ก่อนจะเตรียมแช่ออนเซ็น ขอหม่ำซะให้เต็มที่ก่อนครับ

ช่วงสิบปีที่ผ่านมานั้น หุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไปมากในด้านของ “คุณภาพ” ของกิจการก่อนหน้านั้นดูเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ของไทย ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทผลิตและขายสินค้าเป็นโภคภัณฑ์เป็นหลัก
บริษัทขายสินค้ามี “ยี่ห้อ” หรือบริษัทขายสินค้าเป็นที่ต้องการผู้บริโภค ที่มีกำไรต่อยอดขายหรือมีมาร์จินสูง ถือเป็นกิจการมี “คุณภาพสูง” นั้น มักเป็นบริษัทขนาดเล็ก สัดส่วน Market Cap. หรือมูลค่าตลาดบริษัทมี “คุณภาพดี” เหล่านั้นมีน้อยมาก
แต่เดี๋ยวนี้ “หุ้นผู้บริโภค” มีมูลค่าตลาดของหุ้นใหญ่ขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทเหล่านั้นยอดขายและกำไรขยายตัวสูงกว่าหุ้นโภคภัณฑ์ แต่ที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าคือราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น “แพง” ขึ้นมาก นั่นคือค่า PE ของหุ้นผู้บริโภคสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับหุ้นโภคภัณฑ์ที่ยังมีค่า PE ในระดับ 10 เท่าบวก-ลบ ในขณะที่หุ้นผู้บริโภคจำนวนมากมีค่า PE ในระดับอาจจะ 20 เท่าบวก-ลบ และมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หุ้น “ผู้บริโภค” ที่กำลังพูดถึงนั้น ไม่ใช่หุ้นตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจัดโดยตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นหุ้นบริษัทที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้อสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง บริษัทนั้นเป็นคนทำการตลาดเพื่อเชิญชวนให้คนมาซื้อสินค้า บริษัทเป็นคนตั้งราคาขายสินค้าเอง ยอดขายและกำไรบริษัทขึ้นอยู่กับนโยบายและกลยุทธ์ต่างๆ ที่บริษัทใช้แข่งขันกับคู่แข่ง หรือต่อรองกับหน่วยงานควบคุมของรัฐ
ในกรณีที่เป็นบริษัทที่อิงอยู่กับสัมปทานหรือกฎระเบียบต่างๆ ดังนั้นหุ้นผู้บริโภคจึงมีกระจายกันไปในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไร ถ้าเขาขายให้คนซื้อที่มีเป็นพัน หมื่น แสน หรือเป็นล้าน ๆ คน สินค้าของเขามียี่ห้อที่คนรับรู้ และเขาเป็นคนทำการตลาดและกำหนดราคาเองได้ แบบนี้ก็เข้าข่ายที่เขาจะเป็น “หุ้นผู้บริโภค”
หุ้นผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ ที่เริ่มปรากฏมากขึ้นในระยะหลังประมาณ 10 ปีมานี้ มักจะเป็นบริษัทที่เป็น “ผู้ชนะ” ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของตนเอง พวกเขามักเป็นคนที่ขายสินค้าโดยตรงต่อผู้บริโภค ไม่ได้ขายผ่านผู้อื่นมากนัก ความหมายคือพวกเขามักมี “หน้าร้าน” ที่ได้สัมผัสกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
ที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ สินค้าหรือบริการของพวกเขานั้น มักเป็นสินค้า “สมัยใหม่” หรือเป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ใช้กันมากขึ้น พูดง่าย ๆ เป็นสินค้าที่อยู่ใน “เมกาเทรนด์” ลองมาดูกันว่ามีบริษัทไหนบ้าง ไล่กันไปทีละกลุ่มอุตสาหกรรม
