8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest16

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest16

โพสต์ที่ 1

โพสต์

8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest 2016

คุณป้อม ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา กล่าวว่า ตอน หุ้นลงไป 1,300 จุด คิดว่าจะลงไปมากกว่านี้ เลยไม่ได้เข้าซื้อ
แต่พอมี Fund Flow เข้ามา และ หุ้นปรับตัวขึ้น มันconfirm หุ้นขึ้นจริง
ผมมองหุ้นสไตด์หุ้นเล็ก ซึ่งจะลงมากกว่าตลาด ผมจะไปเลือกหุ้นตัวเล็ก ซึ่งมี%การเปลี่ยนแปลงขึ้นมากกว่าตลาด
Port โดยรวมตั้งแต่ต้นปีชนะตลาด 0.1%

คำถามจากพิธีกร อยากให้ทำนายว่าหุ้นจะไปได้กี่จุด
คุณป้อมตอบว่า หุ้นที่ขึ้นมารอบนี้ ส่วนตัวจะไม่ทำนายตลาด จะมองว่า Momentum ว่าจะไปทางไหน ก็จะไปตามtrend เวลาเจอข่าวร้ายอย่ามี Bias ถ้า Momentum มาก็ตามเทรนไป มองอย่างเดียวว่า Fundflow เข้าดัชนีก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้หุ้นทั้งตัวใหญ่ และ ตัวเล็กขึ้นพร้อมกัน ต่างกับเมื่อก่อน ตัวใหญ่ขึ้นก่อน แล้วหุ้นตัวเล็กเป็นตัวส่งแขก
ปีนี้แตกต่างจากเดิม ผู้บริหารพยายามทำให้บริษัทเติบโตขึ้น ในเมื่อไม่มีคนขาย เจ้าของก็ไม่ขาย นักลงทุนมีทางเลือก
มากขึ้น คนที่มีเงินก็มีToolมากขึ้น โลกการลงทุนใกล้กันมากขึ้น กองทุนก็โตตามคนซื้อมากขึ้น รายย่อยมีเงิน มีความรู้
เพิ่มขึ้น สังเกตว่าหุ้นขึ้นพร้อมกัน นักลงทุนรายย่อยจะมีสไตด์การลงทุนของตนเอง ผมลงทุนหุ้นหวือหวา ตอนนี้ลงทุนจนไม่มีเงินสดใหม่เข้ามาลงทุนแล้ว และ เงินอีกส่วนได้ลงทุนใน Startup เมื่อ4ปีก่อน ทำธุรกิจส่วนตัว เที่ยว ส่วนลงทุนในหุ้นเพิ่มเต็มเพดานแล้ว ถ้ามีเงินใหม่ก็มาจากการเขียนหนังสือใหม่มาขาย

กลยุทธ์ในการลงทุนของคุณป้อม
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มแรกที่คุณป้อมเขียน คือ หุ้น 5 เด้ง หรือ Penny stock หมายถึงหาหุ้นที่เป็น Turnaround
คุณป้อมเคยลงทุน บริษัท ที่เป็นเจ้าของ กองทุน RIET IMPACT ตั้งแต่ราคา 20 สต และขายออกตอน 60 กว่าสต
ซึ่งกำไรมากกว่า 300% คุณป้อมพอใจแล้ว แต่หลังจากคุณป้อมขาย ราคาก็ขึ้นต่อไปถึง 2 บาท
คุณป้อมเล่าว่า กลยุทธ์คือหาหุ้นเล็กๆ ที่ราคาตลาดถูกเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง
ตลาดเป็นโอกาสของคนที่เข้าใจ ตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาตลาดและมูลค่าไม่เคยmatchกันพอดี เราเข้าใจกลไกตลาด
เราก็ไปหาหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง หุ้นลงยิ่งมีโอกาสซื้อเพิ่ม
นี่คือเหตุผลที่ชอบหุ้นเล็ก เพราะมีความเสี่ยงสูง

