อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 1
อดีตแชมป์ยิมฯ ตกอับ เร่ขายเหรียญทองประทังชีพ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก eastday.com, wenweipo.com, sohu.com
ชีวิตของคนเราไม่แน่ไม่นอนเลยจริง ๆ เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่า คนที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิต แต่ทว่าวันหนึ่ง ชีวิตของเขาคนนั้น กลับพลิกผันร่วงตกลงมาราวกับอดีตเป็นเพียงฝันหวาน และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่บอกเล่าสัจธรรมชีวิตได้เป็นอย่างดี
ภาพของชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งที่กำลังเดินเร่ขายเหรียญทองใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟฟ้าหวังฝูจิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน กลายเป็นภาพคุ้นตาของผู้ที่สัญจรไปมายังเส้นทางนั้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานีรถไฟฟ้าที่มักจะเดินเข้ามาไล่ชายหนุ่มคนดังกล่าวให้ออกไปอยู่เสมอ ๆ ซึ่งหากมองผ่าน ๆ อาจจะเข้าใจได้ว่า ชายคนดังกล่าวเป็นเพียงแค่ "ขอทาน" ทั่ว ๆ ไป แต่ใครจะรู้บ้างว่า ชายหนุ่มคนดังกล่าวแท้จริงแล้วเคยเป็นถึงนักกีฬายิมนาสติกผู้เกรียงไกรของประเทศจีน และเคยผงาดคว้าเหรียญรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน
โดยหนุ่มคนดังกล่าวมีนามว่า "จาง ซ่างอู่" อายุ 27 ปี หากย้อนกลับไปเมื่อปี 1994 เขาติดทีมชาติจีนในฐานะนักกีฬายิมนาสติกเป็นครั้งแรก และจากนั้นมา "จาง ซ่างอู่" ก็เดินสายแข่งขันยิมนาสติกรายการระดับนานาชาติจนกวาดเหรียญทองมานับไม่ถ้วน แต่แล้วชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์กลับพลิกผัน เมื่อในปี 2003 "จาง ซ่างอู่" ประสบกับอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เอ็นข้อเท้า ทำให้เขาชวดไปแข่งขันยิมนาสติกในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และหลังจากนั้นมาชื่อของ "จาง ซ่างอู่" ก็ไม่อยู่ในโผนักกีฬาทีมชาติอีกเลย
จะว่าไปก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหลัง "จาง ซ่างอู่" พ้นจากสภาพความเป็นนักกีฬาทีมชาติแล้ว ชีวิตของเขาก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเขาได้ฝึกฝนเฉพาะด้านการกีฬามาตั้งแต่เล็ก ๆ และแทบไม่ได้เรียนหนังสือ จึงไม่มีความสามารถด้านอื่น ๆ ที่จะไปทำงานกับใครได้ จนกระทั่งมาถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ถึง 2 ครั้งในปี 2007 และถูกตัดสินใจจำคุกนานกว่า 3 ปี
หลังจากนั้นมา ชื่อของ "จาง ซ่างอู่" ในฐานะแชมป์ยิมนาสติกที่ทำให้ชาวจีนภาคภูมิใจก็เริ่มเลือนหายไปจากสังคม จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ชาวไซเบอร์ที่ใช้นามแฝงว่า "หลางเฟิง" ได้ไปพบเห็นเขากำลังเดินเร่ขายเหรียญรางวัลแถวสถานีรถไฟฟ้าหวังฝูจิ่ง ที่กรุงปักกิ่ง จึงได้ถ่ายรูปเขามาโพสต์ในอินเทอร์เน็ต จนกลายเป็นข่าวดังขึ้นมา
