทคโอเวอร์โรงพยาบาลทั่วประเทศ กลายเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ “ระดับโลก” โดยที่ยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุด

หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่น่าสนใจเนื่องจากมีหุ้นขนาดใหญ่มากอยู่หลายตัวก็คือหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ถ้ามองย้อนหลังไป 10 ปี กลับพบว่าไม่มีหุ้นตัวไหนที่เป็นหุ้น 10 เด้งเลยสำหรับหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่าหุ้นในกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่นั้น ในอดีตก็ใหญ่มากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้น TRUE นั้น ในช่วงปลายปี 2551 มีราคาเพียง 0.81 บาท ในขณะนี้ที่ช่วงปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 9.05 บาทหรือเพิ่มขึ้นเป็น 11.2 เท่า เช่นเดียวกับหุ้น JAS ในช่วงต้นปี 2552 ก็มีราคาประมาณ 0.37 บาท และปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบันเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 21.4 เท่า

นอกจากหุ้น 10 เด้ง ดังที่กล่าวถึงแล้ว หุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่บางตัวก็มีการเติบโตขึ้นมากเป็นหลายเท่าในช่วง 10 ปี โดยหุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น CPF ที่ราคาปรับขึ้นจาก 3.9 บาทเป็น 27.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่า หุ้นตัวที่สองคือหุ้น CPN ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.75 บาทเป็น 42 บาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8 เท่า ในเวลา 10 ปี และสุดท้ายคือหุ้น BH ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 12.3 บาท เป็น 90 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 7.3 เท่า และนี่ก็คือหุ้นที่โตประมาณ ปีละ 20% เศษ ๆ แบบทบต้นในเวลา 10 ปี ซึ่งต้องถือว่าเป็น หุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” ได้

หุ้นชุดสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่โตประมาณปีละ 15% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมประกอบไปด้วยหุ้น PS ที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.86 บาทเป็น 20.3 บาทหรือโตขึ้นเป็น 4.2 เท่าในเวลา 10 ปี หุ้น LPN ที่โตขึ้นจาก 3.71 บาทเป็น 18.7 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า หุ้น JAS ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.41 บาทเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.6 เท่าในเวลา 10 ปี

หุ้น 10 เด้ง ในเวลา 10 ปี ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ผมเห็นว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม “หุ้นเติบโต” หรือเป็น Growth Stock และเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในแง่ที่มันเป็นกิจการที่แข็งแกร่งเป็นผู้นำโดยเฉพาะในด้านของฐานะทางการตลาด อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์” ที่ยังเติบโตได้ดีไปอีกหลาย ๆ ปีและมีศักยภาพสูงในแง่ที่ว่าตลาดในอนาคตยังเติบโตต่อไปได้อีกมาก มีผลประกอบการที่มั่นคงสม่ำเสมอ มีคุณสมบัติทางธุรกิจที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ เช่น เป็นกิจการที่มีกระแสเงินสดที่ดีมาก มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ในระดับที่สูง และสุดท้ายก็คือ เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่พอสมควรในช่วงก่อนที่มันจะเริ่มเติบโตกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือใหญ่มากในปัจจุบันซึ่งทำให้มันเป็นหุ้นที่นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในจำนวนที่มีนัยสำคัญได้ในช่วงที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ พูดง่าย ๆ หุ้น 10 เด้งที่พบนั้น ไม่ใช่กิจการขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้ว นี่คือหุ้นดีที่ลงทุนได้อย่างสบายใจและให้ผลตอบแทนสุดยอดในระยะยาว

แน่นอนว่าหุ้นที่กลายเป็นหุ้น 10 เด้งในเวลา 10 ปีในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีเฉพาะซุปเปอร์สต็อกดังที่กล่าวเท่านั้น มีหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าหรือมากกว่านั้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากที่โตขึ้นมากและสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนมหาศาลในเวลาอันสั้น หุ้นเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือหุ้นกลุ่ม “Turnaround” หรือหุ้นที่เคยมีปัญหาหนักแทบเอาตัวไม่รอดแต่ในที่สุดก็ “ฟื้นตัว” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น หันไปทำธุรกิจใหม่หรือแก้ไขปัญหาทางการเงินสำเร็จ หรือแก้ไขหรือปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจจนสามารถฟื้นผลการดำเนินงานของกิจการขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถซื้อหุ้นจำนวนมากในราคาที่ต่ำมากได้เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายอาจจะน้อยมาก นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงหากกิจการไม่ฟื้นและต้องเพิ่มทุนมหาศาลซึ่งจะ Dilute หรือลดสัดส่วนหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมลงไปมาก

หุ้น 10 เด้งอีกกลุ่มหนึ่งถ้าจะมีก็คือ หุ้น “Cyclical” หรือหุ้นวัฏจักร ซึ่งมักเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโภคภัณฑ์ที่มีราคาผันผวนรุนแรง ในยามที่ราคาสินค้าตกต่ำสุดขีดนั้น ราคาหุ้นก็มักจะตกต่ำลงไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นก็คือจุดที่จะทำให้มันกลายเป็นหุ้น “10 เด้ง” ถ้าราคาสินค้าเริ่มเปลี่ยนทิศอย่างแรงซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตาม และในบางครั้งมากเป็น 10 เท่าในเวลาอันสั้น ประเด็นก็คือ หุ้นวัฏจักรนั้น ราคาที่สูงขึ้นเป็น 10 เท่านั้น อาจจะไม่สามารถยืนอยู่ได้นาน เมื่อ “หมดรอบ” มันก็มักจะปรับตัวลงอย่างแรงซึ่งทำให้การลงทุนโดยเฉพาะในยามที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงแล้วกลายเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรจากหุ้นในกลุ่มนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4705

โพสต์

คนไทยอ่วมเตรียมรับค่าครองชีพปีหน้าพุ่ง พลังงานจ่อปรับราคายกแผง ไล่ตั้งแต่แอลพีจีภาคครัวเรือนที่ยังค้างท่ออีก 4 บาทต่อกก. พร้อมขยับภาคขนส่งตามอีก 2.75 บาทต่อกก. ตามมาด้วยก๊าซเอ็นจีวีอีก 4 บาทต่อกก. ยันเลิกตรึงน้ำมันดีเซลปล่อยให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ดึงภาษีสรรพสามิตเก็บเข้าระบบ ทั้งหมดอ้างรับเปิดเออีซี ขณะที่นักวิชาการหนุนหลังบิดเบือนมานาน

นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาโครงสร้างการปรับราคาพลังงานที่ยังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพื่อใช้เป็นฐานราคาพลังงานใหม่ในปี 2557เนื่องจากปัจจุบันราคาพลังงานยังต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะราคาก๊าซเอ็นจีวีและดีเซล ซึ่งปัจจุบันยังขายต่ำกว่าราคาตลาดโลกค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงสั่งให้ ปตท. เร่งศึกษาแผนรองรับเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน

โดยที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไปแล้ว ตั้งแต่เดือนวันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นมา ในอัตรา 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม รวมแล้วปรับขึ้นไปแล้ว 2 บาทต่อกิโลกรัม และจะปรับขึ้นอีก 4 บาทต่อกิโลกรัมจนครบ 6 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนสิงหาคม 2557 รวมเป็นราคา 24.13 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันจะต้องทยอยปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งขึ้นตามไปด้วยในเดือนมีนาคม 2557 ในอัตราเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม จนครบที่ 24.13 บาทต่อกิโลกรม หรือปรับขึ้น 2.75 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ หลังจากราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนปรับขึ้นไปที่ 3 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 จากปัจจุบันราคาแอลพีจีภาคขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม

พร้อมกันนี้จะพิจารณาปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีควบคู่กันไปด้วย จากปัจจุบันขายอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับต้นทุนจริงอยู่ที่ 14-15 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนจะปรับราคาเอ็นจีวีเมื่อไรนั้น ต้องดูความเหมาะสมอีกครั้ง แต่ยืนยันว่าจะปรับขึ้นภายในปีหน้าอย่างแน่นอน ส่วนแนวทางการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวี เบื้องต้นอาจให้ ปตท. หารือกับกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้เอ็นจีวี เพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับกลุ่มแท็กซี่ อาทิ การซื้อพื้นที่โฆษณาบนรถแท็กซี่ การติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยระหว่างผู้โดยสารและคนขับ เพื่อแลกกับการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวี เนื่องจากกระทรวงพลังงานจะพยายามลดเงินอุดหนุนให้น้อยที่สุด

ขณะที่รถบรรทุก ก็จะส่งเสริมให้ใช้เอ็นจีวีเกรดพรีเมียม ที่ไม่ต้องเติมคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมให้เอกชนทำสถานีบริการเอ็นจีวีเอง

ส่วนการปรับขึ้นราคาดีเซล จากปัจจุบันไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร แนวทางการปรับโครงสร้างราคานั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐว่าจะปรับขึ้นอย่างไร เนื่องจากปัจจุบันความต้องการใช้ดีเซลนับว่าเป็นครึ่งหนึ่งของยอดใช้น้ำมันทั้งหมด ซึ่งการปรับขึ้นราคาจะกระทบวงกว้าง ดังนั้นจะต้องศึกษาอย่างรอบคอบ โดยขณะนี้กองทุนน้ำมันฯอุดหนุนดีเซล 60 สตางค์ต่อลิตร คิดเป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาทต่อวัน เพื่อรักษาระดับค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้ต่ำเกินไป ปัจจุบันค่าการตลาดดีเซลอยู่ที่ 1.26 บาทต่อลิตร

