'เล่นหุ้นนอก' มูฟครั้งใหม่ เซียนหุ้น VI 'นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, March 18, 2013 09:57
ความหมายแท้จริงของ "Financial Freedom"คืออะไร นี่คือ "จุดเริ่มต้น" ของการตัดสินใจสลัด "เสื้อกาวน์" เพื่อมุ่งหน้าค้นหาความหมายบนถนนนักลงทุนอย่างเต็มตัวของ "อดีตหมอสูติ-นรีเวช" โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ "นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ" ชายวัย 43 ปี ผู้มี "รอยยิ้ม" เป็นมิตรภาพ
"หมอมุข" นอกจากเป็น "เซียนหุ้น VI ชั้นแนวหน้า" เขายังนั่งเป็นอุปนายกสมาคม นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ใช้ชื่อล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" ปัจจุบันพอร์ตลงทุนหลักใด? เขาขอเก็บเรื่องนี้เป็น "ความลับ"บอกเพียงว่า ตั้งแต่เปลี่ยนใจมาลงทุนแนว VI ไม่เคย "ขาดทุน" จากสถิติการลงทุนในช่วง 2-3 ปีก่อน มีผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจมาก
"ในปี 2553 โกยกำไร 100% ปี 2554 ทำกำไร 75% และปี 2555 ได้กำไร 90%"
"เซียนหุ้น VI" เริ่มก้าวขาสู่ตลาดหุ้นเมื่อปี 2543 ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย แต่ลงทุนครั้งแรกในปี 2535 ด้วยทุนตั้งต้น "หลักหมื่นบาท" ซื้อหุ้นตามสตอรี่ โดยไม่เหลียวแลงบการเงิน เน้นเล่นสั้น นี่ล่ะ กลยุทธ์การลงทุนแรกเริ่มของเขา กำไรเฉลี่ยครั้งละ 5-10% สูงสุด 20% บางตัวพุ่งไป 80-90% คือ ผลลัพธ์ที่ได้รับในครั้งนั้น แต่ยิ้มหวานได้ไม่นาน ราคาหุ้นกลายเป็น "ศูนย์" หลังยึดนโยบาย "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" บทเรียนครั้งนั้น ทำให้เขารู้สึกว่า "เล่นหุ้น" เหมือน "เล่นการพนัน"
เขาหวนคืนตลาดหุ้นอีกครั้งในปี 2544 เน้นกลยุทธ์เดิม "เล่นสั้น"แต่มีหลักการมากขึ้น ช้อนแต่ "หุ้นพิมพ์นิยม"กลุ่มแบงก์และพลังงานเป็นต้น ลงทุนลักษณะนี้จนถึงปี 2547 วันหนึ่ง เกิดความคิด "ทำอย่างไรจึงจะมีอิสรภาพทางการ เงิน" หมอมุข เริ่มออกตามหา ด้วยการอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"
ก่อนจะไปกวาดหนังสือมาเพิ่มความรู้ในสมองเพิ่มเติม อาทิ หนังสือ One Up On Wall Street ของ ปีเตอร์ ลินช์ และหนังสือแนวคิดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนังสือที่แปลโดย "พรชัย รัตนนนทชัยสุข" หนึ่งในคณะกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เขาใช้เวลาอ่านหนังสือที่มีความหนา 400-500 หน้า หมดภายในระยะเวลาไม่นาน "แก่นแท้ของแนวทางวีไอเป็นอย่างนี้นี่เอง" หมอมุข เคยสบถการลงทุนครั้งใหม่ให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า เมื่อพอร์ตลงทุนเติบโตมาก และต้องการจะขยายตัวต่อ ต้องเปิด "วิชั่นใหม่" ซึ่งตลาดหุ้นเมืองนอกเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ หุ้นต่างประเทศหลายตัวยังมีแวลูที่ดี อีกอย่างวันนี้ มีหุ้นต่างประเทศหลายๆ ตัวยังมีราคาซื้อขายต่ำ เมื่อเทียบกับเตลาดหุ้นมืองไทย
เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เขามีโอกาสเข้าไป "ชิมลาง" ซื้อหุ้นต่างประเทศ หลังใช้เวลาศึกษาข้อมูลต่างๆ ประมาณกว่า 1 ปี โดยใช้ชื่อภรรยาในการซื้อขายหุ้น ถามว่าตลาด หุ้นถามว่าตลาด หุ้นต่างประเทศสร้างกำไรได้มากกว่าตลาดหุ้นเมืองไทยหรือ?? คำตอบ คือ "ไม่ใช่""แต่ผมต้องการกระจายความเสี่ยง"
เขาเล่าว่า ที่สำคัญ SET INDEX และราคาหุ้นเมืองไทยบางตัวปรับตัวสูงมากแล้ว ทำให้นักลงทุนเริ่มหาตัวเล่นยากขึ้น บางตัวราคาหุ้นต่ำก็จริง แต่บังเอิญไม่มีความรู้ ไม่มีข้อมูล ในหุ้นตัวนั้นๆ
เท่าที่รู้เริ่มมีนักลงทุนแนว VI หลายๆ คน หันมาลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศบางแล้ว บางคนชื่นชอบ หรือเคยทำงานต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการหาตัวดีและถูกยากขึ้นเรื่อยๆ
"วันนี้พอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศของผมยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยราวๆ 3-5% เท่านั้น ปัจจุบันซื้อขายอยู่
ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ และตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซา มาเลเซีย โดยซื้อขายผ่านบล.โนมูระ พัฒนสิน บล.เคที ซิมิโก้ และบล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง โบรกเกอร์นี้ถือว่าเรียลไทม์สุดๆ แล้ว เพราะบางโบรกเกอร์กว่าจะรู้ว่าราคาที่เราอยากซื้อขาย ก็ปาเข้าไปเป็นวันๆ"
"เซียนหุ้น VI" แจกแจงรายชื่อหุ้น ต่างประเทศในพอร์ตให้ฟังว่า.. "ผมมีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ 2 ตัว คือ หุ้น ไทยเบฟเวอเรจ (THBEV) และหุ้น BreadTalk"ถามว่าหุ้นทั้ง 2 ตัว มี "จุดเด่น" ตรงไหน? เขาวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นบริษัทลูกๆ ของ THBEV ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นเมืองไทยขึ้นมาสูงมาก แพงเกินไป ไม่น่าซื้อ (หัวเราะ) ทำให้ตัดสินใจ ลงทุนหุ้นแม่ซะเลย
"หุ้น THBEV บริษัทนี้คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี อนาคตเขามีโอกาส "สวย" กว่านี้แน่นอน ทั่วโลกเริ่มรู้จักแบรนด์ "ไทยเบฟเวอเรจ" มากแล้ว ยิ่งล่าสุด "ไทยเบฟเวอเรจ" และ TCC Asset ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปฏิบัติการณ์ซื้อหุ้น เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (F&N) ในราคาหุ้นละ 8.88 ดอลลาร์สิงคโปร์ (7.22 ดอลลาร์สหรัฐ) เรื่องนี้ทำให้ทิศทางธุรกิจของเขาเติบโตมากขึ้น"ฉะนั้นราคาหุ้น THBEV มีโอกาสไปต่อ นักวิเคราะห์ บางรายออกมาให้ราคาเป้าหมาย 0.60-0.70 เซนต์ ตอนนี้ซื้อขายราวๆ 0.50 เซนต์ ราคาหุ้น THBEV เคยลงมาต่ำถึง 0.26 เซนต์ หลังน้ำท่วม ใหญ่กรุงเทพฯ ตอนนั้นเสียดายมากไม่ได้เข้าไปลงทุน เพราะยังไม่มีความรู้ตลาดหุ้นต่างประเทศเพียงพอ แต่ก็มีกูรูบางรายให้ราคาเป้าหมาย 0.48 เซนต์ เพราะบริษัทผ่านพ้นเรื่องดีๆ มาแล้ว นพ.