โดยหนุ่มจาง ซึ่งเพิ่งพ้นโทษจำคุกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ออกมาโชว์ลีลายิมนาสติกให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาชม เพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาซื้อเหรียญทองของเขา โดยอดีตนักยิมนาสติก บอกกับนักข่าวว่า เหรียญเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหรียญเกียรติยศของเขา แต่วันนี้ หากมันสามารถแลกเป็นค่าอาหารได้บ้างก็พอใจแล้ว เพราะเขาไม่สามารถไปทำงานอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นงานรับจ้างใช้แรงงาน หรือยาม เนื่องจากคนมองว่าเขาซึ่งสูงเพียง 151 เซนติเมตรนั้นตัวเล็กเกินไป และเขายังบาดเจ็บเรื้อรังด้วยอาการเอ็นข้อเท้าเสื่อมจากการฝึกซ้อมอย่างหนักสมัยเป็นนักกีฬาทีมชาติ
ทั้งนี้ หลังจากเรื่องราวของ "จาง ซ่างอู่" ถูกเปิดเผยออกมาก็ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพูดถึงประเด็นนี้กันมากขึ้น อย่างเช่น "สิง อ้าวเหว่ย" หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมยิมนาสติกของ "จาง ซ่างอู่" ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจหนุ่มจาง และขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือหนุ่มจางด้วย เพราะยังไงเสียเขาก็เคยสร้างชื่อให้กับประเทศชาติในอดีต ขณะที่ "ฟ่าน หงปิน" อดีตโค้ชทีมชาติที่เคยฝึกสอนหนุ่มจาง กลับบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่หนุ่มจางหลุดออกจากทีมชาติ และเหตุที่ทำให้ชีวิตเสื่อม เกิดขึ้นเพราะหนุ่มจางทำตัวเอง
นอกจากนี้ เรื่องราวดังกล่าวยังทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามไปยังสมาคมยิมนาสติกแห่งประเทศจีน ว่าทำไมจึงไม่ดูแลอดีตนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งทางสมาคมฯ ก็ชี้แจงว่า เคยให้โอกาสหนุ่มจางเลือกเส้นทางชีวิตหลังออกจากทีมชาติแล้ว ซึ่งครั้งนั้น จาง ซ่างอู่ ตัดสินใจจะรับเงินช่วยเหลือจากสมาคมฯ ประมาณ 63,220 หยวน และตัดสินใจออกไปหางานทำเอง
อย่างไรก็ตาม "จาง ซ่างอู่" ไม่ใช่อดีตนักกีฬาจีนที่ตกอับและกลายเป็นข่าวขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะก่อนหน้านี้ "อ้าย ตงเหมย" นักกีฬามาราธอนหญิงของจีน ก็เคยเร่ขายเหรียญรางวัลของเธอ หลังจากเธอหลุดจากทีมชาติพร้อม ๆ กับสามีที่ตกงานในช่วงปี 2007 ทำให้เธอและครอบครัวต้องออกมาอาศัยกระท่อมที่สร้างเองอยู่ริมถนน และขายเสื้อผ้าเด็กหาเลี้ยงชีพ
เช่นเดียวกับ "โจว ชุนหลาน" อดีตนักยกน้ำหนักหญิงทีมชาติจีนที่เคยทำลายสถิติโลกไว้ แต่ต้องลาวงการลูกเหล็กไปด้วยอาการบาดเจ็บที่หลังและเอวเรื้อรัง จนเมื่อปี 2006 มีคนไปพบ "โจว ชุนหลาน" รับจ้างนวดผู้คนในสถานอาบน้ำสาธารณะเพื่อแลกกับรายได้เพียงครั้งละ 1.45 หยวนเท่านั้น แต่โชคดีที่มีคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอลงทุนเปิดร้านซักรีดให้ จนวันนี้ "โจว ชุนหลาน" เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีอดีตนักกีฬายกน้ำหนักที่ชื่อว่า "ไช่ หลี่" ซึ่งเคยคว้าเหรียญทองการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์เมื่อปี 1990 แต่เมื่ออายุมากขึ้นต้องออกจากทีมชาติ และผันตัวมาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 2003 จากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมยกน้ำหนักมาอย่างหนักตลอดชั่วชีวิต
