การลาออกครั้งสุดท้าย
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 3
คิดว่าพูดไปก็ึคงมีคนคัดค้านเยอะ แต่อยากจะบอกว่า
ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ มีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นเก่าเยอะเลย
อยากเติบโตเร็ว อยากรวยทางลัด
แต่ให้ความสำคัญของประสบการณ์การทำงานน้อยมาก
และบ่อยครั้งกลับมองประสบการณ์ทำงานเป็นภาระหรืออุปสรรคที่ขวางความสำเร็จในชีวิต
เห็นแล้วก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะโชคดีเช่นนั้นจริงๆ
ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ มีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นเก่าเยอะเลย
อยากเติบโตเร็ว อยากรวยทางลัด
แต่ให้ความสำคัญของประสบการณ์การทำงานน้อยมาก
และบ่อยครั้งกลับมองประสบการณ์ทำงานเป็นภาระหรืออุปสรรคที่ขวางความสำเร็จในชีวิต
เห็นแล้วก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะโชคดีเช่นนั้นจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 4
ตอบในฐานะเด็กรุ่นใหม่ (ที่กำลังจะเก่า) นะครับ ... คงไม่ทุกคนหรอกครับพี่ ผมเห็นน้องๆในบอร์ดนี้ กับบรรดาเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นนักลงทุนจริงๆ ย้ำว่าจริงๆ บางคนทั้ง Valuation สารพัดแบบ อ่านหนังสือเป็นตั้ง วิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็น list แต่อายุยังไม่ถึง 25 จากช่วงที่ผ่านมาที่ได้พบปะทั้งในงานมีตติ้งสมาคม สัมมนา นัดกินข้าวกันเอง ประชุมผู้ถัวหุ้น OppDay MoneyTalk และอีกมากมาย มีความขยันจนแบบว่าถ้าผมมีทุนพอที่จะออกมาทำงั้นได้ ผมคงสภาพไม่ต่างกันครับ 55+Power Investor เขียน:คิดว่าพูดไปก็ึคงมีคนคัดค้านเยอะ แต่อยากจะบอกว่า
ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ มีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นเก่าเยอะเลย
อยากเติบโตเร็ว อยากรวยทางลัด
แต่ให้ความสำคัญของประสบการณ์การทำงานน้อยมาก
และบ่อยครั้งกลับมองประสบการณ์ทำงานเป็นภาระหรืออุปสรรคที่ขวางความสำเร็จในชีวิต
เห็นแล้วก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะโชคดีเช่นนั้นจริงๆ
ส่วนบุคคลประเภทที่พี่กล่าวข้างต้น .. ผมก็พบครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หุ้นกำลังบูมจนคนไม่ลืมหูลืมตาจนบางคนคิดว่า ซื้อๆไปยังไงก็รวย กลับมีทั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ยันไปคนรุ่นเก่าใกล้เกษียณก็มีครับ สุดท้ายผมว่ามันเป็นวัฎจักรตามสิ่งที่แต่ละคนได้พบประสบมาตั้งแต่เด็กกับความคิดความเชื่อส่วนบุคคลที่หลั่งหลอมให้ทุกคนมีความแตกต่าง นักลงทุนแม้เน้นคุณค่าเหมือนกันแต่ละคนก็มีความแตกต่าง
ขอจบด้วยคำคมจากงานมีตติ้งคราวที่แล้ว กล่าวโดย พี่มือเก่าหัดขับ ว่า "อะไรที่รวยเร็ว .. ไม่ง่าย, ถ้าอะไรที่ง่าย .. มักไม่รวยเร็ว" สวัสดี
Invincible MOS is knowing what you're doing
- kissme
- Verified User
- โพสต์: 1237
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยกับคุณ power investor อย่างมากครับ
ประสบการณ์ทำงานจริง สำคัญมาก นักลงทุนทุกคนไม่ควรพลาดช่วงเวลาการทำงาน
แม้ผลตอบแทนการลงทุนช่วงนี้ จะทำให้เราได้เงินมากกว่าการทำงานหลักของเราก็ตาม
การทำงานทุกอาชีพ มันสอนให้เราเรียนรู้ชีวิต และเข้าใจธุรกิจจริงๆ มากกว่าอ่านจากตำราการลงทุนเสียอีก
เราได้เข้าใจความคิด เพื่อนร่วมงาน วิถีชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์มีค่า
คนรุ่นใหม่ อย่าพลาดเด็ดขาด การทำงานมันสอนให้เรา สู้ เหนื่อย อดทน พยายาม เหงื่อออกจากรูขุมขนจริงๆ
แล้วค่อยเอาเงินออมตรงนี้มาลงทุน เพื่อความมั่นคงของชีวิตในระยะยาว
ประสบการณ์ทำงานจริง สำคัญมาก นักลงทุนทุกคนไม่ควรพลาดช่วงเวลาการทำงาน
แม้ผลตอบแทนการลงทุนช่วงนี้ จะทำให้เราได้เงินมากกว่าการทำงานหลักของเราก็ตาม
การทำงานทุกอาชีพ มันสอนให้เราเรียนรู้ชีวิต และเข้าใจธุรกิจจริงๆ มากกว่าอ่านจากตำราการลงทุนเสียอีก
เราได้เข้าใจความคิด เพื่อนร่วมงาน วิถีชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์มีค่า
คนรุ่นใหม่ อย่าพลาดเด็ดขาด การทำงานมันสอนให้เรา สู้ เหนื่อย อดทน พยายาม เหงื่อออกจากรูขุมขนจริงๆ
แล้วค่อยเอาเงินออมตรงนี้มาลงทุน เพื่อความมั่นคงของชีวิตในระยะยาว
