ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 1
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, October 22, 2012 06:11
อยากเล่นหุ้นได้กำไรต้องอ่านงบการเงินให้ 'ขาดกระจุย' ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ต เลข '9 หลัก' ในอดีตเคยถือหุ้น WG ตัวเดียว นาน 8 ปี ซื้อ 14 ขาย 60 บาท โกยกำไรกระเป๋าตุง
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ วัย 44 ปี เป็นที่ร่ำลือว่ามีความสามารถในการ "ถอดงบการเงิน" เป็นเลิศ เขามีข้อได้เปรียบตรงที่ว่าเคยผ่านงานธนาคารต้องวิเคราะห์สินเชื่อลูกค้าว่ามีกำลังผ่อนชำระคืนแบงก์ได้หรือไม่ เขานำประสบการณ์ตรงนั้นบวกกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ความสามารถนี้เองที่ทำให้เขาสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นได้อย่างงดงาม
เขาเล่าว่า หลังจากค้นพบแนวทางของตัวเอง การเล่นหุ้นก็เริ่มได้กำไรเป็น กอบเป็นกำ ในอดีตเคยมีประสบการณ์ "ถือหุ้น ตัวเดียว" นานถึง 8 ปี คือ หุ้นไว้ท์กรุ๊ป (WG)โดยใช้ซื้อภรรยา (มยุรี วงแก้วเจริญ) ซื้อตอนปี 2544 เหตุผลที่ชอบหุ้นตัวนี้ เพราะมีกระแสเงินสดดี ซื้อหุ้น WG มาในราคา 13-14 บาท ขายไปตอนราคา 60 บาท (ปัจจุบันราคา 81-82 บาท) เพื่อไปซื้อหุ้น ตัวอื่นที่คิดว่าดีกว่า เฉพาะเงินปันผลอย่างเดียว ก็ "คืนทุน" หมดแล้ว ปีแรกๆ ซื้อราคา 13 บาท ปันผล 1 บาท ซึ่งปันผลของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี จนปีหลังๆ จ่ายปันผลสูงถึง หุ้นละ 4 บาท
นอกจากกระแสเงินสดดีแล้ว หุ้นตัวนี้ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ เนื่องจาก ไว้ท์กรุ๊ปมีสูตรเคมีภัณฑ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ลูกค้าอยากได้แบบไหนบริษัททำได้หมด ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันดีมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่สำคัญสมัยก่อนบริษัทนี้ ยังมีธุรกิจอื่นเสริมโดยเฉพาะธุรกิจโกดังให้ลูกค้าเช่าเป็นคลังสินค้า และมีสำนักงานให้เช่าแถวเอกมัย ทำให้เขามีกระแสเงินสด และมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น เพราะตึกมันลงทุนไปแล้ว สามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจ ทั้งหมดทำให้ไว้ท์กรุ๊ป มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เก็บหุ้น WG บริษัทนี้ยังไม่มีใครรู้จัก
ความแตกต่างจากเซียนหุ้นทั่วไป ฉัตรชัยจะทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดในหุ้นที่เขามั่นใจเพียงไม่กี่ตัว เรียกว่า "จัดเต็ม" แบบไม่กลัวเสี่ยง...ถ้าเขามั่นใจ ปัจจุบันเขาถือหุ้นเพียงแค่ 2 ตัว โดยหุ้นตัวแรกถือ 90% ของพอร์ต อีกตัวถือ 10% ของพอร์ต
"ผมลงทุนไม่เหมือนคนอื่นเป็นคนซื้อหุ้นยากมาก ในรอบ 10 กว่าปีมานี้ถือหุ้นไม่กี่ตัว คนอื่นเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ผมจะถือหุ้นไปจนกว่าจะถึงเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ในอดีตเคย ถือหุ้นมากที่สุดแค่ 4 หุ้น ผมมันพวก "สเปกเยอะ" ถ้ามั่นใจตัวไหนผม "จัดเต็ม" อย่างตอนนี้มีหุ้นอยู่ในมือแค่ 2 ตัว ใครเป็นมาร์เก็ตติ้งผมไม่ค่อยได้ค่าคอมมิชชั่นเท่าไร"
แม้ฉัตรชัยจะไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่ซื้อ แต่จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบชื่อ มยุรี วงแก้วเจริญ ภรรยาของ ฉัตรชัย ถือหุ้น ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) 6,801,000 หุ้น สัดส่วน 2.52%และหุ้น แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) จำนวน 500,000 หุ้น สัดส่วน 1.86% ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 130 ล้านบาท ทำไม! ถึงซื้อหุ้น 2 ตัวนี้ เซียนหุ้นร้อยล้าน บอกเพียงว่า ตัวที่โฟกัส 90% ของพอร์ตอยู่กลุ่ม Commerce บริษัทไม่มีคู่แข่ง ทำธุรกิจสบายๆ ผู้บริหารเก่ง (บุญยง ตันสกุล) ถือหุ้นตัวนี้มานาน 2-3 ปีแล้ว ตอนนี้เขาโตเร็วมาก และยังมีช่องจะเติบโตเพื่อกินมาร์เก็ตแชร์เจ้าอื่นด้วย สมัยก่อนบริษัทนี้เคยผิดพลาดทำให้เขาล้ม ตอนนี้ กำลังจะกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง จากการวิเคราะห์งบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าบริษัทนี้ จะขยายตัวสม่ำเสมอทุกปี
ส่วนหุ้นอีกตัวที่โฟกัส 10% อยู่ในกลุ่มโรงแรม ถือหุ้นมาแล้ว 2 ปี หุ้นตัวนี้ไม่ได้เข้าข่ายกลยุทธ์ไม่มีคู่แข่ง หรืองบการเงินดีเท่าไร จริงๆ ไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไร ตอนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะเห็นว่าบริษัทสามารถต่อสัญญาเช่าที่ดินแถวสามย่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงแรมกับเจ้าของที่ดินได้ เห็นว่าทำเลค่อนข้างดีก็เลยซื้อหุ้น เก็บไว้ ช่วงนั้นคิดว่าจะถือไว้สัก 3 ปี น่าจะได้กำไร ปัจจุบันบริษัทนี้มีโรงแรมในกรุงเทพ 1 แห่ง และที่เขาใหญ่ 1 แห่ง