ที่น่าสนใจคือ หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ สปอร์ต ยังรายงานด้วยว่า ในจำนวนนักกีฬาทีมชาติจีนที่เลิกเล่นไปแล้วกว่า 300,000 คน พบว่า อดีตนักกีฬากว่า 80% ยังต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักในอดีต อีกทั้งบางคนต้องกลายเป็นผู้พิการ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนต้องประสบปัญหาว่างงาน ความยากจน เพราะขาดการศึกษาอีกด้วย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณภาพประกอบจาก eastday.com, wenweipo.com, sohu.com
ชีวิตของคนเราไม่แน่ไม่นอนเลยจริง ๆ เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่า คนที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิต แต่ทว่าวันหนึ่ง ชีวิตของเขาคนนั้น กลับพลิกผันร่วงตกลงมาราวกับอดีตเป็นเพียงฝันหวาน และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่บอกเล่าสัจธรรมชีวิตได้เป็นอย่างดี
ภาพของชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งที่กำลังเดินเร่ขายเหรียญทองใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟฟ้าหวังฝูจิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน กลายเป็นภาพคุ้นตาของผู้ที่สัญจรไปมายังเส้นทางนั้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานีรถไฟฟ้าที่มักจะเดินเข้ามาไล่ชายหนุ่มคนดังกล่าวให้ออกไปอยู่เสมอ ๆ ซึ่งหากมองผ่าน ๆ อาจจะเข้าใจได้ว่า ชายคนดังกล่าวเป็นเพียงแค่ "ขอทาน" ทั่ว ๆ ไป แต่ใครจะรู้บ้างว่า ชายหนุ่มคนดังกล่าวแท้จริงแล้วเคยเป็นถึงนักกีฬายิมนาสติกผู้เกรียงไกรของประเทศจีน และเคยผงาดคว้าเหรียญรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน
โดยหนุ่มคนดังกล่าวมีนามว่า "จาง ซ่างอู่" อายุ 27 ปี หากย้อนกลับไปเมื่อปี 1994 เขาติดทีมชาติจีนในฐานะนักกีฬายิมนาสติกเป็นครั้งแรก และจากนั้นมา "จาง ซ่างอู่" ก็เดินสายแข่งขันยิมนาสติกรายการระดับนานาชาติจนกวาดเหรียญทองมานับไม่ถ้วน แต่แล้วชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์กลับพลิกผัน เมื่อในปี 2003 "จาง ซ่างอู่" ประสบกับอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เอ็นข้อเท้า ทำให้เขาชวดไปแข่งขันยิมนาสติกในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และหลังจากนั้นมาชื่อของ "จาง ซ่างอู่" ก็ไม่อยู่ในโผนักกีฬาทีมชาติอีกเลย
จะว่าไปก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหลัง "จาง ซ่างอู่" พ้นจากสภาพความเป็นนักกีฬาทีมชาติแล้ว ชีวิตของเขาก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเขาได้ฝึกฝนเฉพาะด้านการกีฬามาตั้งแต่เล็ก ๆ และแทบไม่ได้เรียนหนังสือ จึงไม่มีความสามารถด้านอื่น ๆ ที่จะไปทำงานกับใครได้ จนกระทั่งมาถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ถึง 2 ครั้งในปี 2007 และถูกตัดสินใจจำคุกนานกว่า 3 ปี
