ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 1
ผู้ที่ลงทุนหุ้นในช่วงปี 2008 คงจะจำได้ถึงช่วงที่ดัชนีลงต่ำสุดแถวๆ 380 จุด ในวิกฤติ Hamberger
ดังนั้นกระทู้นี้ จะลองคำนวณดูว่าที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไร ในปี 2020 นี้
โดยผมตั้งสมมุติฐานว่าความถูกแพงของหุ้นขึ้นกับค่า P/BV นะครับ
ข้อมูล P/BV และ SET Index ดังต่อไปนี้ มีที่มาจาก https://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html
ในหัวข้อ Market Index และ P/BV
Nov 2008: ค่า P/BV = 0.88 เท่า; SET Index = 400 จุด (เป็นจุดเกือบต่ำสุดในช่วงวิกฤติปี 2008)
Feb 2020: ค่า P/BV = 1.49 เท่า; SET Index = 1,340 จุด
โจทย์: ในปี 2020 หาก P/BV จะเหลือ 0.88 เท่า (เช่นเดียวกับในปี 2008) ดัชนี (ในปี 2020) ควรเป็นเท่าไร
เทียบบัญญัติไตรยางค์
จากข้อมูลปี 2020: P/BV=1.49 จะมี SET Index = 1,340 จุด
ดังนั้นหาก P/BV=0.88 จะได้ค่า SET Index = 1,340 * 0.88 / 1.49 = 791 จุด
หรือคิดง่ายๆ ประมาณ 800 จุด
สาเหตุที่ดัชนีไม่กลับไปเท่า 400 จุดเหมือนเดิม มี 2 สาเหตุหลัก
1. ทุกๆ ปี ค่า Book Value (Equity) ของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น จากกำไรสะสม ที่บวกเข้าไปเป็นส่วน equity ในงบดุล
2. การนำหุ้นเข้าตลาดเพิ่ม ทำให้ค่า book value เพิ่มขึ้น (แต่ก็ทำให้ market cap เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จะส่งผลในทางใดขึ้นกับค่า P/BV ของบริษัท ณ ขณะนำเข้าตลาด เทียบกับ P/BV ของตลาดหุ้น ณ ขณะนั้น)
สรุปผล
ถ้ามองว่าวิกฤติรอบนี้ หุ้นจะลงต่ำสุดเทียบเท่า 400 จุดของปี 2008 ก็แสดงว่าหุ้นจะลงไปประมาณ 800 จุด ณ ปี 2020 ครับ อาจจะช่วยให้สบายใจขึ้น เพราะไม่ได้ลงลึกไปกว่านี้มากนัก : )
หรือถ้าลงลึกต่ำกว่า 800 จุด ก็แสดงว่าจะได้ซื้อของถูกกว่าตอนปี 2008
พูดอีกแง่หนึ่ง ดัชนี 1,200 ของวันนี้ จะเทียบเท่าดัชนีประมาณ 600 จุด ของปี 2008
ยินดีรับความคิดเห็นครับ
ปล. จุดที่ควรระวังคือ พื้นฐานของประเทศ ณ ตอนนี้ อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าในปี 2008 ทั้งในแง่ประชากรลดลง ทั้งในแง่การแข่งขันกับต่างชาติ และเรื่องสังคมและการเมือง ดังที่หลายๆ บทความของท่านอาจารย์ดร.นิเวศน์เคยกล่าวไว้
ดังนั้นสมมุติฐานตั้งต้นที่ว่า P/BV เท่ากัน คือความถูกแพงเท่ากัน และความน่าซื้อเท่ากัน อาจจะไม่จริงเสมอไป
ดังนั้นกระทู้นี้ จะลองคำนวณดูว่าที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไร ในปี 2020 นี้
โดยผมตั้งสมมุติฐานว่าความถูกแพงของหุ้นขึ้นกับค่า P/BV นะครับ
ข้อมูล P/BV และ SET Index ดังต่อไปนี้ มีที่มาจาก https://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html
ในหัวข้อ Market Index และ P/BV
Nov 2008: ค่า P/BV = 0.88 เท่า; SET Index = 400 จุด (เป็นจุดเกือบต่ำสุดในช่วงวิกฤติปี 2008)
Feb 2020: ค่า P/BV = 1.49 เท่า; SET Index = 1,340 จุด
โจทย์: ในปี 2020 หาก P/BV จะเหลือ 0.88 เท่า (เช่นเดียวกับในปี 2008) ดัชนี (ในปี 2020) ควรเป็นเท่าไร
เทียบบัญญัติไตรยางค์
จากข้อมูลปี 2020: P/BV=1.49 จะมี SET Index = 1,340 จุด