"ผมเชื่อว่าหุ้น 2 ตัวนี้ (SINGER, MANRIN)จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต แม้วันนี้หุ้นตัวหนึ่งจะปันผลน้อยเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ เขาต้องนำเงินไปลงทุนขยายกิจการหลังจากเพิ่งฟื้นตัว ส่วนอีกตัววันนี้ยังไม่มีเงินปันผล แต่ระยะยาวน่าจะดี..ผมอดทนรอได้"
เซียนหุ้นวีไอวัย 44 ปี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้ อยู่ตรงที่ ส่วนใหญ่ "แพงมาก" แล้ว ซึ่งตนเองชอบซื้อหุ้น ตอนราคาต่ำกว่าพื้นฐาน 50% ปัจจุบันหาได้ยาก หุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล ไม่สนใจแม้ธุรกิจจะดี แต่ราคาก็แพง ถ้าวันหนึ่งราคาลงมาอาจจะซื้อ การลงทุนแบบวีไอสำคัญที่ต้องประเมินมูลค่าหุ้นให้เป็น ก็เหมือนการซื้อรถยนต์ ถึงรถจะดีแต่ถ้าราคาแพงเกินไปก็ไม่ซื้อ "ของดี" อาจไม่ใช่ ของที่ "ดีที่สุด" ก็ได้ ส่วนพวกหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เขายอมรับว่า "ไม่ชำนาญ" วงจรธุรกิจสวิงมากเหมาะกับการ "เก็งกำไร" มากกว่าโอกาสพลาดมีสูง ส่วนหุ้น IPO ไม่ชอบเลย ฐานข้อมูลต่างๆ ยังน้อย ชอบหุ้นที่เห็นกันมานาน 5-10 ปีดีกว่า ปัจจุบันฉัตรชัย จะลงทุนผ่าน บล.เคที ซีมิโก้ และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เขาชอบแชร์ข้อมูลดีๆ ผ่านเว็บไซต์และชวนกันไปฟังข้อมูลจากผู้บริหาร
ถามว่าการลงทุนตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร...? เขากล่าวว่า บอกตรงๆ ไม่เคยคิดเลย ตอนเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกมีคนเคยบอกว่า คนเล่นหุ้น 10 คน เจ๊ง 8 คน เสมอ 1 คน ได้กำไร 1 คน ส่วนตัวขอเป็น 2 ใน 10 คน ที่ไม่เจ๊งก็พอ ทุกวันนี้ยึดอาชีพนักลงทุน อย่างเดียว ภรรยาเป็นแม่บ้าน มีลูกสาว 2 คน หลายคนอยากออกมาทำธุรกิจเล็กๆ ของ ตัวเอง การลงทุนในหุ้นก็เป็นเจ้าของกิจการได้เหมือนกัน แถมมีข้อดีมากกว่าด้วยเพราะถ้ากิจการไม่ดีเราสามารถขายหุ้นไปลงทุนกิจการใหม่ได้
ฉัตรชัย บอกว่า รู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้งเวลาฟังรายการวิทยุมีนักลงทุนโทรไปถามนักวิเคราะห์ว่าติดหุ้นตัวนี้ควรซื้อหรือขายดี นักวิเคราะห์ก็จะถามกลับว่าต้นทุนเท่าไร อยากถามว่าต้นทุนมันเกี่ยวอะไรกัน เราซื้อหุ้นต้องดูที่อนาคตไม่ใช่ต้นทุน สมมติติดหุ้นราคา 20 บาท ราคาตลาด 15 บาท แต่หุ้นมีโอกาสวิ่งไป 30 บาท ฉะนั้นคำแนะนำแบบนั้นมันใช้ได้มั้ย!
เขาบอกว่า เท่าที่สัมผัสนักลงทุนส่วนมากชอบ "สูตรสำเร็จ" การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ และสูตรสำเร็จของแต่ละคนและแต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกัน อยากจะเล่าให้ฟังสมัยก่อนตอนเกิดวิกฤติแบล็คมันเดย์ คนที่ทน "ถือหุ้น" หรือ "ซื้อเพิ่ม" เขาได้ กำไรกันถ้วนหน้า เพราะหุ้นตกไม่นานก็ขึ้น พอมาวิกฤติปี 2540 คนก็ยังคิดว่าตลาดหุ้นจะเป็นแบบนั้นอีก ก็พากันแห่ไปไล่ซื้อ สุดท้ายหุ้นตกจาก 1,700 จุด ตกเหลือ 200 จุด
"สุดท้ายเจ๊งกันหมด บางบริษัทปิดตัวไปเลย ฉะนั้นคุณต้องรู้จักประเมินมูลค่าธุรกิจ และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก การลงทุนมันไม่สูตรสำเร็จว่าถ้าเกิดวิกฤตแล้วต้องซื้อหุ้นเท่านั้น ขายเท่านี้..มันไม่มี"
เซียนหุ้นวีไอร้อยล้าน กล่าวปิดท้ายว่า กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นให้ซื้อหุ้นตอนวิกฤติ เพราะจะได้ของถูก คนพูดแบบนี้แปลว่าประสบการณ์เขายังน้อยคงยังไม่เคยโดนวิกฤติตอนปี 2540 (หัวเราะ) ถ้าผ่านมาแล้วจะไม่พูดแบบนี้ ส่วนตัวไม่เคยขายหุ้นตอนวิกฤติ หากมั่นใจหุ้นตัวนั้นพื้นฐานดีจริงๆ วันหนึ่งมันต้องกลับมา
'กำไรสุทธิ'สำคัญน้อยกว่า 'กระแสเงินสด'
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ "ร้อยล้าน" จะให้น้ำหนักการวิเคราะห์ลักษณะ กิจการที่น่าลงทุนโดยพิจารณา 3 ส่วนหลักๆ คือ หนึ่ง..กระแสเงินสดของกิจการ บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปกติเติบโตสม่ำเสมอ ไม่ใช่กระแสเงินสดจากรายการพิเศษที่รับครั้งเดียว สอง..อัตราการจ่ายเงินปันผล ต้องสมเหตุสมผล สาม...คุณภาพสินทรัพย์ "ต้องดี" ส่วนพวกค่า P/E ยิ่งต่ำๆ ยิ่งดี แต่ไม่ได้ยึดติดเท่าไร ส่วนค่า P/BV ไม่ได้ดูเลย
สำหรับวิธีการดูงบการเงินอย่างย่อ ขั้นตอนแรก..เราจะต้องอ่าน "งบดุล" ของบริษัทนั้นก่อน ในงบดุลจะแสดง "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน" สิ่งที่จะต้องไล่ดูคือ บริษัทนั้น ทำธุรกิจอะไร สินทรัพย์สำคัญของบริษัทนั้นคืออะไรและมันสอดคล้องกับการทำธุรกิจนั้นหรือไม่ ยกตัวอย่าง บางบริษัทมีเงินลงทุนในพอร์ตหุ้นจำนวนมากถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่หุ้นที่ดีเราต้องมองโครงสร้างธุรกิจให้ขาด จากนั้นก็ดู "คุณภาพสินทรัพย์แต่ละรายการ" ว่ามีมูลค่าตามที่บันทึกในบัญชี หรือไม่ เพราะบางครั้งมีการแต่งตัวเลขได้ ให้ดูลูกหนี้การค้า "ผิดนัดชำระ" เยอะมั้ย! แล้วมีการ "ตั้งสำรอง" เพียงพอหรือไม่ จากนั้นก็มาดูว่าบริษัทดังกล่าวมีหนี้สินเทียบกับทุนจดทะเบียนเยอะขนาดไหน เมื่อตรวจสอบครบแล้วเราก็เอางบดุล 3 ปี มาเปรียบเทียบ กันจะทำให้เรารู้ว่าที่ผ่านมางบการเงินของเขาเป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อไปให้ดู "งบกำไรขาดทุน" ให้เน้นที่ "กำไรขั้นต้น" บริษัทที่ดีควรมี กำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงทั้งในปัจจุบัน และอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า จากนั้นจะดูว่าบริษัทมี "อัตรากำไรสุทธิ" เท่าไร ถ้าตัวเลขอยู่สูงๆ จะดีมาก เพราะจะบ่งบอกได้ว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างดี ไม่ใช่มาร์จิ้นบางเฉียบแค่ 1% หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ไม่เอาปล่อยผ่านไป