หลังจากนั้นมา ชื่อของ "จาง ซ่างอู่" ในฐานะแชมป์ยิมนาสติกที่ทำให้ชาวจีนภาคภูมิใจก็เริ่มเลือนหายไปจากสังคม จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ชาวไซเบอร์ที่ใช้นามแฝงว่า "หลางเฟิง" ได้ไปพบเห็นเขากำลังเดินเร่ขายเหรียญรางวัลแถวสถานีรถไฟฟ้าหวังฝูจิ่ง ที่กรุงปักกิ่ง จึงได้ถ่ายรูปเขามาโพสต์ในอินเทอร์เน็ต จนกลายเป็นข่าวดังขึ้นมา
โดยหนุ่มจาง ซึ่งเพิ่งพ้นโทษจำคุกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ออกมาโชว์ลีลายิมนาสติกให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาชม เพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาซื้อเหรียญทองของเขา โดยอดีตนักยิมนาสติก บอกกับนักข่าวว่า เหรียญเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหรียญเกียรติยศของเขา แต่วันนี้ หากมันสามารถแลกเป็นค่าอาหารได้บ้างก็พอใจแล้ว เพราะเขาไม่สามารถไปทำงานอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นงานรับจ้างใช้แรงงาน หรือยาม เนื่องจากคนมองว่าเขาซึ่งสูงเพียง 151 เซนติเมตรนั้นตัวเล็กเกินไป และเขายังบาดเจ็บเรื้อรังด้วยอาการเอ็นข้อเท้าเสื่อมจากการฝึกซ้อมอย่างหนักสมัยเป็นนักกีฬาทีมชาติ
ทั้งนี้ หลังจากเรื่องราวของ "จาง ซ่างอู่" ถูกเปิดเผยออกมาก็ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพูดถึงประเด็นนี้กันมากขึ้น อย่างเช่น "สิง อ้าวเหว่ย" หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมยิมนาสติกของ "จาง ซ่างอู่" ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจหนุ่มจาง และขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือหนุ่มจางด้วย เพราะยังไงเสียเขาก็เคยสร้างชื่อให้กับประเทศชาติในอดีต ขณะที่ "ฟ่าน หงปิน" อดีตโค้ชทีมชาติที่เคยฝึกสอนหนุ่มจาง กลับบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่หนุ่มจางหลุดออกจากทีมชาติ และเหตุที่ทำให้ชีวิตเสื่อม เกิดขึ้นเพราะหนุ่มจางทำตัวเอง
นอกจากนี้ เรื่องราวดังกล่าวยังทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามไปยังสมาคมยิมนาสติกแห่งประเทศจีน ว่าทำไมจึงไม่ดูแลอดีตนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งทางสมาคมฯ ก็ชี้แจงว่า เคยให้โอกาสหนุ่มจางเลือกเส้นทางชีวิตหลังออกจากทีมชาติแล้ว ซึ่งครั้งนั้น จาง ซ่างอู่ ตัดสินใจจะรับเงินช่วยเหลือจากสมาคมฯ ประมาณ 63,220 หยวน และตัดสินใจออกไปหางานทำเอง
อย่างไรก็ตาม "จาง ซ่างอู่" ไม่ใช่อดีตนักกีฬาจีนที่ตกอับและกลายเป็นข่าวขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะก่อนหน้านี้ "อ้าย ตงเหมย" นักกีฬามาราธอนหญิงของจีน ก็เคยเร่ขายเหรียญรางวัลของเธอ หลังจากเธอหลุดจากทีมชาติพร้อม ๆ กับสามีที่ตกงานในช่วงปี 2007 ทำให้เธอและครอบครัวต้องออกมาอาศัยกระท่อมที่สร้างเองอยู่ริมถนน และขายเสื้อผ้าเด็กหาเลี้ยงชีพ
