นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 1
นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน หลังพบคนไทยปัจจุบันมีครอบครัว-ลูกยาก
การเสวนาในหัวข้อเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและนโยบายการรองรับในสองทศวรรษหน้า”
ที่มหาวิทยาลัยรังสิต วานนี้ (5ก.ย.นายเทอดศักดิ์ ชมโต๊ะสุวรรณ เลขานุการคณะเศรษฐศาสตร์
และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรังสิต ได้กล่าวช่วงหนึ่งในการอภิปราย
เสนอให้ภาครัฐเรียกเก็บภาษีคนโสด ภาษีคนไม่มีลูก เพื่อกระตุ้นประชาชนให้มีครอบครัว
หวังจะลดภาระงบประมาณการใช้สวัสดิการ และแก้ปัญหาการคาดแคลนแรงงานในประเทศได้อนาคต
หลังพบว่าปัจจุบันอัตราการเจริญพันธุ์ของไทยนั้นต่ำมาก เพียง 1.6 ต่อครอบครัว หรือ 1 คู่สมรส
มีลูกเพียง 1 คนกว่าเท่านั้น
ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้คนมีลูกน้อย หรือไม่ต้องการมีครอบครัว น่าจะมาจากแนวโน้มสังคมเมืองและเศรษฐกิจ
ที่เติบโตรวดเร็ว เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีหนุ่มสาวจะเลือกทำงานเพื่อสร้างฐานะ ความมั่นคงในชีวิตมากกว่า
การหาคู่แต่งงานสร้างครอบครัว
ประกอบกับปัจจุบันค่าครองชีพ และต้นทุนในการเลี้ยงดูบุตรสูงขึ้น ทั้งค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล
สินค้าข้าวของแพงขึ้น ครอบครัวส่วนใหญ่จึงเลือกมีลูกน้อย เพราะกลัวจะดูแลได้ไม่ดี
ดังนั้นจึงได้เสนอให้ภาครัฐมีมาตราการดังกล่าว เพื่อกระตุ้นให้คนมีครอบครัว
มีบุตร จะได้ป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ในอนาคตและนอกจากนี้ภาครัฐควรออกนโยบาย
โครงการลูกคนแรก โดยรัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย การเลี้ยงดูให้กับครอบครัวที่มีลูกคนแรก
รวมถึงให้เงินอุดหนุน หรือลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีลูกคน 2 และ 3 เพื่อสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้คนอยากมีลูก
มีครอบครัวเพิ่มขึ้น
การเสวนาในหัวข้อเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและนโยบายการรองรับในสองทศวรรษหน้า”
ที่มหาวิทยาลัยรังสิต วานนี้ (5ก.ย.นายเทอดศักดิ์ ชมโต๊ะสุวรรณ เลขานุการคณะเศรษฐศาสตร์
และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรังสิต ได้กล่าวช่วงหนึ่งในการอภิปราย
เสนอให้ภาครัฐเรียกเก็บภาษีคนโสด ภาษีคนไม่มีลูก เพื่อกระตุ้นประชาชนให้มีครอบครัว
หวังจะลดภาระงบประมาณการใช้สวัสดิการ และแก้ปัญหาการคาดแคลนแรงงานในประเทศได้อนาคต
หลังพบว่าปัจจุบันอัตราการเจริญพันธุ์ของไทยนั้นต่ำมาก เพียง 1.6 ต่อครอบครัว หรือ 1 คู่สมรส
มีลูกเพียง 1 คนกว่าเท่านั้น
ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้คนมีลูกน้อย หรือไม่ต้องการมีครอบครัว น่าจะมาจากแนวโน้มสังคมเมืองและเศรษฐกิจ
ที่เติบโตรวดเร็ว เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีหนุ่มสาวจะเลือกทำงานเพื่อสร้างฐานะ ความมั่นคงในชีวิตมากกว่า
การหาคู่แต่งงานสร้างครอบครัว
ประกอบกับปัจจุบันค่าครองชีพ และต้นทุนในการเลี้ยงดูบุตรสูงขึ้น ทั้งค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล
สินค้าข้าวของแพงขึ้น ครอบครัวส่วนใหญ่จึงเลือกมีลูกน้อย เพราะกลัวจะดูแลได้ไม่ดี
ดังนั้นจึงได้เสนอให้ภาครัฐมีมาตราการดังกล่าว เพื่อกระตุ้นให้คนมีครอบครัว
มีบุตร จะได้ป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ในอนาคตและนอกจากนี้ภาครัฐควรออกนโยบาย
โครงการลูกคนแรก โดยรัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย การเลี้ยงดูให้กับครอบครัวที่มีลูกคนแรก
รวมถึงให้เงินอุดหนุน หรือลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีลูกคน 2 และ 3 เพื่อสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้คนอยากมีลูก
มีครอบครัวเพิ่มขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 3
มีโครงการบ้านหลังแรก
มีโครงการรถยนต์คันแรก
มีโครงการลูกคนแรก
เดี๋ยวไม่นาน น่าจะมีโครงการ เมียคนแรก
ถ้าจะดีหากมีเมียคนแรกจดทะเบียนสมรส จะได้รับการลดหย่อนภาษี
มีโครงการบ้านหลังแรก
มีโครงการรถยนต์คันแรก
มีโครงการลูกคนแรก
เดี๋ยวไม่นาน น่าจะมีโครงการ เมียคนแรก
ถ้าจะดีหากมีเมียคนแรกจดทะเบียนสมรส จะได้รับการลดหย่อนภาษี
