เช้านี้เทรดอย่างระดับโลก อย่าลืมจับอารมณ์ตัวเองก่อนเทรดครับ

[humdrum]

"ถ้าอยากประสบความสำ-เร็จ คุณต้องมีเวลาอยู่กับตัวเอง"

STEVEN COHEN เฮจฟันระดับต้นๆ ผู่ก่อตั้ง SAC CAPITAL
มีนักจิตวิทยาเข่้าประจำที่ OFFICE อาทิตย์ละสามครั้ง
เขาจับลูกน้องที่เป็นเทรดเดอร์ และ อีกคนเป็น value investor
เป็นคู่กันกันทำงานเสมอ

GEORGE SOROS ผู้ก่อตั้ง SOROS FUND ก่อนการลงทุนทุกเช้า
โซรอสจะสอนให้ลูกน้องมีเวลาของตัวเอง ทำ mediation
ตัวอย่างท่านหนึ่งจะใช้เวลาในห้องน้ำระหว่างถ่าย
นั่งหลับตาจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นและเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า

RAY DAILO ผู้ก่อตั้ง BRIDGEWATER เฮจฟันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กองทุนเขาส่วนหนึ่งบริหารเงินให้รัฐบาลสิงคโปร์
เขาไปฝึกเรียนการทำโยคะที่ประเทศอินเดีย
แต่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจไปเรียน แวะไปเรื่องธุรกิจ
ขากลับมาเลยเอาวิธีการผ่อนคลายตัวเองแบบโยคะกลับมาด้วย

THAI INVESTORS
เซียนหลายท่านที่เมืองไทยปฏิบัติ "กรรมฐานและฝึกสมาธิ"
INVESTORS หลายท่านก่อนเทรดหุ้นทุกเช้าฃ
พวกเขาต้องเล่น SUDOKU, KEN KEN, CROSSWORD

สำหรับท่านอื่นยังไม่มีวิธีอะไรจับอารมณ์ตัวเองเลย ผมแนะนำวิธีนี้
ตั้งคำมาห้าคำ ระดับปูพื้นเลย
เอาง่ายง่าย ก่อนท่านออกไปซื้ออะไร
ลองทำแบบฝึกหัดนี้ดู

1. นจ
2. อพพีเงย
3. ดยัปหระ
4. เมอยฟืฟุ่
5. ทพมอรัย์อ

1.เฉลย จน
2. เฉลย พอเพียง
3. เฉลย ประหยัด
4. เฉลย ฟุ่มเฟย
5. เฉลย ออมทรัพย์

หลังจากนั้น มาดูว่า ซื้ออะไรมาบ้าง
การใช้จ่ายเงินของท่านเปลี่ยนไปไหม มีสติมากขึ้นไหม

ถ้ามันได้ผล ท่านก็ลองกับตัวเองก่อนเทรดทุกเช้า
เปลี่ยนคำให้เกี่ยวข้องกับการลงทุน
อย่างเว็บนี้ เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าซะส่วนใหญ่

คำที่เกี่ยวข้อง ผมลองมาวันนี้หนึ่งตัวอย่างครับ

ส่อดมควยนาปพื่ผื่ลอเอภัวเ

เฉลย : ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย


เช้านี้เทรดอย่างระดับโลก อย่าลืมจับอารมณ์ตัวเองก่อนเทรดครับ

สวัสดีครับ

[humdrum]

วิธีการบริหารจัดการกับ "อคติ" ของตัวเอง


ก่อนที่ผมจะรู้ว่าจากจำนวน 100 ครั้งที่ผมทำผิดนั้น
99 ครั้งผมจะไม่โทษตัวเองเลยไม่ว่าเรื่องนั้นจะผิดอย่างไร
เป็นเวลาหลายปีที่ผมเริ่มขบวนการ invert ตัวเอง
และจดบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวสิ่งที่ทำในแต่วันมานั่งดูช่วงเย็น
แล้วหาขั้นตอนในการตรวจสอบตนเอง
ทบทวนสิ่งต่างๆ และประเมินตัวเองอย่าไม่เกรงใจ และถามตัวเองว่า

ผมได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง?

แต่ผมก็ยังพลาดอีกจนได้
อคติมีมากมายให้เราค้นหาและได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ
การทบทวน "อคติ" ในแต่วันทำให้ผมมีความรูสึกที่แย่มาก
แต่บ่อยครั้ง "อคติ" เหล่านั้นทำให้ผมประหลาดใจอย่างมาก
ว่าเรามี "อคติ" ตัวนี้ ฝังในตัวเราอยู่ด้วยหรือนี่?
แน่นอนว่าผ่านไปหลายปี ความผิดพลาดย่อมน้อยลง
การวิเคราะห์ตัวเองอย่างปีแล้วปีเหล่า
เป็นวิธีการบริการจัดการ "อคติ" ที่ได้ผลกว่าวิธีอื่นๆ
ที่ผมเคยพยายามใช้มาก่อนทั้งหมด

ผมได้จดลงหัวข้อต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้

1. เราต้องมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับผิดตัวเอง

2. ขณะทำทุกอย่างให้ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า เราทำสิ่งนั้นอยู่ด้วย "อคติ" หรือไม่

3. จดและขีดเส้นใต้ "อคติ" ที่สำคัญเอาไว้

4. อ่านทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองในแต่ละวัน

5. พัฒนาเทคนิคและนำวิธี invert "อคติ" ไปใช้ทุกครั้งเมือมีโอกาส

6. ทำให้การนั่งจับ "อคติ" เป้นเรื่องที่สนุก
โดยการเสนอเงินให้ตัวเองอาจเป็น 100 บาท หรือ ตามที่กำหนด
ทุกครั้งที่เราจับได้ว่า "อคติ" ของเราตัวไหน
ทำให้เราต้องละเมิดสติของเราและจับอคติตัวนั้นไม่ได้

7. ตรวจสอบทุกอาทิตย์ ถามตัวเองอะไรผิดพลาดไป
อะไรที่ต้องปรับปรุง? เรียนอะไรไปบ้าง?

8. คอยเก็บบันทึกไว้ติดตัว เพื่อให้เห้นว่าเราจะนำวิธี invert "อคติ"เหล่านั้น
ที่เราคิดได้ ไปใช้เมื่อไหร่และอย่างไรได้บ้าง
สวัสดีครับ

[humdrum]

ทักษะอะไรที่สำคัญที่สุดถ้าจะลงทุนในตลาด?