ดังนั้นหาก P/BV=0.88 จะได้ค่า SET Index = 1,340 * 0.88 / 1.49 = 791 จุด
หรือคิดง่ายๆ ประมาณ 800 จุด
สาเหตุที่ดัชนีไม่กลับไปเท่า 400 จุดเหมือนเดิม มี 2 สาเหตุหลัก
1. ทุกๆ ปี ค่า Book Value (Equity) ของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น จากกำไรสะสม ที่บวกเข้าไปเป็นส่วน equity ในงบดุล
2. การนำหุ้นเข้าตลาดเพิ่ม ทำให้ค่า book value เพิ่มขึ้น (แต่ก็ทำให้ market cap เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จะส่งผลในทางใดขึ้นกับค่า P/BV ของบริษัท ณ ขณะนำเข้าตลาด เทียบกับ P/BV ของตลาดหุ้น ณ ขณะนั้น)
สรุปผล
ถ้ามองว่าวิกฤติรอบนี้ หุ้นจะลงต่ำสุดเทียบเท่า 400 จุดของปี 2008 ก็แสดงว่าหุ้นจะลงไปประมาณ 800 จุด ณ ปี 2020 ครับ อาจจะช่วยให้สบายใจขึ้น เพราะไม่ได้ลงลึกไปกว่านี้มากนัก : )
หรือถ้าลงลึกต่ำกว่า 800 จุด ก็แสดงว่าจะได้ซื้อของถูกกว่าตอนปี 2008
พูดอีกแง่หนึ่ง ดัชนี 1,200 ของวันนี้ จะเทียบเท่าดัชนีประมาณ 600 จุด ของปี 2008
ยินดีรับความคิดเห็นครับ
ปล. จุดที่ควรระวังคือ พื้นฐานของประเทศ ณ ตอนนี้ อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าในปี 2008 ทั้งในแง่ประชากรลดลง ทั้งในแง่การแข่งขันกับต่างชาติ และเรื่องสังคมและการเมือง ดังที่หลายๆ บทความของท่านอาจารย์ดร.นิเวศน์เคยกล่าวไว้
ดังนั้นสมมุติฐานตั้งต้นที่ว่า P/BV เท่ากัน คือความถูกแพงเท่ากัน และความน่าซื้อเท่ากัน อาจจะไม่จริงเสมอไป
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 4
หรือพูดง่ายๆ อีกอย่าง เปรียบเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว บริษัทมีแค่รถหนึ่งคัน ที่ดินหนึ่งแปลง
ปัจจุบันบริษัทมีรถสองคัน มีที่ดินสองแปลง
ราคาที่เหมาะสมเมื่อมองจากสินทรัพย์ (ที่ลบหนี้สินแล้ว) ก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
ยกเว้นว่าสินทรัพย์นั้นเอาไปใช้ประโยชน์หาดอกผลได้ไม่ดีเท่าในอดีต
ปัจจุบันบริษัทมีรถสองคัน มีที่ดินสองแปลง
ราคาที่เหมาะสมเมื่อมองจากสินทรัพย์ (ที่ลบหนี้สินแล้ว) ก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
ยกเว้นว่าสินทรัพย์นั้นเอาไปใช้ประโยชน์หาดอกผลได้ไม่ดีเท่าในอดีต
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 6
เป็นความคิดที่ดีครับ ไว้ว่าง ๆ อาจลองทำครับ
แต่การใช้ PE ในช่วงที่ตลาดกำลังขึ้นหรือลงมาก ๆ จะมีโอกาสคลาดเคลื่อนมากกว่า เนื่องจากการเพิ่ม-ลดของกำไรกับราคาหุ้นมักเกิดไม่พร้อมกันพอดี โดยทั่วไปเมื่อมีข่าวร้ายราคาหุ้นจะปรับตัวลงก่อนที่กำไรของบริษัทจะลดลงจริง ๆ (นั่นคือราคาหุ้นเป็น lead indicator)
ตัวอย่างเช่น กำไรเมื่อไตรมาสที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ลดลง แต่ Market capital ได้ลดลงก่อนล่วงหน้าแล้วเพราะตอบรับกับข่าวร้าย ค่า PE ที่คำนวณได้ย่อมจะถูกกว่าที่จะเป็นจริงในอนาคต แต่เมื่องบ Q1 ประกาศแล้วกำไรลดลงก็ถึงจะเห็นว่า PE ใหม่ที่ได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ถ้ากำไรจะลดลงเพียงแค่ปีเดียวเนื่องจากวิกฤติ แล้วในปีต่อ ๆ ไป กำไรจะกลับขึ้นมาใหม่ การลดลงของกำไรในปีนั้นก็ไม่น่ามีนัยยะสำคัญนักหากเรามองภาพบริษัทในระยะยาวหลายๆ ปี