ขอบคุณพี่ปรัชญาครับ ขอเสริมครับ
อย่าให้มี เจ็บป่วยครั้งแรกจนต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด ได้ลดหย่อนภาษี จะได้ช่วย medical hub
หรือตายครั้งแรกนะครับ เพราะไม่มีการตายซ้ำนะครับ ได้รับลดหย่อนภาษีสำหรับครอบครัว จะได้ช่วยประกันชีวิตและเป็นสวัสดิการสังคม 555
ครบ loop ไปเลย
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 4
กลัวจะมีรับจ้างเป็นเมียคนแรก......ปรัชญา เขียน:มีโครงการบ้านหลังแรก
มีโครงการรถยนต์คันแรก
มีโครงการลูกคนแรก
เดี๋ยวไม่นาน น่าจะมีโครงการ เมียคนแรก
ถ้าจะดีหากมีเมียคนแรกจดทะเบียนสมรส จะได้รับการลดหย่อนภาษี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 5
ไร้สาระมาก นี่หรือประชาธิปไตย บังคับให้ประชาชนแต่งงาน ปั๊มลูกเพียงเพื่อเสียภาษีให้น้อยลง
แล้วให้ผู้คนลำบากเพิ่มจากภาระที่ตามมามากมาย ขณะที่คุณภาพชีวิตที่ดี รัฐยังจัดให้ไม่ได้เลย
ประท้วงกันอยู่ทุกวัน อาชญกรรมที่เพิ่มขึ้น ยาเสพติด
มันยังมีวิธีอื่นอีกมาก ที่ไร้สาระน้อยกว่านี้
ต้องจับคนคิดไปทำหมัน กันแพร่เชื้อไร้สาระ
แล้วให้ผู้คนลำบากเพิ่มจากภาระที่ตามมามากมาย ขณะที่คุณภาพชีวิตที่ดี รัฐยังจัดให้ไม่ได้เลย
ประท้วงกันอยู่ทุกวัน อาชญกรรมที่เพิ่มขึ้น ยาเสพติด
มันยังมีวิธีอื่นอีกมาก ที่ไร้สาระน้อยกว่านี้
ต้องจับคนคิดไปทำหมัน กันแพร่เชื้อไร้สาระ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 6
โครงการเมียคนแรก 5555
Australia มี baby bonus ให้ครับ
มีปัญหาอัตราการเกิดต่ำมาเป็น 10ปีแล้วครับ
Australia มี baby bonus ให้ครับ
มีปัญหาอัตราการเกิดต่ำมาเป็น 10ปีแล้วครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 7
ไปออก กม. ไม่ให้มีธุรกิจที่ใหญ่เกินไป หากใหญ่เกินไปหรือมีรายได้มากเกินไป ส่วนเกินต้องเสียภาษีที่มากขึ้น
เป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นสามารถเป็นเถ้าแก่มากขึ้น การแข่งขันก็จะสูงขึ้น รายได้ก็จะกระจายมากขึ้น ผู้คนมีสตังค์มากขึ้น
การจับจ่ายก็มีโอกาสดีขึ้น ประชาชนก็จะมีทักษะดีขึ้นจากการที่หาความรู้เพื่อเป็นเถ้าแก่ ฯลฯ
เศรษฐกิจก็จะถูกขับเคลื่อนได้อย่างมั่นคงขึ้น วิกฤติก็จะเกิดได้ยากขึ้น (เหมือนการเล่นหุ้นโดยมีการ
diversify ในหุ้นหลายตัวมากขึ้น)
ขณะที่เปิดให้แข่งกันใหญ่เท่าที่จะใหญ่ได้ จึงต้องพึ่งเงินกู้จำนวนมากเพื่อพองตัวเองขึ้น
นอกจากทำให้รายเล็กเกิดยาก คนจำนวนมากก็กินเงินเดือนไปแล้ว หากบริษัทเกิดปัญหา ก็ตกงานกันจำนวนมาก ปัญหาสังคมก็ตามมามากมาย
สั้น ๆ เพียงเท่านี้ครับ ก็ไร้สาระเช่นกัน
เป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นสามารถเป็นเถ้าแก่มากขึ้น การแข่งขันก็จะสูงขึ้น รายได้ก็จะกระจายมากขึ้น ผู้คนมีสตังค์มากขึ้น
การจับจ่ายก็มีโอกาสดีขึ้น ประชาชนก็จะมีทักษะดีขึ้นจากการที่หาความรู้เพื่อเป็นเถ้าแก่ ฯลฯ
เศรษฐกิจก็จะถูกขับเคลื่อนได้อย่างมั่นคงขึ้น วิกฤติก็จะเกิดได้ยากขึ้น (เหมือนการเล่นหุ้นโดยมีการ
diversify ในหุ้นหลายตัวมากขึ้น)
ขณะที่เปิดให้แข่งกันใหญ่เท่าที่จะใหญ่ได้ จึงต้องพึ่งเงินกู้จำนวนมากเพื่อพองตัวเองขึ้น
นอกจากทำให้รายเล็กเกิดยาก คนจำนวนมากก็กินเงินเดือนไปแล้ว หากบริษัทเกิดปัญหา ก็ตกงานกันจำนวนมาก ปัญหาสังคมก็ตามมามากมาย
สั้น ๆ เพียงเท่านี้ครับ ก็ไร้สาระเช่นกัน
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 8
จะเนียนแอบใช้สิทธิ สำหรับคนมีเมียไปแล้ว ได้มั้ยอ่ะครับalittle เขียน:กลัวจะมีรับจ้างเป็นเมียคนแรก......ปรัชญา เขียน:มีโครงการบ้านหลังแรก
มีโครงการรถยนต์คันแรก
มีโครงการลูกคนแรก
เดี๋ยวไม่นาน น่าจะมีโครงการ เมียคนแรก
ถ้าจะดีหากมีเมียคนแรกจดทะเบียนสมรส จะได้รับการลดหย่อนภาษี
(ถ้าโดนจับได้ ด้วนแน่ๆเบย )
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 9
จะเนียนแอบใช้สิทธิ สำหรับคนมีเมียไปแล้ว ได้มั้ยอ่ะครับromee เขียน: กลัวจะมีรับจ้างเป็นเมียคนแรก......
(ถ้าโดนจับได้ ด้วนแน่ๆเบย )[/quote]
คิดกันแบบนี้ เดี๋ยวมีคุณสาวๆแอบคิดบ้าง
โครงการสามีคนแรก
ได้รับการลดหย่อนภาษี2เท่า
-
- Verified User
- โพสต์: 91
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 10
ถ้าเป็นตามนั้นจริงๆ อยากถามว่า
ช ห ม ป ท ค ?
ช ห ม ป ท ค ?