ดังนั้นเวลาลงทุนหุ้นเล็ก ทำการบ้านเยอะมาก ราคาหุ้นลงมาเยอะมันไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง มันอาจเป็นหุ้นที่turnaround จากกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือ เขามีทำโครงการอะไรใหม่เพิ่มขึ้น ถ้าราคาลงอีก 10% ก็ซื้อเพิ่มขึ้น
ปกติไม่ได้ซื้อหุ้นถูกสุด ถ้าราคาลงอีก 5% หรือ 10% มากกว่าราคาที่ประเมินไว้ เราจะซื้อหุ้นที่สนใจได้มากขึ้น
ปกติไม่ได้เปิดดูพอร์ตบ่อย เพราะ ถ้าเปิดทุกวัน จะเกิดอารมณ์ในการขายอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นถ้าเราซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าเยอะๆ ซื้อแล้วจะถือประมาณ 3 ปี หรือ เร็วกว่านี้จากราคาที่ขึ้นไปที่เป้าหมาย
ก็จะขาย

หุ้นตัวที่ถือนานสุด เสมือนเป็นเจ้าของบริษัท มีการแจก warrant ออกมา ก็ขายเป็นเงินสดออกมา ส่วนตัวถ้าหุ้นตัวไหนพื้นฐานดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็ซื้อเพิ่ม จนสัญญาณเทคนิคให้ขาย ค่อยสั่งขาย เอาเทคนิคมาช่วยตอนขาย
เรื่อง การจัด portfolio คือมี การลงทุนในหุ้น ลงทุน startup ,condo ให้มีสัดส่วนเหมาะสมกับตัวเอง
ส่วนเรื่อง Fundflow ดูจากอดีตย้อนหลัง 10 ปี เงินต่างชาติเข้ามาทำให้หุ้นขึ้น ปีที่แล้ว ต่างชาติขายเยอะทำให้หุ้นลง
โชคดี กองทุนรวม นักลงทุนรายย่อยแข็งแรงขึ้น หุ้นเลยลงไม่เยอะ เรามองพื้นฐานบริษัท ถ้า Fundflow เข้ามาเราก็ถือหุ้นไปเรื่อยๆ

ส่วนเงินใหม่เข้ามาก็ยังอยากซื้อหุ้นอยู่ ปกติขายหมูเป็นประจำ ถือว่าทำบุญ ใครซื้อต่อ เราก็มีความสุข
ช่วงนี้ยังเชื่อ Fundflowยังเข้ามาต่อ ส่วนนึงจะดู technical ตลาดรอบนี้พยายามเชียร์หุ้นไทย แต่ไม่ทำนาย
Momentumยังดูสวย ยังถือต่อเมื่อfundflowเข้า ตอนนี้เงินล้นโลก ทั้งไทยและต่างประเทศ มีเงินไม่รู้จะลงอะไร
เงินไหลเข้าตลาดทุน คนพยายามถือcashน้อยลง ภาพใหญ่แบบนี้ ภาพเล็กfundflowยังเข้า ยังไม่เห็นด้วยว่าหุ้นไทยแพง เพราะการซื้อหุ้นเป็นการมองอนาคตว่ามีโอกาสเติบโตขึ้น ซื้อแล้วมีโอกาสขึ้นได้อีก ยังไม่แพง แต่หุ้นที่ถูกหายากขึ้น

วิธีดูหุ้นที่ถูก ดูจาก ด้านตัวเลข ได้แก่ P/B , P/E , ROE , ROA ดูข้อมูลจาก 56-1 และ วิเคราะห์พื้นฐานด้านคุณภาพ
อีก 3-6 เดือนมีข่าวดีหรือไม่