"ผมชอบบริษัทที่มีกำไรขั้นต้นประมาณ 20% มีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ที่สำคัญบริษัทนั้นต้องมีต้นทุนขายลดลงหรือเสมอตัว ไม่เพิ่มเติมไปกว่าเดิม หากจะมีต้องมีเหตุผลที่สนับสนุนและต้องไม่ผันผวน"
ฉัตรชัย บอกว่า ส่วนตัวไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ "กำไรสุทธิ" มากเท่าไร เคยมีคำพูดประโยคหนึ่ง "Profit is opinion cash is real" กำไรเป็นเพียงความคิดเห็น กระแสเงินสดคือของจริง เพราะในงบกำไรขาดทุนบางอย่างมันขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ ทางบัญชี โดยเฉพาะการกำหนดระยะเวลาการตัดค่าเสื่อมราคา ซึ่งมันสามารถทำให้ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ทั้งๆ ที่เราค้าขายเหมือนเดิม
เขาเล่าต่อว่า ขั้นตอนสุดท้าย จะดู "งบกระแสเงินสด" เพราะมันจะบ่งบอกถึง "วงจรธุรกิจ" บางบริษัทมีกำไรดีแต่ไม่มีเงินให้ผู้ถือหุ้นเลย ได้เงินมาเท่าไรต้องนำไปซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่ หรือลงทุนตลอดเวลา บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงินสดเติบโต ทุกปีเฉลี่ย 10-15% กระแสเงินสดจะบอกอะไรได้เยอะมาก เพราะจะทำให้เรารู้ว่าเงินเข้ามาจากการขายของ หรือไปกู้แบงก์หรือได้มากจากรายการพิเศษ
งบกระแสเงินสด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.จากการดำเนินงาน เงินรับเข้าและจ่ายออก 2.การลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขายที่ดิน ขายเครื่องจักร ฯลฯ 3.กิจกรรมการจัดหาเงิน เช่น เพิ่มทุน กู้ยืมเงิน จ่ายเงินกู้ ซึ่งเงินสดจากการดำเนินงานสำคัญที่สุด เพราะมันจะบ่งบอกว่าบริษัทดำเนินธุรกิจแล้วมีเงินสดเหลือหรือไม่
สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรลืมดู นั่นคือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน เพราะจะ บ่งบอกว่าวิธีการตั้งบัญชีมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง การรับรู้รายได้ขั้นตอนไหนถึงเรียกว่า เป็นรายได้ บางบริษัทบอกว่า "ฉันจะมีรายได้ตั้งแต่เอาหนังสือไปตั้งขาย แต่บางบริษัทบอกไม่ใช่ฉันจะมีรายได้เมื่อขายหนังสือได้แล้ว"
เขาระบายความในใจสั้นๆ ว่า นักลงทุนสมัยนี้เข้ามาลงทุนแล้วอยาก "รวยเร็ว"อยากได้สูตรสำเร็จให้คนเก่งช่วยกรองให้ว่า หุ้นที่ดีต้องมีค่า P/E เท่าไร ผลตอบแทนต้องเท่าไร ถ้าบริษัทไหนเข้าหลักเกณฑ์ฉันจะซื้อเลย ในความเป็นจริง "มันไม่ใช่" ถามว่า คุณเข้าใจหรือไม่ว่า การคำนวณราคาหุ้นด้วยค่า P/E คืออะไร..ผมเชื่อเลย "ไม่เข้าใจ"
สมมติหุ้นตัวนี้มีค่า P/E 10 เท่า หมายความว่า กำไร 1 บาท ราคาหุ้น 10 บาท นั่นแปลว่า ซื้อหุ้นแล้วอีก 10 ปีคืนทุน ตกกำไรปีละ 1 บาท แต่บางธุรกิจกำไรมันผันผวนจะให้มีกำไร 1 บาททุกปี มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการใช้ค่า P/E คำนวณราคาหุ้นต้องใช้กับบริษัทที่เติบโตสม่ำเสมอ จริงอยู่การเล่นหุ้นด้วยการดูค่า P/E มันใช้ง่าย เพราะ มันโชว์อยู่ในหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่มันไม่ใช่สูตรสำเร็จ ไม่อย่างนั้นนักลงทุนคงกำไรกัน ทั้งโลก
"ผมอยากให้นักลงทุนต้องศึกษารายละเอียดให้ลึก บางคนถามว่าบริษัทที่ดี ควรมีอัตราหนิ้สินต่อทุนเท่าไร มันก็ไม่มีสูตรเหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร แต่ถ้าเป็นบริษัททำธุรกิจปกติทั่วไปหนี้สินต่อทุนควรอยู่ระดับ 2 ต่อ 1 ไม่ควรมากกว่านี้"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, October 22, 2012 06:11
อยากเล่นหุ้นได้กำไรต้องอ่านงบการเงินให้ 'ขาดกระจุย' ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ต เลข '9 หลัก' ในอดีตเคยถือหุ้น WG ตัวเดียว นาน 8 ปี ซื้อ 14 ขาย 60 บาท โกยกำไรกระเป๋าตุง
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ วัย 44 ปี เป็นที่ร่ำลือว่ามีความสามารถในการ "ถอดงบการเงิน" เป็นเลิศ เขามีข้อได้เปรียบตรงที่ว่าเคยผ่านงานธนาคารต้องวิเคราะห์สินเชื่อลูกค้าว่ามีกำลังผ่อนชำระคืนแบงก์ได้หรือไม่ เขานำประสบการณ์ตรงนั้นบวกกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ความสามารถนี้เองที่ทำให้เขาสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นได้อย่างงดงาม