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 14
หลายๆประเทศในยุโรปก็มีภาษีคนโสดนะครับ
เข้าใจว่าประเทศทางแถบนั้นเริ่มมีปัญหาว่าคนไม่ค่อยแต่งงาน ไม่ค่อยมีลูก พอเป็นอย่างนี้ไปนานๆเข้าสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุก็จะเพิ่มสูงมาก ซึ่งคนสูงอายุนี่สร้างผลิตผลให้กับประเทศลดลงจากตอนหนุ่มสาว ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ อีกทั้งรัฐยังต้องหาสวัสดิการมารองรับ
พอเป็นเช่นนี้ ประเทศเหล่านี้คนที่เป็นโสดและไม่มีลูกเลยต้องเสียภาษีมากกว่าคนที่แต่งงานแล้ว หรือคนที่มีลูกแล้ว
ไทยก็จะเข้าสังคมสูงอายุในอีกไม่ไกลนี้ครับ เราจะเลี่ยงปัญหานี้กันได้นานแค่ไหนกัน
เข้าใจว่าประเทศทางแถบนั้นเริ่มมีปัญหาว่าคนไม่ค่อยแต่งงาน ไม่ค่อยมีลูก พอเป็นอย่างนี้ไปนานๆเข้าสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุก็จะเพิ่มสูงมาก ซึ่งคนสูงอายุนี่สร้างผลิตผลให้กับประเทศลดลงจากตอนหนุ่มสาว ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ อีกทั้งรัฐยังต้องหาสวัสดิการมารองรับ
พอเป็นเช่นนี้ ประเทศเหล่านี้คนที่เป็นโสดและไม่มีลูกเลยต้องเสียภาษีมากกว่าคนที่แต่งงานแล้ว หรือคนที่มีลูกแล้ว
ไทยก็จะเข้าสังคมสูงอายุในอีกไม่ไกลนี้ครับ เราจะเลี่ยงปัญหานี้กันได้นานแค่ไหนกัน
Vi IMrovised
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 16
ผมคิดว่า ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาจริง ๆ เพิ่มคนซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต เพื่อแลกกับ gdp ซึ่งเป็นตัวเลขอะไรก็ไม่รู้ ผลปรโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับคนที่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่เลย มันไปต้องอยู่กับคนจำนวนน้อยมากvim เขียน:หลายๆประเทศในยุโรปก็มีภาษีคนโสดนะครับ
เข้าใจว่าประเทศทางแถบนั้นเริ่มมีปัญหาว่าคนไม่ค่อยแต่งงาน ไม่ค่อยมีลูก พอเป็นอย่างนี้ไปนานๆเข้าสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุก็จะเพิ่มสูงมาก ซึ่งคนสูงอายุนี่สร้างผลิตผลให้กับประเทศลดลงจากตอนหนุ่มสาว ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ อีกทั้งรัฐยังต้องหาสวัสดิการมารองรับ
พอเป็นเช่นนี้ ประเทศเหล่านี้คนที่เป็นโสดและไม่มีลูกเลยต้องเสียภาษีมากกว่าคนที่แต่งงานแล้ว หรือคนที่มีลูกแล้ว
ไทยก็จะเข้าสังคมสูงอายุในอีกไม่ไกลนี้ครับ เราจะเลี่ยงปัญหานี้กันได้นานแค่ไหนกัน
ถามว่าจริง ๆ แล้วประเทศที่เจริญเหล่านั้น ที่เค้าไม่แต่งงานกันเพราะอะไร ส่วนใหญ่กก็เกิดมาจากการบีดรัดทาง
เศษฐกิจ ทำให้ต้องทุ่มเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับภาระทางเศษฐกิจ จนความสุขในชีวิตหายไป จึงไม่อยากมีภาระมากขึ้น หรือถ้ามีก็มีลูกน้อยคน
ดูอย่างจีน อินเดียซิ ประชากรอันดับ 1,2 ของโลก ประชากรกว่า 80-90% เกิดมาเพื่อเป็นฐานให้กับคนจำนวนน้อยมาก ชีวิตเกิดมาเพื่อการนี้หรือ
อื่ ๆ อีกมากมาย จะยาวเกินไปแล้ว
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 17
ผมไม่คิดว่าไร้สาระนะครับ เพียงแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบาย อย่างแรกเลยคือคนเราแต่ละคนมีตัวชี้วัดต่างกันนะครับ ในเชิงของผู้ที่ต้องคิดนโยบายประเภทนี้ ตัวชี้วัดของเค้าก็อาจเป็นการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในระยะยาวแล้ว ไม่มีทรัพยากรใดที่จะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไปได้มากกว่ามนุษย์ (ซึ่งคนๆ นี้ก็อาจจะไม่ได้สนใจ Factor อื่นๆ เนื่องจากตัวชี้วัดเค้าไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้น)
แต่ที่ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายเท่าไหร่ คือ วิธีการเรียกเก็บภาษีครับ อันที่จริงแค่เราเอาภาษีของคนทั้งประเทศมา reward หรือช่วยลดภาระให้เฉพาะกับครอบครัวที่มีบุตรแล้ว ก็เท่ากับเราได้ punish คนโสดไปโดยปริยาย แต่ถ้านโยบายคือการตั้งใจ punish คนโสดด้วยการเก็บภาษีกันตรงๆ เลย ทั้งที่การโสดไม่ได้ผิดกฏหมาย และไม่ได้ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของใคร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ และคนส่วนมากคงยากที่จะยอมรับได้ครับ
แต่ที่ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายเท่าไหร่ คือ วิธีการเรียกเก็บภาษีครับ อันที่จริงแค่เราเอาภาษีของคนทั้งประเทศมา reward หรือช่วยลดภาระให้เฉพาะกับครอบครัวที่มีบุตรแล้ว ก็เท่ากับเราได้ punish คนโสดไปโดยปริยาย แต่ถ้านโยบายคือการตั้งใจ punish คนโสดด้วยการเก็บภาษีกันตรงๆ เลย ทั้งที่การโสดไม่ได้ผิดกฏหมาย และไม่ได้ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของใคร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ และคนส่วนมากคงยากที่จะยอมรับได้ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 18
ขำ ๆ นะ
นี่กำลังจะบิดเบือนกลไกตลาดนะ
ถ้าเชื่อในตลาดเสรี เหมือนราคาหุ้น ว่าสุดท้ายจะเข้าสู่สมดุลของมันเอง
ก็ปล่อยให้เป็นธรรมชาติของมัน ไปแก้ด้วยวิธีอื่นเถอะ อย่าเอาชีวิตคนหรือตีค่าชีวิตคนเป็นตัวเลขเศรษฐกิจเลย
นี่กำลังจะบิดเบือนกลไกตลาดนะ
ถ้าเชื่อในตลาดเสรี เหมือนราคาหุ้น ว่าสุดท้ายจะเข้าสู่สมดุลของมันเอง
ก็ปล่อยให้เป็นธรรมชาติของมัน ไปแก้ด้วยวิธีอื่นเถอะ อย่าเอาชีวิตคนหรือตีค่าชีวิตคนเป็นตัวเลขเศรษฐกิจเลย
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 19
