8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest16
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 07, 2016 10:16 pm
8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest 2016
คุณป้อม ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา กล่าวว่า ตอน หุ้นลงไป 1,300 จุด คิดว่าจะลงไปมากกว่านี้ เลยไม่ได้เข้าซื้อ
แต่พอมี Fund Flow เข้ามา และ หุ้นปรับตัวขึ้น มันconfirm หุ้นขึ้นจริง
ผมมองหุ้นสไตด์หุ้นเล็ก ซึ่งจะลงมากกว่าตลาด ผมจะไปเลือกหุ้นตัวเล็ก ซึ่งมี%การเปลี่ยนแปลงขึ้นมากกว่าตลาด
Port โดยรวมตั้งแต่ต้นปีชนะตลาด 0.1%
คำถามจากพิธีกร อยากให้ทำนายว่าหุ้นจะไปได้กี่จุด
คุณป้อมตอบว่า หุ้นที่ขึ้นมารอบนี้ ส่วนตัวจะไม่ทำนายตลาด จะมองว่า Momentum ว่าจะไปทางไหน ก็จะไปตามtrend เวลาเจอข่าวร้ายอย่ามี Bias ถ้า Momentum มาก็ตามเทรนไป มองอย่างเดียวว่า Fundflow เข้าดัชนีก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้หุ้นทั้งตัวใหญ่ และ ตัวเล็กขึ้นพร้อมกัน ต่างกับเมื่อก่อน ตัวใหญ่ขึ้นก่อน แล้วหุ้นตัวเล็กเป็นตัวส่งแขก
ปีนี้แตกต่างจากเดิม ผู้บริหารพยายามทำให้บริษัทเติบโตขึ้น ในเมื่อไม่มีคนขาย เจ้าของก็ไม่ขาย นักลงทุนมีทางเลือก
มากขึ้น คนที่มีเงินก็มีToolมากขึ้น โลกการลงทุนใกล้กันมากขึ้น กองทุนก็โตตามคนซื้อมากขึ้น รายย่อยมีเงิน มีความรู้
เพิ่มขึ้น สังเกตว่าหุ้นขึ้นพร้อมกัน นักลงทุนรายย่อยจะมีสไตด์การลงทุนของตนเอง ผมลงทุนหุ้นหวือหวา ตอนนี้ลงทุนจนไม่มีเงินสดใหม่เข้ามาลงทุนแล้ว และ เงินอีกส่วนได้ลงทุนใน Startup เมื่อ4ปีก่อน ทำธุรกิจส่วนตัว เที่ยว ส่วนลงทุนในหุ้นเพิ่มเต็มเพดานแล้ว ถ้ามีเงินใหม่ก็มาจากการเขียนหนังสือใหม่มาขาย
กลยุทธ์ในการลงทุนของคุณป้อม
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มแรกที่คุณป้อมเขียน คือ หุ้น 5 เด้ง หรือ Penny stock หมายถึงหาหุ้นที่เป็น Turnaround
คุณป้อมเคยลงทุน บริษัท ที่เป็นเจ้าของ กองทุน RIET IMPACT ตั้งแต่ราคา 20 สต และขายออกตอน 60 กว่าสต
ซึ่งกำไรมากกว่า 300% คุณป้อมพอใจแล้ว แต่หลังจากคุณป้อมขาย ราคาก็ขึ้นต่อไปถึง 2 บาท
คุณป้อมเล่าว่า กลยุทธ์คือหาหุ้นเล็กๆ ที่ราคาตลาดถูกเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง
ตลาดเป็นโอกาสของคนที่เข้าใจ ตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาตลาดและมูลค่าไม่เคยmatchกันพอดี เราเข้าใจกลไกตลาด
เราก็ไปหาหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง หุ้นลงยิ่งมีโอกาสซื้อเพิ่ม
นี่คือเหตุผลที่ชอบหุ้นเล็ก เพราะมีความเสี่ยงสูง