กลยุทธ์การลงทุน ไม่ได้มองกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ดูหุ้นรายตัว ดูตามเทรน เช่น IT , การสร้างความสะดวกสบาย
การเติมเงิน การจ่ายเงินด้วย E-commerce , พลังงานทางเลือก และ การรักษาพยาบาล
สุดท้าย Port การลงทุนใหญ่ขึ้น จะไม่ยอมกลับไปจุดเริ่มต้น
สำหรับนักลงทุนที่พึ่งเริ่มเข้ามา ต้องทุ่มเท ให้มีความรู้ และ มีประสบการณ์การลงทุนที่เพียงพอ
เงินที่มาลงทุนต้องเป็นเงินเย็น ควรเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนที่น้อย เพื่อได้มีประสบการณ์การลงทุน
จังหวะลงทุนหลังวิกฤตเข้าไปซื้อ จะได้ใช้ประสบการณ์ช่วยในการลงทุนได้

สุดท้ายขอขอบคุณ คุณป้อม ที่มาให้ความรู้ครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: 8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest

โพสต์ที่ 2

โพสต์

8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest 2016

ช่วง เซียนป๋อง วัชระ แก้วสว่าง OSK106

คุณป๋อง พึ่งไปพูดเรื่องการลงทุนให้กับOSK104เมื่อวาน วันนี้ก็มาพูดในงานของคุณป้อม ได้อ้างถึงงานครั้งก่อนที่เชียงใหม่ เมื่อ 30 มค 2559 ช่วงนั้น ดัชนีทะลุ exponential 75 months ลงมา และ หลุด 1,22x แต่ปิดเหนือ 1,250 จุดในวันเดียวกัน ซึ่งถ้าหลุดลงไป ดัชนีจะลงมากๆ ช่วงนั้นเลยต้องระวังตัวมาก กว่าจะเอาหุ้นคืนก็ตอน 1,330
ซึ่งสูงกว่าจุดต่ำสุด 100 จุด กำไรยังแพ้ตลาด

ผมดูเทคนิคเป็นระยะ คนเล่นเทคนิคจะเข้าซื้อดัชนีช่วง 1,270 ผมก็ซื้อบ้าง แต่อัดเต็มตอจน 1,340 แต่มีสะดุดตลอดทาง ตอน Brexit ทำให้สลัดเราลง เก็บไม่ครบ ตอนนี้เก็บหุ้นเต็มพอร์ต วัดว่าวันนี้ ประชาพิจารณ์น่าจะผ่านไปด้วยดี
วันที่ลงมติ Brexit ดัชนีลงต่ำกว่า 1,400 เชื่อโพยบ่อนว่า ไม่ออกแน่ เลยอัดหุ้นเต็มพอร์ต ปรากฏว่าดัชนีลงไป 40 กว่าจุด ถ้าทำตามกฎเทคนิค ต้องขายไป ทำอะไรไม่ถูก แต่ฟังผู้ใหญ่ บอกว่าไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับไทย เราทำการค้ากับอังกฤตไม่เยอะ ก็เลยไม่cut โชคดีไม่ทำตามกฎ

ประวัติการลงทุน

ผมเล่นหุ้นมา20ปี ช่วงแรกลงทุนแบบ วีไอ ถือหุ้นมา 3 ปี cut loss ตอนต้มยำกุ้ง ตอนหลังศึกษาจากอาจารย์ คนหนึ่ง
และอ่านหนังสือ ดูเหมือนง่าย จริงๆยาก เหมือนกับวงสวิงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีการเล่นมีหลายทาง
เหมือนกับการเลือกเส้นทางไปเชียงใหม่ มีหลายเส้นทางที่ไปถึงได้ นักลงทุนใหม่ ดูแนวลงทุนของตนเอง
เข่นถ้าพอร์ต 1 ล้านบาท แต่ไปซื้อหุ้นใหญ่ เป้าหมายต้องการ 100 ล้านบาท ก็ไม่มีทางไปถึง ต้องเปลี่ยนหุ้นตัวเล็ก หวือหวา ซึ่งมีโอกาสได้หลายเด้ง หรือ ลงทุนใน Tfex แต่คนportใหญ่ 9 หลัก เล่นยาก ซื้อเข้าไปในหุ้นเล็ก เจ้าของสะดุ้ง ดังนั้นจะไปลงทุนในหุ้น Bigcap