ผมว่าในเชิงมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์แล้วการตีค่ามนุษย์นั้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะในระบอบทุนนิยมปัจจุบันครับ แต่ที่แสดงความเห็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมสนับสนุนให้ตีค่ามนุษย์ด้วยตัวเลขนะครับ เพียงแต่ผมเห็นสังคมมนุษย์เป็นแบบนี้มาตลอด เรามักประเมินคนด้วยผลงาน ซึ่งตีตัวเลขได้เป็นเงินเดือน หรือคุณประโยชน์ที่คนนั้นๆ ทำให้กับระบบเศรษฐกิจ
ผมไม่ได้สนับสนุนให้มีการตีค่ามนุษย์ด้วยตัวเลขนะครับ เพียงแต่เสนอมุมมองว่าบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ในส่วนของผู้ที่ทำหน้าดูแลเศรษฐกิจมหภาคก็มีบทบาทที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ซึ่งการเพิ่มจำนวนประชากรก็เป็นหนึ่งในวิธีการนั้นครับ ผมจึงมองว่านี่ก็เป็นแค่อีก 1 นโยบายที่มุ่งหวังจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเท่านั้น แต่ตัวผมเองไม่ได้ศึกษาจนตกผลึกกับประเด็นนี้มากเพียงพอที่จะตอบได้ว่า เห็นด้วย หรือไม่ครับ และอันที่จริงผมไม่เห็นว่าประเด็นนี้จะสำคัญกับชีวิตผมไม่ว่าผมจะโสดหรือแต่งงานครับ เพราะประเด็นเรื่องภาษีคงเป็นประเด็นที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับการมีวิถีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการครับ
สุดท้ายต้องขอโทษด้วยนะครับ ถ้าข้อความของผมทำให้คุณ canon d เข้าใจผิด หรือรู้สึกไม่ดีครับ
ผมไม่ได้สนับสนุนให้มีการตีค่ามนุษย์ด้วยตัวเลขนะครับ เพียงแต่เสนอมุมมองว่าบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ในส่วนของผู้ที่ทำหน้าดูแลเศรษฐกิจมหภาคก็มีบทบาทที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ซึ่งการเพิ่มจำนวนประชากรก็เป็นหนึ่งในวิธีการนั้นครับ ผมจึงมองว่านี่ก็เป็นแค่อีก 1 นโยบายที่มุ่งหวังจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเท่านั้น แต่ตัวผมเองไม่ได้ศึกษาจนตกผลึกกับประเด็นนี้มากเพียงพอที่จะตอบได้ว่า เห็นด้วย หรือไม่ครับ และอันที่จริงผมไม่เห็นว่าประเด็นนี้จะสำคัญกับชีวิตผมไม่ว่าผมจะโสดหรือแต่งงานครับ เพราะประเด็นเรื่องภาษีคงเป็นประเด็นที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับการมีวิถีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการครับ
สุดท้ายต้องขอโทษด้วยนะครับ ถ้าข้อความของผมทำให้คุณ canon d เข้าใจผิด หรือรู้สึกไม่ดีครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 21
555 ไม่ได้ serious ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่า ชีวิตคนมีค่ามากกว่านั้นมากเท่านั้นนายมานะ เขียน:ผมว่าในเชิงมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์แล้วการตีค่ามนุษย์นั้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะในระบอบทุนนิยมปัจจุบันครับ แต่ที่แสดงความเห็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมสนับสนุนให้ตีค่ามนุษย์ด้วยตัวเลขนะครับ เพียงแต่ผมเห็นสังคมมนุษย์เป็นแบบนี้มาตลอด เรามักประเมินคนด้วยผลงาน ซึ่งตีตัวเลขได้เป็นเงินเดือน หรือคุณประโยชน์ที่คนนั้นๆ ทำให้กับระบบเศรษฐกิจ
ผมไม่ได้สนับสนุนให้มีการตีค่ามนุษย์ด้วยตัวเลขนะครับ เพียงแต่เสนอมุมมองว่าบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ในส่วนของผู้ที่ทำหน้าดูแลเศรษฐกิจมหภาคก็มีบทบาทที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ซึ่งการเพิ่มจำนวนประชากรก็เป็นหนึ่งในวิธีการนั้นครับ ผมจึงมองว่านี่ก็เป็นแค่อีก 1 นโยบายที่มุ่งหวังจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเท่านั้น แต่ตัวผมเองไม่ได้ศึกษาจนตกผลึกกับประเด็นนี้มากเพียงพอที่จะตอบได้ว่า เห็นด้วย หรือไม่ครับ และอันที่จริงผมไม่เห็นว่าประเด็นนี้จะสำคัญกับชีวิตผมไม่ว่าผมจะโสดหรือแต่งงานครับ เพราะประเด็นเรื่องภาษีคงเป็นประเด็นที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับการมีวิถีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการครับ
สุดท้ายต้องขอโทษด้วยนะครับ ถ้าข้อความของผมทำให้คุณ canon d เข้าใจผิด หรือรู้สึกไม่ดีครับ
ระบบทุนนิยมมีจุดอ่อนอยู่ แก้กันไปก็เหมือนงูกิน พอประชากรเพิ่มก็บอกว่า ลูกมากจะยากจน 555
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 22
เรื่องนี้อาจจะคุยกันได้ยืดยาวครับ ผมอาจจะอธิบายได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ความเห็นผมคือมันมีเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องมากครับ
ในข่าวเราเรียกกันว่า"ภาษีคนโสด" แต่จริงๆนั้นชื่อนี้ไม่สะท้อนแนวคิดของหลักการเท่าไหร่ หลายๆประเทศนั้นไม่ได้ต้องการเก็บภาษีคนโสดให้แพงขึ้น แต่ต้องการเก็บภาษีครอบครัวให้ถูกลงแทน แต่ที่ทำกันมามันก็ทำให้สุดท้ายภาษีคนโสดก็จะต้องเพิ่มในระยะยาว เพราะคนแก่ขึ้น รัฐต้องสร้างสาธารณูปโภคที่ดีขึ้น เช่นทางเดินถนน ทางรถไฟรถยนต์ โรงพยาบาล เป็นต้น
ประเทศที่มีปัญหาโครงสร้างประชากรก็พยายามออกนโยบายที่คล้ายๆกันในช่วงหลังๆนี้ หนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมการมีครอบครัว (และไม่สนับสนุนการเป็นโสด) การที่รัฐเก็บภาษีครอบครัวต่ำกว่าภาษีบุคคลที่ไม่มีครอบครัว ทำให้ครอบครัวหนึ่งๆมีรายได้สุทธิมากขึ้น มีผลทำให้สามีหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งลาออกมาเพื่อเลี้ยงลูก
