

http://www.moneychannel.co.th/index.php ... 4-10-45-15๐ วิกฤตหนี้ยุโรป... ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว
วันเผยแพร่ วันอังคาร, 24 กรกฎาคม 2555 17:45
กูรู เตือน นักลงทุนเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตหนี้ยุโรป เชื่อใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ชี้ลงทุนหุ้น หรือ ทองคำ ก็มีความเสี่ยงเท่ากัน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์ใน money channel ว่า ภายใต้ความผันผวนทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซน ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นักลงทุนไม่ควรไว้วางใจหรือลงทุนในสินทรัพย์ใดมากเกินไป เพราะล้วนมีความเสี่ยงที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือทองคำ
ทั้งนี้ หากจะเปรียบเทียบสถานการณ์วิกฤตการเงินในกลุ่มยูโรโซนในขณะนี้ กับวิกฤต Subprime ของสหรัฐฯที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2551 จะเห็นได้ว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่มีความอ่อนไหวของวิกฤติหนี้ยุโรป ที่ยังหาทางออกไม่ได้ โดยเฉพาะสเปน แต่มองว่า สถานการณ์ขณะนี้ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว
นายกอบศักดิ์ ยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้ไปปัญหาที่สะสมมาจากการถูกแก้ไขอย่างไม่ถูกตรงจุดจะค่อยๆ ปะทุ และ ลุกลาม จากสเปน ไป อิตาลี แม้ว่า อิตาลี จะดูมีสถานการณ์ที่ดีกว่า สเปน แต่มีหนี้สาธารณะสูงถึง 120% ต่อจีดีพี และหนี้ส่วนใหญ่หรือ มากกว่า 50% กู้มาจาก ฝรั่งเศส ซึ่งถ้า อิตาลี มีปัญหา ฝรั่งเศส จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ส่วนกรีซก็ยังไม่สามารถจะแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในประเทศ แม้จะได้รับเงินช่วยเหลือมาแล้วก็ตาม ซึ่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เชื่อว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจ กรีซ จะย่ำแย่เพียงใด ก็จะไม่ออกจากกลุ่มยูโรโซน ซึ่งปัญหาทั้งหมดก็จะกลายเป็นภาระของสมาชิกในกลุ่มยูโรโซนทั้งหมด
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คือ การลดค่าเงินยูโร เพื่อให้กลุ่มประเทศยูโรโซนมีรายได้เพิ่มขึ้น และจะส่งผลให้มีความสามารถในการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องมากกว่าการกู้เงินจำนวนมากมาแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ
kunjoja เขียน:ลองเข้ามาดูบ้างเคยแต่แวะทักทายในห้องหมอเล่นหุ้นในเฟสบุ้คเ่ทานั้น
วันนี้ที่รอคอย / ธันวา เลาหศิริวงศ์
เวลานี้ถือว่าเป็นช่วง “วันที่รอคอย” ของนักลงทุนทั้งรายย่อย สถาบัน หรือนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนเริ่มทยอยประกาศผลประกอบการรายไตรมาส โดยคาดหวังว่ากิจการที่ตนครอบครองนั้น จะมีผลประกอบการที่ดีส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 11/2552 “เรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการรายงานการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์” บริษัทจดทะเบียนทุกแห่งต้องรายงานงบการเงินรายไตรมาสที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว ภายใน 45 วันหลังจากวันสุดท้ายของแต่ละไตรมาส ในกรณีธนาคารพาณิชย์ต้องรายงานงบการเงินรายไตรมาสก่อนสอบทานภายใน 15 วัน สำหรับงบรายปีนั้น บริษัทจดทะเบียนต้องรายงานงบการเงินรายปีที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้วภายใน 60 วันนับหลังจากวันสุดท้ายของปีของแต่ละบริษัท
ศูนย์พัฒนาการดูแลบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดทำ “หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียน ปี 2549” โดยกล่าวว่า การกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) หรือบรรษัทภิบาลที่ดี มีความสำคัญต่อบริษัทจดทะเบียน โดยแสดงให้เห็นถึงการมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจต่อผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุน ผู้มีส่วนได้เสีย และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และเป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท
การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นทุกราย ทั้งผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นที่ไม่เป็นผู้บริหาร รวมทั้งผู้ถือหุ้นต่างชาติ ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม คณะกรรมการควรมีมาตรการป้องกันกรณีที่กรรมการและผู้บริหารใช้ข้อมูลภายในเพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นในทางมิชอบ (Abusive self-dealing) ซึ่งเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นอื่น เช่นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) การนำข้อมูลภายในไปเปิดเผยกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการและผู้บริหารซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม
หลังจากบริษัทส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้ออย่างสมบูรณ์ (ownership transferred) ในวันสุดท้ายของไตรมาส มีบุคคล 6 กลุ่มที่ต้องรับรู้ผลการดำเนินงานก่อนรายงานมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเปิดเผยผลประกอบการแก่ผู้ถือหุ้นอย่างเป็นทางการดังนี้ กลุ่มแรก เจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน ทำหน้าที่บันทึกและปิดบัญชี งบการเงิน อย่างถูกต้องและครบถ้วน กลุ่มสอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) และผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี การเงิน ต้องควบคุม ดูแลความถูกต้องของตัวเลขผลการดำเนินงานโดยรวม กลุ่มสาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กรรมการผู้จัดการ หรือผู้บริหารระดับสูง ต้องได้รับรายงานข้อมูลทางการเงินและผลประกอบการเบื้องต้น กลุ่มสี่ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและทีมตรวจสอบบัญชี ต้องสอบทานบัญชีและงบการเงิน ตลอดจนการรับรองความถูกต้องของงบการเงินของกิจการนั้น
กลุ่มห้า กรรมการตรวจสอบ ต้องได้รับงบการเงินผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีล่วงหน้า 1-3 วันเพื่อประชุม ซักถามข้อคิดเห็น ตรวจสอบประเด็นสำคัญ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลที่เหมาะสมและครบถ้วนกับผู้สอบบัญชีโดยตรง และกลุ่มสุดท้ายคือ คณะกรรมการบริษัททุกท่าน ต้องได้รับข้อมูลเพื่อการพิจารณาและรับรองงบการเงินและผลประกอบการในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ที่กล่าวมานั้นคือหลักการ ระเบียบการ กระบวนการทำงานก่อนที่บริษัทจะเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ จะเห็นได้ว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ต้องรับรู้ผลประกอบการก่อนรายงานอย่างเป็นทางการ
ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศพัฒนาแล้ว อย่างประเทศอเมริกาหรือกลุ่มประเทศแถบยุโรป หลายครั้งที่มีข่าวการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับผู้บริหารระดับสูงหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการใช้ข้อมูลภายในเพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นในทางมิชอบ ซึ่งเป็นโทษสถานหนักแทบทั้งสิ้น เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับราคาหุ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นโดยรวมและมีผลให้มูลค่าตลาดของกิจการเปลี่ยนแปลง บริษัทจึงต้องเข้มงวดกับผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่มอย่างมาก