ประมุข แจกแจง ส่วน หุ้น BreadTalk เจ้าของเป็นชาวสิงคโปร์ เขามีธุรกิจหลากหลาย อาทิ ธุรกิจอาหาร แบ่งเป็น 1.Bakery Division คนไทยรู้จักในภายใต้ชื่อแบรนด์ BreadTalk และ Toast Box เป็นต้น 2.Food Republic Division ล่าสุดเขาเพิ่งมาเปิดแบรนด์ Food Republic ในเซ็นทรัล พระราม 9 สุดท้าย คือ Restaurant Division ส่วนใหญ่คนไทยจะรู้จักแบรนด์ DIN TAI FUNG (ติ่น ไท่ ฟง) นอกจากนั้นเขายังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย
"หวังไว้ลึกๆ ว่า หุ้น BreadTalk จะวิ่งขึ้นไป แตะระดับ 1 ดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ซื้อขายเฉลี่ย 0.70-0.80 เซนต์ (หัวเราะ) ต้นทุนของผมอยู่เฉลี่ย 0.60 เซนต์ แผนขยายธุรกิจร้านอาหารทั่วเอเชีย น่าจะเป็นปัจจัยนำพาให้ราคาหุ้นวิ่งต่อ"
ส่วนตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซามาเลเซีย ณ วันนี้มีหุ้นซื้อขายเพียง 1 ตัว นั่นคือ หุ้น GENTING เขาทำธุรกิจกาสิโน บริษัทลูกๆ ก็ทำธุรกิจเรือสำราญ น้ำมันปาล์ม
รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนเพราะราคา หุ้นยังต่ำเมื่อเทียบกับพื้นฐาน ตอนนี้ซื้อขายเฉลี่ย 9 ดอลลาร์
ถามว่าตัวนี้ได้กำไรมากหรือไม่?? "ไม่เท่าไร" แต่ก็ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากบ้านเรา เจ้าตัวหัวเราะ
คาดหวังผลตอบแทนตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างไร?? เขาตอบคำถามนี้ว่า ช่วงแรกๆ ไม่ได้ ซีเรียสเรื่องตัวเลข วันนี้ต้องยอมรับว่าการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศยังไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องภาษีเงินได้ ค่าธรรมเนียม ค่าโอนเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน คิดคร่าวๆ นักลงทุนต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากถึง 3-4% ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก ฉะนั้นการลงทุนนอกบ้านคงต้องถือข้ามปี หรือถ้าจะขายในระยะสั้น คุณต้องแน่ใจว่าได้กำไรค่อนข้างมาก ไม่เช่นนั้นไม่คุ้มค่า
"เซียนหุ้น VI" ปักธงว่า หากผลของการลงทุนหุ้นต่างประเทศออกมา "คุ้มค่า" ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากเห็นสัดส่วนการลงทุนราวๆ 25-30% และต้องมีผลตอบแทนเฉลี่ย 25-50% เพราะถ้าตัวเลขต่ำกว่านี้ ถือว่าไม่ "คุ้ม" สู้ลงทุนในเมืองไทยไม่ดีกว่าหรือจะไปเสี่ยงตลาดต่างประเทศทำไม "จริงมั้ย"!!