กลุ่มแรกคือหุ้นในกลุ่มอาหาร จะพบว่าหุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่ตาม Market Cap. ก็คือ หุ้น CPF ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนคิดเป็นมูลค่าตลาด 2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม สินค้าส่วนใหญ่ของ CPF นั้น จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่บริษัทถือหุ้นจำนวนมากใน CPALL ซึ่งเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นมาก
หุ้นตัวที่สองคือหุ้น M เครือข่ายร้านภัตตาคารซึ่งเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดที่มีมูลค่าตลาดกว่า 4 หมื่นล้านบาทกลายเป็นหุ้นใหญ่อันดับ 4 ในกลุ่ม หุ้นตัวที่สามคือหุ้น MINT ซึ่งทำโรงแรมและร้านอาหาร ที่มีมูลค่าตลาดเกือบหนึ่งแสนล้านบาท เช่นเดียวกับ CENTEL ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และนี่คือหุ้นที่ทำให้มูลค่าหุ้นในกลุ่มอาหารโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หุ้นกลุ่มที่สองคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่อาจจะถือว่าอยู่ในหุ้นกลุ่มผู้บริโภคเช่นกัน เนื่องจากรับเงินฝากและให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การหาผู้ชนะในกลุ่มแบงก์เป็นเรื่องยาก และธุรกิจนี้ยังมีปัจจัยหลายอย่าง ในการที่จะประสบความสำเร็จ เช่นเรื่องภาวะหนี้เสียและอื่นๆ ทำให้มูลค่าตลาดของแบงก์เองนั้นโตขึ้นไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม พูดง่ายๆเดิมเมื่อ 10 ปีก่อนแบงก์เองใหญ่มากอยู่แล้ว สำหรับผมแล้วกลุ่มแบงก์ยังไม่อาจจะพูดได้เต็มที่ว่าเป็นหุ้นผู้บริโภค
หุ้นสถาบันการเงิน ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคที่น่าสนใจมาก เนื่องจากเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาไม่นานก็คือ หุ้นในกลุ่มประกันชีวิตที่มีหุ้น BLA และ SCBLIF ที่มีมูลค่าตลาด ประมาณ 7 หมื่นล้านบาททั้งคู่ จากที่ในอดีตนั้น หุ้นในกลุ่มนี้แทบไม่มีใครสนใจและ Market Cap. น้อยมาก ข้อสังเกตเพิ่มเติมคือทั้งสองบริษัทนั้น มีลูกค้าที่อิงอยู่กับธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญในการแข่งขัน และทำให้ประสบความสำเร็จ เป็น “ผู้ชนะ”
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่คิดว่าเป็นหุ้นผู้บริโภคเติบโตขึ้นมากช่วง 10 ปีนี้ มีหลายบริษัทซึ่งน่าจะรวมถึงบริษัทที่พัฒนาห้างอย่าง CPN ซึ่งเติบโตขึ้นมากลายเป็นบริษัทขนาด 2 แสนล้านบาท และบริษัทสร้างบ้านขายที่เติบโตขึ้นมาก ซึ่งรวมถึง LH ที่มีขนาด 1 แสนล้านบาท PS ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และบริษัทที่มีขนาดประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมถึงหุ้น BLAND LPN MBK QH SIRI SPALI
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ น่าจะถือเป็นหุ้นกลุ่มผู้บริโภคที่ตรงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง และน่าจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงก่อนนั้นกลุ่มพาณิชย์แทบจะไม่มีหุ้นที่มี Market Cap. ขนาดใหญ่เลย แต่ปัจจุบันนั้น หุ้นหลายตัวกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่ บางตัวติดอันดับหนึ่งในสิบของหุ้นใหญ่ที่สุดในตลาด