สำหรับการจัดลำดับ “การกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน (CG Rating)” ของบรรษัทภิบาลแห่งชาตินั้น เป็นเรื่องน่ายินดีที่จำนวนบริษัทจดทะเบียนของไทยได้รับการจัดลำดับอยู่ในเกณฑ์ดี ดีมาก หรือดีเลิศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังพบการเคลื่อนไหวของปริมาณซื้อขายและราคาไปในทิศทางเดียวกับผลการดำเนินงานของบริษัทก่อนการรายงานอย่างเป็นทางการ จึงเป็นข้อสังเกตและข้อสงสัยในความผิดปกติ มากกว่าความ “บังเอิญ” ที่มีการซื้อขายจากการคาดการณ์ผลประกอบการล่วงหน้า
หากมีประการณ์การลงทุนมาบ้าง จะพบว่ามีองค์ประกอบมากมายที่ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง เช่น ราคาหุ้นลงแม้ผลประกอบการดี (sell on facts) หรือราคาหุ้นขึ้นแม้ผลประกอบการแย่ แต่ดีกว่าที่คาด จะเห็นว่า มีเรื่องจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากเช่นกัน ในฐานะ Value Investor นอกจากการเลือกกิจการยอดเยี่ยม มีศักยภาพในการแข่งขันและผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องแล้ว ยังต้องเลือกกิจการที่ปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม พูดง่ายๆ คือเลือกลงสนามใน “เกมผู้ชนะ เกมที่ถนัด” และหลีกเลี่ยง “เกมที่เสียเปรียบ” เสมอ หากเลือกทำเช่นนี้ “วันที่รอคอย” ที่มาถึงก็จะเป็น “วันแห่งความสุข” ของเราอีกวันหนึ่ง
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=52819โลกในมุมมองของ Value Investor 28 กรกฎาคม 55
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คุณค่าของความคลั่งไคล้
ผมอยู่ในวงการหุ้นและตลาดหุ้นมานาน สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ หุ้นของบริษัทที่ผลิตและขายหรือให้บริการสินค้าที่ลูกค้าบางส่วนมีความนิยมสูงมาก หรือสูงขนาดที่เรียกว่า “คลั่งไคล้” หรือ “เสพติด” มักจะมีราคาดี คือมีค่า PE สูง และเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงต่อเนื่องยาวนาน ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นทั่ว ๆ ไป ลักษณะของบริษัทหรือสินค้าเหล่านี้ก็คือ มันมี “สาวก” ที่เหนียวแน่น พวกเขามีความต้องการสินค้าของบริษัทสูง พวกเขาอยากใช้สินค้าของบริษัทด้วยเหตุผลต่าง ๆ โดยเฉพาะเหตุผลทางด้านจิตใจมากกว่าสินค้าของบริษัทอื่นที่ขายสินค้าแบบเดียวกัน ความคลั่งไคล้ของสินค้าของบริษัทนั้น แสดงออกให้เห็นเวลาที่พวกเขาไปซื้อของ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่เวลาเราเห็น เรามักจะรู้สึกได้ ลองมาดูกันว่าสินค้าประเภทไหนบ้างที่คน “คลั่งไคล้”
ก่อนอื่นผมอยากจะเริ่มจากผู้หญิงกับเด็ก เพราะนี่คือยอด “นักช้อป” และสินค้าที่พวกเขา คลั่งไคล้ก็คือสินค้าแฟชั่นที่สวยงามและแสดงสถานะที่เริดหรูและมี “มีระดับ” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เช่น กระเป๋าถือของหลุยส์วิตตอง เสื้อผ้าของร้านที่มีชื่อเสียงออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดัง เหล่านี้ ผู้หญิงจำนวนมากที่มีรายได้ค่อนข้างสูง ต่างก็เรียกหาที่จะต้องมีไว้ครอบครอง บางครั้งแม้จะต้องเข้าคิวและ “ยื้อแย่ง” กันเพื่อจะได้คอลเล็คชั่นใหม่ที่เพิ่งจะออกมาก็ยอม ในส่วนของเด็กนั้น อาการของความคลั่งไคล้อาจจะไม่ติดยึดกับบริษัทมากเท่าตัวสินค้าและการสังเกตก็ต้องติดตามเป็นระยะเพราะมักจะมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว สินค้าที่พวกเขาคลั่งไคล้นั้น อาจจะเป็นตุ๊กตารุ่นใหม่ รองเท้ากีฬาบางแบบ เกมคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นร้านค้าหรือร้านอาหารที่เด็กจะร้องขอที่จะเข้าไปใช้บริการจนเราสังเกตได้ ในการที่จะติดตามหาสินค้าหรือบริษัทเหล่านี้ การสังเกตและใช้ “ความรู้สึก” จะช่วยให้เราได้พบหุ้นก่อนคนอื่น