เรื่องเทคนิค ไปศึกษาจาก course เรียนต่างๆ ผมใช้ไม่กี่ตัว ต้องดูตัวเอง การเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ต้องเป็นนักลงทุนแบบ Full time มีเวลาดูแลport สมัยก่อน เล่นหุ้นฝากชีวิตกับ marketing บางบ้านลงทุนมากกว่ากิจการที่ทำ
แต่ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง ดังนั้น ห้ามปล่อยปะละเลย ทำอะไรให้งอกเงย และ พยายามใฝ่รู้
ส่วนตัวเล่นตอนขาขึ้น ดูกราฟแท่งเทียน ส่วนขาลงไม่เล่น ดังนั้นไม่มีหุ้นในportตอนขาลง เวลาindexขาลง ผมลด port ตั้งแต่ สค 15 ถือเงินสดเกือบ 100% ชอบคำพูดพี่ยักษ์ ถามนักลงทุนว่า ท่านได้ทำตามที่ฝันแล้วหรือยัง
อย่างคุณเคนอ่านหนังสือทุกวัน อ่านข้อมูลหุ้นมากมาย รู้หมด

ปกติซื้อหุ้น new high ดู MACD ว่าหลุดtrendไหม เวลานำไปใช้งาน ใช้แต่ละเส้น ตัวไหนขึ้น ก็ซื้อ ถ้าตัดลงก็ขาย
แต่ต้องทำตามวินัย ถ้าใครปล่อยเลยคิดว่าหลอก ไม่มีวินัย อาจเสียหายหนัก ผู้ใหญ่บางคนใช้ MACD 9 วัน
Return 20% ซึ่งมีรูปแบบในการลงทุนของตัวเอง
ปีที่แล้ว Port ว่าง ตอนนี้Port เต็ม ลุ้นว่าผลประชาพิจารณ์เป็นอย่างไร
เมื่อ2เดือนก่อน เคยทำกราฟออกมาดู เทียบกับปี 2014 พบว่าคล้ายกัน ซึ่งกรอบบนเป็น 1,600 จุด
ตอนนี้ 1,500 แต่ข้อต่างคือ PE 17 เท่ากว่าๆ คิดถึงสิ้นปี ถ้าคิดจากปัจจุบัน 19-20 เท่า
ผมไม่ได้เล่นเทคนิคอย่างเดียว ปรึกษากับพี่เทิดศักดิ์ ซึ่งไม่ได้ลงทุนในหุ้น ไม่Bias ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือ
ก็พูดเหมือนเตือนๆเรา ปีนี้ EPS 88 บาท PE 17 เท่ากว่าๆ ไม่ใช่ถูก อยู่ที่ว่าปีหน้า Earning ไม่เกิน 95 บาท
PE 15 เท่า ดัชนีแค 1,4xx ราคาปัจจุบัน Endingปีหน้า 16 เท่าไม่ค่อยถูก เราต้องมาเลือกรายตัว
PE เกินมากๆ เราต้องหาข้อมูล support คงไปดูเองว่าอาจมีขยายกิจการ ซึ่งนักวิเคราะห์ไม่รู้
บางทีข้อมูลใน Line เขียนเกินจริงเพราะสอบถามไปที่เจ้าของบริษัท ปรากฏว่าเจ้าของยังไม่รู้โครงการใหม่ใน Line
พูดถึงเรื่องการขายหุ้น ดูจากกราฟอย่างเดียว จะขายต่อเมื่อกราฟเสีย
ตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราต้องระมัดระวังตัว Portส่วนตัว เลือกหุ้น Global company 50% ถ้ามีเหตุการณ์ในไทย
จะไม่ effect เพราะกิจการBaseต่างประเทศ 90% แต่ถ้ามีหุ้นต่ำBook PE ต่ำกว่า10
PE ตลาดหุ้น 17 เท่า แต่หุ้นขนาดใหญ่ เช่น BBL หุ้นต่ำกว่า BV และ PE ต่ำกว่า 10 เท่า
แสดงว่า หุ้นนอก SET50 PE สูงมาก ต้องเลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง ไม่เชื่อข้อมูลที่เขาเสนอมาแบบว่า ซื้อไว้แล้ว
การขายหมู ถือว่าเป็นการทำบุญ เคยโดยนักลงทุนรายย่อยต่อว่า ทำให้ราคา IFEC ลงจาก 18 บาท เหลือ 11 บาท
ปรากฏว่า ซื้อจริงตอน3บาท และ มาขายตอน 11 บาท
ผมสอนลูกศิษย์ แต่เขาจะนับถือหรือไม่ ก็ไม่ว่า เขาต้องคิดของเขาเอง บางคนเก่งกว่าก็เยอะ
สรุปแล้ว ดัชนีน่าจะขึ้นต่อ
เราต้องเอาจริงจัง มีไอดอลที่ไหนก็พุ่งไปเลย และ คิดด้วยว่า เราเหมาะกับอะไร
ซึ่งขึ้นอยู่กับ งาน และ สถานการณ์ ของแต่ละคน
อย่าเชื่อคนอื่น และ เชื่อตนเอง