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 6
ผมพอเข้าใจถึงสิ่งที่พี่ พาวเวอร์พูดถึงครับ
เนื่องจากผมอยู่ในรอยต่อระหว่าง GEN X - Y พอดีเป๊ะเลย
ทำให้ผมเป็นลูกผสมของค่านิยมเก่าและใหม่ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง และความแตกต่างทางความคิดของผู้คน ค่อนข้างมาก ก็ต้องขอออกความเห็นหน่อยนะครับ
ผมว่าการที่เรามีกรอบความคิดอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่งแล้วไปตัดสิน วิถีของคนอีกสภาพแวดล้อมด้วยกรอบความคิดเดิม ส่วนใหญ่จะได้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งจากความเป็นจริงค่อนข้างมากครับ
ถ้าจะบอกว่าคนรุ่นใหม่มีความอดทนต่ำ ผมว่าก็อาจจะจริงในบางส่วนนะครับ เพราะโลกทุกวันนี้มันสะดวกสะบายขึ้นมาก อยากจะจ่ายค่าโทรศัพท์ ยังไม่ต้องไปต่อคิวจ่ายที่องค์การโทรศัพท์เลยครับ
แต่ถ้าจะบอกว่าคนรุ่นใหม่อยากรวยง่าย ๆ
ลองสังเกตดูนะครับ ที่สนามม้าทำไมมีแต่คนรุ่นเก่ากันเต็มไปหมดเลยอ่ะครับ
พอดีผมชอบไปออกกำลังกายแถว ๆ นั้น เลยสังเกตุเห็น
แล้วเท่าที่ดู ผมว่าคนรุ่นเก่าเนี่ย เล่นหวยเยอะกว่าคนรุ่นใหม่นะครับ (แต่คนรุ่นใหม่เล่นบอล 555)
ผมกลับมองว่า คนรุ่นใหม่ต้องเก่งขึ้น รวยขึ้น ฉลาดขึ้น ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (ใช้แรง/เวลาน้อย แต่ได้งานมากขึ้น) อย่างนี้สิครับ ประเทศชาติ และ โลก ถึงจะพัฒนาขึ้นไปได้ ไม่อย่างนั้นมันจะวิ่งอยู่กับที่ครับ
ตามความเห็นผมนะครับ ทำไมผมเห็นแต่คนที่เก่งขึ้นฉลาดขึ้นก็ไม่รู้คับ
ผมว่าอีกหน่อย จะมีแต่คนอย่าง mark zuckerberg อย่าง เถ้าแก่น้อย โผล่มาเต็มไปหมดเลยครับ
ส่วนประเด็นเรื่องประสบการณ์จากการทำงาน ผมเห็นด้วยว่าอย่างน้อย ๆ ควรจะเข้าไปเรียนรู้การทำงานกับคนหมู่มากครับ จะได้เปิดโลกทัศน์ของเราได้มาก ได้เจออะไรที่เราไม่เคยรู้มากก่อน แต่ใครจะรู้ครับอีกหน่อย คนรุ่นต่อไปคงไม่ค่อยมีใครเข้า Office กันแล้ว และผมคงจะไม่ไปหาว่าพวกเขาขี้เกียจกันหรอกครับ
ที่ผมพูดมายืดยาว สรุปสั้น ๆ ว่า
โลกเรามันเปลี่ยนไปไกลแล้วครับ
เนื่องจากผมอยู่ในรอยต่อระหว่าง GEN X - Y พอดีเป๊ะเลย
ทำให้ผมเป็นลูกผสมของค่านิยมเก่าและใหม่ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง และความแตกต่างทางความคิดของผู้คน ค่อนข้างมาก ก็ต้องขอออกความเห็นหน่อยนะครับ
ผมว่าการที่เรามีกรอบความคิดอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบหนึ่งแล้วไปตัดสิน วิถีของคนอีกสภาพแวดล้อมด้วยกรอบความคิดเดิม ส่วนใหญ่จะได้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งจากความเป็นจริงค่อนข้างมากครับ
ถ้าจะบอกว่าคนรุ่นใหม่มีความอดทนต่ำ ผมว่าก็อาจจะจริงในบางส่วนนะครับ เพราะโลกทุกวันนี้มันสะดวกสะบายขึ้นมาก อยากจะจ่ายค่าโทรศัพท์ ยังไม่ต้องไปต่อคิวจ่ายที่องค์การโทรศัพท์เลยครับ
แต่ถ้าจะบอกว่าคนรุ่นใหม่อยากรวยง่าย ๆ
ลองสังเกตดูนะครับ ที่สนามม้าทำไมมีแต่คนรุ่นเก่ากันเต็มไปหมดเลยอ่ะครับ
พอดีผมชอบไปออกกำลังกายแถว ๆ นั้น เลยสังเกตุเห็น
แล้วเท่าที่ดู ผมว่าคนรุ่นเก่าเนี่ย เล่นหวยเยอะกว่าคนรุ่นใหม่นะครับ (แต่คนรุ่นใหม่เล่นบอล 555)
ผมกลับมองว่า คนรุ่นใหม่ต้องเก่งขึ้น รวยขึ้น ฉลาดขึ้น ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (ใช้แรง/เวลาน้อย แต่ได้งานมากขึ้น) อย่างนี้สิครับ ประเทศชาติ และ โลก ถึงจะพัฒนาขึ้นไปได้ ไม่อย่างนั้นมันจะวิ่งอยู่กับที่ครับ
ตามความเห็นผมนะครับ ทำไมผมเห็นแต่คนที่เก่งขึ้นฉลาดขึ้นก็ไม่รู้คับ
ผมว่าอีกหน่อย จะมีแต่คนอย่าง mark zuckerberg อย่าง เถ้าแก่น้อย โผล่มาเต็มไปหมดเลยครับ
ส่วนประเด็นเรื่องประสบการณ์จากการทำงาน ผมเห็นด้วยว่าอย่างน้อย ๆ ควรจะเข้าไปเรียนรู้การทำงานกับคนหมู่มากครับ จะได้เปิดโลกทัศน์ของเราได้มาก ได้เจออะไรที่เราไม่เคยรู้มากก่อน แต่ใครจะรู้ครับอีกหน่อย คนรุ่นต่อไปคงไม่ค่อยมีใครเข้า Office กันแล้ว และผมคงจะไม่ไปหาว่าพวกเขาขี้เกียจกันหรอกครับ
ที่ผมพูดมายืดยาว สรุปสั้น ๆ ว่า
โลกเรามันเปลี่ยนไปไกลแล้วครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- อ่อนซ่อนศิลป์
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 7
โอ๊ย เห็นกะทู้แนวนี้แล้วปลุกใจ
ขอทำงานอีกหน่อย
เก็บเงินก้อน
แล้วค่อย
......