ดังนั้นเวลาลงทุนหุ้นเล็ก ทำการบ้านเยอะมาก ราคาหุ้นลงมาเยอะมันไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง มันอาจเป็นหุ้นที่turnaround จากกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือ เขามีทำโครงการอะไรใหม่เพิ่มขึ้น ถ้าราคาลงอีก 10% ก็ซื้อเพิ่มขึ้น
ปกติไม่ได้ซื้อหุ้นถูกสุด ถ้าราคาลงอีก 5% หรือ 10% มากกว่าราคาที่ประเมินไว้ เราจะซื้อหุ้นที่สนใจได้มากขึ้น
ปกติไม่ได้เปิดดูพอร์ตบ่อย เพราะ ถ้าเปิดทุกวัน จะเกิดอารมณ์ในการขายอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นถ้าเราซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเยอะๆ ซื้อแล้วจะถือประมาณ 3 ปี หรือ เร็วกว่านี้จากราคาที่ขึ้นไปที่เป้าหมาย
ก็จะขาย
หุ้นตัวที่ถือนานสุด เสมือนเป็นเจ้าของบริษัท มีการแจก warrant ออกมา ก็ขายเป็นเงินสดออกมา ส่วนตัวถ้าหุ้นตัวไหนพื้นฐานดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็ซื้อเพิ่ม จนสัญญาณเทคนิคให้ขาย ค่อยสั่งขาย เอาเทคนิคมาช่วยตอนขาย
เรื่อง การจัด portfolio คือมี การลงทุนในหุ้น ลงทุน startup ,condo ให้มีสัดส่วนเหมาะสมกับตัวเอง
ส่วนเรื่อง Fundflow ดูจากอดีตย้อนหลัง 10 ปี เงินต่างชาติเข้ามาทำให้หุ้นขึ้น ปีที่แล้ว ต่างชาติขายเยอะทำให้หุ้นลง
โชคดี กองทุนรวม นักลงทุนรายย่อยแข็งแรงขึ้น หุ้นเลยลงไม่เยอะ เรามองพื้นฐานบริษัท ถ้า Fundflow เข้ามาเราก็ถือหุ้นไปเรื่อยๆ
ส่วนเงินใหม่เข้ามาก็ยังอยากซื้อหุ้นอยู่ ปกติขายหมูเป็นประจำ ถือว่าทำบุญ ใครซื้อต่อ เราก็มีความสุข
ช่วงนี้ยังเชื่อ Fundflowยังเข้ามาต่อ ส่วนนึงจะดู technical ตลาดรอบนี้พยายามเชียร์หุ้นไทย แต่ไม่ทำนาย
Momentumยังดูสวย ยังถือต่อเมื่อfundflowเข้า ตอนนี้เงินล้นโลก ทั้งไทยและต่างประเทศ มีเงินไม่รู้จะลงอะไร
เงินไหลเข้าตลาดทุน คนพยายามถือcashน้อยลง ภาพใหญ่แบบนี้ ภาพเล็กfundflowยังเข้า ยังไม่เห็นด้วยว่าหุ้นไทยแพง เพราะการซื้อหุ้นเป็นการมองอนาคตว่ามีโอกาสเติบโตขึ้น ซื้อแล้วมีโอกาสขึ้นได้อีก ยังไม่แพง แต่หุ้นที่ถูกหายากขึ้น
วิธีดูหุ้นที่ถูก ดูจาก ด้านตัวเลข ได้แก่ P/B , P/E , ROE , ROA ดูข้อมูลจาก 56-1 และ วิเคราะห์พื้นฐานด้านคุณภาพ
อีก 3-6 เดือนมีข่าวดีหรือไม่
กลยุทธ์การลงทุน ไม่ได้มองกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ดูหุ้นรายตัว ดูตามเทรน เช่น IT , การสร้างความสะดวกสบาย
การเติมเงิน การจ่ายเงินด้วย E-commerce , พลังงานทางเลือก และ การรักษาพยาบาล
สุดท้าย Port การลงทุนใหญ่ขึ้น จะไม่ยอมกลับไปจุดเริ่มต้น
สำหรับนักลงทุนที่พึ่งเริ่มเข้ามา ต้องทุ่มเท ให้มีความรู้ และ มีประสบการณ์การลงทุนที่เพียงพอ
เงินที่มาลงทุนต้องเป็นเงินเย็น ควรเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนที่น้อย เพื่อได้มีประสบการณ์การลงทุน
จังหวะลงทุนหลังวิกฤตเข้าไปซื้อ จะได้ใช้ประสบการณ์ช่วยในการลงทุนได้
