กำลังจะทำอยู่พอดีเลยครับ
![Smile :)](./images/smilies/icon_smile.gif)
ตอบในฐานะเด็กรุ่นใหม่ (ที่กำลังจะเก่า) นะครับPower Investor เขียน:คิดว่าพูดไปก็ึคงมีคนคัดค้านเยอะ แต่อยากจะบอกว่า
ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ มีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นเก่าเยอะเลย
อยากเติบโตเร็ว อยากรวยทางลัด
แต่ให้ความสำคัญของประสบการณ์การทำงานน้อยมาก
และบ่อยครั้งกลับมองประสบการณ์ทำงานเป็นภาระหรืออุปสรรคที่ขวางความสำเร็จในชีวิต
เห็นแล้วก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะโชคดีเช่นนั้นจริงๆ
เห็นด้วย หลายประโยคคับ แต่ชอบช่วงสุดท้ายคับ ผมเจอแบบนี้มากขึ้น แต่คิดว่าอะไรที่คนแย่งกัน แข่งขันกันมากเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัวก้อเพิ่มมากขึ้น แต่คงห้ามคนอื่นไม่ได้ คงต้องเริ่มที่เรา เตือนตัวเองให้ได้ว่า เราอย่าเอาความอยากของเราไปเบียดเบียนคนอื่น และมีมากแล้วต้องรู้จักแบ่งปันบ้างคับ ผมเตือนตัวเอง เพราะรู้สึกว่าพอเราอยู่กับความอยากให้เงินเราเพิ่ม จนบ้างครั้งเราไม่สนใจคนอื่น ไม่สนใจคนรอบข้าง จนกลัวว่ามันจะติดเป็นนิสัย เป็นความเห็นแก่ตัวได้คับ สุดท้ายที่พี่ Tibular บอก คือ รู้ทันความอยากของเราได้ ก้อพบความสุขTibular เขียน: ยิ่งเติบโตยิ่งห่าง ทุกวันนี้ ความเร่งรีบ การแข่งขัน ในไทยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มตาม
เข้าคิวรอนั่นรอนี่ บางทีก็แย่งกัน ทุกคนไม่มีความอดทนกันอีกต่อไป หน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นได้ชัดเวลาวันหยุดยาวๆ
ไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
สุดท้ายก็แค่ความอยาก รู้ทันก็จบ แล้วก็จะพบสิ่งที่เหมาะสมกันตัวเอง
charnengi เขียน:สำหรับคนอายุไม่เกิน 30 คิดว่าอยากอยู่บ้านลงทุนหุ้นอย่างเดียว ความรู้มี วิเคราะห์เก่ง ขาดแต่เวลา ผมแนะนำให้ลาออกทันทีครับ เน้นว่าทันที เพราะถ้ามันไม่เวิร์ค คุณยังมีโอกาสกลับเข้าตลาดแรงงาน
แต่ถ้าอายุเกินก็คิดดีๆ ครับ ผมเคยลาออกมาว่างๆ ก็เกือบปี ผมออกตอน 29 ตอนออกผมมีเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนตอนนั้น 64 เดือน หรือ 8 ปี
เงินปันผล ก็คิดว่าอยู่คนเดียว ก็พอใช้ แต่ผมยังต้องมีคนอื่นให้ดูแลครับ การลาออกครั้งนั้น มันได้ให้คำตอบเรื่องนี้สำหรับผมแล้ว คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
ผมคิดว่าคุณyakjabon คงจะเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่พี่power invester ต้องการจะสื่อyakjabon เขียน:ตอบในฐานะเด็กรุ่นใหม่ (ที่กำลังจะเก่า) นะครับPower Investor เขียน:คิดว่าพูดไปก็ึคงมีคนคัดค้านเยอะ แต่อยากจะบอกว่า
ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ มีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นเก่าเยอะเลย
อยากเติบโตเร็ว อยากรวยทางลัด
แต่ให้ความสำคัญของประสบการณ์การทำงานน้อยมาก
และบ่อยครั้งกลับมองประสบการณ์ทำงานเป็นภาระหรืออุปสรรคที่ขวางความสำเร็จในชีวิต