ขอทำงานอีกหน่อย
เก็บเงินก้อน
แล้วค่อย
......
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 8
จริงๆน๊าคับ
จะลาออกไม่ลาออก ไม่สำคัญอะไรหรอกคับ
ค่านิยม ความเชื่อ ความเห็น อะไรคือความเป็นจริง
อะไรคือสิ่งที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน
หนังสือนั่นนี่ ความเห็นนั่นนี่ คนแต่งหนังสือต่างๆ
สร้างทัศนคติที่ต่างๆกันไป อันไหนคือความเป็นจริง
อิสรภาพไม่ต้องลาออกอะไรเลยคับ
ถ้าใจเราไม่มีอิสรภาพอยู่แล้ว ไปไหนก็ไม่มีความสุขหรอกคับ
ลาออกมาก็ไม่มีความสุข ทำงานอะไรก็ไม่มีความสุข
มันจะว่างเปล่า ใจจะว่างเปล่า คุณค่าในตัวเองจะลดลง
แล้วเราจะรู้สึกว่างเปล่า เหงา ทนไม่ไหว แรกๆก็เล่นเกมส์สนุก
ตื่นสายสบาย ไปไหนก็ได้ แต่ลืมไปไหมว่า สังคมต้องทำงานเพื่อมีรายได้
มาซื้อของใช้ที่จำเป็น ยกเว้นคุณมีที่ ทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
เหมือนฝรั่งคนหนึ่งแถวอีสาน ไม่ง้อใคร เป็นวิถีชีวิตแบบสมัยก่อน
แน่นอนอยู่ได้ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องแลกเปลี่ยนสิ่งของ หาเงินมายามเจ็บป่วย
พึ่งพาคนอื่นๆอยู่ดี อย่างน้อยก็ครอบครัว หรืออยู่คนเดียว คุณก็ต้องพึ่งต้นไม้
ฟ้า ฝน สัตว์เลี้ยง แล้วก็พึ่งตัวเองอยู่ดี
มนุษย์เองเป็นสัตว์สังคม มีธรรมชาติในการพึ่งพาอาศัยกัน
ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต ได้พ่อแม่เลี้ยงดู พ่อแม่เองก็ทำมาหากิน
รักกัน มีลูก ต่างคนต่างพึ่งพากัน ให้กำลังใจกัน
ที่นี้มีลูก เด็กๆก็ต้องได้รับการเลี้ยงดู ไม่งั้นอยุ่ไม่รอด เพราะมนุษย์เราเกิดมา
เด็กๆหากินไม่ได้ ต้องโตขึ้นมา กว่าจะ มีแรงทำนั่นทำนี่ ก็ต้องอาศัยพ่อแม่หลายปี
ประกอบกับสภาพสังคมมันก็เปลี่ยนแปลง อย่างเราๆในยุคนี้
การทำงานก็เปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อน ก็หาของป่า ล่าสัตว์ ทำเกษตร แล้วก็เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม
ค่านิยมต่างๆก็เปลี่ยนไปในสมัยนี้
ความเป็นจริงคือคนเราต้องทำมาหากินคับ ต่างคนต่างก็ต้องทำสิ่งที่ถนัด การแบ่งงานกันทำ
ทำให้เกิดประสิทธิภาพต่อสังคมโดยรวม โดยที่แต่ละคนก็ได้รับความพอใจ
ตรงนี้ก็เป็นเหตุผลว่า
ทำไมบางคนเลือกทำงานบริษัท แน่นอนเค้าได้รายได้ มีสังคม มีเพื่อนร่วมงาน
เป็นเหมือนสถาบัน เกิดความอบอุ่น
บางคนไม่ชอบ อยากทำอะไรเอง สร้างงาน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ
เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างงาน สร้างสังคม เป็นกลุ่มคนที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการผลิต
สังคมโดยรวมจะได้มีสิ่งต่างๆบริโภค ไม่ลำบาก
แต่คนเราเองก็ทำสิ่งต่างๆตามความพอใจ และผลประโยชน์ แต่ด้วยระบบนี้ก็ทำให้สังคมโดยรวมดีขึ้น
แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ยุติธรรมไปเสียหมด ก็ต้องอาศัยการพัฒนา แก้ไขกันต่อไป
การออกมาทำอะไรเอง ถ้าเราไม่แน่จริง เจ๊งแน่นอน แล้วก็จะว่างเปล่าอย่างคนเขึยนหนังสือเล่มนี้
แต่คนที่ทำได้ดีก็มี และก็เยอะด้วย ก็ต้องขอบคุณโลกทุกวันนี้ ที่เปิดทางมากขึ้น
แต่ก็อย่าลืม ก็ยังมีอีกหลายประเทศ ประชาชนเค้า แทบทำไรไม่ได้เลย ไม่มีทางเลือกเลย
คนเขียนเองสุดท้ายเค้าก็ได้ข้อสรุปไป ก็เหมือนทุกๆคน บางทีก็อยากแหกกฏบ้าง แต่ลองมองดูเป้าหมายชีวิต
มันมีแค่ กิน ถ่าย สืบพันธุ์ นอน เหรอ ที่เกิดแบบนี้ ก็คงเรียกว่า ความโดดเดี่ยวของปัจเจกชน
ยิ่งเติบโตยิ่งห่าง ทุกวันนี้ ความเร่งรีบ การแข่งขัน ในไทยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มตาม
เข้าคิวรอนั่นรอนี่ บางทีก็แย่งกัน ทุกคนไม่มีความอดทนกันอีกต่อไป หน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นได้ชัดเวลาวันหยุดยาวๆ
ไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
สุดท้ายก็แค่ความอยาก รู้ทันก็จบ แล้วก็จะพบสิ่งที่เหมาะสมกันตัวเอง
จะลาออกไม่ลาออก ไม่สำคัญอะไรหรอกคับ
ค่านิยม ความเชื่อ ความเห็น อะไรคือความเป็นจริง
อะไรคือสิ่งที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน
หนังสือนั่นนี่ ความเห็นนั่นนี่ คนแต่งหนังสือต่างๆ
สร้างทัศนคติที่ต่างๆกันไป อันไหนคือความเป็นจริง
อิสรภาพไม่ต้องลาออกอะไรเลยคับ
ถ้าใจเราไม่มีอิสรภาพอยู่แล้ว ไปไหนก็ไม่มีความสุขหรอกคับ
ลาออกมาก็ไม่มีความสุข ทำงานอะไรก็ไม่มีความสุข