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามแผนการปรับโครงสร้างราคาก๊าซเอ็นจีวีที่วางไว้ จะดำเนินการหลังจากที่ราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนปรับขึ้นไปแล้วครึ่งหนึ่งหรือ 3 บาทต่อกิโลกรัม จะมีการพิจารณาปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้ราคาเอ็นจีวีสะท้อนตามต้นทุนที่แท้จริงและไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างของราคาระหว่างกันเกิดขึ้นมากนัก หากเป็นไปตามแผนในช่วงเดือนมีนาคมก็จะมีการปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นไป โดยจะทยอยปรับราคาเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัมจนครบตามต้นทุนที่แท้จริงในระดับ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม ตามที่ได้มีการศึกษาไว้เฉพาะกลุ่มอย่างรถสาธารณะ เช่น รถโดยสาร รถตู้ร่วมขสมก. และรถแท็กซี่ จะยังใช้ในราคาเดิมอยู่เพราะถูกกำหนดอัตราค่าโดยสารไว้ ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลและรถบรรทุก จะต้องใช้เอ็นจีวีในราคาที่ปรับขึ้นไป ซึ่งหากปรับได้จะช่วยลดภาระการอุดหนุนของ ปตท.ได้ประมาณ 32 ล้านบาทต่อวันหรือเกือบ 1 พันล้านบาทต่อเดือน

ส่วนการปรับราคาน้ำมันดีเซลนั้น จะมีการยกเลิกนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯมาชดเชย และจะทยอยเก็บภาษีสรรพสามิตเข้ามาด้วย จากที่ชะลอการเก็บไว้ประมาณ 5 บาทต่อลิตร เพื่อลดการสูญเสียรายได้ของรัฐบาลที่หายไปเดือนละประมาณ 9 พันล้านบาท ส่วนจะปรับขึ้นไปในอัตราเท่าใดนั้น จะต้องมาพิจารณาไม่ให้มีผลกระทบต่อค่าขนส่งและฐานกองทุนน้ำมันฯ รวมถึงต้องเผื่อไว้สำหรับการทยอยปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลด้วย ที่ลดลงไปกว่า 5 บาทต่อลิตรด้วย ซึ่งจะดำเนินการได้เมื่อใดนั้นคงต้องดูจังหวะที่เหมาะสมหรือช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงในปีหน้า

ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการศึกษาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งระบบในแง่มุมด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต ว่าจ้าง มธ.ให้ศึกษาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งหมด เพราะพบว่าปัจจุบันการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันแต่ละชนิดยังบิดเบือน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ปัจจุบันเก็บเพียง 0.005 บาทต่อลิตรเท่านั้น เทียบกับเบนซินเก็บอยู่ที่ 7 บาทต่อลิตร ดังนั้นจะต้องมีการทบทวนอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ คาดว่าผลการศึกษาจะเสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้

ขณะที่การปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบของกระทรวงพลังงาน ส่วนตัวเห็นด้วย โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซเอ็นจีวี เนื่องจากปัจจุบันราคายังถูกบิดเบือนจากต้นทุนจริง ซึ่งจำเป็นต้องปรับอัตราภาษีสรรพสามิตของดีเซลเพิ่มขึ้น และควรปรับลดอัตราภาษีเบนซินลดลงเล็กน้อย เพราะตอนนี้เป็นตัวเลขที่สูงเกินไป

อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ต้องยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งแนวทางการปรับราคาน้ำมันดีเซลนั้น ภาครัฐควรพิจารณาเพื่อกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราเดิม หรืออยู่ที่ประมาณ 5 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 0.005 บาทต่อลิตร แต่หากกังวลว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบมากเกินไปก็อาจทยอยขยับราคาเพิ่มขึ้น 2-3 บาทต่อลิตร ดังนั้นหากราคาน้ำมันในปีหน้าอ่อนตัวลง นับว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่จะขยับราคาขึ้น

นายชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างตั้งคณะทำงาน เพื่อเข้ามาศึกษาแนวทางการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีที่ถูกตรึงไว้ต่ำกว่าราคาตลาดโลก พร้อมกับแผนรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อค่าครองชีพ ซึ่งการช่วยเหลือจะเน้นไปที่เฉพาะกลุ่ม เช่น รถโดยสารสาธารณะ โดยเตรียมจะเสนอแผนดังกล่าวต่อกระทรวงพลังงานภายในเดือนธันวาคมนี้

สำหรับยอดใช้แอลพีจี ปัจจุบันอยู่ที่ 8.6 พันตันต่อวัน เพิ่มขึ้น 9% หรือ 700 ตันต่อวัน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีจำนวนรถเอ็นจีวีสะสมทั้งสิ้น 4.43 แสนคัน แบ่งเป็นยอดใช้เอ็นจีวีในกลุ่มรถใหญ่ (รถบรรทุก รถโดยสาร) อยู่ที่ 55% ,รถเล็ก (รถเก๋ง กระบะ และรถตู้ทั่วไป ) อยู่ที่ 30% และรถแท็กซี่ รถตู้ร่วม ขสมก.อยู่ที่ 15% ของยอดใช้เอ็นจีวีทั้งหมด