ถัดจากผู้หญิงและเด็กก็คือ ผู้ชาย ซึ่งความคลั่งไคล้ก็อาจจะไม่สูงเท่าแต่พวกเขาก็ “ติด” อะไรหลาย ๆ อย่าง สินค้าแรกที่โดดเด่นมากก็คือ บุหรี่ นี่คือสุดยอดของสินค้าที่ทำเงิน “มโหฬาร” แม้ว่ากำลังถูก “ต่อต้าน” โดยภาครัฐและสังคมทั่วโลก สินค้าที่คนบางคนอาจจะติดแต่คนส่วนมากอาจจะแค่ “คลั่งไคล้” เล็กน้อยก็คือ เหล้าเบียร์และสินค้าที่มีแอลกอฮอล นี่ก็เป็นสินค้าที่คนดื่มอาจจะติดรสชาดของสินค้าบางยี่ห้อที่ทำให้มันมีค่าสูงกว่าปกติอย่างเช่นครั้งหนึ่งยี่ห้อจอห์นนี่วอคเกอร์ก็ค่อนข้างดังมากในประเทศย่านเอเซีย แต่เดี๋ยวนี้ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นยี่ห้อไหน บางที เหล้าวอดก้ายี่ห้อ Grey Goose อาจจะกำลังเป็นที่คลั่งไคล้ของคนมีระดับก็เป็นได้ เพราะผมเคยเห็นมีการกล่าวถึงในนิยายหรือบทความหรือข่าวงานเลี้ยงในวงสังคมอยู่บ้างว่าเป็นเหล้าที่มีระดับ “สุดยอด” นอกจากเหล้าเบียร์แล้ว ผู้ชายก็อาจจะมีแนวโน้มที่ชอบหรือคลั่งไคล้การพนันและในเรื่องของการ “แข่งขัน” อย่างเช่น การชมและพนันการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เป็นต้น
กลุ่มสุดท้ายก็คือ คนทั่วไป โดยเฉพาะที่เป็นวัยรุ่นจนถึงอายุใกล้เกษียณ ความคลั่งไคล้ในระยะหลัง ๆ นี้ก็หนีไม่พ้นในเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เป็นการติดต่อไร้สาย นี่ดูเหมือนจะสังเกตได้ง่ายมาก ตัวอย่างเช่นสินค้าตระกูลไอทั้งหลายเช่นไอโฟนและไอแพด ความคลั่งไคล้นั้นเกิดทั่วโลกและเกิดใกล้ตัว ดังนั้น ไม่มีใครไม่รู้ แต่คนที่ตัดสินใจซื้อหุ้นก่อนที่งบการเงินของบริษัทแอปเปิลจะออกนั้น สามารถทำกำไรได้มหาศาล และหุ้นของบริษัทที่มีสินค้าที่คนคลั่งไคล้ทั่วโลกนี้ ได้กลายเป็นหุ้นที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกหลังจากที่ผลิตสินค้าที่คนคลั่งไคล้ติดต่อกันมานานเพียงสิบกว่าปี พูดถึงเรื่องโทรศัพท์นี้ น่าจะยังคงจำได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา บีบี ก็เป็นโทรศัพท์ที่คนคลั่งไคล้กันทั่วโลกเช่นกันเห็นได้จากดาราไทยที่ใช้กันเกือบทุกคน และในช่วงนั้น บริษัทที่ผลิตบีบีก็มีค่าสูงมาก แต่หลังจากที่กระแสของบีบีตกลงไป มูลค่าหุ้นก็ตกลงและบริษัทอาจจะกำลังมีปัญหาทางการเงินอยู่ในขณะนี้ ไหน ๆ ก็พูดแล้ว ซัมซุงเองก็มีแท็บเล็ตที่คนเริ่ม “คลั่งไคล้” อยู่เหมือนกันเห็นได้จากยอดขายที่สูงลิ่ว และนี่ก็เช่นกัน ทำให้บริษัทซัมซุงที่ผลิตมันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นเกาหลีในขณะนี้
ความคลั่งไคล้นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดในระดับนานาชาติหรือแม้แต่ทั่วประเทศ มันอาจจะเป็นสินค้าของบริษัทเล็ก ๆ ในระดับท้องถิ่นก็ได้ ข้อสำคัญก็คือ เราต้องเห็นว่าสินค้านั้นมีกลุ่มคนที่ “คลั่งไคล้” และยอมจ่ายเงินซื้อ อาจจะสูงกว่าสินค้าแบบเดียวกัน เพื่อจะได้สินค้ามาใช้หรือมากิน ตัวอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะมีลักษณะนี้ก็เช่น ช็อกโกแล็ตของ See’s Candy ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายขนมหวานและช็อกโกแล็ตที่บัฟเฟตต์ซื้อมาเป็นบริษัทแรก ๆ ที่บัฟเฟตต์ยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ “ไม่ถูก” และมีค่า PE สูงกว่าที่เขาเคยซื้อ เหตุผลของผมก็คือ ชอกโกแล็ตของ See’s นั้น มีราคาแพงมาก ดังนั้น คนที่ซื้อ โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงนั้น น่าจะต้องติดหรือคลั่งไคล้สินค้าของบริษัท จึงได้ยอมซื้อมาตลอด เหนือสิ่งอื่นใด ขนมหวานนั้นก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่คนมักจะคลั่งไคล้ ผมยังจำได้ถึงครั้งหนึ่งที่มีโดนัทยี่ห้อหนึ่งจากมาเลเซียมาเปิดขายในเมืองไทยแล้วคนเข้าคิวซื้อกันยาวเหยียด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานคนก็เลิกเห่อและร้านที่ขายก็ปิดตัวลง แต่แล้วหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็มีโดนัทยี่ห้อใหม่อีกยี่ห้อหนึ่งจากอเมริกาที่เข้ามาและทำให้คนคลั่งไคล้ต่ออาจจะถึงวันนี้ อย่างไรก็ตาม ความคลั่งไคล้ที่จบลงง่าย ๆ นั้น อาจจะไม่ให้คุณค่าอะไรมากนัก ดังนั้น เราจะต้องพยายามมองให้ออกว่าสินค้านั้นจะอยู่ทนได้แค่ไหน
