กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor        8 กุมภาพันธ์ 2557 
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย

	ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก  มีบทกลอนที่ทำนายถึงอนาคตของประเทศไทยบทหนึ่ง  ซึ่งลงท้ายด้วยคำว่า  “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย  น้ำเต้าน้อยจะถอยจมลง”  ความหมายกว้าง ๆ  ก็คือ  คนที่ “ต่ำต้อยไร้ค่า” ในคำนิยามสมัยนั้น  จะมีอำนาจวาสนาขึ้น  ในขณะที่คนที่ “สูงศักดิ์” กว่า  จะถดถอยตกต่ำลง   คำทำนายนี้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันที่เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ  โดยเฉพาะในทางการเมือง  ก็มักจะมีคนยกขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ในการชักนำความคิดคนอ่านหรือคนฟังให้เป็นคุณกับฝ่ายตน  อย่างไรก็ตาม  ในบทความนี้  ผมจะใช้ในความหมายที่เป็นกลาง  นั่นก็คือ  สิ่งที่ด้อยกว่าจะเติบโตโดดเด่นขึ้น  ในขณะที่สิ่งที่ดีเด่นกว่าจะถดถอยลง-ในทางเศรษฐกิจและหุ้น
	เริ่มต้นที่ประเทศต่าง ๆ  ในโลกนี้  ย้อนหลังไปไกลอาจจะซัก 40 ปีขึ้นไป  โลกของเราในขณะนั้นดูเหมือนว่าจะถูก “ครอบงำ”  โดยประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งก็คือ  ประเทศซีกโลกด้านตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา  อังกฤษ  ฝรั่งเศส   ต่อมา  เยอรมันและญี่ปุ่นก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจด้วย   สัดส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกนั้นดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว   ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนานั้นน่าจะโตช้าหรือบางประเทศถึงกับถดถอยลง  พูดง่าย ๆ  ประเทศที่จนอยู่แล้ว  ยิ่งจนลง  ปัญหาใหญ่ก็คือ  ประเทศเหล่านั้นมีเด็กเกิดใหม่มาก  พูดกันในสมัยนั้นก็คือ  “ลูกมากยากจน”  ประเด็นสำคัญก็คือ  ประเทศขาดคนที่มีความรู้  เทคโนโลยีในการผลิต  ทุน  และผู้ประกอบการที่จะสร้างผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง  ดังนั้น  คนที่มีอยู่มากและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ไม่มีประโยชน์  ตรงกันข้าม  กลับเป็น “ภาระ”  ที่ทำให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจทำได้ยากขึ้น
	ต่อมาเมื่อโลก “เปิดกว้าง” ขึ้น  ผลจากความสงบ  ปราศจากสงคราม  ทั้งสงครามเย็นและสงครามร้อนของประเทศมหาอำนาจ  ประเทศต่าง ๆ  ก็เริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและให้เสรีภาพทางการเมืองแก่ประชาชนมากขึ้น  การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างคึกคักโดยเฉพาะประเทศในเอเซียซึ่งนำโดยประเทศ  “เสือแห่งเอเซีย”  ที่มีประชากรน้อยและอยู่ในกลุ่มโลกเสรีในช่วงสงครามเย็นที่โลกยังไม่เปิดกว้างทั้งหมด  ต่อมาก็คือประเทศในเอเชียที่มีประชากรมากอย่างจีน  และอินเดีย ที่ได้เปิดประเทศเต็มที่หลังจากสงครามเย็นสงบลง   การเปิดประเทศนั้นทำให้ปัจจัยการผลิตสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาทำการผลิตได้โดยสะดวก  ปัญหาเรื่องความรู้  เทคโนโลยี  ทุน  และแรงงานหมดไป  ดังนั้น  การผลิตและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  ผลก็คือ  เศรษฐกิจของประเทศยากจนที่  “เปิดประเทศ”  จึงเติบโตเร็วอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็น Emerging Economy ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นทุกทีในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วโตช้าลงไปมากเนื่องจากระดับการพัฒนาที่สูงอยู่แล้วกอร์ปกับการที่ประชากรไม่ใคร่เพิ่มขึ้นและแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว
	“กระเบื้อง” ชิ้นใหญ่มโหฬารอย่างจีนได้เฟื่องฟูขึ้นมาแล้วและน่าจะยังขึ้นต่อไป  กระเบื้องชิ้นเล็ก ๆ อีกหลายชิ้นข้างบ้านเราเช่น  เวียตนาม  พม่า  กัมพูชา  ลาว  กำลัง  “เปิดประเทศ”  ซึ่งจะนำมาซึ่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วน่าจะเป็นกระเบื้องที่จะเฟื่องฟูลอยต่อไป  และนี่ก็คือจุดที่ประเทศไทยควรจะต้องเข้าไป  “เกาะ” หรือเข้าไปมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จะส่งเสริมให้เรามีความก้าวหน้าหรือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเมื่อคำนึงถึงว่าประชากรของเราไม่ใคร่เพิ่มขึ้นและกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว    ประเด็นปัญหาของเราที่อาจจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะเข้าไปมีบทบาทที่คึกคักในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็คือ  “ปัญหาทางการเมือง”  และการบริหารประเทศที่ทำให้รัฐไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินการที่เหมาะสม  ตัวอย่างที่เห็นชัดในช่วงนี้ก็คือ  ระบบการขนส่งและ Logistic ที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น  ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องใช้เวลาอีก 20 ปีเพื่อเชื่อมต่อรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้าน  เราจะเหลืออะไรเมื่อ  “กระเบื้อง” ทั้งหลายได้เฟื่องฟูไปหมดแล้ว?