นายยู เจียรยืนยงพงศ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากจะมีการปรับราคาเอ็นจีวีขึ้นไปอีก ทางกลุ่มผู้ขนส่งไม่มีปัญหา แต่ก่อนจะปรับขึ้นไปทางกระทรวงพลังงานหรือบมจ.ปตท.จะต้องดำเนินการแก้ปัญหาใน 3 แนวทางก่อน ได้แก่ 1.การเพิ่มสถานีบริการหรือแก้ปัญหาไม่ให้เกิดการขาดแคลน เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มรถบรรทุกที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดยังต้องเข้าคิวรอก๊าซเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง 2.คุณภาพของก๊าซเอ็นจีวีจะต้องไม่มีส่วนผสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะช่วยให้มีเนื้อก๊าซเพิ่มขึ้นลดต้นทุนการเติมก๊าซได้อีกทางหนึ่ง และ 3.จะต้องมีการเปิดเสรีการค้าก๊าซเอ็นจีวีให้อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงพลังงานไม่ใช่ภายใต้การดำเนินงานของบมจ.ปตท.ที่ขณะนี้เป็นผู้อนุมัติในการขายเอ็นจีวีอยู่ และว่า มาตลอดช่วง 2 ปี แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมออกมาว่าปตท.ได้ดำเนินการตามที่เสนอไปแล้ว บอกแต่ว่าขาดทุน ก็เป็นข้ออ้าง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,903 วันที่ 8 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4706

โพสต์

"ซูรูฮะ" เมินมัทสึโมโตะรุกตลาดไทย เดินหน้าขยายพันสาขาในไทยและอาเซียน ชูบริการดีลิเวอรีดักทางคู่แข่ง ประกาศขอขึ้นเบอร์ 3 พร้อมโกยยอดขายทะลุ 3-4 พันล้านบาทใน 5 ปี ด้านเซ็นทรัล เปิดทางทัพสินค้ามัทสึโมโตะล็อตแรก วางจำหน่ายผ่านท็อปส์ ไตรมาสแรก ปี 57

นางสาวเบญจมาศ ต้องประสิทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัท ซูรูฮะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้าน"ซูรูฮะ" ร้านดรักสโตร์จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายในการขยายสาขาร้านซูรูฮะทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนจากนี้ไปให้ได้ครบ 1 พันสาขาใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1.1 พันสาขา ซึ่งแผนงานดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่ในการนำพาแบรนด์ซูรูฮะขยายสาขาไปทั่วโลกให้ครบ 2 หมื่นสาขา โดยไทยถือเป็นประเทศแรกที่มีการขยายสาขาออกมานอกประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้สาเหตุที่เลือกภูมิภาคอาเซียนเป็นภูมิภาคแรกในการขยายตลาด เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพทางการเติบโตของเศรษฐกิจ

"เรามีนโยบายร่วมกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วมทุนจดทะเบียนในการนำแบรนด์ ซูรูฮะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ด้วยจุดมุ่งหมายการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้ไทยเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศที่โดดเด่นที่สุดในอาเซียน และมีศักยภาพทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ"

ด้านแผนการขยายสาขาบริษัทมีแผนการขยายสาขาทั้งสิ้นเฉลี่ยที่ปีละ 20 สาขา โดยมีเป้าหมายขยายให้ครบ 100 สาขาในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 13 สาขา ซึ่งในปีงบประมาณของบริษัท (เม.ย. 56-มี.ค.57) บริษัทตั้งเป้าการขยายสาขาของซูรูฮะไว้ที่ 23 สาขา จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะสามารถขยายสาขาได้ 25 สาขา ทั้งนี้เป็นผลมาจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทสตาร์ตการเปิดสาขาค่อนข้างล่าช้า ไม่ได้เกิดจากผลกระทบทางการเมืองแต่อย่างใด โดยแบ่งเป็นสาขาในเขตกรุงเทพฯ 60% และสาขาในต่างจังหวัด 40% โดยเน้นทำเลในย่านช็อปปิ้งมอลล์ ตึกออฟฟิศ และย่านชุมชนที่อยู่อาศัย บน 2 โมเดลหลักคือพื้นที่ 1 พัน ตร.ม. ในสัดส่วน 10 สาขา และพื้นที่ 200-300 ตร.ม. ผ่านงบประมาณการลงทุนที่ 10-20 ล้านบาทต่อสาขา

นอกจากนี้บริษัทจะใช้งบการตลาดราว 5-10% ของยอดขายทั้งหมดเพื่อใช้ในการสร้างแบรนด์และสื่อสารไปยังผู้บริโภค ผ่านความเป็นการพัฒนาให้ร้านซูรูฮะเป็น ซูเปอร์ ดรักสโตร์ ที่เป็น One Stop Shopping ในเมืองไทย โดยแบ่งเป็นสัดส่วนสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 30% และสินค้าภายในประเทศทั้งจากเครือสหพัฒน์และอื่นๆ 70% ซึ่งในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ ภายใต้ชื่อ "M’s One" อีก 5% นอกจากนี้ยังมีบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ตรวจสภาพผิวหนังและให้คำปรึกษาด้านความงามด้วย

ขณะเดียวกันยังมีแผนนำรูปแบบการให้บริการแบบดีลิเวอรีเข้ามาเสริมในการบริการ หลังจากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเริ่มให้บริการในรูปแบบดังกล่าวไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