ที่น่ากลัวจริงๆ คือกรณีพื้นฐานของกิจการ หรือพื้นฐานของประเทศเสียหายในระยะยาว
ในมุมมองของผม ค่า PE ใช้วัดมูลค่าหุ้นได้ดีในสภาวะปกติ แต่จะมีการแกว่งตัวไปทางบวกหรือลบมากเกินไป ในสภาวะที่เกิดวิกฤติครับ
แต่การใช้ PE ในช่วงที่ตลาดกำลังขึ้นหรือลงมาก ๆ จะมีโอกาสคลาดเคลื่อนมากกว่า เนื่องจากการเพิ่ม-ลดของกำไรกับราคาหุ้นมักเกิดไม่พร้อมกันพอดี โดยทั่วไปเมื่อมีข่าวร้ายราคาหุ้นจะปรับตัวลงก่อนที่กำไรของบริษัทจะลดลงจริง ๆ (นั่นคือราคาหุ้นเป็น lead indicator)
ตัวอย่างเช่น กำไรเมื่อไตรมาสที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ลดลง แต่ Market capital ได้ลดลงก่อนล่วงหน้าแล้วเพราะตอบรับกับข่าวร้าย ค่า PE ที่คำนวณได้ย่อมจะถูกกว่าที่จะเป็นจริงในอนาคต แต่เมื่องบ Q1 ประกาศแล้วกำไรลดลงก็ถึงจะเห็นว่า PE ใหม่ที่ได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ถ้ากำไรจะลดลงเพียงแค่ปีเดียวเนื่องจากวิกฤติ แล้วในปีต่อ ๆ ไป กำไรจะกลับขึ้นมาใหม่ การลดลงของกำไรในปีนั้นก็ไม่น่ามีนัยยะสำคัญนักหากเรามองภาพบริษัทในระยะยาวหลายๆ ปี
ที่น่ากลัวจริงๆ คือกรณีพื้นฐานของกิจการ หรือพื้นฐานของประเทศเสียหายในระยะยาว
ในมุมมองของผม ค่า PE ใช้วัดมูลค่าหุ้นได้ดีในสภาวะปกติ แต่จะมีการแกว่งตัวไปทางบวกหรือลบมากเกินไป ในสภาวะที่เกิดวิกฤติครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 7
ลองคิดด้วย P/E ตามความเห็นของคุณ yoko ครับ
ืNov 2008: P/E อยู่ที่ 6.28 SET Index 400 จุด
Feb 2020: P/E อยู่ที่ 15.71 SET Index 1340 จุด
โจทย์ ณ ปี 2020 นี้ตลาดต้องตกลงไปกี่จุด จึงจะได้ค่า P/E เหลือแค่ 6.28 เท่า
SET Index ดังกล่าวจะมีค่า = 1340 * 6.28 / 15.71
= 536 จุด
สรุปผล
ถ้ามองด้วยค่า P/E จะพบว่าที่ดัชนี 536 จุด ในปี 2020 จะทำให้ตลาดมีค่า P/E เทียบเท่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดตกต่ำเกือบสุดในช่วงเวลานั้น
หรือก็คือ ตลาดต้องลงลึกไปถึง 536 จุด หากมองว่าตลาดจะลงไปเท่ากับปี 2008 (ที่ค่า P/E เดียวกัน)
วิเคราะห์เพิ่มเติม
ความแตกต่างของค่าดัชนีที่ได้จากการคิดด้วย P/BV กับการคิดด้วย P/E แสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันค่า ROE โดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ต่ำลงกว่าในอดีตปี 2008
ROE - Return On Equity แสดงประสิทธิภาพการทำกำไรจาก Equity (หรือ Net Asset หรือ Book Value)
ผมขอวิเคราะห์ต่อว่าสาเหตุที่ตลาดหลักทรัพย์มี ROE ต่ำลง อาจมองได้ 2 สาเหตุ
1. บริษัทมีอัตราส่วน D/E สูงขึ้น (คือใช้ leverage มากขึ้น) (เพราะผมมองว่า ROA เป็นตัววัดประสิทธิภาพของบริษัทที่ดีกว่า ROE)
2. ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ในการสร้างกำไร (ROA) ลดลงจริง ๆ
พอมองมุมนี้ รู้สึกว่าน่ากลัวขึ้นนิด ๆ ครับ
ขอบคุณคุณ yoko สำหรับประเด็นนี้ครับ
ป.ล. สรุปแบบรวบรัดโดยไม่ได้ขยายความเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง P/E, P/BV, ROE และ ROA เพราะกลัวจะยาวไป ถ้าใครมีประเด็นเพิ่มเติม ยินดีมาถกประเด็นเพิ่มเติมกันได้ครับ