ประกอบไปด้วย หุ้น CPALL ซึ่งมีมูลค่าถึงประมาณ 3 แสน 5หมื่นล้านบาท หุ้น BIGC และหุ้น MAKRO ที่ต่างก็มีมูลค่าตลาดประมาณ 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท หุ้น HMPRO ที่มีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท และหุ้น ROBINS ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ในกลุ่มหุ้นบันเทิง ซึ่งเป็นหุ้นผู้บริโภคที่เป็นผู้ชนะ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากคือ หุ้น BEC ซึ่งคือทีวีช่อง 3 มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นมากถึงประมาณแสนล้านบาท นอกจากนั้นยังมีหุ้น VGI ที่ขายโฆษณาที่เพิ่งเข้าตลาดไม่นาน มีมูลค่าสูงขึ้นถึงเกือบ 4 หมื่นล้านบาท
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่ในอดีตไม่ใคร่จะมีค่ามากนักในตลาดหุ้น แต่ด้วยการเติบโตของหุ้นผู้บริโภคก็ทำให้หุ้นของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ BGH เติบโตขึ้นมหาศาล มีมูลค่าตลาดถึง 2 แสนล้านบาท เช่นเดียวกัน โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ BH ก็เติบโตมีมูลค่าประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท
หุ้นกลุ่มขนส่ง ซึ่งในอดีตมีเพียง THAI เท่านั้นที่มีมูลค่าตลาดสูง ในปัจจุบันกลับกลายเป็นหุ้น AOT และหุ้นของ BTS ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคที่มีมูลค่าสูงมากคือประมาณ 2 แสน 6 หมื่นล้านบาท และ 1 แสนล้านบาทตามลำดับ
หุ้นกลุ่มสื่อสาร ที่เป็นหุ้นผู้บริโภคและมีขนาดเพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบนั้น รวมถึงหุ้นที่มีขนาดใหญ่มากอยู่แล้วอย่าง ADVANC ที่มีขนาดประมาณ 6 แสน 7 หมื่นล้านบาท หุ้น DTAC และ INTUCH หุ้นละ 2 แสน 5 หมื่นล้านบาท TRUE แสนสองหมื่นล้านบาท และ JAS 5.6 หมื่นล้านบาท
หุ้นผู้บริโภคที่รวมเฉพาะในรายการที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มี Market Cap. ถึงประมาณ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นทั้งหมด และนั่นคือตัวเลขที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเคลื่อนไปสู่การเป็นตลาดหุ้นที่มีหุ้นมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ค่า PE ของตลาดหุ้นไทยควรต้องสูงขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา ที่อยู่ระดับ PE 10 เท่า
ขอบคุณครับ คุณนุชtheenuch เขียน:วันก่อนที่พี่หมอมุขไปเชียงใหม่แล้ว post ข้อความใน fb
ว่าเป็นห่วงบ้านเพราะอยู่ใกล้จุดชุมนุมมากนั้น
นุชก็เลยพลอยติดตามข่าวการชุมนุมในจุดนั้นมากเป็นพิเศษไปด้วยค่ะ
ผ่านไปครึ่งวัน ก็มาช่วยลุ้นว่าเหลืออีกครึ่งวัน
พอตกเย็นก็ราบรื่นดี ก็ช่วยลุ้นต่อจนสิ้นวันค่ะ
แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปด้วยค่ะ![]()
เข้าใจเลยว่าน่ากังวลใจขนาดไหน
.............................
มีรูปญี่ปุ่นมาเพิ่มอีกแล้ว....เยี่ยมเลยค่ะ
ติดตามทั้งรูปครอบครัว รูปท่องเที่ยว ข้อมูลและแนวคิดดีๆ
ด้วยความขอบคุณเสมอค่ะ
ภารกิจของพี่หมอมุขน่าชื่นชมมากค่ะ...ยินดีกับชาว VI เชียงใหม่ด้วยPaul VI เขียน:ขอบคุณครับ คุณนุชtheenuch เขียน:วันก่อนที่พี่หมอมุขไปเชียงใหม่แล้ว post ข้อความใน fb
ว่าเป็นห่วงบ้านเพราะอยู่ใกล้จุดชุมนุมมากนั้น
นุชก็เลยพลอยติดตามข่าวการชุมนุมในจุดนั้นมากเป็นพิเศษไปด้วยค่ะ
ผ่านไปครึ่งวัน ก็มาช่วยลุ้นว่าเหลืออีกครึ่งวัน
พอตกเย็นก็ราบรื่นดี ก็ช่วยลุ้นต่อจนสิ้นวันค่ะ
แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปด้วยค่ะ![]()
เข้าใจเลยว่าน่ากังวลใจขนาดไหน
.............................