เขาเล่าว่า หลังจากค้นพบแนวทางของตัวเอง การเล่นหุ้นก็เริ่มได้กำไรเป็น กอบเป็นกำ ในอดีตเคยมีประสบการณ์ "ถือหุ้น ตัวเดียว" นานถึง 8 ปี คือ หุ้นไว้ท์กรุ๊ป (WG)โดยใช้ซื้อภรรยา (มยุรี วงแก้วเจริญ) ซื้อตอนปี 2544 เหตุผลที่ชอบหุ้นตัวนี้ เพราะมีกระแสเงินสดดี ซื้อหุ้น WG มาในราคา 13-14 บาท ขายไปตอนราคา 60 บาท (ปัจจุบันราคา 81-82 บาท) เพื่อไปซื้อหุ้น ตัวอื่นที่คิดว่าดีกว่า เฉพาะเงินปันผลอย่างเดียว ก็ "คืนทุน" หมดแล้ว ปีแรกๆ ซื้อราคา 13 บาท ปันผล 1 บาท ซึ่งปันผลของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี จนปีหลังๆ จ่ายปันผลสูงถึง หุ้นละ 4 บาท
นอกจากกระแสเงินสดดีแล้ว หุ้นตัวนี้ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ เนื่องจาก ไว้ท์กรุ๊ปมีสูตรเคมีภัณฑ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ลูกค้าอยากได้แบบไหนบริษัททำได้หมด ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันดีมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่สำคัญสมัยก่อนบริษัทนี้ ยังมีธุรกิจอื่นเสริมโดยเฉพาะธุรกิจโกดังให้ลูกค้าเช่าเป็นคลังสินค้า และมีสำนักงานให้เช่าแถวเอกมัย ทำให้เขามีกระแสเงินสด และมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น เพราะตึกมันลงทุนไปแล้ว สามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจ ทั้งหมดทำให้ไว้ท์กรุ๊ป มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เก็บหุ้น WG บริษัทนี้ยังไม่มีใครรู้จัก
ความแตกต่างจากเซียนหุ้นทั่วไป ฉัตรชัยจะทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดในหุ้นที่เขามั่นใจเพียงไม่กี่ตัว เรียกว่า "จัดเต็ม" แบบไม่กลัวเสี่ยง...ถ้าเขามั่นใจ ปัจจุบันเขาถือหุ้นเพียงแค่ 2 ตัว โดยหุ้นตัวแรกถือ 90% ของพอร์ต อีกตัวถือ 10% ของพอร์ต
"ผมลงทุนไม่เหมือนคนอื่นเป็นคนซื้อหุ้นยากมาก ในรอบ 10 กว่าปีมานี้ถือหุ้นไม่กี่ตัว คนอื่นเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ผมจะถือหุ้นไปจนกว่าจะถึงเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ในอดีตเคย ถือหุ้นมากที่สุดแค่ 4 หุ้น ผมมันพวก "สเปกเยอะ" ถ้ามั่นใจตัวไหนผม "จัดเต็ม" อย่างตอนนี้มีหุ้นอยู่ในมือแค่ 2 ตัว ใครเป็นมาร์เก็ตติ้งผมไม่ค่อยได้ค่าคอมมิชชั่นเท่าไร"
แม้ฉัตรชัยจะไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่ซื้อ แต่จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบชื่อ มยุรี วงแก้วเจริญ ภรรยาของ ฉัตรชัย ถือหุ้น ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) 6,801,000 หุ้น สัดส่วน 2.52%และหุ้น แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) จำนวน 500,000 หุ้น สัดส่วน 1.86% ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 130 ล้านบาท ทำไม! ถึงซื้อหุ้น 2 ตัวนี้ เซียนหุ้นร้อยล้าน บอกเพียงว่า ตัวที่โฟกัส 90% ของพอร์ตอยู่กลุ่ม Commerce บริษัทไม่มีคู่แข่ง ทำธุรกิจสบายๆ ผู้บริหารเก่ง (บุญยง ตันสกุล) ถือหุ้นตัวนี้มานาน 2-3 ปีแล้ว ตอนนี้เขาโตเร็วมาก และยังมีช่องจะเติบโตเพื่อกินมาร์เก็ตแชร์เจ้าอื่นด้วย สมัยก่อนบริษัทนี้เคยผิดพลาดทำให้เขาล้ม ตอนนี้ กำลังจะกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง จากการวิเคราะห์งบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าบริษัทนี้ จะขยายตัวสม่ำเสมอทุกปี
ส่วนหุ้นอีกตัวที่โฟกัส 10% อยู่ในกลุ่มโรงแรม ถือหุ้นมาแล้ว 2 ปี หุ้นตัวนี้ไม่ได้เข้าข่ายกลยุทธ์ไม่มีคู่แข่ง หรืองบการเงินดีเท่าไร จริงๆ ไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไร ตอนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะเห็นว่าบริษัทสามารถต่อสัญญาเช่าที่ดินแถวสามย่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงแรมกับเจ้าของที่ดินได้ เห็นว่าทำเลค่อนข้างดีก็เลยซื้อหุ้น เก็บไว้ ช่วงนั้นคิดว่าจะถือไว้สัก 3 ปี น่าจะได้กำไร ปัจจุบันบริษัทนี้มีโรงแรมในกรุงเทพ 1 แห่ง และที่เขาใหญ่ 1 แห่ง
"ผมเชื่อว่าหุ้น 2 ตัวนี้ (SINGER, MANRIN)จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต แม้วันนี้หุ้นตัวหนึ่งจะปันผลน้อยเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ เขาต้องนำเงินไปลงทุนขยายกิจการหลังจากเพิ่งฟื้นตัว ส่วนอีกตัววันนี้ยังไม่มีเงินปันผล แต่ระยะยาวน่าจะดี..ผมอดทนรอได้"
เซียนหุ้นวีไอวัย 44 ปี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้ อยู่ตรงที่ ส่วนใหญ่ "แพงมาก" แล้ว ซึ่งตนเองชอบซื้อหุ้น ตอนราคาต่ำกว่าพื้นฐาน 50% ปัจจุบันหาได้ยาก หุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล ไม่สนใจแม้ธุรกิจจะดี แต่ราคาก็แพง ถ้าวันหนึ่งราคาลงมาอาจจะซื้อ การลงทุนแบบวีไอสำคัญที่ต้องประเมินมูลค่าหุ้นให้เป็น ก็เหมือนการซื้อรถยนต์ ถึงรถจะดีแต่ถ้าราคาแพงเกินไปก็ไม่ซื้อ "ของดี" อาจไม่ใช่ ของที่ "ดีที่สุด" ก็ได้ ส่วนพวกหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เขายอมรับว่า "ไม่ชำนาญ" วงจรธุรกิจสวิงมากเหมาะกับการ "เก็งกำไร" มากกว่าโอกาสพลาดมีสูง ส่วนหุ้น IPO ไม่ชอบเลย ฐานข้อมูลต่างๆ ยังน้อย ชอบหุ้นที่เห็นกันมานาน 5-10 ปีดีกว่า ปัจจุบันฉัตรชัย จะลงทุนผ่าน บล.เคที ซีมิโก้ และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เขาชอบแชร์ข้อมูลดีๆ ผ่านเว็บไซต์และชวนกันไปฟังข้อมูลจากผู้บริหาร