ปัจจุบันผมเสียภาษีในเยอรมัน รวมทั้งหมดแล้วอยู่ที่ประมาณ 40% ของเงินเดือน หากผมแต่งงานภาษีผมก็จะลดเหลือแค่ประมาณ 20-30% ซึ่งเงินส่วนต่างนี้เพียงพอที่จะทำให้ภรรยาลาออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก พาลูกไปโรงเรียนในช่วงเช้า และช่วงบ่ายรับลูกกลับมาอยู่กับที่บ้าน ไม่ต้องไปกวดวิชาหรือเอาไปฝากไว้กับสถานรับดูแลเด็ก เด็กๆก็จะโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์ เป็นประชากรที่มีคุณภาพและไม่เป็นปัญหาสังคม
หนทางอื่นที่จะแก้ไขปัญหาสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุก็เช่น ให้คนทำงานกันนานขึ้นและเกษียนกันช้าลง (เช่น จาก 60 ปี เป็น 67 ปี) หรือการเปิดรับการอพยพจากแรงงานต่างด้าว
ในยุโรปเราทำกันมาทุกทาง ทางที่เจ็บหนักที่สุดก็คือการเปิดรับแรงงานต่างด้าว แม้แรงงานที่รับเข้ามาจะเข้ามาทำงานให้รัฐในช่วงอายุ 20-40 ปี และส่วนมากมักจะกลับประเทศตัวเองหลังจากนั้น แต่นั่นหมายความว่าประเทศก็จะเจอปัญหาความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทางภาษา รวมไปถึงศาสนา
ประเทศที่เคยรับคนต่างชาติมามากๆ เช่นอังกฤษหลังอาณานิคม เช่นฝรั่งเศสและเยอรมันหลังยุคสงคราม ในปัจจุบันนั้นเปิดรับคนต่างชาติยากขึ้นมากๆเพราะเกิดปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ แต่จนแล้วจนรอดก็จำเป็นต้องเปิดรับคนชาติอื่นๆในสหภาพยุโรปเข้ามาทำงาน เพราะบุคคลากรของประเทศตัวเองไม่เพียงพอแล้ว
หากไปเดินปารีส เราอาจจะพบได้ว่ามันไม่เหมือนนครในฝันในนิยาย ประชากรของคนในเมืองนี้แทบไม่มีผมทองผิวขาวอีกแล้ว มีแต่หัวดำผิวคล้ำเต็มไปหมด ความแตกต่างของเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมทำให้เกิดปัญหาอาชญากรขึ้นมากมาย
เวลาคนต่างชาติเดินเจอคนเจ้าของประเทศทัก เขาไม่ทักนะครับว่ามาจากไหน เขาทักว่าจะกลับเมื่อไหร่ ฟังแล้วดูหดหู่ๆทั้งคนทักและคนถูกทัก
มองกลับไปที่ไทย ถ้าไม่มีการวางแผนในอนาคตอีกไม่นานไทยก็จะเป็นเหมือนในยุโรป มันเป็นปัญหาที่หาทางออกที่ถูกใจคนได้ยากครับ แต่ถ้าเราไม่วางแผนสร้างคนไทยรุ่นใหม่ๆในตอนนี้ ในอนาคตเราก็จะเจอปัญหาแบบที่คนอื่นเขาเจอกันก่อนแล้ว
เรามาทีหลัง เรามีข้อมูลมากกว่าเขา น่าจะรีบวางแผนกันแต่เนิ่นๆจะได้ไม่เจอปัญหาอย่างเขาครับ
ในข่าวเราเรียกกันว่า"ภาษีคนโสด" แต่จริงๆนั้นชื่อนี้ไม่สะท้อนแนวคิดของหลักการเท่าไหร่ หลายๆประเทศนั้นไม่ได้ต้องการเก็บภาษีคนโสดให้แพงขึ้น แต่ต้องการเก็บภาษีครอบครัวให้ถูกลงแทน แต่ที่ทำกันมามันก็ทำให้สุดท้ายภาษีคนโสดก็จะต้องเพิ่มในระยะยาว เพราะคนแก่ขึ้น รัฐต้องสร้างสาธารณูปโภคที่ดีขึ้น เช่นทางเดินถนน ทางรถไฟรถยนต์ โรงพยาบาล เป็นต้น
ประเทศที่มีปัญหาโครงสร้างประชากรก็พยายามออกนโยบายที่คล้ายๆกันในช่วงหลังๆนี้ หนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมการมีครอบครัว (และไม่สนับสนุนการเป็นโสด) การที่รัฐเก็บภาษีครอบครัวต่ำกว่าภาษีบุคคลที่ไม่มีครอบครัว ทำให้ครอบครัวหนึ่งๆมีรายได้สุทธิมากขึ้น มีผลทำให้สามีหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งลาออกมาเพื่อเลี้ยงลูก
ปัจจุบันผมเสียภาษีในเยอรมัน รวมทั้งหมดแล้วอยู่ที่ประมาณ 40% ของเงินเดือน หากผมแต่งงานภาษีผมก็จะลดเหลือแค่ประมาณ 20-30% ซึ่งเงินส่วนต่างนี้เพียงพอที่จะทำให้ภรรยาลาออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก พาลูกไปโรงเรียนในช่วงเช้า และช่วงบ่ายรับลูกกลับมาอยู่กับที่บ้าน ไม่ต้องไปกวดวิชาหรือเอาไปฝากไว้กับสถานรับดูแลเด็ก เด็กๆก็จะโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์ เป็นประชากรที่มีคุณภาพและไม่เป็นปัญหาสังคม
หนทางอื่นที่จะแก้ไขปัญหาสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุก็เช่น ให้คนทำงานกันนานขึ้นและเกษียนกันช้าลง (เช่น จาก 60 ปี เป็น 67 ปี) หรือการเปิดรับการอพยพจากแรงงานต่างด้าว
ในยุโรปเราทำกันมาทุกทาง ทางที่เจ็บหนักที่สุดก็คือการเปิดรับแรงงานต่างด้าว แม้แรงงานที่รับเข้ามาจะเข้ามาทำงานให้รัฐในช่วงอายุ 20-40 ปี และส่วนมากมักจะกลับประเทศตัวเองหลังจากนั้น แต่นั่นหมายความว่าประเทศก็จะเจอปัญหาความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทางภาษา รวมไปถึงศาสนา
ประเทศที่เคยรับคนต่างชาติมามากๆ เช่นอังกฤษหลังอาณานิคม เช่นฝรั่งเศสและเยอรมันหลังยุคสงคราม ในปัจจุบันนั้นเปิดรับคนต่างชาติยากขึ้นมากๆเพราะเกิดปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ แต่จนแล้วจนรอดก็จำเป็นต้องเปิดรับคนชาติอื่นๆในสหภาพยุโรปเข้ามาทำงาน เพราะบุคคลากรของประเทศตัวเองไม่เพียงพอแล้ว
หากไปเดินปารีส เราอาจจะพบได้ว่ามันไม่เหมือนนครในฝันในนิยาย ประชากรของคนในเมืองนี้แทบไม่มีผมทองผิวขาวอีกแล้ว มีแต่หัวดำผิวคล้ำเต็มไปหมด ความแตกต่างของเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมทำให้เกิดปัญหาอาชญากรขึ้นมากมาย
เวลาคนต่างชาติเดินเจอคนเจ้าของประเทศทัก เขาไม่ทักนะครับว่ามาจากไหน เขาทักว่าจะกลับเมื่อไหร่ ฟังแล้วดูหดหู่ๆทั้งคนทักและคนถูกทัก
มองกลับไปที่ไทย ถ้าไม่มีการวางแผนในอนาคตอีกไม่นานไทยก็จะเป็นเหมือนในยุโรป มันเป็นปัญหาที่หาทางออกที่ถูกใจคนได้ยากครับ แต่ถ้าเราไม่วางแผนสร้างคนไทยรุ่นใหม่ๆในตอนนี้ ในอนาคตเราก็จะเจอปัญหาแบบที่คนอื่นเขาเจอกันก่อนแล้ว
เรามาทีหลัง เรามีข้อมูลมากกว่าเขา น่าจะรีบวางแผนกันแต่เนิ่นๆจะได้ไม่เจอปัญหาอย่างเขาครับ
Vi IMrovised
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 24
vim เขียน:เรื่องนี้อาจจะคุยกันได้ยืดยาวครับ ผมอาจจะอธิบายได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ความเห็นผมคือมันมีเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องมากครับ