"ปัจจุบันมีสินค้าเฮาส์แบรนด์ ภายใต้ชื่อ "M’s One" ของซูรูฮะในญี่ปุ่นทั้งสิ้น 2 พันรายการ แต่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในไทยเพียง 200 รายการ ที่ได้รับความนิยม ซึ่งในส่วนของบริษัทเองได้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านซูรูฮะที่ประเทศญี่ปุ่นหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น มาม่า แปรงสีฟันเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบการจำหน่ายสินค้าเฮาส์แบรนด์ของบริษัทยังจะไม่เน้นในการนำเข้ามาจำหน่าย เนื่องจากต้องการสร้างความหลากหลายให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าภายในร้าน"

ด้านภาพรวมการแข่งขันในกลุ่มร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามในเมืองไทยปัจจุบันมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดรวมจะเติบโตที่ 15-20% หรือมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท (เฉพาะเชนร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพความงามในช่องทางโมเดิร์นเทรด) ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้ามาของเชนร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพความงามที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นร้าน "โอเกนกิ" โดยเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ และล่าสุดกับ ร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ เป็นเชนร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ของญี่ปุ่น มีสาขาเปิดให้บริการทั้งสิ้น 1,327 สาขาทั่วประเทศ

นางสาวเบญจมาศ กล่าวว่า การเข้ามาของร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ ในประเทศไทย ภายใต้การนำเข้ามาของกลุ่มเซ็นทรัล ยอมรับว่าได้ยินข่าวมาบ้าง แต่ยังไม่ทรายรายละเอียดที่แน่ชัดซึ่งในญี่ปุ่นแม้มัทสึโมโตะ คิโยชิ จะเป็นอันดับ 1 และ ซูรูฮะ จะเป็นอันดับ 3 ซึ่งทั้งสองแบรนด์ถือเป็น Top of Mind ในใจของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นทั้งคู่ อีกทั้งยังมีจำนวนสาขาที่ต่างกันไม่มาก ประกอบกับการเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ควบคู่กับการเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของบริษัท จะทำให้เกิดข้อได้เปรียบในการทำตลาด

"การเข้ามาของร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ แม้จะเป็นห่วงบ้างเล็กน้อยในเรื่องการทำตลาด แต่เชื่อว่าจาการการที่เราเน้นแข่งขันกับตัวเอง ประกอบกับการมุ่งสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ผ่านความครบวงจรของแบรนด์ จะทำให้สามารถสร้างลูกค้าขาประจำ บวกกับเน้นการสื่อสารที่ตรงจุดไปยังกลุ่มเป้าหมาย เชื่อว่าจะทำให้เราก้าวไปตามแผน โดยการขึ้นเป็นอันดับ 3 ในตลาดเมืองไทย รองจากวัตสัน และร้านบู๊ทส์ได้"

สำหรับเป้าหมายภาพรวมรายได้ในปีนี้ คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดรายได้ที่ 300 ล้านบาท ขณะที่ปี 2557 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 800 ล้านบาท โดยใน 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2556-2560) หลังจากที่บริษัทสามารถขยายสาขาได้ครบ 100 สาขา คาดการณ์ว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 3-4 พันล้านบาท

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (CRC) โดยนายทศ จิราธิวัฒน์ และนายอลิสเตอร์ เทย์เลอร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ได้บินไปลงนามข้อตกลงกับบริษัท มัทสึโมโตะ คิโยชิ โฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556 โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ธุรกิจร้านสุขภาพและความงามในเมืองไทย ซึ่งเป็นตลาดชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงแนวโน้ม การเติบโต และโอกาสในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ขณะที่นายมัทสึโมโตะ คิโยโอะ รองประธาน บริษัท มัทสึโมโตะคิโยชิ โฮลดิ้ง จำกัด ระบุว่า บริษัทจะนำสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน รวมไปถึงอาหารเสริม และเครื่องสำอางจำนวน 200 รายการไปทดลองวางจำหน่ายที่ร้านค้าปลีกของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทลจำนวน 10 สาขาในไตรมาสแรก ปี 2557 ก่อนที่จะขยายให้ครบทั้ง 228 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งจะพัฒนาเป็นคอร์เนอร์จำหน่ายสินค้าของมัทสึโมโตะด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,903 วันที่ 8 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4707

โพสต์

นิตยสารไทม์ส เผย 10 รายชื่อบุคคลทรงอิทธิพลปี 2013


updated: 09 ธ.ค. 2556 เวลา 20:55:39 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นิตยสารไทม์ส เผยรายชื่อ บุคคลทรงอิทธิพลแห่งปี (เรียงตามลำดับอักษรนามสกุล) 10 รายชื่อ

ได้แก่

1. นายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย

2. เจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้งอะเมซอน

3. เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส

4. ไมลีย์ ไซรัส นักร้อง

5. สมเด็จพระสันตปาปา ฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก

6. นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

7. นายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน

8. แคธลีน เซเบลุส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สหรัฐฯ

9. เอ็ดวาร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นเอสเอ)

10.เอ็ดเวิร์ด วินด์เซอร์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิเกย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4708

โพสต์

updated: 09 ธ.ค. 2556 เวลา 13:16:21 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ใน การแถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายน ปี 2556 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับ 75 จุด ลดลงจาก 76.6 ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และยังเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 22 เดือน