คุณค่าของความคลั่งไคล้นั้น จะมากหรือน้อยคงต้องขึ้นอยู่กับระดับของความคลั่งไคล้ว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน ถ้ามากระดับที่เรียกว่า “เสพติด” เลย มันก็มีค่ามากขึ้น นอกจากนั้น ระยะเวลาที่คนจะคลั่งไคล้นั้นน่าจะยาวแค่ไหน ถ้ายาวมากอย่างที่เรียกว่าเกือบจะ “ถาวร” อย่างกรณีของ หลุยส์วิตตอง นั้น คุณค่าก็มากขึ้นมากเมื่อเทียบกับสินค้าอย่างอื่นที่อาจจะทำให้คนคลั่งไคล้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม สุดท้ายก็คือ จำนวนคนที่คลั่งไคล้ ถ้ามีมากทั่วประเทศหรือทั่วโลก คุณค่าก็มากขึ้นตามจำนวนคน
คุณค่าของความคลั่งไคล้จะมากหรือน้อยก็จะสะท้อนออกมาจาก Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายที่จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทธรรมดาที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน แต่คุณค่าที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตลาดจะให้ราคาหุ้นที่แพงกว่าบริษัทธรรมดามากวัดจากค่า PE ของหุ้นที่มีคนคลั่งไคล้ในผลิตภัณฑ์จะสูงกว่าบริษัทธรรมดามาก บางทีอาจจะสูงกว่าเท่าตัว เช่น ถ้า PE ของบริษัทที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเท่ากับ 10 เท่า บริษัทที่มีคนคลั่งไคล้ในสินค้าสูงและต่อเนื่องยาวนานอาจจะมีค่า PE สูงถึง 20 เท่าเป็นต้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถบอกได้ว่าสินค้าไหนหรือร้านไหนมีคนคลั่งไคล้ในช่วงต้น ๆ ที่จะทำให้เรามีโอกาสซื้อหุ้นก่อน เหตุผลก็คือ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำเครื่องวัดหรือทำแบบสอบถามเพื่อทำวิจัยในสถานการณ์แบบนั้น เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องใช้ Sense หรือความรู้สึกเองเมื่อประสบกับคนที่ใช้สินค้าหรือบริการ อีกทางหนึ่งที่จะทำเงินกับบริษัทเหล่านั้นก็คือ ในบางสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นตกต่ำหรือในบางช่วงที่บริษัทเหล่านั้นมีปัญหาทำให้หุ้นตกลงมามาก แต่เราดูแล้วว่าสินค้าของบริษัทยังได้รับความนิยมขนาดคลั่งไคล้อยู่ต่อไปได้ เราก็สามารถเข้าไปซื้อหุ้นแล้วรอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ และนี่ก็คือวิธีทำเงินจากหุ้นที่คนคลั่งไคล้ในผลิตภัณฑ์
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B5.htmlไมเคิล เฟลป์สอำลาโอลิมปิกอย่างสวยงามกวาดเหรียญทองที่ 18 และเหรียญรวมที่ 22
ในที่สุดไมเคิล เฟลป์ส ฉลามหนุ่มสหรัฐ ก็สามาถคว้าเหรียญทองเหรียญสุดท้าย ซึ่งเป็นเหรียญที่ 4 จากกีฬาโอลิมปิก ลอนดอน เกมส์ได้สำเร็จ ทำให้เป็นนักกีฬาที่ครองเหรียญโอลิมปิกมากที่สุดในประวัติศาสตร์รวม 22 เหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิก 3 สมัย
ไมเคิล เฟลป์ส สามารถปิดฉากอำลาการแข่งขันโอลิมปิกได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยสามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันว่ายผลัดผสม 4 x100 เมตรชายในวันสุดท้ายของกีฬาว่ายน้ำเมื่อวาน โดยทีมของเขาสามารถทำเวลาได้ 3 นาที 29.35 วินาที และในที่สุดเมื่อรวมตลอดการแข่งขันลอนดอน เกมส์ครั้งนี้เขากวาดไป 4 เหรียญทองและ 2 เหรียญเงินทำให้เขาเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยกวาดเหรียญได้มากที่สุดรวม 22 เหรียญจากการเข้าแข่งขันโอลิมปิก 3 สมัยนับตั้งแต่ปี 2547
ในจำนวนนี้ เป็นเหรียญทอง 18 เหรียญ ทำลายสถิติเดิมของ ลาริซ่า ลาตึนิน่า นักยิมนาสติกโซเวียต ที่เคยครองเหรียญโอลิมปิกมากที่สุดในโลกรวม 18 เหรียญ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเหรียญทอง 9 เหรียญ
ฉลามหนุ่มวัย 27 ปี บอกไว้ในวันที่เขาได้เหรียญโอลิมปิกที่ 19 เมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาจะไม่เข้าร่วมการว่ายน้ำในโอลิมปิกอีก 4 ปีข้างหน้าแล้ว เพราะเขาเคยบอกกับตัวเองไว้ว่า ไม่อยากว่ายน้ำอีกแล้วตอนที่อายุ 30 ปี ล่าสุด เขาได้โพสต์ในทวิตเตอร์ว่า ถึงเวลาที่ต้องเดินหน้าต่อไป ยังมีอะไรอีกมากมายที่อยากทำในชีวิตนี้ อาจเป็นการเริ่มต้นด้วยการเป็นกรรมการว่ายน้ำ