ถามว่าการลงทุนตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร...? เขากล่าวว่า บอกตรงๆ ไม่เคยคิดเลย ตอนเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกมีคนเคยบอกว่า คนเล่นหุ้น 10 คน เจ๊ง 8 คน เสมอ 1 คน ได้กำไร 1 คน ส่วนตัวขอเป็น 2 ใน 10 คน ที่ไม่เจ๊งก็พอ ทุกวันนี้ยึดอาชีพนักลงทุน อย่างเดียว ภรรยาเป็นแม่บ้าน มีลูกสาว 2 คน หลายคนอยากออกมาทำธุรกิจเล็กๆ ของ ตัวเอง การลงทุนในหุ้นก็เป็นเจ้าของกิจการได้เหมือนกัน แถมมีข้อดีมากกว่าด้วยเพราะถ้ากิจการไม่ดีเราสามารถขายหุ้นไปลงทุนกิจการใหม่ได้
ฉัตรชัย บอกว่า รู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้งเวลาฟังรายการวิทยุมีนักลงทุนโทรไปถามนักวิเคราะห์ว่าติดหุ้นตัวนี้ควรซื้อหรือขายดี นักวิเคราะห์ก็จะถามกลับว่าต้นทุนเท่าไร อยากถามว่าต้นทุนมันเกี่ยวอะไรกัน เราซื้อหุ้นต้องดูที่อนาคตไม่ใช่ต้นทุน สมมติติดหุ้นราคา 20 บาท ราคาตลาด 15 บาท แต่หุ้นมีโอกาสวิ่งไป 30 บาท ฉะนั้นคำแนะนำแบบนั้นมันใช้ได้มั้ย!
เขาบอกว่า เท่าที่สัมผัสนักลงทุนส่วนมากชอบ "สูตรสำเร็จ" การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ และสูตรสำเร็จของแต่ละคนและแต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกัน อยากจะเล่าให้ฟังสมัยก่อนตอนเกิดวิกฤติแบล็คมันเดย์ คนที่ทน "ถือหุ้น" หรือ "ซื้อเพิ่ม" เขาได้ กำไรกันถ้วนหน้า เพราะหุ้นตกไม่นานก็ขึ้น พอมาวิกฤติปี 2540 คนก็ยังคิดว่าตลาดหุ้นจะเป็นแบบนั้นอีก ก็พากันแห่ไปไล่ซื้อ สุดท้ายหุ้นตกจาก 1,700 จุด ตกเหลือ 200 จุด
"สุดท้ายเจ๊งกันหมด บางบริษัทปิดตัวไปเลย ฉะนั้นคุณต้องรู้จักประเมินมูลค่าธุรกิจ และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก การลงทุนมันไม่สูตรสำเร็จว่าถ้าเกิดวิกฤตแล้วต้องซื้อหุ้นเท่านั้น ขายเท่านี้..มันไม่มี"
เซียนหุ้นวีไอร้อยล้าน กล่าวปิดท้ายว่า กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นให้ซื้อหุ้นตอนวิกฤติ เพราะจะได้ของถูก คนพูดแบบนี้แปลว่าประสบการณ์เขายังน้อยคงยังไม่เคยโดนวิกฤติตอนปี 2540 (หัวเราะ) ถ้าผ่านมาแล้วจะไม่พูดแบบนี้ ส่วนตัวไม่เคยขายหุ้นตอนวิกฤติ หากมั่นใจหุ้นตัวนั้นพื้นฐานดีจริงๆ วันหนึ่งมันต้องกลับมา
'กำไรสุทธิ'สำคัญน้อยกว่า 'กระแสเงินสด'
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ "ร้อยล้าน" จะให้น้ำหนักการวิเคราะห์ลักษณะ กิจการที่น่าลงทุนโดยพิจารณา 3 ส่วนหลักๆ คือ หนึ่ง..กระแสเงินสดของกิจการ บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปกติเติบโตสม่ำเสมอ ไม่ใช่กระแสเงินสดจากรายการพิเศษที่รับครั้งเดียว สอง..อัตราการจ่ายเงินปันผล ต้องสมเหตุสมผล สาม...คุณภาพสินทรัพย์ "ต้องดี" ส่วนพวกค่า P/E ยิ่งต่ำๆ ยิ่งดี แต่ไม่ได้ยึดติดเท่าไร ส่วนค่า P/BV ไม่ได้ดูเลย
สำหรับวิธีการดูงบการเงินอย่างย่อ ขั้นตอนแรก..เราจะต้องอ่าน "งบดุล" ของบริษัทนั้นก่อน ในงบดุลจะแสดง "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน" สิ่งที่จะต้องไล่ดูคือ บริษัทนั้น ทำธุรกิจอะไร สินทรัพย์สำคัญของบริษัทนั้นคืออะไรและมันสอดคล้องกับการทำธุรกิจนั้นหรือไม่ ยกตัวอย่าง บางบริษัทมีเงินลงทุนในพอร์ตหุ้นจำนวนมากถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่หุ้นที่ดีเราต้องมองโครงสร้างธุรกิจให้ขาด จากนั้นก็ดู "คุณภาพสินทรัพย์แต่ละรายการ" ว่ามีมูลค่าตามที่บันทึกในบัญชี หรือไม่ เพราะบางครั้งมีการแต่งตัวเลขได้ ให้ดูลูกหนี้การค้า "ผิดนัดชำระ" เยอะมั้ย! แล้วมีการ "ตั้งสำรอง" เพียงพอหรือไม่ จากนั้นก็มาดูว่าบริษัทดังกล่าวมีหนี้สินเทียบกับทุนจดทะเบียนเยอะขนาดไหน เมื่อตรวจสอบครบแล้วเราก็เอางบดุล 3 ปี มาเปรียบเทียบ กันจะทำให้เรารู้ว่าที่ผ่านมางบการเงินของเขาเป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อไปให้ดู "งบกำไรขาดทุน" ให้เน้นที่ "กำไรขั้นต้น" บริษัทที่ดีควรมี กำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงทั้งในปัจจุบัน และอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า จากนั้นจะดูว่าบริษัทมี "อัตรากำไรสุทธิ" เท่าไร ถ้าตัวเลขอยู่สูงๆ จะดีมาก เพราะจะบ่งบอกได้ว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างดี ไม่ใช่มาร์จิ้นบางเฉียบแค่ 1% หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ไม่เอาปล่อยผ่านไป
"ผมชอบบริษัทที่มีกำไรขั้นต้นประมาณ 20% มีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ที่สำคัญบริษัทนั้นต้องมีต้นทุนขายลดลงหรือเสมอตัว ไม่เพิ่มเติมไปกว่าเดิม หากจะมีต้องมีเหตุผลที่สนับสนุนและต้องไม่ผันผวน"
ฉัตรชัย บอกว่า ส่วนตัวไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ "กำไรสุทธิ" มากเท่าไร เคยมีคำพูดประโยคหนึ่ง "Profit is opinion cash is real" กำไรเป็นเพียงความคิดเห็น กระแสเงินสดคือของจริง เพราะในงบกำไรขาดทุนบางอย่างมันขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ ทางบัญชี โดยเฉพาะการกำหนดระยะเวลาการตัดค่าเสื่อมราคา ซึ่งมันสามารถทำให้ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ทั้งๆ ที่เราค้าขายเหมือนเดิม