ืNov 2008: P/E อยู่ที่ 6.28 SET Index 400 จุด
Feb 2020: P/E อยู่ที่ 15.71 SET Index 1340 จุด
โจทย์ ณ ปี 2020 นี้ตลาดต้องตกลงไปกี่จุด จึงจะได้ค่า P/E เหลือแค่ 6.28 เท่า
SET Index ดังกล่าวจะมีค่า = 1340 * 6.28 / 15.71
= 536 จุด
สรุปผล
ถ้ามองด้วยค่า P/E จะพบว่าที่ดัชนี 536 จุด ในปี 2020 จะทำให้ตลาดมีค่า P/E เทียบเท่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดตกต่ำเกือบสุดในช่วงเวลานั้น
หรือก็คือ ตลาดต้องลงลึกไปถึง 536 จุด หากมองว่าตลาดจะลงไปเท่ากับปี 2008 (ที่ค่า P/E เดียวกัน)
วิเคราะห์เพิ่มเติม
ความแตกต่างของค่าดัชนีที่ได้จากการคิดด้วย P/BV กับการคิดด้วย P/E แสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันค่า ROE โดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ต่ำลงกว่าในอดีตปี 2008
ROE - Return On Equity แสดงประสิทธิภาพการทำกำไรจาก Equity (หรือ Net Asset หรือ Book Value)
ผมขอวิเคราะห์ต่อว่าสาเหตุที่ตลาดหลักทรัพย์มี ROE ต่ำลง อาจมองได้ 2 สาเหตุ
1. บริษัทมีอัตราส่วน D/E สูงขึ้น (คือใช้ leverage มากขึ้น) (เพราะผมมองว่า ROA เป็นตัววัดประสิทธิภาพของบริษัทที่ดีกว่า ROE)
2. ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ในการสร้างกำไร (ROA) ลดลงจริง ๆ
พอมองมุมนี้ รู้สึกว่าน่ากลัวขึ้นนิด ๆ ครับ
ขอบคุณคุณ yoko สำหรับประเด็นนี้ครับ
ป.ล. สรุปแบบรวบรัดโดยไม่ได้ขยายความเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง P/E, P/BV, ROE และ ROA เพราะกลัวจะยาวไป ถ้าใครมีประเด็นเพิ่มเติม ยินดีมาถกประเด็นเพิ่มเติมกันได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 277
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 8
มีอีกตัวแปรหนึ่งครับที่อยากให้พิจารณาเพิ่มเติมคือ คุณภาพของบ.จดทะเบียน
ณ สิ้นปี 2008 บ.เหล่านี้ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
global com7 mega col rjh chg thg ea bgrim gulf au spa toa cbg osp เป็นต้น
ซึ่งบ.เหล่านี้เป็นหุ้นที่มีคุณภาพมีการเจริญเติบโตของกำไร(ถ้าบางตัวไม่เติบโตก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ)
โดยเฉลี่ยจะเทรดที่pe ที่ค่อนข้างจะpremium กว่าตลาดในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าจะใช้ pe มาเป็นตัวชี้วัด ก็คิดว่าควรจะถ่วงน้ำหนักในเชิงคุณภาพด้วยครับ
ณ สิ้นปี 2008 บ.เหล่านี้ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
global com7 mega col rjh chg thg ea bgrim gulf au spa toa cbg osp เป็นต้น
ซึ่งบ.เหล่านี้เป็นหุ้นที่มีคุณภาพมีการเจริญเติบโตของกำไร(ถ้าบางตัวไม่เติบโตก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ)
โดยเฉลี่ยจะเทรดที่pe ที่ค่อนข้างจะpremium กว่าตลาดในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าจะใช้ pe มาเป็นตัวชี้วัด ก็คิดว่าควรจะถ่วงน้ำหนักในเชิงคุณภาพด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 9
ครับผม ขอบคุณครับ
ในการลงทุนแบบ VI จะมองสองด้านคือ 1. ราคา (ความถูกแพง เช่น P/E หรือ P/BV) 2. คุณภาพกิจการ