ในข่าวเราเรียกกันว่า"ภาษีคนโสด" แต่จริงๆนั้นชื่อนี้ไม่สะท้อนแนวคิดของหลักการเท่าไหร่ หลายๆประเทศนั้นไม่ได้ต้องการเก็บภาษีคนโสดให้แพงขึ้น แต่ต้องการเก็บภาษีครอบครัวให้ถูกลงแทน แต่ที่ทำกันมามันก็ทำให้สุดท้ายภาษีคนโสดก็จะต้องเพิ่มในระยะยาว เพราะคนแก่ขึ้น รัฐต้องสร้างสาธารณูปโภคที่ดีขึ้น เช่นทางเดินถนน ทางรถไฟรถยนต์ โรงพยาบาล เป็นต้น
ประเทศที่มีปัญหาโครงสร้างประชากรก็พยายามออกนโยบายที่คล้ายๆกันในช่วงหลังๆนี้ หนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมการมีครอบครัว (และไม่สนับสนุนการเป็นโสด) การที่รัฐเก็บภาษีครอบครัวต่ำกว่าภาษีบุคคลที่ไม่มีครอบครัว ทำให้ครอบครัวหนึ่งๆมีรายได้สุทธิมากขึ้น มีผลทำให้สามีหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งลาออกมาเพื่อเลี้ยงลูก
ปัจจุบันผมเสียภาษีในเยอรมัน รวมทั้งหมดแล้วอยู่ที่ประมาณ 40% ของเงินเดือน หากผมแต่งงานภาษีผมก็จะลดเหลือแค่ประมาณ 20-30% ซึ่งเงินส่วนต่างนี้เพียงพอที่จะทำให้ภรรยาลาออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก พาลูกไปโรงเรียนในช่วงเช้า และช่วงบ่ายรับลูกกลับมาอยู่กับที่บ้าน ไม่ต้องไปกวดวิชาหรือเอาไปฝากไว้กับสถานรับดูแลเด็ก เด็กๆก็จะโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์ เป็นประชากรที่มีคุณภาพและไม่เป็นปัญหาสังคม
หนทางอื่นที่จะแก้ไขปัญหาสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุก็เช่น ให้คนทำงานกันนานขึ้นและเกษียนกันช้าลง (เช่น จาก 60 ปี เป็น 67 ปี) หรือการเปิดรับการอพยพจากแรงงานต่างด้าว
ในยุโรปเราทำกันมาทุกทาง ทางที่เจ็บหนักที่สุดก็คือการเปิดรับแรงงานต่างด้าว แม้แรงงานที่รับเข้ามาจะเข้ามาทำงานให้รัฐในช่วงอายุ 20-40 ปี และส่วนมากมักจะกลับประเทศตัวเองหลังจากนั้น แต่นั่นหมายความว่าประเทศก็จะเจอปัญหาความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทางภาษา รวมไปถึงศาสนา
ประเทศที่เคยรับคนต่างชาติมามากๆ เช่นอังกฤษหลังอาณานิคม เช่นฝรั่งเศสและเยอรมันหลังยุคสงคราม ในปัจจุบันนั้นเปิดรับคนต่างชาติยากขึ้นมากๆเพราะเกิดปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ แต่จนแล้วจนรอดก็จำเป็นต้องเปิดรับคนชาติอื่นๆในสหภาพยุโรปเข้ามาทำงาน เพราะบุคคลากรของประเทศตัวเองไม่เพียงพอแล้ว
หากไปเดินปารีส เราอาจจะพบได้ว่ามันไม่เหมือนนครในฝันในนิยาย ประชากรของคนในเมืองนี้แทบไม่มีผมทองผิวขาวอีกแล้ว มีแต่หัวดำผิวคล้ำเต็มไปหมด ความแตกต่างของเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมทำให้เกิดปัญหาอาชญากรขึ้นมากมาย
เวลาคนต่างชาติเดินเจอคนเจ้าของประเทศทัก เขาไม่ทักนะครับว่ามาจากไหน เขาทักว่าจะกลับเมื่อไหร่ ฟังแล้วดูหดหู่ๆทั้งคนทักและคนถูกทัก
มองกลับไปที่ไทย ถ้าไม่มีการวางแผนในอนาคตอีกไม่นานไทยก็จะเป็นเหมือนในยุโรป มันเป็นปัญหาที่หาทางออกที่ถูกใจคนได้ยากครับ แต่ถ้าเราไม่วางแผนสร้างคนไทยรุ่นใหม่ๆในตอนนี้ ในอนาคตเราก็จะเจอปัญหาแบบที่คนอื่นเขาเจอกันก่อนแล้ว
เรามาทีหลัง เรามีข้อมูลมากกว่าเขา น่าจะรีบวางแผนกันแต่เนิ่นๆจะได้ไม่เจอปัญหาอย่างเขาครับ
ทราบครับว่าคนเปผ็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อเศษฐกิจ ทั้งฝั่งผลิต และฝั่งบริโภค ที่ดูเหมือนจะดี แต่จะดีในช่วงเวลาไม่ยาวนานนัก ปัญหาก็จะตามมามากกว่าประโยชน์ที่ได้ ด้วยความบกพร่องของระบบทุนนิยม การเพิ่มประชากรจำนวนมาก ก็ให้ผลตรงข้ามที่รุนแรง เพราะทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด จะเป็นการผลักดันให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา (มากมาย) ทั้งมลพิษ ขยะล้นเมือง ฯลฯ
การปล่อยให้ธรรมชาติปรับสมดุลเอง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เพียงแต่มนุษย์อีกแรง (ในทางสร้างสรรค์) ในยามที่ธรรมชาติกำลังทำงานของมัน ด้วยการหามาตรการเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่พอเหมาะ อาจจะเป็นการยืดอายุการทำงาน มีงานให้ผู้สูงอายุทำบ้าง อาจจะ 3-4 วันต่อสัปดาห์ อะไรเทือกนั้น เป็นการช่วยลดการบีดรัด ลดการเร่งรีบทางเศาฐกิจและสังคม จริง ๆ มีวิธีอีกมาก จริง ๆ นะ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 25
06/09/56 ตอน วิพากษ์เมื่อคนโสดเจอรีดภาษี
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 06/09/56
http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=2412
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 06/09/56
http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=2412
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 26
ปัญหาบ้านเรา คือ กลุ่มคนที่สมควรมีลูก มีความพร้อมที่จะมีลูก กลับไม่ยอมมีลูก
แต่กลุ่มคนที่ไม่พร้อม กับมีลูกกัน ไม่ยอมคุมกำเนิด เช่น วัยรุ่น หรือ แรงงานระดับล่าง ที่มีลูกมากจนเลี้ยงไม่ไหว
โดยส่วนส่วนมองว่าพฤติกรรมที่ดี รัฐควรส่งเสริมด้วยมาตรการภาษี เพื่อให้คนประพฤติพฤติกรรมนั้นๆ
เช่นพฤติกรรมการออม พวกการซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อการออมทั้งหลาย รัฐเลยให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เช่นพวก LTF RMF ประกันชีวิต Providend Fund ทั้งหลาย
ส่วนเรื่องการลูก โดยส่วนตัวมองว่า รัฐควรให้รางวัลแก่ครอบครัวที่มีลูกเยอะๆ
โดยเฉพาะมาตราภาษีต่างๆ พวกหักลดหย่อนให้หนักๆไปเลย เพราะคนกลุ่มที่เสียภาษี ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะระดับหนึ่ง