ได้ยินหลายคนพูดว่าการ cut loss สำคัญที่สุด

คุณเชื่ออย่างนั้นไหม?

ไม่ทั้งหมด
สาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อหุ้นตั้งแรกสำคัญกว่า
ถ้าเขาไม่ซื้อหุ้น การ cut loss ก็ไม่เกิดขึ้น
การ cut loss เป้นแค่ผลลัพไม่ใช่ต้นตอของสาเหตุ

ในมุมมองของความสัมพันแบบภาพสะท้อน มองเรื่องการ cut loss อย่างไร?

พฤติกรรม cut loss เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่สะะท้อนมาจากโลกภายในของนักลงทุน
คุณภาพของการลงทุนเทคนิคต่างๆ ที่นักลงทุนเอามาปรับใช้
จะไม่สามารถเกินคุณภาพของความคิดที่พวกเขามี
ความหมายของเรื่องนี้คือเรามัวแต่เรียนรู้เทคนิคการ cut loss
สร้างระบบขึ้นมาป้องกันความเสี่ยง
แต่ตลอดเวลาเรายังหล่อเลี่ยงสาเหตุของการตัดสินใจที่ผิดพลาดนั้นไว้ในใจตลอด
เราเฝ้ากังวลที่จะปรับปรุงเงื่อนไขภายนอก
แต่กลับไม่ปรับปรุงเงื่อนไขจากภาย ในที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า

เรามองหาวิธี cut loss มากเกินไป จนละเลยต้นเหตุที่แท้จริง?

cut loss ไม่ใช่วิธีลบภาพสะท้อนจากการวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้า
แต่เทคนิคการ cut loss ในตัวมันเอง
เป็นวิธีการป้องกันที่ทำให้ภาพสะท้อนไม่ได้ขยายวงไปมากกว่านั้น
สิ่งที่ก่อให้เกิดภาพสะท้อนจริงๆ ที่เรียกว่า อคติต่างๆ กลับถูกละเลย
เราเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราคิด
สิ่งที่เราคิดนั้นอาจไม่สอดคล้องกับความป็นจริงที่ปรากฏ
และการ cut lossอาจกลายเป็นอคติอย่างหนึ่งโดยที่เราไม่ทันคิด


หมายถึงว่า เรามีความสุขได้เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่เราถูกบดบังด้วยอคติ?

ถ้าอคตินั้นทำให้เรามีความสุข
ซึ่งไม่แน่เสมอไป ว่าอคติตัวเดียวกันจะส่งผลอย่างไร
แต่ในขณะที่เรายังถูกบอดบังด้วยสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวิต
เราจะลับอาวุธเหล่านั้นไว้ในใจเราตลอดเวลา
และมันอาจกลับมาทำลายตัวเราเองในภายหลัง
เราควรต้องขุดลึกลงไปในใจตัวเองและหาสาเหตุการขาดทุนที่แท้จริง
หาว่าอคติอะไรเป็นตัวสร้างอุปนิสัยในการลงทุนของเรา
อะไรเป็นตัวหล่อหลอมชีวิตที่เราเป้นอยู๋
และเป้นตัวกำหนดชะตากรรมให้เราต้อง cut loss
เรื่องนี้สามารถพิสูจนืได้ด้วยการเผ้าดูตัวเอง
คอยติดตามสาเหตุของการตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวนั้น
คอยติดตามผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
จากนั้นค่อยๆ เชื่อม้หตุและผลต่างๆ เข้าด้วยกัน หาสาเหตไม่ยากครับ

cut loss เป็นวิธีรักษา ไม่ใช่วิธีป้องกัน?



cut loss เหมือนมีดตัดหญ้าในสวนที่คอยตัดวัชพืชออกจากสวน
แต่สาเหตุที่วัชรพืชขึ้นกลับถูกละเลยเพราะนักลงทุนยอมรับว่าวัชรพืชขึ้นในสวน
เป้นเรื่องปกติ เหมือนที่นักลงทุนยอมรับว่าการขาดทุนเป้นเรื่องปกติในตลาดหุ้น
บางคนกลับหล่อเลียง "วัชพืช"นั้นเสียเองด้วยการเพาะพันให้มันออกดอกในจิตตัวเอง ด้วยการทำอย่างนั้น
ไม่นานพวกเขาจะพบว่าพวกเขาเป้นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกับเพาะวัชรพืช
แทนที่จะเปนผู้เชี่ยวชาญเพาะปลุกดอกไม้ทองคำที่มีค่ามากกว่า

คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คิดจะ cut loss ก้ได้ cut loss?


คุณจะได้อยู๋ตรงไหนในชีวิตเพราะตัวคุณเอง
ความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นนิสัยของเราเป็นสาเหตุที่พาเราไปอยู๋ตรงนั้น

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเดินมาผิดทาง?

มองหน้าในกระจกทุกวัน ถามตัวเองว่า
ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา สิ่งที่เรานี้ เรายังอยากทำหรือไม่
ถ้าความรู้สึก ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกิดขึ้น
เราอาจกำลังเดินตกเหวในไม่ช้า

วิธีแก้มีไหมครับ ?

invert สิ่งที่เขาคิด
ถ้าเขาอยาก cut loss ต้องถามว่า อยากซื้อเพิ่มไหม
หรือ cut loss เพราะว่าเขาคาดการณ์ผิดตั้งแต่แรก
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดภายนอกเป้นสัดส่วนกับการเปลียนแปลงภายในเสมอ
สถานการณ์ต่าง ๆไมได้กำนหดให้นักลงทุน cut loss
มันเพียงเปิดเผยสิ่งที่นักลงทุนคนนั้นเป้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก
เขาต้องปรับแต่งภายในจิตใจให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู๋ภายนอก
หยุดโทษสิ่งต่าง ๆ ทีทำให้ตลาดปรับตัวลง
เรียนรู้ที่จะปรับจิตใจให้ยอมรับตามความเป็นจริง
หยุดก้าวโทษ สิ่งแวดล้อมต่างๆ
แต่ต้องเริ่มใช้สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นเป้นเครื่องมช่วยให้เราค้นพบ
สิ่งที่ซ่อนอยู๋ในใจทีแท้จริงที่ทำให้เราต้อง cut loss
ตลาดหุ้นถูกปกครองด้วยความหยุ่งเหยิง ไม่ใช่คณิตศาสตร์
เราไม่อาจเลิอกเหตการณ์ที่จะเกิดขึ้นในตลาดได้
แต่เราเลือกความคิดของเราได้
ซึ่งแน่นอนว่าความคิดจะไปกำหนดสิ่งที่เราทำ
โลกคือกระจกเงา ตลาดหุ้นคือกระจกเงา ตัวเราก็คือกระจกเงา
ทุกอย่างที่ปรากฏออกมาให้เราเห้น
ล้วนเป้นผลมาจากภาพสะท้อนของความคิดภายในจิตใจของคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
และขับเคลื่อยด้วยอคติต่างๆ
เราต้องหาว่าอคติที่ซ่อนอยู่คืออะไร ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญครับ.