ในเรื่องคุณภาพกิจการ เช่น growth ของหุ้น ผมไม่มีความชำนาญในการประมาณการ หากดูแค่ growth ย้อนหลังไปแค่ 1-2 ปี แล้วเอา growth ในอดีตไปทำนาย growth ในอนาคตก็อาจทำให้ประมาณการคลาดเคลื่อนได้ ค่อนข้างเป็น subjective
ดังนั้นในกระทู้นี้จะขอพูดแค่ในแง่ข้อ 1. คือด้านราคา ความถูกแพงแล้วกันครับ
แต่ ณ ระดับความถูกแพงเท่าๆ กันนั้นจะน่าซื้อลงทุนเท่ากันหรือไม่ ก็จำเป็นต้องนำไปเทียบกับคุณภาพของกิจการอีกทีหนึ่ง ซึ่งเนื่องจากประมาณการเป็นตัวเลขยาก ดังนั้นจึงขอปล่อยให้เป็นดุลพินิจของเพื่อนๆ นักลงทุนแต่ละท่านครับ
ขอบคุณมากครับ
ในการลงทุนแบบ VI จะมองสองด้านคือ 1. ราคา (ความถูกแพง เช่น P/E หรือ P/BV) 2. คุณภาพกิจการ
ในเรื่องคุณภาพกิจการ เช่น growth ของหุ้น ผมไม่มีความชำนาญในการประมาณการ หากดูแค่ growth ย้อนหลังไปแค่ 1-2 ปี แล้วเอา growth ในอดีตไปทำนาย growth ในอนาคตก็อาจทำให้ประมาณการคลาดเคลื่อนได้ ค่อนข้างเป็น subjective
ดังนั้นในกระทู้นี้จะขอพูดแค่ในแง่ข้อ 1. คือด้านราคา ความถูกแพงแล้วกันครับ
แต่ ณ ระดับความถูกแพงเท่าๆ กันนั้นจะน่าซื้อลงทุนเท่ากันหรือไม่ ก็จำเป็นต้องนำไปเทียบกับคุณภาพของกิจการอีกทีหนึ่ง ซึ่งเนื่องจากประมาณการเป็นตัวเลขยาก ดังนั้นจึงขอปล่อยให้เป็นดุลพินิจของเพื่อนๆ นักลงทุนแต่ละท่านครับ
ขอบคุณมากครับ
คนหลังเขา เขียน: ↑พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2020 1:46 pmมีอีกตัวแปรหนึ่งครับที่อยากให้พิจารณาเพิ่มเติมคือ คุณภาพของบ.จดทะเบียน
ณ สิ้นปี 2008 บ.เหล่านี้ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
global com7 mega col rjh chg thg ea bgrim gulf au spa toa cbg osp เป็นต้น
ซึ่งบ.เหล่านี้เป็นหุ้นที่มีคุณภาพมีการเจริญเติบโตของกำไร(ถ้าบางตัวไม่เติบโตก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ)
โดยเฉลี่ยจะเทรดที่pe ที่ค่อนข้างจะpremium กว่าตลาดในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าจะใช้ pe มาเป็นตัวชี้วัด ก็คิดว่าควรจะถ่วงน้ำหนักในเชิงคุณภาพด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 231
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 10
ืทำไมผมรู้สึกว่า แทบไม่ต้องหาก้น เพราะจริงๆ แล้วโลก การเงินมันอยู่ที่ความเชื่อใจล้วนๆ
ถ้าเมื่อไหร่ ชาวต่างชาติ หยุดขายแล้วกลับเข้ามาลงทุนในบ้านเราเมื่อไหร่ นั่นถึงจะเป็น สิ่งที่ถูกต้อง
เพราะลำพังตอนนี้คนใหญ่คนโต ก็ไม่ได้ allocate เงินในบ้านเราเท่าไหร่นัก
หยุดลงเมื่อไหร่ ก็คือเมื่อความเชื่อมันกลับมาเท่านั้น
ถ้าเมื่อไหร่ ชาวต่างชาติ หยุดขายแล้วกลับเข้ามาลงทุนในบ้านเราเมื่อไหร่ นั่นถึงจะเป็น สิ่งที่ถูกต้อง
เพราะลำพังตอนนี้คนใหญ่คนโต ก็ไม่ได้ allocate เงินในบ้านเราเท่าไหร่นัก
หยุดลงเมื่อไหร่ ก็คือเมื่อความเชื่อมันกลับมาเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 105
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ลองคำนวณเล่นๆ ค่าดัชนี 400 จุดในปี 2008 จะเทียบเท่าดัชนีเท่าไรในปี 2020 ที่ระดับความถูกแพงเดียวกัน
โพสต์ที่ 11
วันนี้เกือบไปแตะ 800 แล้วลุ้นจริงๆครับ