มันจะว่างเปล่า ใจจะว่างเปล่า คุณค่าในตัวเองจะลดลง
แล้วเราจะรู้สึกว่างเปล่า เหงา ทนไม่ไหว แรกๆก็เล่นเกมส์สนุก
ตื่นสายสบาย ไปไหนก็ได้ แต่ลืมไปไหมว่า สังคมต้องทำงานเพื่อมีรายได้
มาซื้อของใช้ที่จำเป็น ยกเว้นคุณมีที่ ทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
เหมือนฝรั่งคนหนึ่งแถวอีสาน ไม่ง้อใคร เป็นวิถีชีวิตแบบสมัยก่อน
แน่นอนอยู่ได้ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องแลกเปลี่ยนสิ่งของ หาเงินมายามเจ็บป่วย
พึ่งพาคนอื่นๆอยู่ดี อย่างน้อยก็ครอบครัว หรืออยู่คนเดียว คุณก็ต้องพึ่งต้นไม้
ฟ้า ฝน สัตว์เลี้ยง แล้วก็พึ่งตัวเองอยู่ดี
มนุษย์เองเป็นสัตว์สังคม มีธรรมชาติในการพึ่งพาอาศัยกัน
ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต ได้พ่อแม่เลี้ยงดู พ่อแม่เองก็ทำมาหากิน
รักกัน มีลูก ต่างคนต่างพึ่งพากัน ให้กำลังใจกัน
ที่นี้มีลูก เด็กๆก็ต้องได้รับการเลี้ยงดู ไม่งั้นอยุ่ไม่รอด เพราะมนุษย์เราเกิดมา
เด็กๆหากินไม่ได้ ต้องโตขึ้นมา กว่าจะ มีแรงทำนั่นทำนี่ ก็ต้องอาศัยพ่อแม่หลายปี
ประกอบกับสภาพสังคมมันก็เปลี่ยนแปลง อย่างเราๆในยุคนี้
การทำงานก็เปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อน ก็หาของป่า ล่าสัตว์ ทำเกษตร แล้วก็เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม
ค่านิยมต่างๆก็เปลี่ยนไปในสมัยนี้
ความเป็นจริงคือคนเราต้องทำมาหากินคับ ต่างคนต่างก็ต้องทำสิ่งที่ถนัด การแบ่งงานกันทำ
ทำให้เกิดประสิทธิภาพต่อสังคมโดยรวม โดยที่แต่ละคนก็ได้รับความพอใจ
ตรงนี้ก็เป็นเหตุผลว่า
ทำไมบางคนเลือกทำงานบริษัท แน่นอนเค้าได้รายได้ มีสังคม มีเพื่อนร่วมงาน
เป็นเหมือนสถาบัน เกิดความอบอุ่น
บางคนไม่ชอบ อยากทำอะไรเอง สร้างงาน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ
เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างงาน สร้างสังคม เป็นกลุ่มคนที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการผลิต
สังคมโดยรวมจะได้มีสิ่งต่างๆบริโภค ไม่ลำบาก
แต่คนเราเองก็ทำสิ่งต่างๆตามความพอใจ และผลประโยชน์ แต่ด้วยระบบนี้ก็ทำให้สังคมโดยรวมดีขึ้น
แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ยุติธรรมไปเสียหมด ก็ต้องอาศัยการพัฒนา แก้ไขกันต่อไป
การออกมาทำอะไรเอง ถ้าเราไม่แน่จริง เจ๊งแน่นอน แล้วก็จะว่างเปล่าอย่างคนเขึยนหนังสือเล่มนี้
แต่คนที่ทำได้ดีก็มี และก็เยอะด้วย ก็ต้องขอบคุณโลกทุกวันนี้ ที่เปิดทางมากขึ้น
แต่ก็อย่าลืม ก็ยังมีอีกหลายประเทศ ประชาชนเค้า แทบทำไรไม่ได้เลย ไม่มีทางเลือกเลย
คนเขียนเองสุดท้ายเค้าก็ได้ข้อสรุปไป ก็เหมือนทุกๆคน บางทีก็อยากแหกกฏบ้าง แต่ลองมองดูเป้าหมายชีวิต
มันมีแค่ กิน ถ่าย สืบพันธุ์ นอน เหรอ ที่เกิดแบบนี้ ก็คงเรียกว่า ความโดดเดี่ยวของปัจเจกชน
ยิ่งเติบโตยิ่งห่าง ทุกวันนี้ ความเร่งรีบ การแข่งขัน ในไทยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มตาม
เข้าคิวรอนั่นรอนี่ บางทีก็แย่งกัน ทุกคนไม่มีความอดทนกันอีกต่อไป หน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นได้ชัดเวลาวันหยุดยาวๆ
ไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
สุดท้ายก็แค่ความอยาก รู้ทันก็จบ แล้วก็จะพบสิ่งที่เหมาะสมกันตัวเอง
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 9
สำหรับผมมองว่า ทุกสิ่งล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ "เพื่อปากท้อง" ของตนเองและครอบครัว
ลองคิดดูว่า วันหนึ่งๆเรากินอาหารกี่มื้อ อย่างเช่น ตอนเช้ากว่าจะได้กินก็สายๆ เลยเที่ยงไปหน่อยก็
ถึงเวลากินอีกล่ะ พอตกเย็นทำงานดึกๆก็ต้องเสียเวลาหาของกินอีก
ผมว่าวันหนึ่งๆ ชีวิตของคนเรา เสียเวลาไปกับเรื่องปากท้องมากพอสมควรเลยนะครับ
อย่างชีวิตของพนักงานประจำ หลายๆคนหากเคยดูละครที่ว่าเวอร์ บางคนการทำงานจริง
ยิ่งกว่าละครเรื่องเวอร์ๆเลยทีเดียวก็มี นั่งทำงานวันละ 8 ชม บางวันต้องทำโอทีต่อ กลับ
ถึงบ้าน นอนไม่ทันไร ต้องตื่นไปทำงานอีกล่ะ
เมื่อก่อนผมก็เคยสงสัย ว่าทำไมหลายๆคนทำงานแล้วถึงบ่น แต่ตอนนี้มีประสบการณ์โดยตรงล่ะ
แต่ก็อย่างที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อปากท้อง หากถึงจุดที่อยู่ตัว ผมว่า การลาออกครั้งสุดท้าย
ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนคิด
แต่การลาออกครั้งสุดท้ายของผม ไม่ได้หมายความว่าเราจะหนีปัญหา แต่เรามีเป้าหมายสุดท้ายของความเป็นมนุษย์
ที่เราต้องทำให้ลุล่วง เพื่อหลุดพ้นจากวังวนที่เราต้องพบเจอแล้วเจออีกในปัจจุบันและอนาคตครับ
ลองคิดดูว่า วันหนึ่งๆเรากินอาหารกี่มื้อ อย่างเช่น ตอนเช้ากว่าจะได้กินก็สายๆ เลยเที่ยงไปหน่อยก็
ถึงเวลากินอีกล่ะ พอตกเย็นทำงานดึกๆก็ต้องเสียเวลาหาของกินอีก
ผมว่าวันหนึ่งๆ ชีวิตของคนเรา เสียเวลาไปกับเรื่องปากท้องมากพอสมควรเลยนะครับ
อย่างชีวิตของพนักงานประจำ หลายๆคนหากเคยดูละครที่ว่าเวอร์ บางคนการทำงานจริง
ยิ่งกว่าละครเรื่องเวอร์ๆเลยทีเดียวก็มี นั่งทำงานวันละ 8 ชม บางวันต้องทำโอทีต่อ กลับ
ถึงบ้าน นอนไม่ทันไร ต้องตื่นไปทำงานอีกล่ะ
เมื่อก่อนผมก็เคยสงสัย ว่าทำไมหลายๆคนทำงานแล้วถึงบ่น แต่ตอนนี้มีประสบการณ์โดยตรงล่ะ
แต่ก็อย่างที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อปากท้อง หากถึงจุดที่อยู่ตัว ผมว่า การลาออกครั้งสุดท้าย
ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนคิด
แต่การลาออกครั้งสุดท้ายของผม ไม่ได้หมายความว่าเราจะหนีปัญหา แต่เรามีเป้าหมายสุดท้ายของความเป็นมนุษย์
ที่เราต้องทำให้ลุล่วง เพื่อหลุดพ้นจากวังวนที่เราต้องพบเจอแล้วเจออีกในปัจจุบันและอนาคตครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 333
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 10
เห็นด้วย หลายประโยคคับ แต่ชอบช่วงสุดท้ายคับ ผมเจอแบบนี้มากขึ้น แต่คิดว่าอะไรที่คนแย่งกัน แข่งขันกันมากเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัวก้อเพิ่มมากขึ้น แต่คงห้ามคนอื่นไม่ได้ คงต้องเริ่มที่เรา เตือนตัวเองให้ได้ว่า เราอย่าเอาความอยากของเราไปเบียดเบียนคนอื่น และมีมากแล้วต้องรู้จักแบ่งปันบ้างคับ ผมเตือนตัวเอง เพราะรู้สึกว่าพอเราอยู่กับความอยากให้เงินเราเพิ่ม จนบ้างครั้งเราไม่สนใจคนอื่น ไม่สนใจคนรอบข้าง จนกลัวว่ามันจะติดเป็นนิสัย เป็นความเห็นแก่ตัวได้คับ สุดท้ายที่พี่ Tibular บอก คือ รู้ทันความอยากของเราได้ ก้อพบความสุข ผมต้องฝึกทำให้ได้คับ สุดยอดของ เคล็ดวิชานี้ ทำได้เมื่อไหร่ ผมคงสุขมากกว่านี้แน่เลย อิๆๆTibular เขียน: ยิ่งเติบโตยิ่งห่าง ทุกวันนี้ ความเร่งรีบ การแข่งขัน ในไทยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มตาม
เข้าคิวรอนั่นรอนี่ บางทีก็แย่งกัน ทุกคนไม่มีความอดทนกันอีกต่อไป หน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นได้ชัดเวลาวันหยุดยาวๆ
ไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
สุดท้ายก็แค่ความอยาก รู้ทันก็จบ แล้วก็จะพบสิ่งที่เหมาะสมกันตัวเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 11
ตอนดูแรกๆก็รู้สึกขัดและไม่เห้นด้วยบางเรื่องนะครับ แต่พอดูไปจนจบก็เริ่มเห็นว่าจะเริ่มบอกแนวคิด
ที่ถูกต้องออกมาเรื่อยๆ ดีจริงๆครับคลิปนี้
มีอยากเพิ่มเติมเรื่องเดียวครับ
" การที่เราจะมีอิสรภาพในชีวิต(การเลือก) ไม่จำเป็นต้องมีอิสรภาพทางการเงินก่อนครับ"
...^^)
ที่ถูกต้องออกมาเรื่อยๆ ดีจริงๆครับคลิปนี้
มีอยากเพิ่มเติมเรื่องเดียวครับ
" การที่เราจะมีอิสรภาพในชีวิต(การเลือก) ไม่จำเป็นต้องมีอิสรภาพทางการเงินก่อนครับ"
...^^)
- charnengi
- Verified User
- โพสต์: 2388
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 12
สำหรับคนอายุไม่เกิน 30 คิดว่าอยากอยู่บ้านลงทุนหุ้นอย่างเดียว ความรู้มี วิเคราะห์เก่ง ขาดแต่เวลา ผมแนะนำให้ลาออกทันทีครับ เน้นว่าทันที เพราะถ้ามันไม่เวิร์ค คุณยังมีโอกาสกลับเข้าตลาดแรงงาน
แต่ถ้าอายุเกินก็คิดดีๆ ครับ ผมเคยลาออกมาว่างๆ ก็เกือบปี ผมออกตอน 29 ตอนออกผมมีเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนตอนนั้น 64 เดือน หรือ 8 ปี
เงินปันผล ก็คิดว่าอยู่คนเดียว ก็พอใช้ แต่ผมยังต้องมีคนอื่นให้ดูแลครับ การลาออกครั้งนั้น มันได้ให้คำตอบเรื่องนี้สำหรับผมแล้ว คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
แต่ถ้าอายุเกินก็คิดดีๆ ครับ ผมเคยลาออกมาว่างๆ ก็เกือบปี ผมออกตอน 29 ตอนออกผมมีเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนตอนนั้น 64 เดือน หรือ 8 ปี
เงินปันผล ก็คิดว่าอยู่คนเดียว ก็พอใช้ แต่ผมยังต้องมีคนอื่นให้ดูแลครับ การลาออกครั้งนั้น มันได้ให้คำตอบเรื่องนี้สำหรับผมแล้ว คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