มีรูปญี่ปุ่นมาเพิ่มอีกแล้ว....เยี่ยมเลยค่ะ
ติดตามทั้งรูปครอบครัว รูปท่องเที่ยว ข้อมูลและแนวคิดดีๆ
ด้วยความขอบคุณเสมอค่ะ
แต่วันนั้นยังไงก็ต้องไปครับ รับปากทาง VI เชียงใหม่ไปแล้ว อีกอย่างตั๋วเครื่องบินก็ทำไปแล้ว
ห่วงลูกยังไงก็ต้องไปครับ ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
ตอนนี้ก็เป็นไข้หวัด นิดหน่อยครับเวลาเดินทางไกลๆ แล้วไม่ค่อยได้พักผ่อนครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
หุ้น10 เด้ง
บทความเมื่อสัปดาห์ก่อนของผมพูดถึง “หุ้นผู้บริโภค” ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นในปัจจุบันว่าเป็น หุ้นที่เป็น “ผู้ชนะ” ในแง่ที่มันได้เติบโตขึ้นมาจนมีขนาดใหญ่มาก สัดส่วนของหุ้นผู้บริโภคในตลาดหุ้นคิดตาม Market Cap. หรือมูลค่าตลาดนั้นเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นโดยเฉพาะหุ้นของบริษัทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ในบทความนั้น ผมพูดถึงหุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่จำนวนประมาณเกือบ 30 ตัว ในบทความนี้ ผมจะมองย้อนหลังไป 10 ปี และดูว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่เติบโตขึ้นมากจนมีมูลค่าตลาดโตขึ้นเป็น 10 เท่าขึ้นไป หรือเป็นหุ้น “10 เด้ง” ซึ่งเท่ากับการที่หุ้นให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปีแบบทบต้นและสามารถเรียกว่าเป็นหุ้น “Super Stock” ได้
หุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น MINT ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีราคาเพียง 1.99 บาท จนถึงช่วงปัจจุบันมีราคา 24 บาท เท่ากับราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 12 เท่า นี่คือหุ้นที่ทำกิจการภัตตาคารทั้งที่เป็นอาหารจานด่วน อาหารทั่วไป ร้านไอศกรีม และอีกครึ่งหนึ่งทำกิจการโรงแรมที่มีเครือข่ายกว้างขวางและขยายไปทั่วโลก ส่วนหุ้นตัวที่สองก็คือหุ้น CENTEL ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ทำกิจการแบบเดียวกับหุ้น MINT เกือบจะทุกประการ หุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคา 2.15 บาทเป็น 36 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 เท่าในเวลา 10 ปี
หุ้นตัวต่อมาคือหุ้น SCBLIF ซึ่งทำกิจการประกันชีวิตซึ่งมีการเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ธนาคารเข้ามาเป็นผู้ขายประกันให้กับลูกค้าของธนาคารได้ ส่งผลให้ SCBLIF ซึ่งอยู่ในเครือแบงค์ขนาดใหญ่ในขณะนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นของ SCBLIF ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.28 บาทกลายเป็น 1046 บาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารถึง 78.8 เท่า ถึงแม้ว่าราคาที่ประมาณ 13 บาทนั้นจะไม่ใคร่มีการซื้อขาย และราคาที่เริ่มมีการซื้อขายในช่วง 7- 8 ปีที่ผ่านมาจะเป็นประมาณ 70 กว่าบาท หุ้นตัวนี้ก็ยังเป็นหุ้น 10 เด้ง อยู่ดี
หุ้นกลุ่มที่มีหุ้น 10 เด้งมากที่สุด และเป็นหุ้นขนาดใหญ่ทุกตัวที่ผมได้กล่าวถึงก็คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ซึ่งประกอบด้วยหุ้น BIGC CPALL MAKRO HMPRO และ ROBINS โดยที่หุ้น BIGC ปรับตัวขึ้นจาก 18.1 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็น 185 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 10.2 เท่า หุ้น CPALL เพิ่มขึ้นจาก 3.03 บาทเป็น 41.75 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 13.8 เท่า หุ้น MAKRO เพิ่มขึ้นจาก 2.4 บาทเป็น 32.75 บาท หรือเพิ่มเป็น 13.7 เท่า หุ้น HMPRO เพิ่มขึ้นมหาศาลจาก 0.49 บาท เป็น 10.6 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 21.6 เท่าในเวลา 10 ปี และสุดท้ายหุ้น ROBINS ที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 บาทเป็น 53 บาทหรือเพิ่มขึ้น 15.1 เท่า