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณป้อม ที่มาให้ความรู้ครับ
คุณป้อม ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา กล่าวว่า ตอน หุ้นลงไป 1,300 จุด คิดว่าจะลงไปมากกว่านี้ เลยไม่ได้เข้าซื้อ
แต่พอมี Fund Flow เข้ามา และ หุ้นปรับตัวขึ้น มันconfirm หุ้นขึ้นจริง
ผมมองหุ้นสไตด์หุ้นเล็ก ซึ่งจะลงมากกว่าตลาด ผมจะไปเลือกหุ้นตัวเล็ก ซึ่งมี%การเปลี่ยนแปลงขึ้นมากกว่าตลาด
Port โดยรวมตั้งแต่ต้นปีชนะตลาด 0.1%
คำถามจากพิธีกร อยากให้ทำนายว่าหุ้นจะไปได้กี่จุด
คุณป้อมตอบว่า หุ้นที่ขึ้นมารอบนี้ ส่วนตัวจะไม่ทำนายตลาด จะมองว่า Momentum ว่าจะไปทางไหน ก็จะไปตามtrend เวลาเจอข่าวร้ายอย่ามี Bias ถ้า Momentum มาก็ตามเทรนไป มองอย่างเดียวว่า Fundflow เข้าดัชนีก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้หุ้นทั้งตัวใหญ่ และ ตัวเล็กขึ้นพร้อมกัน ต่างกับเมื่อก่อน ตัวใหญ่ขึ้นก่อน แล้วหุ้นตัวเล็กเป็นตัวส่งแขก
ปีนี้แตกต่างจากเดิม ผู้บริหารพยายามทำให้บริษัทเติบโตขึ้น ในเมื่อไม่มีคนขาย เจ้าของก็ไม่ขาย นักลงทุนมีทางเลือก
มากขึ้น คนที่มีเงินก็มีToolมากขึ้น โลกการลงทุนใกล้กันมากขึ้น กองทุนก็โตตามคนซื้อมากขึ้น รายย่อยมีเงิน มีความรู้
เพิ่มขึ้น สังเกตว่าหุ้นขึ้นพร้อมกัน นักลงทุนรายย่อยจะมีสไตด์การลงทุนของตนเอง ผมลงทุนหุ้นหวือหวา ตอนนี้ลงทุนจนไม่มีเงินสดใหม่เข้ามาลงทุนแล้ว และ เงินอีกส่วนได้ลงทุนใน Startup เมื่อ4ปีก่อน ทำธุรกิจส่วนตัว เที่ยว ส่วนลงทุนในหุ้นเพิ่มเต็มเพดานแล้ว ถ้ามีเงินใหม่ก็มาจากการเขียนหนังสือใหม่มาขาย
กลยุทธ์ในการลงทุนของคุณป้อม
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มแรกที่คุณป้อมเขียน คือ หุ้น 5 เด้ง หรือ Penny stock หมายถึงหาหุ้นที่เป็น Turnaround
คุณป้อมเคยลงทุน บริษัท ที่เป็นเจ้าของ กองทุน RIET IMPACT ตั้งแต่ราคา 20 สต และขายออกตอน 60 กว่าสต
ซึ่งกำไรมากกว่า 300% คุณป้อมพอใจแล้ว แต่หลังจากคุณป้อมขาย ราคาก็ขึ้นต่อไปถึง 2 บาท
คุณป้อมเล่าว่า กลยุทธ์คือหาหุ้นเล็กๆ ที่ราคาตลาดถูกเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง
ตลาดเป็นโอกาสของคนที่เข้าใจ ตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาตลาดและมูลค่าไม่เคยmatchกันพอดี เราเข้าใจกลไกตลาด
เราก็ไปหาหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง หุ้นลงยิ่งมีโอกาสซื้อเพิ่ม
นี่คือเหตุผลที่ชอบหุ้นเล็ก เพราะมีความเสี่ยงสูง
ดังนั้นเวลาลงทุนหุ้นเล็ก ทำการบ้านเยอะมาก ราคาหุ้นลงมาเยอะมันไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง มันอาจเป็นหุ้นที่turnaround จากกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือ เขามีทำโครงการอะไรใหม่เพิ่มขึ้น ถ้าราคาลงอีก 10% ก็ซื้อเพิ่มขึ้น
