โพสต์
ราคาหุ้นสามัญของประเทศไทยทั้งที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ก็ดี หรือซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์นั้น
ตามกฏหมายที่บัญญัติไว้ใช้บังคับนั้น ได้เขียนไว้ชัดเจนเลยว่า ราคาหุ้นสามัญที่สามารถทำธุรกรรมการซื้อขายได้นั้น
ต้องมีมูลค่ามากกว่า 1 สตางค์ต่อหุ้น
ในอดีตเคยมีเคสที่สามารถกล่าวอ้างได้คือ กรณีของ Orange ที่ขายกิจการมือถือในประเทศ ให้กับกลุ่ม True
ที่เห็นหุ้นส่วนในการวางรากฐานกิจการโทรศัพท์มือถือของ True Move ในปัจจุบัน ที่ราคาหุ้นละ 1 สตางค์ (เหตุการณ์เกิดเมื่อหลายปีมาแล้ว)
ในอดีตเมื่อวานซืน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็มีหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีมูลค่าที่ 1 สตางค์ เรียกได้ว่านักลงทุนสามารถซื้อหุ้นสามัญจำนวน 100 หุ้นที่ราคาเพียง 1 บาทไม่รวมค่าคอมมิวชั่น,ค่าภาษีและค่าใช้จ่ายจิปาถะของตลท แต่ในวันนี้ก็ยังไม่มีหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนบริษัทไหนมีราคา 1 สตางค์ได้ เนื่องจาก หุ้นสามัญปรับเพิ่มลดได้ 1 ช่องหากราคาหลักทรัพย์นั้นมีมูลค่าต่ำว่า 7 สตางค์ (เพดานของ Ceiling กับ Floor สำหรับหุ้นสามัญโดยทั่วไปอยู่ที่ +30% สำหรับ Ceiling และ Floor ที่ -30% ของวันก่อนหน้า แต่ถ้าหากมูลค่าต่ำกว่า 7 สตางค์ได้เพิ่ง 1 ช่องเท่านั้น ลองไปคิดเล่นดูละกันว่าทำไม)
อีกประเด็นที่ไม่กล่าวไม่ได้คือ หุ้นสามัญที่ราคาต่ำๆแบบนี้ไม่เข้าข่ายต้องใช้บัญชีเงินสดในการซื้อขายตามประกาศของตลาดหลักทรัพย์ แต่บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ปิดความเสี่ยงของตัวเองในการทำการซื้อขาย ดังนั้นนักลงทุนคนใดที่ซื้อหุ้นเหล่านั้น ให้ใช้บัญชีเงินสดเท่านั้นจึงสามารถซื้อหุ้นสามัญได้ ส่วนขายไม่มีปัญหาอะไรใช้หลักเกณฑ์เิดิม
มาถึงจุดนี้ ลองมองราคาขึ้นลงของหุ้น 1 สตางค์ ว่าเงินเราสูญหายไปหรือได้กำไรได้อย่างไง
เพราะว่าบริษัท จะหายไปจากสารบบได้นั้น ต้องดำเนินการชำระบัญชีอย่างถูกต้อง ซื้อหากมีการชำระบัญชีแล้ว ผู้ถือหุ้นก็ได้เงินที่ลงทุนในหุ้นเหล่าคืน อาจจะคืนน้อยกว่า 1 สตางค์ แต่ก็อยู่ระหว่าง 0-1 สตางค์
แต่เป็น 0 ได้ไหมบอกว่าได้ ถ้าหากบริษัทเป็นหนี้มากมายจนจ่ายไม่ไหว แต่อย่างไงก็ตามเราก็ไม่ได้อะไรเลย คือ lose 100%
ถ้ามองในด้านกำไร ก็คือ ซื้อขายกันที่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ถ้าหากต่ำกว่า 2 บาทเพิ่มได้ทีละ 1 สตางค์ต่อช่อง ดังนั้น หุ้น 1 สตางค์ก็เพิ่มได้ 1 สตางค์ต่อ 1 ช่องแถมมีช่องเดียวที่ไปได้คือ 2 สตางค์เท่านั้น ซึ่งช่องนี้ใครซื้อ 1 สตางค์ ไปขาย 2 สตางค์ได้กำไร 1 เด้ง แล้วละ (ได้ง่ายในทางทฤษฏีแต่ทางปฏิบัติต้องอาศัยดวงอย่างมากมาย เพราะต่อทั้งคิว และ วัดดวงตอน ATO,ATC ว่าได้ไหม 1 สตางค์) ดังนั้นใครทำแบบนี้ได้ถือว่าเฮงจริงๆครับ
อันนี้เล่าสู่กันฟังครับ เป็นการเปิดมุมมองการลงทุนแบบดันโด แบบคิดด้านลบแบบสุดขั้วเอาราคาที่ต่ำที่สุดในตลท มาให้อ่านกัน โปรดสังเกตว่า High Risk มันก็ได้ผลตอบแทนแบบ High Return เสมอ
แต่ถ้าเจอ High Risk และได้ผลตอบแทนแบบ Low Return แบบนี้ก็ตัวใครตัวมันละกัน
บันทึกไม่สำเร็จ