เห็นแล้วก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะโชคดีเช่นนั้นจริงๆ... คงไม่ทุกคนหรอกครับพี่ ผมเห็นน้องๆในบอร์ดนี้ กับบรรดาเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นนักลงทุนจริงๆ ย้ำว่าจริงๆ บางคนทั้ง Valuation สารพัดแบบ อ่านหนังสือเป็นตั้ง วิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็น list แต่อายุยังไม่ถึง 25 จากช่วงที่ผ่านมาที่ได้พบปะทั้งในงานมีตติ้งสมาคม สัมมนา นัดกินข้าวกันเอง ประชุมผู้ถัวหุ้น OppDay MoneyTalk และอีกมากมาย มีความขยันจนแบบว่าถ้าผมมีทุนพอที่จะออกมาทำงั้นได้ ผมคงสภาพไม่ต่างกันครับ 55+
ส่วนบุคคลประเภทที่พี่กล่าวข้างต้น .. ผมก็พบครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หุ้นกำลังบูมจนคนไม่ลืมหูลืมตาจนบางคนคิดว่า ซื้อๆไปยังไงก็รวย กลับมีทั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ยันไปคนรุ่นเก่าใกล้เกษียณก็มีครับ สุดท้ายผมว่ามันเป็นวัฎจักรตามสิ่งที่แต่ละคนได้พบประสบมาตั้งแต่เด็กกับความคิดความเชื่อส่วนบุคคลที่หลั่งหลอมให้ทุกคนมีความแตกต่าง นักลงทุนแม้เน้นคุณค่าเหมือนกันแต่ละคนก็มีความแตกต่าง
ขอจบด้วยคำคมจากงานมีตติ้งคราวที่แล้ว กล่าวโดย พี่มือเก่าหัดขับ ว่า "อะไรที่รวยเร็ว .. ไม่ง่าย, ถ้าอะไรที่ง่าย .. มักไม่รวยเร็ว" สวัสดี
Power Investor เขียน:ในความคิดส่วนตัว ผมเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายชีวิตได้นั้น ต้องมีสามสิ่งประกอบกันคือ
1. Intelligence ซึ่งได้มาจากการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตัวประสบการณ์ ถ้ามาจากการคิดเองลองเอง จะมีต้นทุนแพงกว่าการหาประสบการณ์จากการทำงานให้คนอื่น ที่ต้นทุนหลักคือแค่เวลา ซึ่งคนทุกๆคนความจริงแล้วมีเท่าๆกัน เพียงแต่มีความอดทนแตกต่างกัน
2. Ambition ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากความขยันหมั่นเพียร และอีกส่วนมาจากอุปนิสัยที่เกิดมาพร้อมตัวเราและถูกบ่มเลี้ยงมา อย่าหลังเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากๆ ส่วนตัวเชื่อว่าเด็กที่เกิดตามธรรมชาติโดยสเปิร์มที่ขยันที่สุดหนึ่งตัว จะมีAmbitionมากกว่าเด็กที่เกิดจากความช่วยเหลือทางวิทยาศาสตร์
3. Luck ซึ่งเป็นเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต ก็คงแล้วแต่ความเชื่อว่าทำดีได้ดี หรือเป็นเรื่องผลบุญแต่ชาติปางก่อนก็แล้วแต่ แต่เป็นปัจจัยที่สร้างเองไม่ได้ แต่ทำให้มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นได้โดยการช่วยเหลือผู้อื่น
ดังนั้นใครที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็ลองมองย้อยดูว่าตัวเราขาดอะไรไปบ้าง และจะทำให้มันดีขึ้นได้บ้างมั้ย แต่สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าความพอใจเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้เอง
โค้ด: เลือกทั้งหมด
อิทธิบาท 4
คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน
ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่
ขอบคุณครับพี่ tttt เขียน:เอาน่า ไว้ตลาดหมีมาเยือนนานๆ ประสพการณ์ก็จะค่อยๆสอนเอง
ตลาดกระทิงแบบนี้ถ้าตัดสินใจแล้ว ก็เก็บให้มากที่สุดก็แล้วกัน ไว้เผื่อตลาดหมีมาเยือนสัก 2-3 ปี
จะได้ไม่บาดเจ็บมาก
คิดว่าคุณน่าจะชอบclipนี้นะครับ "What most schools don't teach"Steve Jobs
Bill Gates
mark zuckerberg
สามบุคคลในบรรดาผู้ทรงอิทธิพลในโลกยุคนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันครับ
คือ พวกเขาไม่ได้เรียนต่อจนจบ