	ผมพูดแต่เรื่องนอกบ้านซึ่งยังห่างไกลจากประเด็นของการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่บ้าง  แต่ “กระเบื้อง” ไม่ได้มีเฉพาะในต่างประเทศ  “กระเบื้อง” ที่อยู่ในบ้าน  หรือคนไทยที่ด้อยกว่าทางด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยเองก็มีมากมาย  ว่าที่จริง ในอดีตย้อนหลังไป 40-50 ปี นั้น  ต่างจังหวัดทั้งหมดของประเทศไทยมีสัดส่วนทางเศรษฐกิจน้อยมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพ  จนคนแทบจะพูดกันว่า    “กรุงเทพก็คือประเทศไทย”  ต่อมา  อาจจะราว ๆ  20-30 ปีที่ผ่านมาเมื่อผมเริ่มทำงานที่เกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจและธุรกิจ  ตัวเลขที่ผมรู้สึกว่าเป็น “Magic Number”  หรือตัวเลข “อัศจรรย์” ก็คือ  กรุงเทพและปริมณฑลมักจะมียอดรวมของยอดขายของสิ่งต่าง ๆ  ประมาณ 50%  ส่วนต่างจังหวัดที่มีมากถึง 50-60 จังหวัดมีสัดส่วนรวมกันเท่ากับ 50%  เหมือนกัน  ตัวอย่างเช่น  ยอดขายรถยนต์  ยอดขายเทปเพลง  และอื่น ๆ  อีกมาก
	ประมาณซัก 10-20 ปีที่ผ่านมา  อาการกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอยของจังหวัดหัวเมืองของไทยก็เริ่มขึ้น   การเพิ่มขึ้นของรายได้ของประชาชนในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอันเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมทั้งหลายโดยเฉพาะที่เป็นขนาดใหญ่เริ่มตั้งแต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี  ต่อมาก็เป็นธุรกิจรถยนต์  นี่ยังไม่นับอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมส่งออกทั้งหลายที่ถูกย้ายมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น  นั่นส่งผลให้จังหวัดชายทะเลที่เป็นท่าเรือน้ำลึก เช่น ชลบุรีและระยองเติบโตขึ้นมหาศาล  รายได้ต่อหัวสูงขึ้นเท่าเทียมหรือสูงกว่ากรุงเทพ  ต่อมาการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วก็ส่งผลให้จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ  เช่น  ภูเก็ต  เชียงใหม่  ชลบุรี  ประจวบคีรีขันธ์ เติบโตขึ้นมากจากธุรกิจที่ให้บริการนักท่องเที่ยว  คนในจังหวัดเหล่านี้มีรายได้และพฤติกรรมการใช้จ่ายไม่ต่างจากกรุงเทพเท่าใดนัก  เวลาต่อมาเมื่อแรงงานเป็นที่ต้องการมากขึ้น จังหวัดที่มีคนมากและระยะทางไม่ห่างจากกรุงเทพหรือท่าเรืออย่างเช่นโคราชก็เริ่มมีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมากขึ้น  และสุดท้ายที่ดูเหมือนว่าจะเป็น  “คลื่นลูกล่าสุด”  ก็คือจังหวัดที่เป็นชายแดนทางผ่านติดต่อกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่กำลังเปิดประเทศ  เช่น  อุดรธานี  แม่สอด  อรัญประเทศ  เชียงราย  ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอานิสงค์จากการค้าขายกับประเทศเหล่านั้นที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  การค้าขายผ่านชายแดนรวมกันน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่าการค้าขายกับประเทศใหญ่ ๆ  ของโลกแล้ว
	ตัวเลขกรุงเทพ 50% และต่างจังหวัด 50% นั้น  ขณะนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ต่างจังหวัดของไทยโตเร็วขึ้นขณะที่กรุงเทพโตช้าลง  ธุรกิจหลาย ๆ  อย่างเริ่มจะอิ่มตัว  ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 เคยมีจำนวนร้าน 50% ในกรุงเทพขณะนี้กลายเป็น 45% และที่เปิดใหม่ก็เปิดในต่างจังหวัดมากกว่า  เช่นเดียวกัน  ชอปปิงมอลอย่างห้างของเครือเซ็นทรัลในระยะหลัง ๆ ต่างก็เปิดในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพ  สิ่งที่ตามก็คือร้านค้าทั้งหลายที่ขายสินค้าระดับสูงรวมไปถึงภัตตาคารที่ขายอาหารราคาสูงก็ขยายไปในต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพ  ว่าที่จริงบริษัทที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคที่ยังเติบโตได้ในเวลานี้  ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องเน้นไปที่ต่างจังหวัดแทบทุกบริษัท   ครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมมีเวลาว่างหลังจากการบรรยายและได้ไปเดินเล่นในห้างเซ็นทรัลที่เชียงใหม่  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ   มันแทบจะไม่ต่างจากชอปปิ้งมอลที่กรุงเทพเลย  และทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผมสรุปว่า  “กระเบื้อง” ในประเทศไทยนั้นกำลังเฟื่องฟูลอย  กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทยอีกต่อไป
	ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ  “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย  น้ำเต้าน้อยจะถอยจมลง”  นั้น  กำลังเป็น “เมกาเทรนด์”  ในหลาย ๆ  สิ่งของโลกและของประเทศไทย  การวิเคราะห์หุ้นของเราจะต้องตระหนักในเรื่องนี้
[/size]
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบพระคุณค่ะ
yinglaknite
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เป็นข้อเท็จจริง ที่ต้องตั้งใจมาศึกษาวิเคราะห์ต่อไป ขอบคุณมากค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
vim
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2748
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