ยินดีต้อนรับครับwigraipat เขียน:พึ่งมาเห็นกระทู้นี้คับปกติอ่านแต่คลังกระทู้คุณค่า ร้อยคนร้อยหุ้น VI
ขอมาแนะนำตัวน้องใหม่การลงทุนกับพี่ๆหมอด้วยกันน่ะคับ
ยินดีต้อนรับเช่นกันครับ แวะมาแจมบ่อยๆนะครับ
สวัสดีค่ะ สมาชิกใหม่
ยินดีต้อนรับครับjonykeano เขียน:สวัสดีครับ
เข้ามาแนะนำตัวครับ
เคยเล่น Thaivi เมื่อสมัย 3 ปีที่แล้วก่อนไปเรียน
พอเรียนเด้นท์ก็ห่างหายไปนาน ส่วนพอร์ตก็ค่อยๆลดขนาดลงตามเวลาที่ใกล้สอบบอร์ด
และล้างพอร์ตทิ้งทั้งหมด 6 เดือนก่อนสอบครับ
ตอนนี้ชีวิตเข้าสู่ช่วง specialty แล้ว กำลังจะกลับมาลงทุนใหม่
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
ดร.นิเวศน์ ต้นตำรับ VI เปิดสูตรปั้นพอร์ตพันล้าน
สไตล์การลงทุนแบบ "นักลงทุนหุ้นคุณค่า" หรือ "Value Investor" ที่เรียก VI พร่หลายวันนี้ หนึ่งในกูรูต้นแบบ VI คือ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ซึ่งรู้กันว่าเข้ามาเล่นหุ้นเต็มตัวตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และสร้างผลตอบแทนได้กว่า 10% ต่อปี ว่ากันว่าวันนี้มีพอร์ตใหญ่หลักพันล้าน "ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสพูดคุยมานำเสนอดังนี้
"ดร.นิเวศน์" เล่าว่า เดิมในช่วงปี 2538-2539 ใช้กลยุทธ์ซื้อขายเก็งกำไร เน้นหุ้นธุรกิจการเงินที่สภาพคล่องสูง และลงทุนตามกระแสข่าวที่เป็นข้อมูลวงใน ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ และไฟแนนซ์ที่เฟื่องฟู บรรยากาศเอื้อต่อการเก็งกำไร
"ในช่วงแรก ๆ ผมเคยซื้อขายเก็งกำไรเทรดทุกเดือนเล่นหุ้นไฟแนนซ์ สภาพคล่องสูง และบางครั้งก็ลงทุนตามข้อมูลที่เรารู้มา คิดว่าเป็นข้อมูลแบบที่ไม่มีใครรู้ แต่เอาเข้าจริง ๆ เขาก็รู้กันหมดแล้ว ดังนั้นการลงทุนแบบนี้ก็ไม่ทำให้รวย ได้แค่เสมอตัวหรือขาดทุนนิดหน่อยเท่านั้น"
หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ดร.นิเวศน์ออกจากงาน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้เดินเข้าสู่ถนนสายการลงทุนอย่างเต็มตัว และเปลี่ยนแนวคิดจากการลงทุนแบบ "เล่นหุ้น" โดยใช้เงินสะสมทั้งชีวิตกว่า 10 ล้านบาท ซื้อหุ้นในตลาดเพื่อหาผลตอบแทนเลี้ยงครอบครัว
พอร์ตลงทุนของเขาคือ จะเป็นหุ้นราคาถูก มีแนวโน้มการเติบโตของกิจการอยู่ในเกณฑ์ดี สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ ถือเป็นแนวคิดที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะแม้จะถือหุ้นอยู่เฉย ๆ แต่ก็ยังได้เงินปันผลเข้าพอร์ตต่อเนื่อง จนทำให้ผลตอบแทนทบเงินต้นปีแล้วปีเล่า สะสมเป็นพอร์ตขนาดใหญ่ขึ้น
"ตอนนั้นการลงทุนของผมเป็นการลงทุนที่พนันด้วยชีวิต ถ้าผิดพลาดก็จะลำบาก ผมจึงมีแนวคิดว่า ต้องเน้นหุ้นราคาถูกที่พื้นฐานดี จ่ายปันผลต่อเนื่องปีละ 10% ซื้อโดยไม่หวังจะขายต่อ เพราะถึงขายก็ไม่มีคนซื้อเนื่องจากตลาดตอนนั้นไม่ดี ผลลัพธ์ของแนวทางนี้คือผมเจอขุมทรัพย์ เลยต้องซื้อหุ้นต่อไปตัวแล้วตัวเล่า"
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไม่ได้อยู่นิ่งกับที่ เศรษฐกิจไทยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้รับปัจจัยบวก ซึ่งสะท้อนมาที่ผลประกอบการ สร้างความมั่นใจการซื้อขาย ทำให้ราคาหุ้นไทยในภาพรวมปรับตัวสูงขึ้น
"แต่เดิมความถูกของราคาหุ้นเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนวิธีคิด หันมาเน้นหุ้นที่มีคุณภาพสูงแทน เพราะต้องยอมรับว่าราคาหุ้นบ้านเราไม่ได้ถูกมากแล้ว ดังนั้น VI ก็ต้องปรับ เหมือนว่าถ้าเจอเพชร ถึงแพงก็ต้องซื้อ"
แม้จะต้องซื้อหุ้นแพงขึ้น แต่นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ได้แก่ 1.ธุรกิจนั้นเป็นกิจการที่มีอนาคตจะโตต่อไปหรือไม่ 2.บริษัทมีฐานะทางการตลาดอย่างไร และแม้จะเป็นผู้นำครองอันดับ 1 แต่ก็ต้องดูด้วยว่าใหญ่กว่าอันดับ 2 แค่ไหน 3.ฐานะของกิจการ เช่น มีหนี้สินหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน และมีความสามารถสร้างกำไรปีละเท่าไหร่ เป็นต้น