[f.escape]

ชอบตรงนี้
คุณจะได้อยู๋ตรงไหนในชีวิตเพราะตัวคุณเอง
ความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นนิสัยของเราเป็นสาเหตุที่พาเราไปอยู๋ตรงนั้น

[humdrum]

ไม่ต้องอ่านหนังสือจิตวิทยาที่ไหนหรอกครับ
ตัวเราเองก็คือครูสอนจิตวิทยาที่ดีที่สุด
มองตัวเองแล้วเข้าใจพื้นฐานอารมณ์ของตัวเองให้มากที่สุด
มองมากๆ นานๆ ถึงระดับตัดความคาดหวังออกให้หมด เหลือแต่ความจริง

ขึ้นไประดับลงทุนในตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นเป็นตลาดของความคาดหวัง
พื้นฐานของบริษัทเป็นเพียงจิตวิทยา
overvalued หรือ undervalued
สุดท้ายมาจบลงที่ "ความเชื่อ" ของคน

[humdrum]

ชาร์ล ดาวิน ใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตจับผิดทฤษฎีของตัวเอง
การโน่นจับนี่จับอะไรว่าสนุก ไม่เท่าจับผิดตัวเอง
จับผิดตัวเองเป็นวิธีการจับอารมณ์อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลอย่างดีครับ
CHALIE MUNGER เรียกวิธีนี้ว่า การ INVERT
GEORGE SOROS เรียกว่า reverse engineer
ผมยกตัวอย่างบทความที่เยี่ยมยอดอันหนึ่ง
และยังสามารถเอาไปดัดแปลงปรับใช้ในเรื่องต่างๆ ได้ ครับ

10 อันดับเหตุผลที่คุณไม่ควรคิดจะเลี้ยงหมาพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์



1) คุณกำลังมองหาหมาที่เลี้ยงไว้นอกบ้าน เจ้าโกลเดนนั้นเป็นหมาที่รักและชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ หากปล่อยให้อยู่ตัวเดียวโดยไม่ได้เล่นกับคุณเจ้าโกลเดนนี่จะหยอยเหงาไร้ความสุขเป็นที่สุด และหากคุณลืมไม่มีเวลาให้โดยกักบริเวณให้อยู่หลังบ้านตลอดเวลาก็จะทำให้มีนิสัยเปลี่ยนแปลงได้ จากหมาที่น่ารัก ร่าเริง ขี้เล่น รักสนุก กลายเป็นหมาเซื่องซึมหรืออาจก้าวร้าวทำลายข้าวของ ชอบเห่าโดยไร้เหตุผลได้ โกลเดนนั้นเหมือนเด็กหากให้ความรักความอบอุ่นและเอาใจใส่ดูแลอย่างดีและเหมาะสม ก็จะเติบโตเป็นหมาที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจมีความสุขทั้งตัวมันเองและเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นก็จะมีนิสัยรักเด็กและเข้ากับสัตว์อื่นๆได้ดี ถ้าคุณไม่ได้ต้องการหมาสำหรับครอบครัว โกลเดนก็ไม่ใช่หมาสำหรับคุณ

2) คุณไม่ชอบหมาที่มีขนยาว โกลเดนนั้นผลัดขนซึ่งและจะมีขนหลุดร่วงมากเกือบตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีขนติดเสื้อผ้าคุณอยู่ตลอดเวลา ขนของโกลเดนต้องการการบำรุงรักษาโดยการอาบน้ำและแปรงขนอย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง และขณะอาบน้ำและแปรงขนจะเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของเจ้าโกลเดนและตัวคุณเอง หากคุณไม่มีเวลาและไม่ชอบอาบน้ำให้หมา โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

3) คุณเป็นคนเจ้าระเบียบและไม่มีอารมณ์ขบขัน โกลเดนจะซนและฝากรอยจมูกบนหน้าต่างทุกบานของบ้าน ทิ้งรอยขาเปื้อนโคลนไว้บนพื้นบ้าน ฝากความรักเป็นรอยเท้าและคราบน้ำลายบนเสื้อผ้าแสนสวยของคุณ อย่าลืมว่าโกลเดน รีทริฟเวอร์ ในภาษาลาตินแปลว่าเอาใส่ในปากและกระโดดโลดเต้นไปมา และนำของกลับมาเป็นสัญชาตญาณ บางครั้งก็จะปีนหรือคาบของของคุณจากในบ้านไปทิ้งไว้นอกบ้าน คงทำใจให้มีความสุขกับความซนของเจ้าโกลเดนไมได้ โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

4) คุณชอบที่จะอยู่เฉยๆนอนดู TV และหวังว่าเจ้าหมาจะทำเหมือนคุณ เจ้าโกลเดนเป็นหมาสปอร์ตติ้ง ด๊อก เป็นหมาเพื่อเกมส์กีฬาล่าสัตว์ ดังนั้นจึงต้องการการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรต้องมีความกระตือรือล้น กระฉับกระเฉง ชอบออกกำลังกายหรืออาจชอบว่ายน้ำด้วยเพราะโกลเดนชอบการเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าคุณเป็นคนมีนิสัยขี้รำคาญ โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