สุดท้ายขอขอบคุณ เซียนป๋องมาให้ความรู้ครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: 8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest

โพสต์ที่ 3

โพสต์

แก้ไขประวัติคุณป๋อง วัชระ แก้วสว่าง ในเรื่องรุ่นที่เรียนที่สวนกุหลาบ เป็น รุ่น 109 ครับ ไม่ใช่ 106
พอดีจำสับกับน้องอีกคนหนึ่ง ต้องขอโทษด้วยครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: 8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest

โพสต์ที่ 4

โพสต์

8เซียนหุ้นหมื่นล้านสัญจร ใน งาน Thailand Investment Fest 2016

คุณ เคน โสรัตน์ นักธุรกิจหุ้น

เริ่มจากตอบคำถามจากพิธีกรว่า ตลาดบวก 17%ตั้งแต่ต้นปี คุณเคน บวกเท่าไหร่

คุณเคนตอบว่า คำตอบแบ่งได้2แบบ
คำตอบ ถ้าอาจทำให้เรามีความเครียดทางอารมณ์ มีความหมองเศร้า อยากออกจากตลาด
แต่ถ้าตอบจากอารมณ์ดีใจ ก็ไม่ดี เพราะทำให้เราประมาท อาจพลาดในตอนท้ายสุด หรือ เจอวิกฤตใหญ่ก็ได้

คำตอบแบบที่ 1 เป็นแบบปกติ ผมแบ่งออกเป็น 2 Port
Port เจ้าของกิจการ อันนี้แทบตัดไปจากport กำไรไม่ค่อยดี แต่เป็นส่วนกำไรเท่านั้น
ส่วน Port ที่ลงไปใหม่ ประมาณ 45% จะขึ้นดีมาก ผลตอบแทนโดยรวมประมาณ 20กว่า%

แบบที่ 2 เป็นคำตอบในแนวทางธรรม
1. ผมมีความสุขมากขึ้น อยู่กับสิ่งที่รักมากขึ้น
2. เรียนรู้การลงทุน ตกผลึกจากการปฏิบัติธรรม
3. สุขภาพดีมาก แข็งแรง นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่นตั้งแต่ ตี4 คุณป๋องแซวอย่างนี้ก็ไม่ได้ดูละครแน่เลย
เราต้องหา Passion ให้เจอ ตอนนี้อยู่เงียบๆคนเดียว ก็ฝึกการไม่คิดอะไร
ซึ่งจะทำให้เราได้ความคิดที่คมมาก มันเป็นผลพลอยได้