กลุ่มหุ้นที่ "ดร.นิเวศน์" ชื่นชอบ ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวกับโมเดิร์นเทรด (ห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต)
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0900
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=52997
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ/ธันวา เลาหศิริวงศ์
“ที่นี่น้ำไม่ท่วม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” คือคำโฆษณาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นเด่นชัดบนป้ายขนาดใหญ่ริมถนนวิภาวดีรังสิต ข้อความดังกล่าวบ่งบอกถึงความมั่นใจและความเชื่อมั่นของบริษัทหรือผู้บริหารว่า จะสามารถบริหารจัดการเรื่องน้ำได้อย่างแน่นอน หรือพูดง่ายๆ คือ ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำท่วมเพราะ “เอาอยู่” นั่นเอง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาในโลกแม้บางเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่เราลองมาดูความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในข่าย “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ผ่านกรณีศึกษาต่อไปนี้ ประเทศเกาหลีใต้มีการพัฒนาเชิงบวกเกือบทุกด้านในรอบไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้สนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์ โทรศัพท์มือถือ ภาพยนตร์ เกมส์ออนไลน์ ท่องเที่ยว อาหาร ศัลยกรรมเสริมความงาม การเต้นแบบเกาหลี และการเผยแพร่วัฒนธรรมของประเทศในรูปแบบต่างๆ จนได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลต่อสังคมโลกมากขึ้น ประเทศเกาหลีใต้มีขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ใหญ่เป็นลำดับที่ 11 ของโลกแม้มีประชากรเพียง 50 ล้านคน และได้รับความไว้วางใจในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1988 เป็นเจ้าภาพร่วมกับประเทศญี่ปุ่นจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังมีนักกีฬาระดับเหรียญรางวัลกีฬาโอลิมปิก และผลงานในกีฬาฟุตบอลอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกอีกด้วย
ประเทศสิงคโปร์ ประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1965 มีประชากรเพียง 5 ล้านกว่าคน แต่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับสองของโลกอันเนื่องมาจากขนาดพื้นที่และลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะ แม้มีข้อจำกัดและไม่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากนักแต่สิงคโปร์มีขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ถึงครึ่งหนึ่งของไทยโดยอยู่ในอันดับที่ 38 ของโลก สถาบัน IMD ได้จัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันเป็นอันดับที่ 4 ของโลก สิงคโปร์มีความโดดเด่นเรื่องความปลอดภัย สาธารณูปโภค ระบบขนส่งมวลชน ศูนย์กลางทางการเงิน ที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาคของบริษัทระดับโลก มีการพัฒนาแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ คาสิโน การแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน รวมทั้งมีสายการบินชั้นนำของโลกเพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าออกประเทศอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของทั้งประเทศเกาหลีใต้และประเทศสิงคโปร์นั้นเป็นเพียงตัวอย่างของประเทศในโลกที่ “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เลย