5) คุณต้องเดินทางบ่อยหรือไม่มีเวลาให้ หากคุณจำเป็นต้องเดินทาง ไม่สามารถนำหมาไปได้และต้องฝากเจ้าโกลเดนไว้กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยให้ดูแลแทนบ่อยๆ ก็ควรคิดก่อนว่าคุณสมควรจะเลี้ยงโกลเดนตั้วแต่แรกหรือไม่ เพราะโกลเดนสามารถจำเจ้าของได้เป็นอย่างดี จะเฝ้ารออย่างจดจ่อกับการกลับมาของคุณและคุณเองก็จะรู้สึกผิดกับการที่ต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นรับผิดชอบแทน ถ้าคุณไม่มีเวลาให้มัน โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ


6) คุณไม่ต้องการพบปะกับคนอื่นๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจูงเจ้าโกลเดนทีเป็นมิตรและมีขนที่สวยงามไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาหยุดทักทายกับหมาตัวโปรดของคุณแล้วถามคำถามพูดคุยกับคุณ บางทีหมาเฝ้าบ้านพันธุ์อื่นๆอาจเหมาะสมกว่า
ถ้าคุณไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ


7) คุณต้องการหมาเฝ้าบ้าน โกลเดนจะเป็นมิตรกับทุกคนแม้แต่คนแปลกหน้า อาจจะเห่าเตือน แต่ก็จะเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านแม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักคุ้นเคย คุณต้องการเลี้ยงไว้เฝ้าระวังโขมย โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

8) คุณต้องการเพาะพันธุ์หมาขาย มีโกลเดนจำนวนมากมายที่ถูกเพาะขึ้นมาขายเพื่อที่มุ่งหวังเพียงเพื่อหาเงินจากความเข้าใจผิดว่าสามารถหาเงินได้ง่ายๆ ในความเป็นจริงไม่มีผู้เพาะสมัครเล่นคนใดเลยที่มีกำไรจากการเพาะโกลเดนขาย เนื่องจากค่าเลี้ยงดูอย่างถูกต้องของหมาใหญ่ที่สูง นอกจากนั้นยังมีค่าวัคซีนและค่ารักษาพยาบาลลูกหมาที่เกิดใหม่อีก จึงทำให้โกลเดนที่ถูกปล่อยปะละเลยไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างที่ถูกที่ควรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณเป็นมือสมัครเล่น โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

9) คุณไม่มีสถานที่เพียงพอ โกลเดนเป็นหมาขนาดค่อนข้างใหญ่ จะสูงประมาณ 21-24 นิ้ว หนักประมาณ 29-34 กก จึงควรเลี้ยงไว้ในบ้านที่มีบริเวณบ้านหรือสนามหญ้า ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงในอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดมิเนียมหากจำเป็นต้องเลี้ยงในที่นี้ ควรต้องมีสถานที่ข้างนอกที่จะพาไปเดินเล่นทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายทุกวัน ถ้าคุณไม่มี โกลเดนก็ไม่เหมาะสำหรับคุณ

[humdrum]

ข่าวสถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างนี้
เป็นข่าวหนึ่งที่ช่วยจับอารมณ์ได้ดีครับ

โจรรัสเซียสะอื้น

โจรปล้นร้านทำผมหญิง
กลับถูกจับเป็นทาสบำเรอกาม ให้กินแต่ไวอะกร้า

โจรรัสเซียรายหนึ่งต้องเผชิญชะตากรรมสุดซวย
หลังบุกเข้าปล้นร้านทำผมแต่กลับถูกจับเป็นทาสบำเรอความใคร่เป็นเวลา 3 วัน ก่อนเข้าแจ้งความ โดยนายวิคตอร์ จาซินสกี้ เปิดเผยกับตำรวจว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พยายามเข้าปล้นร้านทำผมแห่งหนึ่ง ในเมืองเมชโชวิคซ์

แต่สถานการณ์กลับตาลปัตร

เมื่อเขาถูกน.ส.ออก้า ซาจัค เจ้าของร้าน ซึ่งมีดีกรียูโดสายดำ ใช้กำลังเข้ากำราบ โดยถูกเตะไปกองลงกับพื้น และถูกลากในสภาพกึ่งหมดสติไปยังหลังห้อง และมัดเข้ากับสายไดร์เปล่าผม

โจรรายนี้ยังกล่าวว่า จากนั้นเขาถูกจับแก้ผ้า และถูกบังคับให้บำเรอกาม โดยเจ้าของร้านหญิงให้เขากินแต่ยาไวอะกร้า และบอกว่า เธอกำลังให้บทเรียนเขา และเขาต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนตกนรกเป็นเวลา 3 วัน ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมา ขณะที่ตำรวจได้เข้าจับกุมน.ส.ออก้า เจ้าของร้านทำผมหื่น และโจรรายนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามฝ่ายหญิงได้ปฎิเสธการกล่าวหาของโจร โดยบอกว่า เธอยอมรับว่ามีเซ็กส์กับโจรรายนี้ แต่เธอก็ได้ซื้อกางเกงยีนส์ ให้อาหารเขา แถมยังให้เงินติดกระเป๋าเขาจำนวน 1 พันรูเบิล ก่อนจะปล่อยโจรรายนี้ออกไป.

[humdrum]

ผมมองว่า CRITICAL MASS มีสองระดับ
ระดับแรกเกี่ยวกับ MONEY กับ SEX
ทั้งสองอย่างนี้ทำให้เกิด CRITICAL MASS ในระดับต้นๆ
ข่าวน้ำท่่วมสามารถทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
น้ำท่วมนวนคร ทำให้คนในหมู๋บ้านผมแตกตื่นอย่างมาก
นั่นระดับต้นๆ ครับ "กลัวเสียเงิน"

ผมยังมีความวิตกกังวลกับ "ข่าวลือ" ในช่วง CRITICAL MASS อย่างนี้
ข่าวลือประเภทนี้จะทำให้สถานการณ์ "ทางจิตวิทยา" แย่ไปอีกหลายร้อยเท่า
และ CRITIACAL MASS ประเภทนี้ยกระดับพ้น MONEY AND SEX
แต่ยกระดับสูงสุดถึง LIFE หรือ "ความกลัวตาย"
ข่าวที่ว่านี้คือ "โรคระบาดที่เกิดจากน้ำท่วม" ที่ทำให้คนตายอย่างรวดเร็ว

น้ำท่วมกับโรคติดต่อ การประเมินความเสี่ยงและมาตรการป้องกัน
http://medipe2.psu.ac.th/~disaster/Flood.htm

[hatehate]