เช่นเดียวกับ "โจว ชุนหลาน" อดีตนักยกน้ำหนักหญิงทีมชาติจีนที่เคยทำลายสถิติโลกไว้ แต่ต้องลาวงการลูกเหล็กไปด้วยอาการบาดเจ็บที่หลังและเอวเรื้อรัง จนเมื่อปี 2006 มีคนไปพบ "โจว ชุนหลาน" รับจ้างนวดผู้คนในสถานอาบน้ำสาธารณะเพื่อแลกกับรายได้เพียงครั้งละ 1.45 หยวนเท่านั้น แต่โชคดีที่มีคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอลงทุนเปิดร้านซักรีดให้ จนวันนี้ "โจว ชุนหลาน" เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีอดีตนักกีฬายกน้ำหนักที่ชื่อว่า "ไช่ หลี่" ซึ่งเคยคว้าเหรียญทองการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์เมื่อปี 1990 แต่เมื่ออายุมากขึ้นต้องออกจากทีมชาติ และผันตัวมาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 2003 จากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมยกน้ำหนักมาอย่างหนักตลอดชั่วชีวิต
ที่น่าสนใจคือ หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ สปอร์ต ยังรายงานด้วยว่า ในจำนวนนักกีฬาทีมชาติจีนที่เลิกเล่นไปแล้วกว่า 300,000 คน พบว่า อดีตนักกีฬากว่า 80% ยังต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักในอดีต อีกทั้งบางคนต้องกลายเป็นผู้พิการ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนต้องประสบปัญหาว่างงาน ความยากจน เพราะขาดการศึกษาอีกด้วย
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 2
เรื่องของ โจว ซุนหลาน eng
http://www.upiu.com/human-rights/2009/0 ... 238235477/
เรื่องของ ใช่ หลี่ หาไม่เจอครับ
-----------------------------------------------------------
เพื่อนๆ ก็อย่าทุ่มซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวพร้อมกับอัดมาจิ้น 100%
หรือเล่น ฟิวเจอร์ อัดขา long หรือ shot จน 100% นะ
มันเสี่ยงมากๆเลย
http://www.upiu.com/human-rights/2009/0 ... 238235477/
เรื่องของ ใช่ หลี่ หาไม่เจอครับ
-----------------------------------------------------------
เพื่อนๆ ก็อย่าทุ่มซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวพร้อมกับอัดมาจิ้น 100%
หรือเล่น ฟิวเจอร์ อัดขา long หรือ shot จน 100% นะ
มันเสี่ยงมากๆเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 204
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณครับ... เป็นสิ่งเตือนใจทุกๆคนเป็นอย่างดี
ยิ่งเป็นช่วงนี้ที่เป็นตลาดกระทิงมาอย่างยาวนาน ทำให้นักลงทุนหลายๆคนคิดว่า
การลงทุนเป็นสิ่งที่ง่าย รวยได้อย่างรวดเร็ว... คงเหมือนช่วงรุ่งโรจน์ของนักกีฬา
ดังนั้นถ้าเราไม่เตรียมตัวให้ดี เมื่อฤดูกาลผ่านไป หน้าหนาวเข้ามาแทนที่ คนที่ไม่
พร้อมคงไม่สามารถเอาตัวรอดผ่านพ้นฤดูกาลที่โหดร้ายได้ และคงล้มหายตายจากไป
ยิ่งเป็นช่วงนี้ที่เป็นตลาดกระทิงมาอย่างยาวนาน ทำให้นักลงทุนหลายๆคนคิดว่า
การลงทุนเป็นสิ่งที่ง่าย รวยได้อย่างรวดเร็ว... คงเหมือนช่วงรุ่งโรจน์ของนักกีฬา
ดังนั้นถ้าเราไม่เตรียมตัวให้ดี เมื่อฤดูกาลผ่านไป หน้าหนาวเข้ามาแทนที่ คนที่ไม่