เขาเล่าต่อว่า ขั้นตอนสุดท้าย จะดู "งบกระแสเงินสด" เพราะมันจะบ่งบอกถึง "วงจรธุรกิจ" บางบริษัทมีกำไรดีแต่ไม่มีเงินให้ผู้ถือหุ้นเลย ได้เงินมาเท่าไรต้องนำไปซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่ หรือลงทุนตลอดเวลา บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงินสดเติบโต ทุกปีเฉลี่ย 10-15% กระแสเงินสดจะบอกอะไรได้เยอะมาก เพราะจะทำให้เรารู้ว่าเงินเข้ามาจากการขายของ หรือไปกู้แบงก์หรือได้มากจากรายการพิเศษ
งบกระแสเงินสด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.จากการดำเนินงาน เงินรับเข้าและจ่ายออก 2.การลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขายที่ดิน ขายเครื่องจักร ฯลฯ 3.กิจกรรมการจัดหาเงิน เช่น เพิ่มทุน กู้ยืมเงิน จ่ายเงินกู้ ซึ่งเงินสดจากการดำเนินงานสำคัญที่สุด เพราะมันจะบ่งบอกว่าบริษัทดำเนินธุรกิจแล้วมีเงินสดเหลือหรือไม่
สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรลืมดู นั่นคือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน เพราะจะ บ่งบอกว่าวิธีการตั้งบัญชีมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง การรับรู้รายได้ขั้นตอนไหนถึงเรียกว่า เป็นรายได้ บางบริษัทบอกว่า "ฉันจะมีรายได้ตั้งแต่เอาหนังสือไปตั้งขาย แต่บางบริษัทบอกไม่ใช่ฉันจะมีรายได้เมื่อขายหนังสือได้แล้ว"
เขาระบายความในใจสั้นๆ ว่า นักลงทุนสมัยนี้เข้ามาลงทุนแล้วอยาก "รวยเร็ว"อยากได้สูตรสำเร็จให้คนเก่งช่วยกรองให้ว่า หุ้นที่ดีต้องมีค่า P/E เท่าไร ผลตอบแทนต้องเท่าไร ถ้าบริษัทไหนเข้าหลักเกณฑ์ฉันจะซื้อเลย ในความเป็นจริง "มันไม่ใช่" ถามว่า คุณเข้าใจหรือไม่ว่า การคำนวณราคาหุ้นด้วยค่า P/E คืออะไร..ผมเชื่อเลย "ไม่เข้าใจ"
สมมติหุ้นตัวนี้มีค่า P/E 10 เท่า หมายความว่า กำไร 1 บาท ราคาหุ้น 10 บาท นั่นแปลว่า ซื้อหุ้นแล้วอีก 10 ปีคืนทุน ตกกำไรปีละ 1 บาท แต่บางธุรกิจกำไรมันผันผวนจะให้มีกำไร 1 บาททุกปี มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการใช้ค่า P/E คำนวณราคาหุ้นต้องใช้กับบริษัทที่เติบโตสม่ำเสมอ จริงอยู่การเล่นหุ้นด้วยการดูค่า P/E มันใช้ง่าย เพราะ มันโชว์อยู่ในหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่มันไม่ใช่สูตรสำเร็จ ไม่อย่างนั้นนักลงทุนคงกำไรกัน ทั้งโลก
"ผมอยากให้นักลงทุนต้องศึกษารายละเอียดให้ลึก บางคนถามว่าบริษัทที่ดี ควรมีอัตราหนิ้สินต่อทุนเท่าไร มันก็ไม่มีสูตรเหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร แต่ถ้าเป็นบริษัททำธุรกิจปกติทั่วไปหนี้สินต่อทุนควรอยู่ระดับ 2 ต่อ 1 ไม่ควรมากกว่านี้"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 180
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 3
ผมชอบประโยคต่อไปนี้ ให้มุมมมองที่ดีมากครับ ขอคารวะ
เขาบอกว่า เท่าที่สัมผัสนักลงทุนส่วนมากชอบ "สูตรสำเร็จ" การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ และสูตรสำเร็จของแต่ละคนและแต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกัน
เขาบอกว่า เท่าที่สัมผัสนักลงทุนส่วนมากชอบ "สูตรสำเร็จ" การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ และสูตรสำเร็จของแต่ละคนและแต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกัน
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 7
อยากให้พี่ฉัตรชัย ทำหนังสือวิเคราะห์งบการเงินแบบง่ายๆเป็นวิทยาทานจัง เอาแบบอ่านง่ายๆนะคับ ผมอ่านหนังสือวิเคราะห์งบการเงินที่มีขายในท้องตลาดไม่ค่อยรู้เรื่องอะคับ มีแต่กูรูแบบพี่ฉัตรชัยเท่านั้นที่ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 10
สุดยอดจริงๆคับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 11
Original from hardcopy
http://www.facebook.com/photo.php?fbid= ... =1&theater
Credit: VI Hybrid http://www.facebook.com/vihybrid
(ดูรูปแล้ว ท่าน VI Hybrid อยู่ใน Thai VI นี่เอง)
http://www.facebook.com/photo.php?fbid= ... =1&theater
Credit: VI Hybrid http://www.facebook.com/vihybrid
(ดูรูปแล้ว ท่าน VI Hybrid อยู่ใน Thai VI นี่เอง)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 12
เข้ามาซูฮกครับพี่ฉัตร
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 13
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 14
ผมอยากอธิบายเพิ่มเติม เนื้อหาในหนังสือพิมพ์อาจจะสั้นไปหน่อยpakapong_u เขียน: ฉัตรชัย บอกว่า รู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้งเวลาฟังรายการวิทยุมีนักลงทุนโทรไปถามนักวิเคราะห์ว่าติดหุ้นตัวนี้ควรซื้อหรือขายดี นักวิเคราะห์ก็จะถามกลับว่าต้นทุนเท่าไร อยากถามว่าต้นทุนมันเกี่ยวอะไรกัน เราซื้อหุ้นต้องดูที่อนาคตไม่ใช่ต้นทุน สมมติติดหุ้นราคา 20 บาท ราคาตลาด 15 บาท แต่หุ้นมีโอกาสวิ่งไป 30 บาท ฉะนั้นคำแนะนำแบบนั้นมันใช้ได้มั้ย!