จาก เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

...
เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจันฑาลมันเข้ามาเสพสม
ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา
...

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80% ... 2%E0%B8%B2
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[attachment=0]กรมพระยาดำรง-วิจารณ์เพลงยาว.png[/attachment]

.........
วิจารณ์เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์
ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ผู้เขียน
หมายเลขแฟ้ม 005
...........
http://www.thapra.lib.su.ac.th/supat/do ... 0005_2.pdf
......

ส่วน
ต้นฉบับ
พระพุทธทำนาย ทายพระสุบินพระเจ้าปเสนทิโกศล ๑๖ ข้อ

"๑๒. ฝันเห็นน้ำเต้านั้นจมชล ดูพิกลไม่เคยพบประสพเห็น
จะเกิดความยากล้ำเหลือลำเค็ญ สิ่งที่เย็นกลับจะร้อนทั่วธานี
คือนักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี
ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลับลี้เสื่อมสูญประยูรยศ
คนพาลจะราญเริงบันเทิงหนา เจรจาผิดธรรมไม่กำหนด
ใครปอกปลิ้นลิ้นลมเป็นคมคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงนับกัน
๑๓. ฝันว่าคีรีน้อยนั้นลอยน้ำ ประหลาดล้ำหลากใจที่ในฝัน
พระทรงบรรหารให้เห็นพลัน ภายหน้านั้นผู้มีศักดิ์จะรักพาล
จะยกย่องหมู่ชาติอันต่ำช้า เป็นเสนาผู้ใหญ่ในสถาน
ให้ยศศักดิ์สืบสายเป็นนายการ ได้ท่วงทีพวกพาลสำราญใจ
"
http://bit.ly/1gkFtOA

....

่ี.......










..
...
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
RnD-VI
Verified User
โพสต์: 2187
ผู้ติดตาม: 0

Re: กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบพระคุณครับอาจารย์
โพสต์โพสต์