ตอนนี้ ได้นิยามใหม่ของความเท่ : ความเท่คือความดี
มี Passion อีกแบบ ไม่ลืมหน้าที่กับครอบครัวและสังคม จะกำไร มากกว่า 17% หรือ น้อยกว่า 17% ไม่สำคัญ
เรามีความสุขหรือความทุกข์กับมัน อย่าเอาใจ หรือจิตไปผูกกับมัน อย่าให้เราไปอยู่ในวงจรเลย
สรุป หุ้นตัวใหม่ที่ลงทุน ผลตอบแทนดีมาก ส่วนหุ้นเดิมไม่ค่อยขึ้น เป็นการวางจิตให้ถูกต้อง พูดในภาพรวม
ไม่ได้ขึ้นได้ดั่งใจ คนที่แพ้ตลาดก็มีเยอะ หุ้นบางทีจังหวะลงแรง หรือ ขึ้นแรง ไม่อยากให้คิดมาก
หุ้นไม่ค่อยขยับ1-3ปีก็ได้ เราต้องมีความสุขกับมัน การยอมรับความผิดพลาด จะได้เกิดการเรียนรู้ในการลงทุน
และยอมรับมัน มันสำคัญมากกว่า port ขึ้นกี่% ในช่วงครึ่งปีแรก ได้เรียนรู้อะไรบ้าง เรามาแชร์กัน เป็นเรื่องที่ดี

คำถาม สอบถามถึงวิธีการลงทุนของคุณเคนตั้งแต่เริ่มแรก
คุณเคน ตอบว่า อยากให้คำแนะนำในการลงทุนแบ่งเป็นข้อๆดังนี้

1.สิ่งอยากเตือน ตอนปี40 เป็นนักธุรกิจที่ล้มจากการกู้หนี้มามาก เลยกลัวการมีหนี้ที่สุด ตอนนี้ล้างหนี้ไปหมด
พอปี 51 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มีหนี้อีกแล้ว เพราะก่อนช่วงนั้น หุ้นกำลังขึ้น เราลงทุนแบบ VI และมีการกู้Margin
หุ้นที่ลงทุนมีสภาพคล่องน้อย พอเจอวิกฤตราคาลงเร็วมากๆพอๆกับน้ำตก ก็เลยแพ้อีกรอบ แต่ก็กลับมาอีก
ได้หลักในการลงทุน คือ อย่ามีหนี้ และ อย่าเล่นหุ้นข้ามวิกฤต ครั้งนี้ ปี 60-62 อาจเกิดวิกฤตขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว
ภาพรวมดูดีขึ้น อาจเกิดวิกฤตได้ ตอนนี้ต้องเตรียมพร้อม และ ไม่มีหนี้เด็ดขาด

2. มีเงินสดเตรียมไว้ซื้อของดีๆหลังวิกฤต ค่อยๆทยอยขายหุ้นเพื่อถือเงินสดเกือบ 20% เชื่อเหมือนพี่ป้อมว่าจะขึ้น
แต่เราไม่โลภ เมื่อเราขายหุ้นแล้วปรากฏว่าหุ้นขึ้น เป็นการฝึกจิต คิดว่ามันขึ้นเพื่อลง และ เราได้เงินสดมากขึ้น
แม้ว่าตลาดจะขึ้น ไม่เกินปี60 ในportจะมีหุ้นไม่เกิน50% สมมติว่าดัชนีทะลุnew high 2,000 จุด 50%ที่หายไป
เรายังมีความทุกข์ไหม ถ้ายังมีอยู่ จะออกจากตลาดไปเลย ตอนนี้เราเล่นอริยทรัพย์ ถ้าผมถือ50%เป็นเจ้าของกิจการ
ถ้ายังมีความสุขก็จะออกจากตลาด เพราะเรายังมีความสุขเกินไป