low PROFILE but HIGH PROFITS
-
- Verified User
- โพสต์: 915
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 13
charnengi เขียน:สำหรับคนอายุไม่เกิน 30 คิดว่าอยากอยู่บ้านลงทุนหุ้นอย่างเดียว ความรู้มี วิเคราะห์เก่ง ขาดแต่เวลา ผมแนะนำให้ลาออกทันทีครับ เน้นว่าทันที เพราะถ้ามันไม่เวิร์ค คุณยังมีโอกาสกลับเข้าตลาดแรงงาน
แต่ถ้าอายุเกินก็คิดดีๆ ครับ ผมเคยลาออกมาว่างๆ ก็เกือบปี ผมออกตอน 29 ตอนออกผมมีเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนตอนนั้น 64 เดือน หรือ 8 ปี
เงินปันผล ก็คิดว่าอยู่คนเดียว ก็พอใช้ แต่ผมยังต้องมีคนอื่นให้ดูแลครับ การลาออกครั้งนั้น มันได้ให้คำตอบเรื่องนี้สำหรับผมแล้ว คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
เข้าใจว่า 96 เดือนป่าวครับ
- workart
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 15
ผมว่าหลักๆ ผู้เขียนเค้าน่าจะเจตนาให้ผู้อ่าน เรียนรู้ตัวเองว่าต้องการอะไร
ทำตามฝันที่ตัวเองอยากจะทำ อยากจะเป็น ไม่ใช่ทำงานไปวันๆ
อิสรภาพที่แท้จริง อาจจะไม่ใช่อิสรภาพ"ทางการเงิน"
แต่เป็นอิสรภาพที่ได้ทำตาม"ฝัน"รึปล่าวครับ
คิดแล้วรู้สึกเลยว่า คำถามที่สำคัญที่สุดในสมัยเด็ก ที่เข้าท่าที่สุด น่าจะเป็นคำถามที่ว่า "ฝันอยากทำอะไร"
ปล. ตอนนี้ยังมีฝันแล้วก็ตามฝันต่อไป(แม่จะอายุเริ่มเยอะแล้ว )
ทำตามฝันที่ตัวเองอยากจะทำ อยากจะเป็น ไม่ใช่ทำงานไปวันๆ
อิสรภาพที่แท้จริง อาจจะไม่ใช่อิสรภาพ"ทางการเงิน"
แต่เป็นอิสรภาพที่ได้ทำตาม"ฝัน"รึปล่าวครับ
คิดแล้วรู้สึกเลยว่า คำถามที่สำคัญที่สุดในสมัยเด็ก ที่เข้าท่าที่สุด น่าจะเป็นคำถามที่ว่า "ฝันอยากทำอะไร"
ปล. ตอนนี้ยังมีฝันแล้วก็ตามฝันต่อไป(แม่จะอายุเริ่มเยอะแล้ว )
ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา >-<"
-
- Verified User
- โพสต์: 513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 16
ผมคิดว่าคุณyakjabon คงจะเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่พี่power invester ต้องการจะสื่อyakjabon เขียน:ตอบในฐานะเด็กรุ่นใหม่ (ที่กำลังจะเก่า) นะครับ ... คงไม่ทุกคนหรอกครับพี่ ผมเห็นน้องๆในบอร์ดนี้ กับบรรดาเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นนักลงทุนจริงๆ ย้ำว่าจริงๆ บางคนทั้ง Valuation สารพัดแบบ อ่านหนังสือเป็นตั้ง วิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็น list แต่อายุยังไม่ถึง 25 จากช่วงที่ผ่านมาที่ได้พบปะทั้งในงานมีตติ้งสมาคม สัมมนา นัดกินข้าวกันเอง ประชุมผู้ถัวหุ้น OppDay MoneyTalk และอีกมากมาย มีความขยันจนแบบว่าถ้าผมมีทุนพอที่จะออกมาทำงั้นได้ ผมคงสภาพไม่ต่างกันครับ 55+Power Investor เขียน:คิดว่าพูดไปก็ึคงมีคนคัดค้านเยอะ แต่อยากจะบอกว่า
ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ มีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นเก่าเยอะเลย
อยากเติบโตเร็ว อยากรวยทางลัด
แต่ให้ความสำคัญของประสบการณ์การทำงานน้อยมาก
และบ่อยครั้งกลับมองประสบการณ์ทำงานเป็นภาระหรืออุปสรรคที่ขวางความสำเร็จในชีวิต
เห็นแล้วก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะโชคดีเช่นนั้นจริงๆ
ส่วนบุคคลประเภทที่พี่กล่าวข้างต้น .. ผมก็พบครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หุ้นกำลังบูมจนคนไม่ลืมหูลืมตาจนบางคนคิดว่า ซื้อๆไปยังไงก็รวย กลับมีทั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ยันไปคนรุ่นเก่าใกล้เกษียณก็มีครับ สุดท้ายผมว่ามันเป็นวัฎจักรตามสิ่งที่แต่ละคนได้พบประสบมาตั้งแต่เด็กกับความคิดความเชื่อส่วนบุคคลที่หลั่งหลอมให้ทุกคนมีความแตกต่าง นักลงทุนแม้เน้นคุณค่าเหมือนกันแต่ละคนก็มีความแตกต่าง
ขอจบด้วยคำคมจากงานมีตติ้งคราวที่แล้ว กล่าวโดย พี่มือเก่าหัดขับ ว่า "อะไรที่รวยเร็ว .. ไม่ง่าย, ถ้าอะไรที่ง่าย .. มักไม่รวยเร็ว" สวัสดี
เหล็กดี กว่าจะกลายเป็นมีดดาบชั้นเลิศต้องผ่านกลายตี การหลอม ครั้งแล้วครั้งเล่า
ก้อนกรวดกลมมน ต้องผ่านกระแสน้ำเชี่ยว ผ่านสายธารกาลเวลากี่ร้อยปี
คนก็เช่นกัน อุปสรรคคือตัวขัดเกลา ความลำบากคือเบ้าหลอม
ผมชอบฟังเรื่องราวแต่หนหลังของเจ้าสัวเจริญจากผู้ใหญ่หลายๆท่าน
ตั้งแต่ครั้งยังขายหอยทอดหรืออะไรสักอย่าง