พร้อมคงไม่สามารถเอาตัวรอดผ่านพ้นฤดูกาลที่โหดร้ายได้ และคงล้มหายตายจากไป
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 8
อันนี้ไม่เกี่ยวกับการลงทุนเท่าไหร่ แต่ไปอยู่ที่จีนมาพักหนึ่ง เลยรู้สึกรันทดบางอย่าง
ความจริงชีัวิตของนักกีฬาและนักกายกรรม เปรียบเสมือน "หมาล่าเนื้อ"
หมาล่าเนื้อ แก่แล้วล่าไปไม่ไหว ก็จะถูกคัดออก
แต่นักกายกรรม โดยเฉพาะจีนออกตั้งแต่วัยรุ่น เบื้องหลักความสำเร็จอันของนักกายกรรมที่เราเห็นว่าแสดงอะไรอย่างน่าทึ่ง ยิ่งถ้าใครได้ไปทัวร์จีนหรือไปทำงานอะไรที่จีน อย่างน้อย คงได้ดูกายกกรมประเภทต่อตัว ผาดโผนเอาเก้าอี้ วางบนเท้า ทรงตัวบนของที่ไม่มั่นคงกลิ้งไปมา (ถ้าเราทำร่วงตั้งแต่ยังไม่ถือของอะไรเลย) บางที่เอาโอ่งมาวางบนเท้าอีก แล้วให้คนเข้าไปในโอ่ง แล้วหมุนได้อีก อะไรจำพวกนี้
เป็นเพราะเขาฝึกตั้งแต่เด็ก เนื่องจากตัวยังอ่อน ดัดง่าย ถ้าเริ่มเข้่าสู่วัยรุ่น จะแสดงลำบาก เด็กๆ generation ใหม่ ก็จะเข้ามาแทน ถ้าเข้าสู่เลข 2-3 ต่อไป ถ้าไม่ได้เป็นครูฝึก ก็ทำมาหากินต่อลำบาก (อันนี้ ไกด์ที่กายกรรมปักกิ่งเขาบอกมา) ซึ่้งก็น่าเชื่อได้ เพราะจะมีเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ในการเแสดงกายกรรมผาดโผนหวาดเสียวเสมอ ยกเว้นพวกสวยๆ งามๆ ก็จะอีกแบบ
ผมว่าเป็นชีวิตที่น่าสงสาร ซึ่งผมว่า เขาเลือกเองไม่ได้
http://www.krutee.com/webboard/forum.ph ... d&tid=3491
ความจริงชีัวิตของนักกีฬาและนักกายกรรม เปรียบเสมือน "หมาล่าเนื้อ"
หมาล่าเนื้อ แก่แล้วล่าไปไม่ไหว ก็จะถูกคัดออก
แต่นักกายกรรม โดยเฉพาะจีนออกตั้งแต่วัยรุ่น เบื้องหลักความสำเร็จอันของนักกายกรรมที่เราเห็นว่าแสดงอะไรอย่างน่าทึ่ง ยิ่งถ้าใครได้ไปทัวร์จีนหรือไปทำงานอะไรที่จีน อย่างน้อย คงได้ดูกายกกรมประเภทต่อตัว ผาดโผนเอาเก้าอี้ วางบนเท้า ทรงตัวบนของที่ไม่มั่นคงกลิ้งไปมา (ถ้าเราทำร่วงตั้งแต่ยังไม่ถือของอะไรเลย) บางที่เอาโอ่งมาวางบนเท้าอีก แล้วให้คนเข้าไปในโอ่ง แล้วหมุนได้อีก อะไรจำพวกนี้
เป็นเพราะเขาฝึกตั้งแต่เด็ก เนื่องจากตัวยังอ่อน ดัดง่าย ถ้าเริ่มเข้่าสู่วัยรุ่น จะแสดงลำบาก เด็กๆ generation ใหม่ ก็จะเข้ามาแทน ถ้าเข้าสู่เลข 2-3 ต่อไป ถ้าไม่ได้เป็นครูฝึก ก็ทำมาหากินต่อลำบาก (อันนี้ ไกด์ที่กายกรรมปักกิ่งเขาบอกมา) ซึ่้งก็น่าเชื่อได้ เพราะจะมีเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ในการเแสดงกายกรรมผาดโผนหวาดเสียวเสมอ ยกเว้นพวกสวยๆ งามๆ ก็จะอีกแบบ
ผมว่าเป็นชีวิตที่น่าสงสาร ซึ่งผมว่า เขาเลือกเองไม่ได้
http://www.krutee.com/webboard/forum.ph ... d&tid=3491
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณครับ สะท้อนใจได้ดีมากครับ T T
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณมากเลยครับ
เส้นทางของนักกีฬาอาชีพ ดารา นักแสดง มักเป็นแบบ Winner Take All
การฝึกฝนทั้งชีวิต เพื่อทำการตลาดให้ประเทศ หน่วยงาน และให้ความบันเทิงกับผู้คน