แต่ที่ซ้ำร้ายที่น่าห่วง ไม่แพ้กัน คือ "ดัชนีความสุขในการดำเนินชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต" ซึ่งทางศูนย์ได้สำรวจพบว่า ดัชนีความสุขในการดำเนินชีวิตปัจจุบันของคนไทยอยู่ที่ 76.0 ลดลงจากเดือนก่อนที่ 80.0 และดัชนีความสุขในการดำเนินชีวิตในอนาคต อยู่ที่ 83.7 จากเดือนก่อนที่ 87.5 เป็นการลดลงต่ำสุดในรอบ 1 ปี นับจากเดือนพฤศจิกายน 2555

ไม่เพียงเท่านั้นยังพบว่า ดัชนีที่เกี่ยวข้องปรับลดลงทุกรายการ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปัจจุบันอยู่ที่ 59.2 ลดจาก 60.3 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 79.9 ลดจาก 81.7 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤศจิกายน 2556 อยู่ที่ 65.0 ลดลงจาก 66.6 ในเดือน ต.ค. เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และต่ำสุดในรอบ 22 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำเท่ากับ 68.2 ลดจาก 69.4 ลดลงเป็นเดือนที่ 8 และต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเท่ากับ 91.8 ลดจาก 93.7 ลดลงเป็นเดือนที่ 8 อยู่ต่ำกว่าระดับ 100 เป็นเดือนที่ 6 และต่ำสุดในรอบ 24 เดือน นับตั้งแต่ ธ.ค. 2554

การ ที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคไม่มั่นใจสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคต รายได้จากการส่งออกที่ลดลงโดย 10 เดือนแรก ติดลบ 0.02% หรือมีมูลค่าเพียง 191,533.3 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.40% มูลค่า 210,978 ล้านเหรียญสหรัฐ ขาดดุลการค้า 19,444.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และความกังวลต่อรายได้ภาคเกษตรจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งความกังวลดังกล่าวสอดรับกับตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2556 จะขยายตัว 3% จากคาดการณ์เดิม 3.8-4.3% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดจาก 3.7% เหลือ 3.0% เท่านั้น

เศรษฐกิจไทยปีนี้แทบจะสิ้นหวัง เพราะหอการค้าประเมินว่าปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยมีเพียง 2-3 เรื่อง คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 2.25% ตัวเลข SET Index ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 71.75 จุด จาก 1,442.88 จุด ในเดือนตุลาคม เป็น 1,371.13 จุด

เมื่อสิ้นเดือน พฤศจิกายน และระดับราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกยังทรงตัวอยู่ที่ลิตรละ 29.99 บาท นั่นหมายความว่าน่าจะช่วยบรรเทาความกังวลต่อภาระการปรับราคาสินค้าในช่วง โค้งสุดท้ายได้ในระดับหนึ่ง

ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ปะทะในช่วงเช้า 3 ธ.ค. ประชาชนเริ่มมีความกังวลต่อสถานการณ์ในช่วงบ่ายว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่สถานการณ์การชุมนุมก็พลิกผันคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นในช่วงบ่ายวันเดียว กัน กลุ่มผู้ชุมนุมสามารถเข้าไปในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีการจับมือพูดจาทักทายกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต่อสู้กัน มาหลายวัน จะเป็นการบรรเทาความตึงเครียดเพื่อปรับโหมดเข้าสู่ห้วงเวลาสำคัญของประชาชน ชาวไทย ในการร่วมถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธ.ค. ช่วยบรรเทาความตึงเครียดและผลกระทบต่อเศรษฐกิจลงได้บ้าง จากเดิมที่เคยประเมินว่าถ้าจบก่อนสิ้นปีจะเสียหาย 1-2 หมื่นล้านบาท กระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) 0.1-0.2% ความหวังที่จะเห็นความสงบสุขในบ้านเมือง อาจเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่า หลังจากนี้เศรษฐกิจจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น โดยปี 2557 คาดว่าจีดีพีจะโตได้เกินกว่า 4.5%

ตัวเลขดังกล่าวสอดรับกับดัชนีการส่งออกของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า การส่งออกของไทยรวมทั้งปี 2556 น่าจะเติบโตได้เพียง 0.5% เท่านั้น จากที่เคยคาดว่าจะส่งออกได้ที่ 1% จากปีก่อน แต่สิ่งสำคัญหากไม่มีความรุนแรง หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางการเมือง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้น ทางสภาผู้ส่งออกคาดการณ์การส่งออกในปี 2557 ไว้ว่า อาจกลับมาขยายตัวได้ถึง 5%

อย่างไรก็ตามตัวเลขการประเมินใด ๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า หลังจากผ่านพ้นวันที่ 5 ธ.ค. 56 ซึ่งเป็นสัปดาห์แห่งความปลื้มปีติของปวงชนชาวไทยแล้ว "สถานการณ์ทางการเมือง" จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ และจะทำให้ดัชนีความสุขในการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยในเดือนธันวาคมดำ ดิ่งลงต่อเนื่อง หรือจะฟื้นสู่โหมดการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ รอรับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2557

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4709

โพสต์

บทความแสดงการเปลี่ยนแปลงของ Trend ให้เห็นว่า เริ่มเปลี่ยนทีละน้อยแล้วครับ :roll:
วันศุกร์ที่ 06 ธันวาคม 2013 เวลา 15:16 น.