3 Portfolio Management :
ที่ดิน : หุ้น : ธุรกิจ = 60:20:20 ดังนั้นเวลาถามนักลงทุนที่เก่ง ต้องถามว่าportรวมถือหุ้นรวมอยู่กี่%
Portหุ้น ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ 80% จริงแล้วคิดเป็นสัดส่วนของ port รวมแค่ 16%เท่านั้น
ถ้าถือหุ้น 100% ของ portรวม เวลากำไรก็เยอะมาก แต่ขาดทุนจะกระทบต่อตัวเขามาก
เตือนให้คนที่มาเข้าอบรมรอบนี้ อย่าลงทุน100%ในหุ้น พึ่งเข้ามาก็ทยอยซื้อทีละนิด
ทุกคนต้องมี Style หุ้นที่ขายเป็นหุ้นที่เราไม่ได้ตั้งใจถือตลอดไป

ผมถือหุ้นตัวนึง 50% ของ portหุ้น ไม่มีต้นทุน กำลังตัดสินใจ2แนวทาง
1. ถือหุ้นข้ามวิกฤตไปเลย
2. ขายไป50%และถือต่อ 50%
ไม่ว่าทางเลือกไหน จิตต้องไม่มีความทุกข์ในการยอมรับทางเลือก เพราะผมได้เรียนรู้และจะเก่งขึ้นในครั้งต่อไป
เชื่อเรื่องโอกาส คนจะมีโอกาสได้เมื่อเราสร้างโอกาสนั้นขึ้นมา ถ้าเราตามคนอื่น จะไม่ได้โอกาส

คำถาม อยากให้คุณเคนสรุปเรื่องการลงทุนที่ผ่านมา

คำตอบ 1. การลงทุนเราจะได้ประสบการณ์จากการตัดสินใจ ปี 2008-2011 ผมจะไม่ผิดพลาดเหมือนวิกฤตที่แล้วมา
จะไม่มีโอกาสเจอเป็นครั้งที่2
2 ตั้งแต่ปี 2008 ถึง ปัจจุบัน สิงหาคม 2016 พอใจกับผลงานมากๆ ยินดีกับที่มี เราจะไม่เล่นทุกเกม
ไม่เล่นเกมเล็ก คือ Set ขึ้น เราก็ขึ้น เล่นเกมส์ใหญ่คือ มีความสุข มีเวลาอิสระเพื่อพ้นทุกข์ สู่นิพพาน หาแก่นสาร
ที่สำคัญลงทุนสำเร็จ แต่บางคนอาจไม่สำเร็จในด้านอื่น เช่น ครอบครัว สังคม หาสไตด์ของตัวเอง ได้เรียนรู้
ผมมองว่าดัชนีขึ้น จะทยอยขายไปเรื่อยๆตามจุดที่กำหนดไว้ เงินที่ขายก็ไม่กลับไปซื้อตัวอื่น เพียงพอแล้ว เป็น
ความท้าทายของนักลงทุน อยู่ที่จิตที่เรียนรุ้กับมัน

พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน สภาพคล่องจะออกมาอย่างมหาศาล Fundamental ไปที่ Fundflow PE 30เท่าก็ยอมรับได้
ทิศทางตลาดทุนไปไกลมาก ความมั่นใจทำให้คนที่มีportใหญ่ปล่อยหุ้นออกมาทำให้เกิดวิกฤต ใครเล่นmarginต้องล้างก่อน ล้างจิตใจ สร้างโอกาสการเรียนรู้ หลังวิกฤต ซื้อหุ้นที่ทำการบ้าน ต้องกล้าซื้อหุ้นตอนนั้น
ถือเป็นการปิดการสัมมนาที่ดีมาก

สุดท้ายขอขอบคุณ คุณเคน ทีมาให้ความรู้มากครับ
โพสต์โพสต์