หุ้นโรงพยาบาลที่โตขึ้นเป็นหุ้น 10 เด้งก็คือหุ้น BGH ซึ่งโตขึ้นจาก 6.66 บาทเป็น 129.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นมากถึง 19.4 เท่า และนี่ก็คือหุ้นของโรงพยาบาลที่โตขึ้นเร็วมากด้วยกลยุทธ์การเทคโอเวอร์โรงพยาบาลทั่วประเทศ กลายเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ “ระดับโลก” โดยที่ยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุด
หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่น่าสนใจเนื่องจากมีหุ้นขนาดใหญ่มากอยู่หลายตัวก็คือหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ถ้ามองย้อนหลังไป 10 ปี กลับพบว่าไม่มีหุ้นตัวไหนที่เป็นหุ้น 10 เด้งเลยสำหรับหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่าหุ้นในกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่นั้น ในอดีตก็ใหญ่มากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้น TRUE นั้น ในช่วงปลายปี 2551 มีราคาเพียง 0.81 บาท ในขณะนี้ที่ช่วงปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 9.05 บาทหรือเพิ่มขึ้นเป็น 11.2 เท่า เช่นเดียวกับหุ้น JAS ในช่วงต้นปี 2552 ก็มีราคาประมาณ 0.37 บาท และปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบันเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 21.4 เท่า
นอกจากหุ้น 10 เด้ง ดังที่กล่าวถึงแล้ว หุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่บางตัวก็มีการเติบโตขึ้นมากเป็นหลายเท่าในช่วง 10 ปี โดยหุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น CPF ที่ราคาปรับขึ้นจาก 3.9 บาทเป็น 27.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่า หุ้นตัวที่สองคือหุ้น CPN ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.75 บาทเป็น 42 บาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8 เท่า ในเวลา 10 ปี และสุดท้ายคือหุ้น BH ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 12.3 บาท เป็น 90 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 7.3 เท่า และนี่ก็คือหุ้นที่โตประมาณ ปีละ 20% เศษ ๆ แบบทบต้นในเวลา 10 ปี ซึ่งต้องถือว่าเป็น หุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” ได้
หุ้นชุดสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่โตประมาณปีละ 15% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมประกอบไปด้วยหุ้น PS ที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.86 บาทเป็น 20.3 บาทหรือโตขึ้นเป็น 4.2 เท่าในเวลา 10 ปี หุ้น LPN ที่โตขึ้นจาก 3.71 บาทเป็น 18.7 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า หุ้น JAS ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.41 บาทเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.6 เท่าในเวลา 10 ปี
หุ้น 10 เด้ง ในเวลา 10 ปี ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ผมเห็นว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม “หุ้นเติบโต” หรือเป็น Growth Stock และเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในแง่ที่มันเป็นกิจการที่แข็งแกร่งเป็นผู้นำโดยเฉพาะในด้านของฐานะทางการตลาด อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์” ที่ยังเติบโตได้ดีไปอีกหลาย ๆ ปีและมีศักยภาพสูงในแง่ที่ว่าตลาดในอนาคตยังเติบโตต่อไปได้อีกมาก มีผลประกอบการที่มั่นคงสม่ำเสมอ มีคุณสมบัติทางธุรกิจที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ เช่น เป็นกิจการที่มีกระแสเงินสดที่ดีมาก มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ในระดับที่สูง และสุดท้ายก็คือ เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่พอสมควรในช่วงก่อนที่มันจะเริ่มเติบโตกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือใหญ่มากในปัจจุบันซึ่งทำให้มันเป็นหุ้นที่นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในจำนวนที่มีนัยสำคัญได้ในช่วงที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ พูดง่าย ๆ หุ้น 10 เด้งที่พบนั้น ไม่ใช่กิจการขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้ว นี่คือหุ้นดีที่ลงทุนได้อย่างสบายใจและให้ผลตอบแทนสุดยอดในระยะยาว