ไอดีซีคาดการณ์ยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 2556 จะหดตัวลงหนักที่สุดถึงเกินกว่า 10% จากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนไปเลือกซื้อแท็บเลตและสมาร์ทโฟน

บริษัทวิจัย อินเตอร์เนชันแนล ดาต้า คอร์ป หรือไอดีซี เวลานี้คาดการณ์ว่ายอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) จะหดตัว 10.1% ในปี 2556 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งไอดีซีกล่าวว่าเป็นสถิติการหดตัวที่สูงที่สุด เดิมไอดีซีคาดการณ์การหดตัวไว้ที่ 9.7% ขณะเดียวกันไอดีซีระบุว่ายอดขายพีซีทั่วโลกในปี 2557 จะหดตัวลงเพิ่มอีก 3.8%

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเลือกซื้ออุปกรณ์โมบายมากขึ้นเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของบริษัทเทคโนโลยี โดยสร้างแรกกดดันให้กับบริษัทอย่างฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) และอินเทล ขณะที่บริษัท อาทิ แอปเปิล กูเกิล และเฟซบุ๊ก ที่พัฒนาเทคโนโลยีสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสมาร์ทโฟนและแท็บเลตสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าโอกาสในตลาดพีซีจะหมดไปเสียทีเดียว แม้ว่ายอดขายพีซีทั่วโลกจะลดลงจาก 349.4 ล้านเครื่องในปี 2555 เหลือ 314.2 ล้านเครื่องในปีนี้ แต่ไอดีซียังคาดการณ์ว่าพีซีจะมียอดขายเกินกว่า 305 ล้านเครื่องในปี 2560 ส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการใหม่ในตลาดเกิดใหม่จะเข้ามาช่วยลดทอนผลกระทบจากยอดขายที่ลดต่ำลงในตลาดสหรัฐอเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ

"ยอดขายพีซียังไม่หยุด เพียงแต่มีการแข่งขันกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น แท็บเลตขนาดเล็กและใหญ่ สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาดใหญ่ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้งานได้สนุกและมีราคาถูกกว่า" เครก สเตอร์ลิง นักวิเคราะห์อาวุโสจากโอปุส รีเสิร์ช กล่าว

ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคโดยโอวุมแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ความนิยมต่อสมาร์ทโฟนและแท็บเลตมีสูง แต่ 68% ของผู้บริโภคที่หาซื้อสินค้าในวัน Cyber Monday หรือวันจันทร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า เลือกสั่งซื้อสินค้าผ่านทางคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ขณะที่ 20% สั่งซื้อจากสมาร์ทโฟน และเพียง 14% ที่สั่งซื้อทางแท็บเลต "ผู้บริโภคยังสะดวกใจกับการใช้พีซีและแล็ปท็อปมากกว่าอย่างชัดเจน" แอนเจล โดบาร์ดเซียฟ นักวิเคราะห์จากโอวุมกล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ประเมินแนวโน้มตลาดพีซีสดใสกว่าเล็กน้อย โดยคาดการณ์ว่ายอดขายในปี 2557 จะไม่มีการเติบโต ตามด้วยการเติบโตในระดับเลขตัวเดียวในปีต่อๆ ไป "แน่นอนว่าไม่ใช่การหดตัว" มิคาโกะ คิตากาวะ นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ระบุ อย่างไรก็ดีคิตากาวะกล่าวว่า ปี 2556 จะเป็นปีที่ยอดขายหดตัวสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

"พีซีเคยเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ แต่เวลานี้มีทางเลือกมากมาย ปีที่ผ่านมาและปีนี้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดเนื่องจากแท็บเลตและอุปกรณ์โมบายอื่นๆ" คิตากาวะกล่าว

ด้านเออร์ซา กอทธีล นักวิเคราะห์จากเทคโนโลยี บิสิเนส รีเสิร์ช ชี้ว่า ปัญหาส่วนหนึ่งคือความทนทานและเชื่อถือได้ของพีซีเมื่อเทียบกับอุปกรณ์โมบายที่ผู้บริโภคเปลี่ยนการใช้งานรวดเร็วกว่า "กล่าวคือผู้คนเก็บพีซีไว้ใช้งานนานกว่า" กอทธีลกล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,903 วันที่ 8 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4710

โพสต์

บทความล่าสุดของ อดีตนายกสมาคม คุณ ธันวา ครับ
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลครั้งสำคัญที่ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต้องจารึกไว้แม้ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าต้องการทำเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม แต่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมต่อต้านต่างมีเหตุผลสนับสนุนแนวคิดและมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งมีจำนวนมหาศาลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้ยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาลทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมีการปะทะกันจนก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ชาวไทยทุกคนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะมี‘ทางออก’ที่ดีที่สุดที่สามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้อย่างถาวรในอนาคตอันใกล้นี้

การ‘มองต่าง’นั้นอยู่คู่กับการลงทุนในตลาดหุ้นเช่นเดียวกันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศไทย จึงเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักต่อเนื่องหลายหมื่นล้านบาทในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ หากนับรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่6ธันวาคม 2556 นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นแล้วทั้งสิ้นกว่า 170,000 ล้านบาท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีและการมองเห็นโอกาสในการลงทุนแหล่งอื่นที่อาจได้ผลตอบแทนสูงกว่า