สัดส่วนนี้ถูกคิดขึ้นบนสมมติฐานที่ว่า ข้อแรกรัฐบาล และทางการต้องสนับสนุนการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศมากกว่านี้
ข้อสอง ระบบในการเชื่อมโยงซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนต้องแข็งแกร่ง การเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นอาเซียนผ่าน "ASEAN Trading Link" ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังไม่เพียงพอ
ข้อสุดท้าย โบรกเกอร์ต่างๆ หรือทางการต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการลงทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี สามารถตอบคำถามของนักลงทุนได้ "ทุกวันนี้ผมอาศัยหาข้อมูลตลาดหุ้นต่างประเทศผ่านอินเทอร์เน็ต (นี่ละเพื่อนคู่คิด) ผมเคยส่งข้อสงสัยไปสอบถามบริษัทที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส แต่เขาไม่ตอบกลับมา ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับภาษาหรือเปล่า เพราะตอนส่งคำถามผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ" "เรื่องภาษา" จึงถือเป็นอุปสรรคในการลงทุน เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศหลายๆ แห่งในโลกนี้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต และกลุ่มสินเชื่อ อย่าง "อิออน" ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ หุ้นซัมซุง น่าซื้อมาก ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หุ้นประกันชีวิต AIA ถ้ามีโอกาสควรลงทุน
ปักธงปี 2556 'โกย' กำไรหุ้นไทยกว่า 40%
"นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ"เล่าให้ฟังว่า 2 เดือนก่อน ตลาดหุ้นไทยสร้างสถิติจุดสูงสุดใหม่เกือบทุกวัน ทำให้เขามีผลตอบแทนจากการลงทุนเข้าขั้นดีมาก เรียกว่ามีมูลค่าสูงกว่าการเติบโตของตลาดหุ้น หุ้นทุกตัวที่อยู่ในพอร์ตมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เมื่อมีข่าวดีเข้ามาราคาหุ้นที่ถูก ก็พากันทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในเครือเนชั่น รวมถึงหุ้น พรีบิลท์ (PREB) ที่ทะยานจากระดับ 9 บาท เป็น 14 บาท ใช้เวลาเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น ปัจจุบันเขายังคงถือหุ้น PREB เหมือนเดิม
"เรียกว่าถือเพิ่มขึ้นนิดหน่อยถึงจะถูก (หัวเราะ) เพียงแต่สลับเป็นชื่อภรรยาเท่านั้น คาดว่าจะยังคงถือต่อไป"
นพ.ประมุข ยังบอกว่า ปี 2556 น่าจะมี กำไรจากการลงทุน 40-45% นี่คือ ตัวเลขที่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ถ้าในใจเขาหวัง มากกว่านั้น "ดูจากสถิติการลงทุนของผมก็คงรู้"
เล็งจะช้อนหุ้นกลุ่มไหนต่อ?? "หมอมุข" เผยคำตอบว่า กลุ่มสาธารณูปโภค จำพวกน้ำประปา น่าสนใจมาก ตอนนี้ชอบหุ้นประปาตัวหนึ่งที่กำลังจะนำบริษัทลูกที่ทำ ธุรกิจไฟฟ้าเข้าตลาดหุ้น แต่จะเป็นตัวไหนขอไม่คอมเมนท์นะนักลงทุนลองไปหาข้อมูลดู
"หุ้นพลังงานทดแทน" ยอมรับกลุ่มนี้ น่าสนใจมาก คิดดูสิพอมีเรื่องไฟฟ้าจะดับ เพราะพม่าปิดซ่อมท่อก๊าซ คนตื่นตระหนกกันหมด ฉะนั้นหากประเทศไทยมีไฟฟ้าทางเลือกมากๆ ย่อมดีกว่า ในเมื่อเมืองไทยไม่มีโอกาสได้ใช้พลังงานนิวเคลียร์ เพราะแรงต้นเยอะมาก พลังงาน ถ่านหินบางพื้นที่ยังไม่ชอบ ดังนั้นบ้านเราก็เหลือ ตัวเลือกเพียง พลังงานน้ำ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ ไบโอดีเซล เท่านั้น
"เจ้าของล็อกอิน Paul vi" ในแง่คิดดีๆ ว่า นักลงทุนควรจับตาดูเรื่องการเมืองไทย หากยังนิ่งๆ แบบนี้ "โล่งใจ" ได้ อีกเรื่องที่ควร ใส่ใจ คือ เศรษฐกิจต่างประเทศโดยรวม ถ้าสหรัฐ หยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีแนวโน้มหลุดตัวลง เขาอาจดึงเงินกลับบ้านทันที ฉะนั้นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
"ทุกอย่างที่คอมเมนท์ เป็นเพียงความชื่นชอบส่วนตัว ซึ่งผมหาข้อมูลมาดีแล้วถึงมาบอกเล่า"
"ภายใน 5-10 ปี อยากมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นต่างประเทศ 25-30% และต้องมี ผลตอบแทน25-50% ถึงจะ "คุ้ม"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
'เล่นหุ้นนอก' มูฟครั้งใหม่ เซียนหุ้น VI ' Paul vi
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1