แน่นอนว่าหุ้นที่กลายเป็นหุ้น 10 เด้งในเวลา 10 ปีในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีเฉพาะซุปเปอร์สต็อกดังที่กล่าวเท่านั้น มีหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าหรือมากกว่านั้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากที่โตขึ้นมากและสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนมหาศาลในเวลาอันสั้น หุ้นเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือหุ้นกลุ่ม “Turnaround” หรือหุ้นที่เคยมีปัญหาหนักแทบเอาตัวไม่รอดแต่ในที่สุดก็ “ฟื้นตัว” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น หันไปทำธุรกิจใหม่หรือแก้ไขปัญหาทางการเงินสำเร็จ หรือแก้ไขหรือปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจจนสามารถฟื้นผลการดำเนินงานของกิจการขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถซื้อหุ้นจำนวนมากในราคาที่ต่ำมากได้เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายอาจจะน้อยมาก นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงหากกิจการไม่ฟื้นและต้องเพิ่มทุนมหาศาลซึ่งจะ Dilute หรือลดสัดส่วนหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมลงไปมาก
หุ้น 10 เด้งอีกกลุ่มหนึ่งถ้าจะมีก็คือ หุ้น “Cyclical” หรือหุ้นวัฏจักร ซึ่งมักเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโภคภัณฑ์ที่มีราคาผันผวนรุนแรง ในยามที่ราคาสินค้าตกต่ำสุดขีดนั้น ราคาหุ้นก็มักจะตกต่ำลงไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นก็คือจุดที่จะทำให้มันกลายเป็นหุ้น “10 เด้ง” ถ้าราคาสินค้าเริ่มเปลี่ยนทิศอย่างแรงซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตาม และในบางครั้งมากเป็น 10 เท่าในเวลาอันสั้น ประเด็นก็คือ หุ้นวัฏจักรนั้น ราคาที่สูงขึ้นเป็น 10 เท่านั้น อาจจะไม่สามารถยืนอยู่ได้นาน เมื่อ “หมดรอบ” มันก็มักจะปรับตัวลงอย่างแรงซึ่งทำให้การลงทุนโดยเฉพาะในยามที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงแล้วกลายเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรจากหุ้นในกลุ่มนี้
วันศุกร์ที่ 06 ธันวาคม 2013 เวลา 15:16 น.
ไอดีซีคาดการณ์ยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 2556 จะหดตัวลงหนักที่สุดถึงเกินกว่า 10% จากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนไปเลือกซื้อแท็บเลตและสมาร์ทโฟน
บริษัทวิจัย อินเตอร์เนชันแนล ดาต้า คอร์ป หรือไอดีซี เวลานี้คาดการณ์ว่ายอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) จะหดตัว 10.1% ในปี 2556 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งไอดีซีกล่าวว่าเป็นสถิติการหดตัวที่สูงที่สุด เดิมไอดีซีคาดการณ์การหดตัวไว้ที่ 9.7% ขณะเดียวกันไอดีซีระบุว่ายอดขายพีซีทั่วโลกในปี 2557 จะหดตัวลงเพิ่มอีก 3.8%
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเลือกซื้ออุปกรณ์โมบายมากขึ้นเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของบริษัทเทคโนโลยี โดยสร้างแรกกดดันให้กับบริษัทอย่างฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) และอินเทล ขณะที่บริษัท อาทิ แอปเปิล กูเกิล และเฟซบุ๊ก ที่พัฒนาเทคโนโลยีสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสมาร์ทโฟนและแท็บเลตสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าโอกาสในตลาดพีซีจะหมดไปเสียทีเดียว แม้ว่ายอดขายพีซีทั่วโลกจะลดลงจาก 349.4 ล้านเครื่องในปี 2555 เหลือ 314.2 ล้านเครื่องในปีนี้ แต่ไอดีซียังคาดการณ์ว่าพีซีจะมียอดขายเกินกว่า 305 ล้านเครื่องในปี 2560 ส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการใหม่ในตลาดเกิดใหม่จะเข้ามาช่วยลดทอนผลกระทบจากยอดขายที่ลดต่ำลงในตลาดสหรัฐอเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