ส่วนนักลงทุนสถาบันภายในประเทศและนักลงทุนรายย่อยกลับ‘มองต่าง’โดยเห็นโอกาสธุรกิจจากการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประโยชน์จากการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงเชื่อมั่นว่า ตลาดหุ้นไทยยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนทั้งสองกลุ่มนี้จึงมีปริมาณซื้อหุ้นสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมากถึง100,000ล้านและ 70,000ล้านบาทตามลำดับนี่คือการมองต่างและผลของการกระทำที่เกิดขึ้น

สำหรับเวลาที่เหลืออีกเพียง 2-3สัปดาห์ก่อนถึงวันสิ้นปี2556 หลายคนยังต้องมุ่งเน้นทำผลงานทั้งปีให้ดีที่สุด หลายคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับวันหยุดพักผ่อนยาวที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น นักลงทุนที่มีรายได้ประจำและรายได้จากเงินปันผลไม่ควรลืมเรื่องสำคัญและต้อง‘มองเหมือน’ในการรักษาสิทธิผ่านการวางแผนภาษีที่เหมาะสมกับตนดังนี้

หนึ่ง พิจารณาลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อได้รับสิทธิลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้จากเงินซื้อหน่วยลงทุนจ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15%ของเงินได้ในแต่ละปีและไม่เกิน 500,000 บาทในแต่ละส่วน นี่คือการลงทุนในตลาดหุ้นทางอ้อมผ่านมืออาชีพ ณ ระดับราคาหุ้นที่มีส่วนลดตามฐานภาษีเงินได้ของแต่ละบุคคล แต่มีข้อเสียคือ ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ตัดสินใจลงทุนตามนโยบายของแต่ละกองทุน และยังมีข้อจำกัดในด้านระยะเวลาการขายคืนหน่วยลงทุน นักลงทุนจึงควรศึกษารายละเอียดนโยบายของแต่ละกองทุน ข้อจำกัด จำนวนเงินลงทุนให้เหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย

สอง พิจารณาซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตนอกจากวัตถุประสงค์หลักของการทำประกันชีวิตแล้ว เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาลดหย่อนและยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000บาทกรมธรรม์บางชนิดมีลักษณะคล้ายกับการสะสมทรัพย์ แม้จะมีผลตอบแทนไม่สูงนักแต่หากรวมสิทธิลดหย่อนที่ได้รับก็ทำให้ผลตอบแทนน่าสนใจเช่นกัน การทำประกันชีวิตมีข้อด้อยคือการผูกพันชำระเบี้ยประกันระยะยาว นักลงทุนจึงต้องพิจารณาความมั่นคงทางรายได้และศักยภาพในการชำระเบี้ยอย่างต่อเนื่องด้วย

สาม สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการช่วยเหลือสังคมส่วนร่วมเงินบริจาคแก่องค์กรสาธารณประโยชน์สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้ สำหรับเงินบริจาคด้านการศึกษานอกจากจะช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา คุณภาพชีวิตและลดความช่องว่างของคนในสังคมแล้ว ยังสามารถลดหย่อนได้ถึง 2 เท่าของจำนวนเงินจ่ายจริงอีกด้วยจึงนับว่าเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ทุกคนควรพิจารณาเพื่อร่วมกันทำให้สังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้นอีกด้วย

ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นักลงทุนผู้มีเงินได้ต้อง ‘มองเหมือน’และตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหลือเพราะมีกำหนดเวลาแน่นอนในการใช้สิทธิลดหย่อนดังกล่าว‘หน้าที่’ ของผู้มีเงินได้ทุกคนต้องยื่นแบบประเมินภาษีเงินได้ภายเดือนมีนาคมของทุกปี สำหรับผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนภาษีควรยื่นแบบทันทีเมื่อเอกสารครบถ้วน ทั้งนี้เพราะนอกจากเป็นการแบ่งเบาการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปกระจุกตัวในตอนปลายเดือนมีนาคมแล้ว ยังได้รับเงินคืนภาษีเร็วขึ้นอีกด้วย

แม้ในทางการลงทุน วอร์เรนบัฟเฟต์ เคยกล่าวไว้ว่า‘จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว’ หรือนักจิตวิทยาที่กล่าวว่า ‘A negative thinker sees a difficulty in every opportunity but a positive thinker sees an opportunity in every difficulty’ก็ตาม แต่ในยามสถานการณ์การเมืองไม่แน่นอนซึ่งอาจจบเร็วหรือยืดเยื้อในฐานะ Value Investor จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรจะ‘มองเหมือน’ หรือ ‘มองต่าง’ และต้องใช้ ‘สติ’ ในการตัดสินใจลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการ

สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง‘มองเหมือน’ และต้องการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มี ‘บทสรุป’ ที่ดีเหมาะสมต่อประเทศชาติและประชาชน นำความสงบสุข สามัคคีกลับสู่ประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคนโดยเร็ว