Amazon.com (AMZN) เริ่มต้นธุรกิจหนังสือออนไลน์ในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1994 ปัจจุบันกลายเป็นร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สินค้านานาชนิดที่ใหญ่ที่สุดและให้บริการผู้ซื้อทั่วโลก จุดเด่นที่สำคัญได้แก่ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สินค้าและอุปกรณ์หนังสืออิเลคทรอนิคส์ (kindle) ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ความสะดวก ปลอดภัย และบริการต่างๆ ที่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ มียอดขาย 3 ปีย้อนหลังคือปี 2009, 2010 และ 2011 เติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องที่ 24.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ 34.2 พันล้าน และ 48.0 พันล้านเหรียญตามลำดับ ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มจากหุ้นละ 1.5 เหรียญในปี 1997 เป็น 233 เหรียญในปัจจุบันและมีมูลค่าตลาดสูงถึง 105,200 ล้านเหรียญในเวลาไม่ถึง 20 ปี
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ประสบความสำเร็จในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างมากนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 ผ่าน บริษัทเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ (BRK) สร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยที่ 19.8% เอาชนะดัชนี S&P รวมเงินปันผลที่ 9.2% ตลอดเวลา 46 ปีของการลงทุน สร้างผลตอบแทนและความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 513,055 % (ห้าแสนหนึ่งหมื่นสามพันห้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์) เทียบกับ 6,397% (หกพันสามร้อยเก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์) ของดัชนี S&P โดยมี 3 กลยุทธ์สำคัญคือ การเลือกกิจการที่ยอดเยี่ยม (Stock Selection) (Focus Investment) และการถือหุ้นของกิจการเป็นเวลานาน (Period of Investment) สรุปก็คือ พัฒนาการที่โดดเด่นและความสำเร็จของทั้ง Amazon.com และบริษัท เบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็น่าจะ “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เช่นกัน
บริษัทจดทะเบียนของไทยจำนวนไม่น้อยที่สร้างความมั่งคั่งและผลตอบแทนหลายเท่าตัวหรือ “หลายเด้ง” ให้กับผู้ถือหุ้นในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการที่ดีขึ้นและโดดเด่นนั้นเริ่มจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร กลยุทธ์ทางธุรกิจ การบริหารจัดการและการทำให้เกิดผลจริง เมื่อนักลงทุนเชื่อมั่นกับศักยภาพและมูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจการในระยะยาว ก็จะส่งผลสะท้อนมายังราคาหุ้นและมูลค่าตลาดของกิจการโดยรวม ความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันของกำไรต่อหุ้นและราคาหุ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่า ราคาหุ้นที่เพิ่ม “หลายเด้ง”นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ ถ้ากิจการมีผลประกอบยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องนับว่า “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ที่ราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างยั่งยืนเช่นกัน
ทั้งหมดนั้นเป็นกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นในอดีต ในทางการลงทุนนั้น ผลตอบแทนที่ผ่านมาไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนบางคนซื้อหุ้นด้วยความ “บังเอิญ” นำมาซึ่งผลตอบแทนที่น่าทึ่ง แม้เป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่อาจยังไม่น่า “ภูมิใจ” นักเพราะอาจจะเป็นการทำกำไรเพียงครั้งคราว หน้าที่ของ Value Investor จึงต้องเสาะแสวงหากิจการที่ “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ในราคาปัจจุบันว่ามีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) มากน้อยเพียงใด หากผ่านเกณฑ์หรือเงื่อนไขลงทุนของตนก็ซื้อและถือไว้ให้นานที่สุด สุดยอด VI พันธุ์แท้ หรือ “VI สายดำ” นั้น ล้วนหมั่นฝึกฝนวิชาการลงทุนทั้งด้านปรัชญา แนวคิด แนวทาง จิตวิทยาการลงทุน และวิถีการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนที่ “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ในการลงทุนนั่นเอง