ฟังๆแล้ว ชายคนนี้คือ เทพอสูรแห่งการทำธุรกิจดีๆนี่เอง
ได้เวลาเหล่าอินทรีย์ ผงาดบนฟากฟ้า
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 17
ในความคิดส่วนตัว ผมเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายชีวิตได้นั้น ต้องมีสามสิ่งประกอบกันคือ
1. Intelligence ซึ่งได้มาจากการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตัวประสบการณ์ ถ้ามาจากการคิดเองลองเอง จะมีต้นทุนแพงกว่าการหาประสบการณ์จากการทำงานให้คนอื่น ที่ต้นทุนหลักคือแค่เวลา ซึ่งคนทุกๆคนความจริงแล้วมีเท่าๆกัน เพียงแต่มีความอดทนแตกต่างกัน
2. Ambition ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากความขยันหมั่นเพียร และอีกส่วนมาจากอุปนิสัยที่เกิดมาพร้อมตัวเราและถูกบ่มเลี้ยงมา อย่าหลังเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากๆ ส่วนตัวเชื่อว่าเด็กที่เกิดตามธรรมชาติโดยสเปิร์มที่ขยันที่สุดหนึ่งตัว จะมีAmbitionมากกว่าเด็กที่เกิดจากความช่วยเหลือทางวิทยาศาสตร์
3. Luck ซึ่งเป็นเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต ก็คงแล้วแต่ความเชื่อว่าทำดีได้ดี หรือเป็นเรื่องผลบุญแต่ชาติปางก่อนก็แล้วแต่ แต่เป็นปัจจัยที่สร้างเองไม่ได้ แต่ทำให้มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นได้โดยการช่วยเหลือผู้อื่น
ดังนั้นใครที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็ลองมองย้อยดูว่าตัวเราขาดอะไรไปบ้าง และจะทำให้มันดีขึ้นได้บ้างมั้ย แต่สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าความพอใจเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้เอง
1. Intelligence ซึ่งได้มาจากการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตัวประสบการณ์ ถ้ามาจากการคิดเองลองเอง จะมีต้นทุนแพงกว่าการหาประสบการณ์จากการทำงานให้คนอื่น ที่ต้นทุนหลักคือแค่เวลา ซึ่งคนทุกๆคนความจริงแล้วมีเท่าๆกัน เพียงแต่มีความอดทนแตกต่างกัน
2. Ambition ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากความขยันหมั่นเพียร และอีกส่วนมาจากอุปนิสัยที่เกิดมาพร้อมตัวเราและถูกบ่มเลี้ยงมา อย่าหลังเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากๆ ส่วนตัวเชื่อว่าเด็กที่เกิดตามธรรมชาติโดยสเปิร์มที่ขยันที่สุดหนึ่งตัว จะมีAmbitionมากกว่าเด็กที่เกิดจากความช่วยเหลือทางวิทยาศาสตร์
3. Luck ซึ่งเป็นเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต ก็คงแล้วแต่ความเชื่อว่าทำดีได้ดี หรือเป็นเรื่องผลบุญแต่ชาติปางก่อนก็แล้วแต่ แต่เป็นปัจจัยที่สร้างเองไม่ได้ แต่ทำให้มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นได้โดยการช่วยเหลือผู้อื่น
ดังนั้นใครที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็ลองมองย้อยดูว่าตัวเราขาดอะไรไปบ้าง และจะทำให้มันดีขึ้นได้บ้างมั้ย แต่สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าความพอใจเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้เอง
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 18
Power Investor เขียน:ในความคิดส่วนตัว ผมเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายชีวิตได้นั้น ต้องมีสามสิ่งประกอบกันคือ
1. Intelligence ซึ่งได้มาจากการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตัวประสบการณ์ ถ้ามาจากการคิดเองลองเอง จะมีต้นทุนแพงกว่าการหาประสบการณ์จากการทำงานให้คนอื่น ที่ต้นทุนหลักคือแค่เวลา ซึ่งคนทุกๆคนความจริงแล้วมีเท่าๆกัน เพียงแต่มีความอดทนแตกต่างกัน
2. Ambition ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากความขยันหมั่นเพียร และอีกส่วนมาจากอุปนิสัยที่เกิดมาพร้อมตัวเราและถูกบ่มเลี้ยงมา อย่าหลังเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากๆ ส่วนตัวเชื่อว่าเด็กที่เกิดตามธรรมชาติโดยสเปิร์มที่ขยันที่สุดหนึ่งตัว จะมีAmbitionมากกว่าเด็กที่เกิดจากความช่วยเหลือทางวิทยาศาสตร์
3. Luck ซึ่งเป็นเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต ก็คงแล้วแต่ความเชื่อว่าทำดีได้ดี หรือเป็นเรื่องผลบุญแต่ชาติปางก่อนก็แล้วแต่ แต่เป็นปัจจัยที่สร้างเองไม่ได้ แต่ทำให้มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นได้โดยการช่วยเหลือผู้อื่น