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
พวกเราคงเคยได้ฟัง เคยได้ยิน เวลาดูหรือฟังรายการวิเคราะห์หุ้น ที่มีนักวิเคราะห์มาให้คำแนะนำ และเปิดสายโทรศัพท์ให้นักลงทุนโทรเข้ารายการขอคำแนะนำว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นที่ถืออยู่
ประโยคแรกที่พวกเราได้ยินจากนักวิเคราะห์เกือบทุกคนก็คือ ถามนักลงทุนว่าต้นทุนที่ซื้อหุ้นบริษัทนั้นมาเท่าไร
ซึ่งผมคิดว่า ต้นทุนที่ซื้อหุ้นมาเป็นข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ในการตัดสินใจว่าจะ ซื้อ ถือ หรือ ขายหุ้นนั้นโดยสิ้นเชิง
เพราะเราจะตัดสินใจอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับราคาในอนาคต ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานในอนาคต
นาย A ติดดอยอยู่ หรือ นางสาว B ที่ซื้อหุ้นมาหลายปี ต้นทุนต่ำติดดิน มูลค่าหุ้นในอนาคตต่อหุ้นก็เท่ากัน
ถ้าต้นทุนอยู่ 17 บาท ราคาตลาดอยู่ 15 บาท ขึ้นมา 18 บาทให้ขาย
ถ้าต้นทุนต่ำอยู่ที่ 8 บาท โอเคถือยาวได้ ราคา 18 บาทไม่ต้องขาย
โอ แล้วถ้าราคาพื้นฐานปีหน้าอยู่ที่ 25 บาทละ ก็ไม่ควรขายที่ 18 บาท ไม่ว่าคุณจะซื้อหุ้นมาที่ราคาเท่าไร
กลับกัน ถ้าราคาพื้นฐานเพียงแค่ 10 บาท ทั้งนาย A และ นางสาว B ก็ควรจะขายทันที แม้นาย A จะขาดทุนิยู่ก็ตาม
ในเมื่อหลักคิดในการตัดสินใจผิด แล้วคำแนะนำจะถูกต้องได้อย่างไร
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 15
เรื่องการซื้อหุ้นเมื่อหุ้นตก ขายหุ้นเมื่อตลาดบูม คนฟังๆแล้วดูเหมือนง่าย เล่นหุ้นไม่เห็นยากอะไรเลย
แต่คนที่มีประสบการณ์มาบ้างคงรู้ว่าไม่ง่ายขนาดนั้น
ที่หุ้นตกแล้วให้ซื้อ ปัญหาคือ ตกเท่าไรถึงจะซื้อได้
บางคนก็บอกว่า อย่าเอามือเราไปรับมีดที่กำลังตก
บางคนก็มีประสบการณ์ ที่ถูกแล้วแล้ว ก็มีถูกกว่าได้เสมอ
นักลงทุนที่ผ่านวิกฤตปี 40 มาแล้ว อาจจะรู้ดี เพราะหลายบริษัทถูกจนเป็นเศษกระดาษ
ที่ว่าหุ้นขึ้นให้ขาย ก็มีปัญหาเหมือนกันว่า ขึ้นเท่าไรถึงขาย
เราก็คงเห็นหุ้นหลายๆบริษัทขึ้นอย่างมากมายหลายเท่าตัวในระยะสั้นไม่นานนัก หรือในบทความของคุณประภาคารก็บอกว่า ปีเตอร์ ลินซ์ เองก็ขายหมูในหุ้น Toy R Us
สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้มากกว่าประโยคที่ฟังเหมือนง่ายก็คือ การประเมินมูลค่าหุ้น การประเมินสถานการณ์ของวิกฤตในแต่ละครั้ง
วิกฤตปี 40 ผมขายหุ้นหมด ล้างพอร์ต แต่วิกฤตหลังจากนั้น ผมถือหุ้นเต็มพอร์ต 100% อย่างสบายใจทุกครั้ง
แต่คนที่มีประสบการณ์มาบ้างคงรู้ว่าไม่ง่ายขนาดนั้น
ที่หุ้นตกแล้วให้ซื้อ ปัญหาคือ ตกเท่าไรถึงจะซื้อได้
บางคนก็บอกว่า อย่าเอามือเราไปรับมีดที่กำลังตก
บางคนก็มีประสบการณ์ ที่ถูกแล้วแล้ว ก็มีถูกกว่าได้เสมอ
นักลงทุนที่ผ่านวิกฤตปี 40 มาแล้ว อาจจะรู้ดี เพราะหลายบริษัทถูกจนเป็นเศษกระดาษ
ที่ว่าหุ้นขึ้นให้ขาย ก็มีปัญหาเหมือนกันว่า ขึ้นเท่าไรถึงขาย
เราก็คงเห็นหุ้นหลายๆบริษัทขึ้นอย่างมากมายหลายเท่าตัวในระยะสั้นไม่นานนัก หรือในบทความของคุณประภาคารก็บอกว่า ปีเตอร์ ลินซ์ เองก็ขายหมูในหุ้น Toy R Us
สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้มากกว่าประโยคที่ฟังเหมือนง่ายก็คือ การประเมินมูลค่าหุ้น การประเมินสถานการณ์ของวิกฤตในแต่ละครั้ง
วิกฤตปี 40 ผมขายหุ้นหมด ล้างพอร์ต แต่วิกฤตหลังจากนั้น ผมถือหุ้นเต็มพอร์ต 100% อย่างสบายใจทุกครั้ง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 16
ซื้อหุ้นตอนวิกฤตได้ คุณควรจะเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา ผลกระทบจากปัญหา และแนวทางแก้ไข
ไม่่สูตรสำเร็จว่า เวลาวิกฤต เวลาหุ้นตกหนัก แล้วซื้อหุ้นทันที
ครั้งนี้คุณอาจกำไร แต่ไม่เสมอไป
เหมือนนักลงทุนที่ช้อนซื้อหุ้นช่วงวิกฤต Black Monday วิกฤต Mini Black Monday พฤษภาทมิฬ สงครามอ่าวเปอร์เซีย แล้วได้กำไร แต่มาหมดตัวจากวิกฤตต้มยำกุ้ง
ไม่่สูตรสำเร็จว่า เวลาวิกฤต เวลาหุ้นตกหนัก แล้วซื้อหุ้นทันที
ครั้งนี้คุณอาจกำไร แต่ไม่เสมอไป