ชอบตรงนี้
คุณจะได้อยู๋ตรงไหนในชีวิตเพราะตัวคุณเอง
ความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นนิสัยของเราเป็นสาเหตุที่พาเราไปอยู๋ตรงนั้น

ชอบที่เดียวกับเลยครับ อิอิ

ปล.เป็นบทความที่ดีมากครับ

[humdrum]

Psychology Test


Fund managersr ต้องถูกทดสอบจากนักจิตวิทยาซึ่งกินเวลาหลายชั่วโมงครับ เขาจะถามกลับไปกลับมาและซ้ำแล้วซ้ำอีก และถามซ้ำอีกและอีก เพื่อพยายามยั่วให้เราโมโห จุดไหนที่เราแสดงอาการลังเล หรือ แสดงอารมณ์ออกมาในคำถามนั้น เขาจะรุกมากเป็นพิเศษ จุดประสงค์เพื่อหา personal flaws ในตัวเราครับ เทรดเดอร์คนไหนขาดความอบอุ่นในวัยเด็ก พวกเขามีแนวโน้มที่จะจัดการกับ “ความเครียด” ระหว่างการลงทุนได้ยากกว่าคนอื่นที่โตขึ้นมาด้วยความอบอุ่นจากครอบครัว

QUESTION OUT : ไม่ว่าอะไรก็ตาม personal flaws จะส่งผลต่อเราไม่มากนัก ถ้าเราได้คาดการณ์และกำหนดภาพของมันได้อย่างชัดเจน การหาเวลากับตัวเองสำหรับเทรดเดอร์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะอยู่กับสมาธิและตัวเองเพื่อฟอกจิตใจของเราให้สดชื่นและปราศจากอคติครับ

QUESTION IN :

1.ชื่อเราความหมายว่าอะไร พ่อ แม่ พี น้อง ด้วยครับ
2.ชื่อเล่นของเรามีความหมายว่าอะไร พี่ น้อง ด้วยครับ
3.เราเกิดที่ไหน เวลาเท่าไหร่
4.พ่อเราจบที่ไหน อาชีพอะไร แม่ละครับ
5.พ่อเราเกิดที่ไหน เวลาเท่าใด แม่ละครับ
6.ปู่ ย่า ตา ยาย ชื่ออะไร
7.บุคลิกพ่อเราเป็นอย่างไร แม่ละครับ
8.พี่ น้อง พ่อเรา ชื่ออะไร แม่ละครับ
9.พ่อ แม่ สอนอะไรเรา ตอนเราเป็นเด็ก
10.พ่อ แม่เรา ทะเลาะกันบ่อยแค่ไหน
11.พ่อ แม่ เราตีเราเวลาเราทำผิดหรือไม่ เราคิดอย่างไรกับพ่อ มันดีกับเราไหม
12.พี่ น้อง เรา เป็นอย่างไร ชื่อ วันเกิด ปีที่จบมหาวิทยาลัย อาชีพ เบอร์โทร นิสัย งานอดิเรก เลือดกรุ๊ปอะไร สีที่ชอบ
13. ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นอย่างไร
14. พ่อ แม่ แต่งงานกันตอนอายุเท่าใด ที่ไหน
15. ความสุขที่สุด ความทุกข์ที่สุดในวัยเด็กคืออะไร
16. กลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต
17.ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แก้ไขอย่างไร
18.อะไรทำให้เราโกรธมากที่สุด เพราะอะไร
19.จุดแข็ง จุดอ่อนของเรา คืออะไร
20.ถ้าเปลี่ยนแปลงอดีตได้ จะเปลี่ยนแปลงอะไร
21.ความฝันในชีวิต คืออะไร
22.เคยทำผิดกฏของโรงเรียนไหม อะไร เพราะอะไร
23.เคยมีแฟนไหม ทำไมเลิกกัน ถ้ายังไม่เลิกกัน เพราะอะไรถึงคบกันอยู่
24.แฟนมีนิสัยอย่างไร ถ้าถามแฟนว่าเรามีนิสัยอย่างไร แฟนจะตอบอย่างไร
25.เราดูดบุหรี่ กินเหล้าหรือไม่ ถ้ามันไม่ดีแล้ว ยังทำอยู่ทำไม เพราะอะไร
26.อะไรทำให้เราหัวเราะ
27.อะไรทำให้ตื่นเต้น
28. ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นเพราะอะไร จะแก้ไขอย่างไร

[humdrum]

ดูพระเอกเรื่อง Revolver เอาชนะ "อคติ" ตัวเอง
เรื่องนี้ฝรั่งโวตกันให้เป็นหนังที่เข้าใจยากที่สุด 10 ลำดับแรก
ผมไม่แปลกใจว่าทำไม Hedge Fund Manager จึงต้องแนะนำให้ดูเรื่องนี่กันครับ
"การตะหนักรู้ในตนเอง" เป็นทักษะที่โซรอสให้ความสำคัญมากที่สุดครับ

[humdrum]

เหมือนหนังเรื่อง REVOLVER ที่ช่วยฝึกจับอารมณ์
ต่างกันที่เรืองนี้ "SHERLOCK HOLMES " ใช้เทคนิคที่ต่างออกไปในการจับอารมณ์ของตนเอง เทคนิคนี้ เรียกว่า "Visualization"
การมองไปข้างหน้า แล้วหาทางป้องกันเป็นทักษะ risk managment ที่โซรอสให้ความสำคัญมากๆเช่นเดียวกันครับ

สำหรับความคิดผมที่แรบไบโซรอสอนเรื่องการมองภาพสิ่งต่าง ๆ ให้ชัดเจนเป็นภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส มีตัวตนก่อนที่จะตัดสินใจนั้นอาจเนื่องมาจากวิธีนี้มองให้ดีเป็นการใช้ "ประสาทสัมผัส" ของเราทุกส่วนในการลงทุน ซึ่งเป็น "สัญชาติญาน" ดั้งเดิมของมนุษย์ที่คนสูญเสียไปอันเนื่องจาก "ระบอบทุนนิยม" ที่สร้างความสะดวกสบายให้คนได้เสพติดจนขาดสัญตชาญในการเอาตัวรอดครับ

[humdrum]

หนังเรื่อง "Paycheck" เรื่องนี้มันสุดๆ ครับ
อธิบายประโยคที่โซรอสพูดไว้นี้ได้ดีครับ

"อนาคตเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ ความคิดใด ๆ ที่เกี่ยวกับอนาคตเป็นสิ่งที่มีอคติ ผมไม่ได้หมายความว่าความเชื่อและความจริงมีอยู่อย่างอิสระ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผมได้บอกไว้ในทฤษฎีการสะท้อนกลับ คือ สิ่งที่ความเชื่อทำ คือ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง แต่การบิดเบือนสามารถแยกออกในสองทิศทาง ผู้มีส่วนร่วมไม่เพียงปฏิบัติอย่างมีอคติเท่านั้น แต่อคติของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อวิถีทางของเหตุการณ์ด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความประทับใจว่าพวกเขาสามารถคาดการณ์พัฒนาการในอนาคตได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในความจริง ไม่ใช่ความคาดหวังในปัจจุบันที่ไปสอดคล้องกับสิ่งที่คาดหวังในอนาคต แต่เหตุการณ์ในอนาคตถูกกำหนดให้เกิดขึ้นไว้แล้วโดยความคาดหวังในปัจจุบัน"

ความเสี่ยงที่เกิดจาก "การรับรู้ที่บกพร่องของนักลงทุน"
ข้อควรระวัง : เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าระบบการลงทุนหรือหลักความคิดการลงทุนที่เราใช้นั้นได้ผลจนเราสามารถพอร์ตบริหารพอร์ตของเราให้โตไปได้ขนาดนั้น จนกระทั้งเราเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของตัวเราเต็มที่แล้ว ด้วยกระบวนการนี้เอง การสะท้อนกลับกำลังก่อร่างขึ้นอย่างช้า ๆ กลยุทธ์ที่เราเชื่อมั่นจะเป็นตัวทำลายพอร์ตของเราเสียเองครับ

ผมแนะนำให้รู้จักกับ"ความยึดติด" ครับ สิ่งนี้คือศัตรูที่สำคัญที่สุดในตัวของท่านเองและเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิด "กระบวนการสะท้อนกลับ" และเป็นสาเหตุการจบลงของนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นหรือยึดติดในสิ่งหนึ่งมากเกินไป

ยิ่งพวกเขาใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ทำให้ประสบความสำเร็จมากเท่าใด จุดจบยิ่งใกล้มากเท่านั้น เป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พวกเขาทำอยู๋ทุกวันครับ การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความไม่แน่นอน

แต่ความแน่นอนไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง Reflexivity ความไม่แน่นอนต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก เรื่อง Reflexivity ถึงไม่ค่อยเป้นที่สนใจนัก ยกเว้นนักลงทุนที่เป็นนักล่าอนานิคมทางการเงินในตลาดหุ้นที่เขาทราบดีว่า Reflexivity เป็นบ่อเกิดของความไม่มีระเบียบในตลาดเงินครับ.

[humdrum]

สวัสดีครับ
สถานการณ์น้ำท่วมเข้ากรุงตอนนี้
ทุกคนมีอาการวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้ากันหมดครับ
บ้านใครเป็นทางผ่านของน้ำ
ผมขอเป็นกำลังใจครับ

ผมขอแนะนำวิธีสู้กับ "น้ำ"
จะสู้กับน้ำ
ก่อนอื่นบางท่านสร้างกำแพงรอบบ้านท่านอย่างเดียว
ผมขอแนะนำให้ท่านสลายกำแพง
แต่เป็นการสลาย "กำแพงอัตตา"ในตัวท่านเองก่อนลำดับแรก
ให้มันมี "ขนาดตัวตน" ขนาดเท่าที่ "จำเป็น"
สำหรับกับใช้ในการต่อสู้กับ "น้ำท่วม" เท่านั้น
ไม่ให้มันมากเกินไปขนาดที่รู้สึกว่ามันมีความเข้มข้นมาก
กระทั่งว่าตัวตนของเรานี้มันทำให้เราเกิดความยึดติดมากจนเกินไป

บางท่านมีทั้ง IQ มีทั้ง EQ แม้มีถึง 2 อย่าง ก็ยังสัมฤทธิ์ผลสู้ "น้ำท่วม"ไม่ได้
ถ้าหากว่ายังไม่เข้าใจ “อัตตา” ของตนเองว่ามันควรมีมากแค่ไหน
บางทีเราไม่รู้หรอกว่า “อัตตา”
มันไม่ได้ตั้งอยู๋ใน "สภาพที่มันควรเป็น" ขณะที่เราเจออุปสรรคต่างๆ
และเป็นสาเหตุของความลำบากลำบนเปล่าๆ ครับ

ทุกคนมีปัญหาเรื่อง “อัตตา” นี้กันหมด ไม่มีขอบข่ายข้อยกเว้น
ไม่ว่าเป็นนักลงทุนแบบ valuation , technical , fund flow หรือแม้แต่ reflexivity
ขออย่างเดียวว่า "ยอมรับ personal flaws" ของตัวเอง
เราต้องรู้เสียก่อนว่าเราเป็น "โรคทางจิต" มากน้อยอย่างไรบ้าง
โรคกลัวขาดทุน อีโก้สูง กลัวผิด กลัวความขัดแย้ง
โรคหลีกเหลี่ยงความเครียด หรือว่า ตัดสินใจไม่ได้เลย
ถ้าไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหา
ต่อให้กั้น "กำแพงสูงขนาดไหน" ก็ไม่เป็นประโยชน์ครับ.

[humdrum]

ช่วงอย่างนี้ ผมจะนึกถึงคำกล่าวหนึ่งเป็นพิเศษ

"สถานการณ์ที่ไม่ปกติการทำสิ่งที่ไม่ปกติจึงเป็นเรืองปกติ"
ใครพูดหรือครับ พ่อโซรอสครับ
"ทักษะการเอาตัวรอด" ในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