"ยอดขายพีซียังไม่หยุด เพียงแต่มีการแข่งขันกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น แท็บเลตขนาดเล็กและใหญ่ สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาดใหญ่ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้งานได้สนุกและมีราคาถูกกว่า" เครก สเตอร์ลิง นักวิเคราะห์อาวุโสจากโอปุส รีเสิร์ช กล่าว
ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคโดยโอวุมแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ความนิยมต่อสมาร์ทโฟนและแท็บเลตมีสูง แต่ 68% ของผู้บริโภคที่หาซื้อสินค้าในวัน Cyber Monday หรือวันจันทร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า เลือกสั่งซื้อสินค้าผ่านทางคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ขณะที่ 20% สั่งซื้อจากสมาร์ทโฟน และเพียง 14% ที่สั่งซื้อทางแท็บเลต "ผู้บริโภคยังสะดวกใจกับการใช้พีซีและแล็ปท็อปมากกว่าอย่างชัดเจน" แอนเจล โดบาร์ดเซียฟ นักวิเคราะห์จากโอวุมกล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ประเมินแนวโน้มตลาดพีซีสดใสกว่าเล็กน้อย โดยคาดการณ์ว่ายอดขายในปี 2557 จะไม่มีการเติบโต ตามด้วยการเติบโตในระดับเลขตัวเดียวในปีต่อๆ ไป "แน่นอนว่าไม่ใช่การหดตัว" มิคาโกะ คิตากาวะ นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ระบุ อย่างไรก็ดีคิตากาวะกล่าวว่า ปี 2556 จะเป็นปีที่ยอดขายหดตัวสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
"พีซีเคยเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ แต่เวลานี้มีทางเลือกมากมาย ปีที่ผ่านมาและปีนี้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดเนื่องจากแท็บเลตและอุปกรณ์โมบายอื่นๆ" คิตากาวะกล่าว
ด้านเออร์ซา กอทธีล นักวิเคราะห์จากเทคโนโลยี บิสิเนส รีเสิร์ช ชี้ว่า ปัญหาส่วนหนึ่งคือความทนทานและเชื่อถือได้ของพีซีเมื่อเทียบกับอุปกรณ์โมบายที่ผู้บริโภคเปลี่ยนการใช้งานรวดเร็วกว่า "กล่าวคือผู้คนเก็บพีซีไว้ใช้งานนานกว่า" กอทธีลกล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,903 วันที่ 8 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลครั้งสำคัญที่ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต้องจารึกไว้แม้ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าต้องการทำเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม แต่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมต่อต้านต่างมีเหตุผลสนับสนุนแนวคิดและมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งมีจำนวนมหาศาลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้ยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาลทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมีการปะทะกันจนก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ชาวไทยทุกคนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะมี‘ทางออก’ที่ดีที่สุดที่สามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้อย่างถาวรในอนาคตอันใกล้นี้
การ‘มองต่าง’นั้นอยู่คู่กับการลงทุนในตลาดหุ้นเช่นเดียวกันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศไทย จึงเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักต่อเนื่องหลายหมื่นล้านบาทในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ หากนับรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่6ธันวาคม 2556 นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นแล้วทั้งสิ้นกว่า 170,000 ล้านบาท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีและการมองเห็นโอกาสในการลงทุนแหล่งอื่นที่อาจได้ผลตอบแทนสูงกว่า
ส่วนนักลงทุนสถาบันภายในประเทศและนักลงทุนรายย่อยกลับ‘มองต่าง’โดยเห็นโอกาสธุรกิจจากการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประโยชน์จากการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงเชื่อมั่นว่า ตลาดหุ้นไทยยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนทั้งสองกลุ่มนี้จึงมีปริมาณซื้อหุ้นสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมากถึง100,000ล้านและ 70,000ล้านบาทตามลำดับนี่คือการมองต่างและผลของการกระทำที่เกิดขึ้น