เหมือนนักลงทุนที่ช้อนซื้อหุ้นช่วงวิกฤต Black Monday วิกฤต Mini Black Monday พฤษภาทมิฬ สงครามอ่าวเปอร์เซีย แล้วได้กำไร แต่มาหมดตัวจากวิกฤตต้มยำกุ้ง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณพี่ฉัตรชัยครับ เหมือนมาอธิบายแบบตัวจริงเสียงจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 118
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 18
เพราะฉะนั้นวิกฤตแต่ละครั้งเราต้องมองว่ามีผลกระทบกับบริษัทที่เราลงทุนมากแค่ไหนใช่ไหมครับ ถ้าไม่เกี่ยวหรือมีผลกระทบบ้างเล็กน้อย ถ้าราคาลงไปเยอะก็ให้ซื้อเพิ่ม ซึ่งก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมีวิธีการซื้อเพิ่มยังไง เช่น ทะยอยซื้อเมื่อลงมา 10% 20% 30% แต่ถ้ามีผลมากก็ขายทุกราคาใช่ไหมครับchatchai เขียน:ซื้อหุ้นตอนวิกฤตได้ คุณควรจะเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา ผลกระทบจากปัญหา และแนวทางแก้ไข
ไม่่สูตรสำเร็จว่า เวลาวิกฤต เวลาหุ้นตกหนัก แล้วซื้อหุ้นทันที
ครั้งนี้คุณอาจกำไร แต่ไม่เสมอไป
เหมือนนักลงทุนที่ช้อนซื้อหุ้นช่วงวิกฤต Black Monday วิกฤต Mini Black Monday พฤษภาทมิฬ สงครามอ่าวเปอร์เซีย แล้วได้กำไร แต่มาหมดตัวจากวิกฤตต้มยำกุ้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 19
พี่ฉัตรชัยสุดยอดมากครับ นับถือหมดใจ
-----------------------
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 766
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 22
นับถือที่พี่ฉัตรชัยกล้าลงทุนหุ้นตัวเดียวที่พี่เชื่อและวิเคราะห์มาดีแล้วครับ เป็นผมซื้อคนเดียวไม่มีใครเล่นด้วยน่าจะกลัวเอามากๆ แต่พอพี่เห็นก่อนและกล้าซื้อก่อนก็สมควรที่พี่ได้ผลตอบแทนที่ดีมากๆครับ ขออนุญาติยึดเป็นแบบอย่าง
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณมากครับ....ผมอ่านหนังสือมาหลายเล่มยังไม่เจอโดนๆแบบที่พี่พูดเลยครับ
นับถือ นับถือครับ และโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านน่ะครับ ถ้าพี่เปิดคอร์สสอนเรื่องแกะงบ
มุมมองการลงทุน หรือเขียนหนังสือออกมา ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
นับถือ นับถือครับ และโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านน่ะครับ ถ้าพี่เปิดคอร์สสอนเรื่องแกะงบ
มุมมองการลงทุน หรือเขียนหนังสือออกมา ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 24
เรื่องอื่นโอเคครับ แต่ถ้าจะลงทุนบริษัทเดียว หรือน้อยบริษัทแบบผม ต้องมีความเข้าใจ มั่นใจมากๆนะครับpot_c เขียน:นับถือที่พี่ฉัตรชัยกล้าลงทุนหุ้นตัวเดียวที่พี่เชื่อและวิเคราะห์มาดีแล้วครับ เป็นผมซื้อคนเดียวไม่มีใครเล่นด้วยน่าจะกลัวเอามากๆ แต่พอพี่เห็นก่อนและกล้าซื้อก่อนก็สมควรที่พี่ได้ผลตอบแทนที่ดีมากๆครับ ขออนุญาติยึดเป็นแบบอย่าง
สำหรับมือใหม่ ประสบการณ์น้อย ผมไม่แนะนำครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณมากครับ....ผมอ่านหนังสือมาหลายเล่มยังไม่เจอโดนๆแบบที่พี่พูดเลยครับ
นับถือ นับถือครับ และโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านน่ะครับ ถ้าพี่เปิดคอร์สสอนเรื่องแกะงบ
มุมมองการลงทุน หรือเขียนหนังสือออกมา ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
นับถือ นับถือครับ และโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านน่ะครับ ถ้าพี่เปิดคอร์สสอนเรื่องแกะงบ
มุมมองการลงทุน หรือเขียนหนังสือออกมา ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณมากๆครับ จริงๆแล้วการวิเคราะห์ราคาพื้นฐานหุ้นมันดูเหมือนจะไม่ยาก แต่มันยากในการถือให้ถึงเป้า เพราะมันมีปัจจัยมากระทบเรื่อยๆ ถ้าจิตใจไม่มั่นคงจริงๆก็ต้องขายไปก่อนเกือบทุกคน ยากมากที่จะถือได้นานๆอย่างพี่ฉัตรชัยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 27
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ฉัตรชัย วงแก้วเจริญวิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน
โพสต์ที่ 29
พี่เก่งมากเลยครับ