ผมมองว่า กลุ่มนี้มีความพร้อมที่จะเลี้ยงดูบุตรได้ระดับหนึ่ง อยู่แล้ว
ส่วนกลุ่มคนที่ไม่เสียภาษี ก็ไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้
ส่วนเรื่องภาษีคนโสด ผมเฉยๆนะ ทั้งที่ตอนนี้ยังโสดอยู่
จะมีหรือไม่มี โดยส่วนตัวไม่รู้สึกอะไร แต่ผมเห็นด้วยกับการสร้างแรงจูงใจให้คนมีลูกมากกว่า
ส่วนการลงโทษคนโสด ด้วยมาตรการภาษี ผมเห็นคนต่อต้านเยอะนะ
ก็คงเพราะโดยธรรมชาติคนเรา ไม่ชอบการถูกลงโทษมากกว่า
แต่กลุ่มคนที่ไม่พร้อม กับมีลูกกัน ไม่ยอมคุมกำเนิด เช่น วัยรุ่น หรือ แรงงานระดับล่าง ที่มีลูกมากจนเลี้ยงไม่ไหว
โดยส่วนส่วนมองว่าพฤติกรรมที่ดี รัฐควรส่งเสริมด้วยมาตรการภาษี เพื่อให้คนประพฤติพฤติกรรมนั้นๆ
เช่นพฤติกรรมการออม พวกการซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อการออมทั้งหลาย รัฐเลยให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เช่นพวก LTF RMF ประกันชีวิต Providend Fund ทั้งหลาย
ส่วนเรื่องการลูก โดยส่วนตัวมองว่า รัฐควรให้รางวัลแก่ครอบครัวที่มีลูกเยอะๆ
โดยเฉพาะมาตราภาษีต่างๆ พวกหักลดหย่อนให้หนักๆไปเลย เพราะคนกลุ่มที่เสียภาษี ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะระดับหนึ่ง
ผมมองว่า กลุ่มนี้มีความพร้อมที่จะเลี้ยงดูบุตรได้ระดับหนึ่ง อยู่แล้ว
ส่วนกลุ่มคนที่ไม่เสียภาษี ก็ไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้
ส่วนเรื่องภาษีคนโสด ผมเฉยๆนะ ทั้งที่ตอนนี้ยังโสดอยู่
จะมีหรือไม่มี โดยส่วนตัวไม่รู้สึกอะไร แต่ผมเห็นด้วยกับการสร้างแรงจูงใจให้คนมีลูกมากกว่า
ส่วนการลงโทษคนโสด ด้วยมาตรการภาษี ผมเห็นคนต่อต้านเยอะนะ
ก็คงเพราะโดยธรรมชาติคนเรา ไม่ชอบการถูกลงโทษมากกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1230
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 27
อยากให้คนมีลูกมาก ก็ควรเลือกให้ reward. จูงใจให้คนมีลูกมาก บางประเทศเขาทำแบบนี้
นี่กลับเลือก punish คนไม่มีลูก
แม้มีลูกมาก แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงให้ดี. สุดท้ายมันก็สร้างปัญหาซะมากกว่า
นักวิชาการที่ดีต้องหลักเหตุผลรองรับ ไม่ใช่จะพูด หรือ คิดอะไรก็ได้ แล้วอ้างว่าเป็นนักวิชาการ
แต่ผมก็ฟังตามข่าว. ไม่รู้ว่าจริง ๆ เขาพูดจริงไหมนะครับ เพราะว่าไม่ฉลาดเลยที่ให้ความเห็นดังที่ว่า
นี่กลับเลือก punish คนไม่มีลูก
แม้มีลูกมาก แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงให้ดี. สุดท้ายมันก็สร้างปัญหาซะมากกว่า
นักวิชาการที่ดีต้องหลักเหตุผลรองรับ ไม่ใช่จะพูด หรือ คิดอะไรก็ได้ แล้วอ้างว่าเป็นนักวิชาการ
แต่ผมก็ฟังตามข่าว. ไม่รู้ว่าจริง ๆ เขาพูดจริงไหมนะครับ เพราะว่าไม่ฉลาดเลยที่ให้ความเห็นดังที่ว่า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 28
สมัยก่อน ออกกฎให้มีลูกมาก มักเกิดในช่วงสงคราม
จนบางประเทศอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึง 4 คน จนถึงปัจจุบัน
แต่ปัจจุบัน ต้องการเพิ้มประชากร เพราะต้องการเพิ่ม gdp
ปล อิจฉาเค้าหน่ะ เพราะแก่แล้ว หมดโอกาสใช้สิทธิพิเศษนี้แล้ว
เลยไม่เห็นด้วยอย่างแรง
จนบางประเทศอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึง 4 คน จนถึงปัจจุบัน
แต่ปัจจุบัน ต้องการเพิ้มประชากร เพราะต้องการเพิ่ม gdp
ปล อิจฉาเค้าหน่ะ เพราะแก่แล้ว หมดโอกาสใช้สิทธิพิเศษนี้แล้ว
เลยไม่เห็นด้วยอย่างแรง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 29
หากดูจากประเทศที่พัฒนาแล้ว จะพบว่าการให้แรงจูงใจให้คนมีลูกมากไม่ได้ผลครับ คนรุ่นใหม่มันไม่อยากมีลูกซะอย่าง บังคับกันยากครับ ยิ่งวัยรุ่นสมัยนี้แล้ว เวลากินสไปร์ทต้องใส่ถุงอีกด้วย ประชากรประเทศไทยน่าจะมีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกันกับญี่ปุนหากไม่ทำอะไรเลย
แต่ผมมองว่า ประเทศไทยในอนาคตน่าจะออกมาแนวคล้าย ๆ กับ USA มากกว่า คือคนเกิดน้อย แต่มีคนอพยพเข้ามาเยอะมาช่วยทดแทนประชากรที่ขาดหายไป
จริงอยู่หลาย ๆ ประเทศส่วนใหญ่มีปัญหากีดกันคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัย มาทำงาน แต่ผมมองว่านี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทย หรือ USA ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เนื่องจากคนไทยมีวัฒนธรรมเปิดรับคนต่างชาติ เป็นอย่างนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว
อย่างหลาย ๆ เมืองขณะนี้ ก็เป็นไปแล้ว ต่างชาติมาอยู่ร่วมกับคนไทยได้อย่างไม่มีปัญหา เช่น พัทยา หาดป่าตอง ศรีราชา เชียงใหม่ กทม บางจังหวัดในภาคอีสาน เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมคนไทยถึงเปิดรับคนต่างชาติได้ง่ายจัง ให้เวลาคิด 10 นาที เดี๋ยวผมจะมาลองแชร์ดูครับ
แต่ผมมองว่า ประเทศไทยในอนาคตน่าจะออกมาแนวคล้าย ๆ กับ USA มากกว่า คือคนเกิดน้อย แต่มีคนอพยพเข้ามาเยอะมาช่วยทดแทนประชากรที่ขาดหายไป
จริงอยู่หลาย ๆ ประเทศส่วนใหญ่มีปัญหากีดกันคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัย มาทำงาน แต่ผมมองว่านี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทย หรือ USA ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เนื่องจากคนไทยมีวัฒนธรรมเปิดรับคนต่างชาติ เป็นอย่างนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว
อย่างหลาย ๆ เมืองขณะนี้ ก็เป็นไปแล้ว ต่างชาติมาอยู่ร่วมกับคนไทยได้อย่างไม่มีปัญหา เช่น พัทยา หาดป่าตอง ศรีราชา เชียงใหม่ กทม บางจังหวัดในภาคอีสาน เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมคนไทยถึงเปิดรับคนต่างชาติได้ง่ายจัง ให้เวลาคิด 10 นาที เดี๋ยวผมจะมาลองแชร์ดูครับ