สำหรับเวลาที่เหลืออีกเพียง 2-3สัปดาห์ก่อนถึงวันสิ้นปี2556 หลายคนยังต้องมุ่งเน้นทำผลงานทั้งปีให้ดีที่สุด หลายคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับวันหยุดพักผ่อนยาวที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น นักลงทุนที่มีรายได้ประจำและรายได้จากเงินปันผลไม่ควรลืมเรื่องสำคัญและต้อง‘มองเหมือน’ในการรักษาสิทธิผ่านการวางแผนภาษีที่เหมาะสมกับตนดังนี้
หนึ่ง พิจารณาลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อได้รับสิทธิลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้จากเงินซื้อหน่วยลงทุนจ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15%ของเงินได้ในแต่ละปีและไม่เกิน 500,000 บาทในแต่ละส่วน นี่คือการลงทุนในตลาดหุ้นทางอ้อมผ่านมืออาชีพ ณ ระดับราคาหุ้นที่มีส่วนลดตามฐานภาษีเงินได้ของแต่ละบุคคล แต่มีข้อเสียคือ ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ตัดสินใจลงทุนตามนโยบายของแต่ละกองทุน และยังมีข้อจำกัดในด้านระยะเวลาการขายคืนหน่วยลงทุน นักลงทุนจึงควรศึกษารายละเอียดนโยบายของแต่ละกองทุน ข้อจำกัด จำนวนเงินลงทุนให้เหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย
สอง พิจารณาซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตนอกจากวัตถุประสงค์หลักของการทำประกันชีวิตแล้ว เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาลดหย่อนและยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000บาทกรมธรรม์บางชนิดมีลักษณะคล้ายกับการสะสมทรัพย์ แม้จะมีผลตอบแทนไม่สูงนักแต่หากรวมสิทธิลดหย่อนที่ได้รับก็ทำให้ผลตอบแทนน่าสนใจเช่นกัน การทำประกันชีวิตมีข้อด้อยคือการผูกพันชำระเบี้ยประกันระยะยาว นักลงทุนจึงต้องพิจารณาความมั่นคงทางรายได้และศักยภาพในการชำระเบี้ยอย่างต่อเนื่องด้วย
สาม สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการช่วยเหลือสังคมส่วนร่วมเงินบริจาคแก่องค์กรสาธารณประโยชน์สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้ สำหรับเงินบริจาคด้านการศึกษานอกจากจะช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา คุณภาพชีวิตและลดความช่องว่างของคนในสังคมแล้ว ยังสามารถลดหย่อนได้ถึง 2 เท่าของจำนวนเงินจ่ายจริงอีกด้วยจึงนับว่าเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ทุกคนควรพิจารณาเพื่อร่วมกันทำให้สังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้นอีกด้วย
ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นักลงทุนผู้มีเงินได้ต้อง ‘มองเหมือน’และตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหลือเพราะมีกำหนดเวลาแน่นอนในการใช้สิทธิลดหย่อนดังกล่าว‘หน้าที่’ ของผู้มีเงินได้ทุกคนต้องยื่นแบบประเมินภาษีเงินได้ภายเดือนมีนาคมของทุกปี สำหรับผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนภาษีควรยื่นแบบทันทีเมื่อเอกสารครบถ้วน ทั้งนี้เพราะนอกจากเป็นการแบ่งเบาการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปกระจุกตัวในตอนปลายเดือนมีนาคมแล้ว ยังได้รับเงินคืนภาษีเร็วขึ้นอีกด้วย
แม้ในทางการลงทุน วอร์เรนบัฟเฟต์ เคยกล่าวไว้ว่า‘จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว’ หรือนักจิตวิทยาที่กล่าวว่า ‘A negative thinker sees a difficulty in every opportunity but a positive thinker sees an opportunity in every difficulty’ก็ตาม แต่ในยามสถานการณ์การเมืองไม่แน่นอนซึ่งอาจจบเร็วหรือยืดเยื้อในฐานะ Value Investor จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรจะ‘มองเหมือน’ หรือ ‘มองต่าง’ และต้องใช้ ‘สติ’ ในการตัดสินใจลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการ
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง‘มองเหมือน’ และต้องการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มี ‘บทสรุป’ ที่ดีเหมาะสมต่อประเทศชาติและประชาชน นำความสงบสุข สามัคคีกลับสู่ประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคนโดยเร็ว