เมื่อวานผมอ่านข่าวที่ไม่ค่อยเห็นในช่วงปกติคือ
"พระทำกับข้าวเลี้ยงชาวบ้าน"
ช่วงอย่างนี้ สำหรับ "จิตวิทยาฝูงชน"
นักข่าวจะเอาเรื่อง "สิ่งที่ไม่ควรเป็น" ขึ้นหัวข่าวไว้ก่อน
ช่วงอย่างนี้ ให้ระวัง "ช่องว่าง"ที่อยู๋ตรงกลาง
ระหว่าง "สิ่งที่ควรเป็น" กับอีกฝั่งคือ "สิ่้งที่เกิดขี้นจริง"
จับ"อารมณ์" ที่อยู่ใน "ช่องว่าง"นั้นให้ได้
อ่านข่าวอย่างนี้แล้วอย่าไปวิจารย์คนอื่น
จัด INVERT ไป
พลิกดวงตาของท่านมองเข้าไปข้างในตัวท่านเอง
แล้วถามว่า " ถ้าท่านอยู๋ในเหตุการณ์อย่างนั้นบ้าง ท่านจะทำแบบเขาไหม"
อย่าไปวิจารย์อื่น มันวิจารย์ไม่ได้
เพราะ "ช่องว่าง" ของเขากับ "ช่องว่าง" ของเรา
ตำแหน่งที่เรายืนอยู๋กับตำแหน่งที่เขายืนอยู๋มัน "สลับ" ที่กันครับ
จับเราไปอยู่ "ตำแหน่งเดียว" กับเขา แล้วจะเข้าใจ "จิตวิทยาฝูงชน"

สวัสดีครับ

[humdrum]

ใน ช่วงความผันผวนสูง
ข่าวผู้บริหารออกข่าวจะมากกว่าปกติ
นั่นถือว่าผิดปกติในช่วงปกติ
แต่ปกติในช่วงสถานการณ์ผิดปกติอย่างนี้

ในเวลามีความผันผวนค่อนข้างสูงกว่าปกติอย่างในตอนนี้
รับมือกับมันอย่างไร?
ก่อนอื่นทำความเข้าใจกับ ความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอน เกิดมาได้อย่างไร?
ความไม่แน่นอนเกิดจากความแน่นอนครับ

ใน ใจของท่านก่อนทั้งนั้นที่ท่านต้องการให้ทุกอยางมันแน่นอนสำหรับท่าน
ยิ่งค้นหาความแน่นอนมากเท่าไหร
ท่านก็พบความยากลำบากในการรับมือกับความไม่แน่นอมากเท่านั้น
ลด ความคาดหวัง ในตัวท่านเองให้น้อยที่สุด คือ วิธี รับมือกับ ความไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอนจะไม่มีตัวตนอยู่เลยถ้าท่านไม่คาดหวังอะไรเลย
และอยู่กับ "ความจริง" ให้มากที่สุด

สำหรับตลาดหุ้นที่เป็นตลาดของความคาดหวังของคน
ตลาดหุ้นเป็นตลาดของ "ความเชื่อ"
จงหลีกเหลียงกลุ่มขนาดกลางและเล็ก
ตัวไหนมีข้อมูลประวัติน้อย
ข้อมูลการเงินน้อย
ชั่วโมงบินผ่านช่วงวิกฤตต่างๆ ไม่มี
ข้อมูลย้อนค่อนข้างสั้น
งบประกอบการน้อย
ไม่สำคัญเท่า "ผู้บริหารก็ยังไม่เป็นที่คุ้นเคย"
ความ "เชื่อมั่นเชื่อถือ" ยังมีไม่มาก
CORPORATE GOVERNANCE ไม่ชัดเจน
"ระมัดระวัง" ให้มากเข้าไว้ครับ

[humdrum]

ใครกลัว "น้ำเข้า" บ้าน เห็นรูปนี้แล้วต้องระวัง "น้ำเขื่อนแตก"
ในช่วงเวลาแห่ง "ความไม่แน่นอน" อย่างนี้
ใครก็ไม่อยากเจอ "ความทุกข์" ถ้าไม่จำเป็น
ใช่ไหมครับ?
ถ้ามันหนีมัน จัด INVERT มันไปเลย
ยอมรับมันไปเลย
ถ้าเป็นอย่างนั้น ความทุกข์มันหายไปเลยนะ
จากตอนแรก สร้างโน้นสร้างนี้ป้องกันน้ำ
พอมันแตก ก็ตกใจกันใหญ่
มันไม่ได้เคยเพราะน้ำแตก แต่คนเอาอะไรไปขวางมันไว้
ถ้าไม่ขวาง มันก็ไม่มีแตกหรอก
เหมือนรูปข้างบนอย่างไรอย่างนั้น
ขวางนิด ขวางหน่อย "น้ำเขื่อน" แตกกระจาย

พอเรา INVERT แล้ว
ความสนใจของผมไม่ได้อยู๋ที่หลีกหนีความเจ็บปวดที่เกิดจากน้ำท่วม
ไม่ได้อยู่ที่การหลีกเหลี่ยง ความขัดแย้ง ความคลุมเครือ ความสับสน
ไมได้อยู่ที่การวิ่งหนี "ความทุกข์"
แต่อยู๋ที่การให้มองเห็นความหมายใน "ความทุกข์" ที่เรากำลงเผชิญอยู่
เปลี่ยนทัศคติทีมีต่อ "ความทุกข์" ให้หมดครับ
แล้ว "ความทุกข์" จะไม่ใช่ความทุกทรมานอีกต่อไปเลย
คุณจะกลายเป็น "วีรบุรษ"
ยกเว้นว่า...
คุณเป็นคนประเภทที่ชอบสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเอง
อย่างนั้นก็ระวัง "น้ำเขื่อนแตก" ครับ

[humdrum]

น้ำในโลกเรามันเป็น "ระบบปิด"
ทั้งจืดทั้งเค็มรวมกัน มันมีอยู่ประมาณห้าร้อยกว่าล้าน ลูกบาศก์กิโลเมตร
มันมีเท่านี้ตั้งแต่ 4000 กว่าล้านปีที่แล้ว
ปีนี้มันแวะมาบ้านเราเยอะหน่อยเท่านั้นเอง

ร่างกายเราเป็น "ของเหลว" มากกว่า "ของแข็ง"
ต้องกลัว "ขาดน้ำ" มากกว่า "น้ำเกิน"
ถ้าเราขาดน้ำเป็นอย่างไร?
ริมฝีปากจะหายไปก่อน
ตามมาจมูกหดไปเรื่อยๆ
เหงือกจะดำ
ผิวรอบดวงตาหดไปจนกระพริบตาไม่ได้

โห.....มาเถอะ
ไม่อยากเหงือกดำไปมากกว่านี้

[humdrum]

“ภัยแล้งปี 53” ภัยเงียบที่เราต้องตระหนัก

“กระทั่งตอนนี้กรุงเทพฯ ต้องดึงน้ำมาจากจังหวัดกาญจนบุรี (ผ่านแม่น้ำแม่กลอง) มาสำรองเพื่อใช้ทำน้ำประปา”

ปีนี้กรุงเทพไม่ส่งน้ำไปกาญจนบุรีบ้าง?