In search of super stocks
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักวิชาการแนะรัฐ เก็บภาษีคนโสด
โพสต์ที่ 30
พอดีผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเกือบ 10 ปี ผมพบว่าไทยกับ USA มีความคล้ายกันอย่างนึงคือเป็นประเทศที่มีลักษณะเหมือน Salad Bowl หมายความว่าเป็นดินแดนที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมาอยู่ด้วยกัน ทำให้คนไทยเคยชินกับการอยู่ร่วมกัน ยอมรับความแตกต่าง อยู่กันได้อย่างดีมาหลายร้อยปีแล้วครับ
หากไม่เชื่อลองถามคนที่ท่านรู้จัก ดูว่ามีคนไทยเชื้อสายไทยแท้มากขนาดไหน ก่อนอื่นต้องนิยามคนไทยเชื้อสายไทยแท้เป็นใคร หากดูจากประวัติศาสตร์น่าจะเป็นคนแถว ๆ อยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี ประมาณนั้น
ทางเหนือ - เดิมเป็นอณาจักรล้านนา เหมือนอีกประเทศนึงเพิ่งมารวมกับไทยช่วงกลางรัตนโกสินทร์นี่เอง ส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทยใหญ่ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ จำนวนมาก มีภาษาและวัฒนธรรมของเค้าเอง
ทางอีสาน - คนที่นั่น เราเรียกว่าไทยอีสาน ผมคิดว่าน่าจะมีวัฒนธรรมคล้าย ๆ ฝั่งลาว เข้าใจว่าจำนวนมากเป็นคนที่มาจากอณาจักรล้านช้าง อพยพเข้ามา หรืออีกส่วนนึงอาจโดนกวาดต้อนมาจากฝั่งลาว (ในอดีตทรัพยากรบุคคลสำคัญมาก สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไทยเคยบุกตีเวียงจันทร์แตกแล้วกวาดต้อนคนลาวมาอยู่ฝั่งไทย เป็นต้น)
ภาคกลางตอนล่าง กทม - เนื่องจากเป็นเมืองท่าสำคัญ มีการสัญจรทางเรือมาช้านาน จึงมีคนหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาอยู่ เช่น คนจีน เป็นต้น
ภาคตะวันออก - จังหวัดชายทะเลทางตะวันออก ก็คล้าย ๆ กันกับภาคกลางตอนล่าง มีคนจีนเข้ามาอยู่อาศัยอยู่ช้านานแล้ว
ภาคตะวันตก - สมัยต้นรัตนโกสินทร์ มอญโดนพม่ากวาดล้างหนัก จำนวนมากหนีมาอยู่กับไทย เข้าใจว่าแถว ๆ ราชบุรี กาญจนบุรี มีไทยเชื้อสายมอญอยู่มาก
ภาคใต้ - เป็นเมืองท่าทางการค้ามาหลายร้อยปี มีคนมุสลิม คนจีนอาศัยอยู่มานานมาก เช่น สงขลา ภูเก็ต มีคนจีนคนมุสลิม อยู่เป็นจำนวนมาก เป็นต้น
สรุป ดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นที่ ๆ คนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันมานาน คนไทยส่วนใหญ่ครั้งนึงก็เคยมาจากที่อื่น ทำให้เราเป็นคนที่เปิดรับคนต่างถิ่นได้ง่าย ออกแนวค่อนข้าง friendly มาก ๆ สำหรับคนที่เข้ามาท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งเข้ามาอาศัย
อีกหน่อย น่าจะมีคนไทยเชื้อสายพม่า เชื้อสายรัสเซีย เชื้อสายญี่ปุ่น มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตามหลักพันธุกรรม diversity is good ครับ
ลองสังเกตดี ๆ ท่านเคยรู้สึกไหมว่าคนไทยหน้าตาดูหลากหลายมาก หากท่านไปเที่ยวเกาหลี จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ผมมีความรู้สึกว่าคนในประเทศนั้น ๆ ดูหน้าตาคล้าย ๆ กันมากกว่าคนไทยนะ
หากไม่เชื่อลองถามคนที่ท่านรู้จัก ดูว่ามีคนไทยเชื้อสายไทยแท้มากขนาดไหน ก่อนอื่นต้องนิยามคนไทยเชื้อสายไทยแท้เป็นใคร หากดูจากประวัติศาสตร์น่าจะเป็นคนแถว ๆ อยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี ประมาณนั้น
ทางเหนือ - เดิมเป็นอณาจักรล้านนา เหมือนอีกประเทศนึงเพิ่งมารวมกับไทยช่วงกลางรัตนโกสินทร์นี่เอง ส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทยใหญ่ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ จำนวนมาก มีภาษาและวัฒนธรรมของเค้าเอง
ทางอีสาน - คนที่นั่น เราเรียกว่าไทยอีสาน ผมคิดว่าน่าจะมีวัฒนธรรมคล้าย ๆ ฝั่งลาว เข้าใจว่าจำนวนมากเป็นคนที่มาจากอณาจักรล้านช้าง อพยพเข้ามา หรืออีกส่วนนึงอาจโดนกวาดต้อนมาจากฝั่งลาว (ในอดีตทรัพยากรบุคคลสำคัญมาก สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไทยเคยบุกตีเวียงจันทร์แตกแล้วกวาดต้อนคนลาวมาอยู่ฝั่งไทย เป็นต้น)
ภาคกลางตอนล่าง กทม - เนื่องจากเป็นเมืองท่าสำคัญ มีการสัญจรทางเรือมาช้านาน จึงมีคนหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาอยู่ เช่น คนจีน เป็นต้น
ภาคตะวันออก - จังหวัดชายทะเลทางตะวันออก ก็คล้าย ๆ กันกับภาคกลางตอนล่าง มีคนจีนเข้ามาอยู่อาศัยอยู่ช้านานแล้ว
ภาคตะวันตก - สมัยต้นรัตนโกสินทร์ มอญโดนพม่ากวาดล้างหนัก จำนวนมากหนีมาอยู่กับไทย เข้าใจว่าแถว ๆ ราชบุรี กาญจนบุรี มีไทยเชื้อสายมอญอยู่มาก
ภาคใต้ - เป็นเมืองท่าทางการค้ามาหลายร้อยปี มีคนมุสลิม คนจีนอาศัยอยู่มานานมาก เช่น สงขลา ภูเก็ต มีคนจีนคนมุสลิม อยู่เป็นจำนวนมาก เป็นต้น
สรุป ดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นที่ ๆ คนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันมานาน คนไทยส่วนใหญ่ครั้งนึงก็เคยมาจากที่อื่น ทำให้เราเป็นคนที่เปิดรับคนต่างถิ่นได้ง่าย ออกแนวค่อนข้าง friendly มาก ๆ สำหรับคนที่เข้ามาท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งเข้ามาอาศัย
อีกหน่อย น่าจะมีคนไทยเชื้อสายพม่า เชื้อสายรัสเซีย เชื้อสายญี่ปุ่น มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตามหลักพันธุกรรม diversity is good ครับ
ลองสังเกตดี ๆ ท่านเคยรู้สึกไหมว่าคนไทยหน้าตาดูหลากหลายมาก หากท่านไปเที่ยวเกาหลี จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ผมมีความรู้สึกว่าคนในประเทศนั้น ๆ ดูหน้าตาคล้าย ๆ กันมากกว่าคนไทยนะ
In search of super stocks