ปกติไม่ได้ซื้อหุ้นถูกสุด ถ้าราคาลงอีก 5% หรือ 10% มากกว่าราคาที่ประเมินไว้ เราจะซื้อหุ้นที่สนใจได้มากขึ้น
ปกติไม่ได้เปิดดูพอร์ตบ่อย เพราะ ถ้าเปิดทุกวัน จะเกิดอารมณ์ในการขายอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นถ้าเราซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเยอะๆ ซื้อแล้วจะถือประมาณ 3 ปี หรือ เร็วกว่านี้จากราคาที่ขึ้นไปที่เป้าหมาย
ก็จะขาย
หุ้นตัวที่ถือนานสุด เสมือนเป็นเจ้าของบริษัท มีการแจก warrant ออกมา ก็ขายเป็นเงินสดออกมา ส่วนตัวถ้าหุ้นตัวไหนพื้นฐานดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็ซื้อเพิ่ม จนสัญญาณเทคนิคให้ขาย ค่อยสั่งขาย เอาเทคนิคมาช่วยตอนขาย
เรื่อง การจัด portfolio คือมี การลงทุนในหุ้น ลงทุน startup ,condo ให้มีสัดส่วนเหมาะสมกับตัวเอง
ส่วนเรื่อง Fundflow ดูจากอดีตย้อนหลัง 10 ปี เงินต่างชาติเข้ามาทำให้หุ้นขึ้น ปีที่แล้ว ต่างชาติขายเยอะทำให้หุ้นลง
โชคดี กองทุนรวม นักลงทุนรายย่อยแข็งแรงขึ้น หุ้นเลยลงไม่เยอะ เรามองพื้นฐานบริษัท ถ้า Fundflow เข้ามาเราก็ถือหุ้นไปเรื่อยๆ
ส่วนเงินใหม่เข้ามาก็ยังอยากซื้อหุ้นอยู่ ปกติขายหมูเป็นประจำ ถือว่าทำบุญ ใครซื้อต่อ เราก็มีความสุข
ช่วงนี้ยังเชื่อ Fundflowยังเข้ามาต่อ ส่วนนึงจะดู technical ตลาดรอบนี้พยายามเชียร์หุ้นไทย แต่ไม่ทำนาย
Momentumยังดูสวย ยังถือต่อเมื่อfundflowเข้า ตอนนี้เงินล้นโลก ทั้งไทยและต่างประเทศ มีเงินไม่รู้จะลงอะไร
เงินไหลเข้าตลาดทุน คนพยายามถือcashน้อยลง ภาพใหญ่แบบนี้ ภาพเล็กfundflowยังเข้า ยังไม่เห็นด้วยว่าหุ้นไทยแพง เพราะการซื้อหุ้นเป็นการมองอนาคตว่ามีโอกาสเติบโตขึ้น ซื้อแล้วมีโอกาสขึ้นได้อีก ยังไม่แพง แต่หุ้นที่ถูกหายากขึ้น
วิธีดูหุ้นที่ถูก ดูจาก ด้านตัวเลข ได้แก่ P/B , P/E , ROE , ROA ดูข้อมูลจาก 56-1 และ วิเคราะห์พื้นฐานด้านคุณภาพ
อีก 3-6 เดือนมีข่าวดีหรือไม่
กลยุทธ์การลงทุน ไม่ได้มองกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ดูหุ้นรายตัว ดูตามเทรน เช่น IT , การสร้างความสะดวกสบาย
การเติมเงิน การจ่ายเงินด้วย E-commerce , พลังงานทางเลือก และ การรักษาพยาบาล
สุดท้าย Port การลงทุนใหญ่ขึ้น จะไม่ยอมกลับไปจุดเริ่มต้น
สำหรับนักลงทุนที่พึ่งเริ่มเข้ามา ต้องทุ่มเท ให้มีความรู้ และ มีประสบการณ์การลงทุนที่เพียงพอ
เงินที่มาลงทุนต้องเป็นเงินเย็น ควรเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนที่น้อย เพื่อได้มีประสบการณ์การลงทุน
จังหวะลงทุนหลังวิกฤตเข้าไปซื้อ จะได้ใช้ประสบการณ์ช่วยในการลงทุนได้
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณป้อม ที่มาให้ความรู้ครับ