ดังนั้นใครที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็ลองมองย้อยดูว่าตัวเราขาดอะไรไปบ้าง และจะทำให้มันดีขึ้นได้บ้างมั้ย แต่สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าความพอใจเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้เอง
เห็นด้วยคับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 19
ขอเสริมพี่พาวเวอร์นะครับ
ส่วนตัวที่ผมเห็นด้วยมากที่สุด สำหรับการประสบความในชีวิตไม่ว่าด้านใด มีอยู่ 4 ข้อด้วยกันครับ
จะเห็นว่า ไม่ว่าจะลาออก หรือไม่ลาออก มันไม่เกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตเสียทีเดียว
ขึ้นอยู่กับว่าคุณลาออกเพราะสาเหตุไหน มีแรงจูงใจแบบไหมมากกว่าครับ
ผมเคยเห็นเพื่อนคนหนึ่งมีครบทั้งสามตัวเลย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ แถมมีมากกว่าคนอื่นเยอะมาก
แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะตั้งใจมากเกินไป ทำธุรกิจใหญ่เกินตัว ขาดการวางแผนไตร่ตรองที่รอบคอบ ทั้งที่ขยันกว่าคนอื่นหลายเท่า ทำงานหนักว่าคนอื่นอยู่หลายปี ขาดแค่ วิมังสา ไปแค่ตัวเดียว ชีวิตล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย น่าเสียดายจริง ๆ
ทุกวันนี้เพื่อน ๆ ก็คอยช่วยเหลือในสิ่งที่พอจะช่วยได้แก่เขาครับ หวังว่าซักวันหนึ่งเขาจะกลับมาได้
...
...
Steve Jobs
Bill Gates
mark zuckerberg
สามบุคคลในบรรดาผู้ทรงอิทธิพลในโลกยุคนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันครับ
คือ พวกเขาไม่ได้เรียนต่อจนจบ
ส่วนตัวที่ผมเห็นด้วยมากที่สุด สำหรับการประสบความในชีวิตไม่ว่าด้านใด มีอยู่ 4 ข้อด้วยกันครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
อิทธิบาท 4
คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน
ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่
จะเห็นว่า ไม่ว่าจะลาออก หรือไม่ลาออก มันไม่เกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตเสียทีเดียว
ขึ้นอยู่กับว่าคุณลาออกเพราะสาเหตุไหน มีแรงจูงใจแบบไหมมากกว่าครับ
ผมเคยเห็นเพื่อนคนหนึ่งมีครบทั้งสามตัวเลย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ แถมมีมากกว่าคนอื่นเยอะมาก
แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะตั้งใจมากเกินไป ทำธุรกิจใหญ่เกินตัว ขาดการวางแผนไตร่ตรองที่รอบคอบ ทั้งที่ขยันกว่าคนอื่นหลายเท่า ทำงานหนักว่าคนอื่นอยู่หลายปี ขาดแค่ วิมังสา ไปแค่ตัวเดียว ชีวิตล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย น่าเสียดายจริง ๆ
ทุกวันนี้เพื่อน ๆ ก็คอยช่วยเหลือในสิ่งที่พอจะช่วยได้แก่เขาครับ หวังว่าซักวันหนึ่งเขาจะกลับมาได้
...
...
Steve Jobs
Bill Gates
mark zuckerberg
สามบุคคลในบรรดาผู้ทรงอิทธิพลในโลกยุคนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันครับ
คือ พวกเขาไม่ได้เรียนต่อจนจบ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณครับพี่ tttt เขียน:เอาน่า ไว้ตลาดหมีมาเยือนนานๆ ประสพการณ์ก็จะค่อยๆสอนเอง
ตลาดกระทิงแบบนี้ถ้าตัดสินใจแล้ว ก็เก็บให้มากที่สุดก็แล้วกัน ไว้เผื่อตลาดหมีมาเยือนสัก 2-3 ปี
จะได้ไม่บาดเจ็บมาก
สืบเนื่องจาก กระทู้ของพี่ "ทองลงแรง มีเซียนเกิดขึ้นเพียบ"
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=55571
พอดีผมเป็นคนหนึ่งที่โพสเกี่ยวกับราคาทองซึ่งกำลังร้อนแรงเกินความเป็นจริงเอาไว้
ถ้ามันทำให้พี่รู้สึกไม่สบายใจ ก็ต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 22
คิดว่าคุณน่าจะชอบclipนี้นะครับ "What most schools don't teach"Steve Jobs
Bill Gates
mark zuckerberg
สามบุคคลในบรรดาผู้ทรงอิทธิพลในโลกยุคนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันครับ
คือ พวกเขาไม่ได้เรียนต่อจนจบ
http://www.youtube.com/watch?v=nKIu9yen5nc
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การลาออกครั้งสุดท้าย
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณครับพี่พาวเวอร์
คลิปนี้เป็นคลิปหนึ่งที่ผมชอบมากเลยครับ
ช่วยเพิ่มฉันทะได้มากมาย
ผมเห็นด้วยกับคลิปนี้ทุกตอนโดยเฉพาะ ประโยคท้าย ๆ ประมาณว่า
"คนเขียนโปรแกรม ก็คือ RockStar ในยุคนี้ !!"
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"