ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา วอร์เรน บัฟเฟตต์ถูกวิจารณ์อย่างหนักในหลายๆเหตุการณ์
ตั้งแต่ผลตอบแทนของ Berkshire Hathaway แพ้ดัชนี S&P 500 ในปี 2019 อย่างขาดกระจุย (11% vs S&P 500 31.5%)
ซื้อหุ้นสายการบินเพิ่มแล้วก็มาขายทิ้งทั้งหมดในเดือนเมษายน แต่หลังจากนั้นหุ้นสายการบินก็ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
วิกฤตน้ำมันในช่วงโควิด-19 ทำให้ขาดทุนจากหุ้นขุดเจาะน้ำมัน Occidental Petroleum
มีเงินสดในมือมากถึง $137,000 ล้านแต่ไม่ยอมซื้อหุ้น นักลงทุนวีไอระดับโลกบางคนบอกว่าคุณปู่แก่เกินไปแล้ว มองโอกาสในหุ้นเทคโนโลยีไม่ออก
และอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในโลกลดลงมาอยู่ที่ 6 หลังจากสินทรัพย์ลดลง $17,100 ล้านในปีนี้
อย่างไรก็ตามถ้ามาวิเคราะห์พอร์ตการลงทุนของ Berkshire Hathaway ในปีนี้แล้วนั้น
พบว่ามีหุ้นซุปเปอร์สต๊อกอยู่หนึ่งตัวที่เป็นตัวเอก ก็คือหุ้น Apple
ตั้งแต่ต้นปีหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 31.21%
Berkshire ถือหุ้นตัวนี้ทั้งหมด 245 ล้านหุ้น เป็นเงินกว่า $95,000 ล้าน
ถ้านับตั้งแต่ต้นปี หุ้นตัวนี้ทำเงินให้คุณปู่ไปแล้ว $20,825 ล้าน
แต่ถ้าดูกำไรตั้งแต่ซื้อหุ้นมาเมื่อ 4 ปีก่อน จะอยู่ที่ $60,000 ล้าน คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 1.89 ล้านล้านบาท
เพียงแค่กำไรจากหุ้นตัวนี้ตัวเดียวก็มากกว่าเงินที่ขาดทุนจากการขายสายการบินทั้งหมดประมาณ $3,000-$4,000 ล้าน รวมทั้งการขาดทุนรวมกันจากหุ้นนำ้มันและ Kraft Heinz ประมาณ $3,00 ล้าน อยู่หลายเท่าตัว
ถ้าคิดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงของ Berkshire Hathaway จะได้ดังนี้
มูลค่าหุ้นของ Apple ที่ $95,000 ล้าน
มูลค่าหุ้นอีกสิบกว่าตัวในพอร์ต $126,000 ล้าน
เงินสด $140,000 ล้าน
รวมมูลค่าทั้งหมดเป็น $361,000
มูลค่าตลาดของ Berkshire ตอนนี้อยู่ที่ $463,500 ล้าน (ข้อมูลจากราคาปิดเมื่อวาน)
การคำนวณนี้ยังไม่รวมสินทรัพย์อื่นๆของบริษัทที่ยังมีอีก $300,000 กว่าล้าน
ผมมองว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ใช่ผู้แพ้ เพียงแต่ว่าราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway ไม่ได้สะท้อนคุณภาพของบริษัทและสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมากมาย
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นายตลาดเพียงแค่ไม่พอใจในตัวคุณปู่เท่านั้น
สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งมองว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์แพ้ครับ #หุ้นอเมริกา