[humdrum]

My theory is the future is unpredictable , therefore I am not going to predict , it depends on how the authorities act and on how the market responds , The future is going to be determined as we go along ”

"it depends on how the authorities act and on how the market responds" นี่เป็นช่วงเวลาของคนที่สนใจทฤษฎีโซรอส
ใครอ่านทฤษฎีไม่เข้าใจ
นี่ละช่วงดูตัวอย่างจริงจากภาคปฏิบัติ
ปล่อยพลาดไปเสียดายครับ
เช้านี้รถแถวงามวงวานรถติดหนัก
เนื่องจากคนหนีน้ำท่วมเอารถขึ้นไปจอดบนสะพานลอยข้ามแยก
ในช่วงอย่างนี้....
"เหตุการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงผิดปกติถือว่าปกติ"
แต่นั่นไม่น่าสนใจสเท่า...
สิ่งที่น่าสนใจกว่าที่ต้องถามสำหรับคนที่สนใจเรื่อง reflexivity
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรที่เกิดจาก market responds
"การเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มเป็นสิ่งที่หลีกเหลี่ยงไมได้
คำถาม คือ ต้อง บอกจุดเปลี่ยนของแนวโน้มให้ได้
ถ้าเหตุกาณ์ "กลับตาลปัตร"
ใส่ข่าวลือลงไป "สะพานโยก"
แบบตอน "เขมร" เหนียบกันตาย
CRITIMAL ระดับสองรุนแรงครับ

[humdrum]

ที่หมู๋บ้านผมก่อกำแพงกั้นเหมือนตอนกรุงศรีอยุธยาเลย
คิดถึงตอนพระเจ้าตากฝ่าวงล้อมออกไปนะครับ

หลายบ้านทิ้งบ้านไปก่อนน้ำจะถึง
รวมถึงครอบครัวผมด้วย

แต่ผมไม่หนีครับ
ผมเคยหนีแผ่นดินไหว
เคยหนีพายุหิมะ
เคยหนีพายุทะเลทราย
เคยหนีโทเนโดมาตั้งหกปี

ผมจะไม่หนีอีกแล้ว
ผมเคยหนีมาแล้ว

นี่คือโอกาสทองของการฝึก "กรรมฐาน"
อดข้าว อดน้ำ ทนความยากลำบาก
เวลาแห่งการทำความเข้าใจกับ "ความกลัว"
ความยากลำบากมาหาเราเอง
ผมมองวานี่คือโอกาสที่จะ "พัฒนา" ตัวเราเองครับ

[humdrum]

รากฐานของแนวทางของโซรอสมาจากเรื่อง "ความบกพร่องในการเข้าใจของคน"
ผมขอเรียกสั้นๆ ว่า "อคติ" ครับ โดยเฉพาะในช่วงเวลาไร้ระเบียบอย่างนี้
เอาง่ายๆ ครับ "อคติ"ใกล้ตัวท่านที่สุดตอนนี้ก็คือ
อย่างความเห็นต่างๆ ในเว็บนี้
ถ้าเราชอบใคร เราจะติดตามในสิ่งที่เขาโพส
ร้อยทั้งร้อย เราจะอ่านแต่คนที่มีความคิดเห็นคล้ายกับเราครับ
ผมแนะนำให้อ่านคนทีเราไม่ชอบหรือมีความคิดเห็นตรงข้ามกับเราด้วย

ใน ช่วงนี้ ข่าวหนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ
ข่าวพวกนั้นมี "อคติ" อย่างมาก อ่านก็ให้ระวังครับ
อคติอย่างไรครับ?
มันมีแนวโน้มเอียงไปทางอื่น "ผิดปกติในทางร้าย"
ลองถามตัวเองดูครับว่าเราดูอะไรครับ?
สิ่งที่เราดูจริงๆ คือ "เหตการณ์ที่แปลกและเป็นเรื่องไม่ดี"
ตอนนี้เราจะไม่ได้เห็นฉบับไหน ทีวีช่องไหน พาดหัวข่าว
" สมชายเก็บเงินได้คืนเจ้าของ"
มันขายไมได้หรอกครับ ข่าวอย่างนั้น

อ คติของข่าวในช่วงนี้โน้มไปทางข่าวร้ายกันหมด
ใครก็มองว่าข่าวน้ำท่วมมัน "ตื่นตาและตื่นเต้น"
เราจะได้อ่านข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
เพราะมันขาย "จิตวิทยาฝูงชน" ได้
ผลกระทบกับคนอ่านคือ
มันจะทำให้ท่านมี "มุมมอง"ต่อ "ความจริง" ที่ผิดเพี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่ท่านไม่ทันรูู้ตัวเลย นอกจากท่านฝึกจับ "อารมณ์" ตัวเองบ่อยๆ

ในการลงทุนในช่วง "ข่าวร้าย" ครองเมืองนั้น
การมีมุมมองเกี่ยวกับ "จิตวิทยาฝูงชน" อย่างถูกต้อง
มีประโยชน์ในการประเมิณ "ความเสี่ยง" อย่างมาก

อย่างถ้าท่านขับรถช่วงนี้ ไม่ว่าท่านมีทักษะขับรถที่ดีมากแค่ไหน
ให้ระวัง "ไฟเหลือง" ให้ดีครับ
ช่วงผิดปกติอย่างนี้ หลายท่านขาดสมาธิในการขับรถ
หลายท่านห่วงบ้าน หลายบ้านคิดอย่างเดียวเอาตัวรอด
สัญชาตญาณดิบของคนจะถูกดึงออกมา

หลายท่านจะกลายเป็นกระทิง
เห็น ไฟเหลือง แล้วเหมือนเห็นผ้าแดง เห็นเมื่อใดพุ่งใส่ทันที
พฤติกรรม "ฝ่าไฟเหลือง" จะมากกว่าปกติในช่วงอย่างนี้
ถามคนที่เคยฝ่า "ไฟแดง" ละครับ
เขาทราบดีเพราะอะไร?

ระวัง "กระทิง" ให้ดีครับ