โดยที่ไม่ได้อิงกับความต้องการพื้นฐานที่แท้จริงและยั่งยืนเลย ความสำเร็จที่สุดก็เพียง ความภาคภูมิใจในตัวเอง
การได้รับการยอมรับทางสังคม เงินรางวัล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ิอาจจะทำให้เค้ามีความสุขได้บ้าง
เส้นทางการเลือกอย่างเดียวนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่พวกเค้าซึ่งเลือกทางเดินนี้ตั้งแต่เด็ก อาจจะไม่รู้ว่าข้อดีข้อเสียของการเลือกนี้
และผลของการเลือก มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักกีฬาและนักดนตรีมีคือการมีวินัยฝึกฝน ขัดเกลา และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
ผมคิดว่าถ้าเค้าพบเส้นทางอื่นที่ใช่ เค้าน่าจะพัฒนาตัวเองได้เร็ว และประสปผลสำเร็จในเส้นทางอื่นได้ครับ
เส้นทางของนักกีฬาอาชีพ ดารา นักแสดง มักเป็นแบบ Winner Take All
การฝึกฝนทั้งชีวิต เพื่อทำการตลาดให้ประเทศ หน่วยงาน และให้ความบันเทิงกับผู้คน
โดยที่ไม่ได้อิงกับความต้องการพื้นฐานที่แท้จริงและยั่งยืนเลย ความสำเร็จที่สุดก็เพียง ความภาคภูมิใจในตัวเอง
การได้รับการยอมรับทางสังคม เงินรางวัล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ิอาจจะทำให้เค้ามีความสุขได้บ้าง
เส้นทางการเลือกอย่างเดียวนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่พวกเค้าซึ่งเลือกทางเดินนี้ตั้งแต่เด็ก อาจจะไม่รู้ว่าข้อดีข้อเสียของการเลือกนี้
และผลของการเลือก มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักกีฬาและนักดนตรีมีคือการมีวินัยฝึกฝน ขัดเกลา และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
ผมคิดว่าถ้าเค้าพบเส้นทางอื่นที่ใช่ เค้าน่าจะพัฒนาตัวเองได้เร็ว และประสปผลสำเร็จในเส้นทางอื่นได้ครับ
Go within, be at peace.
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุทาหรณ์ สำหรับคนที่ทุมเททุกอย่างเพื่อสิ่งเดียว
โพสต์ที่ 14
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=
เมื่อวงการกีฬาจีนต้องการ "เหยา หมิง 2" แต่บ่นอุบระบบมีปัญหา...แล้วฝันจะเป็นจริงหรือไม่?
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:59:08 น.
วงการกีฬาจีนเร่งเฟ้นหา "เหยา หมิง 2" แต่พบระบบมีปัญหา
การประกาศอำลาสนามเอ็นบีเอของ เหยา หมิง นักยัดห่วงดังแดนมังกรของทีมฮุสตัน ร็อคเก็ต สร้างความเสียใจให้กับแฟนกีฬาทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการกีฬาจีนที่จะสูญเสียหนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
แม้ว่าหลายฝ่ายคาดการณ์กันเอาไว้ว่า การตัดสินใจของเหยา หมิง ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อวงการกีฬาไม่น้อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องปล่อยไป และเดินไปข้างหน้าต่อ ซึ่งหลายฝ่ายเริ่มแก้ไขสถานการณ์ มองหาเด็กหนุ่มสาว ที่มีแววจะเป็นซูเปอร์นักกีฬาแทนที่นักยัดห่วงเจ้าของความสูง 2.29 เมตรคนต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงตั้งคำถามกับระบบการสร้างนักกีฬาด้วยโปรแกรมการพัฒนาในสไตล์โซเวียต ด้วยการเริ่มก่อร่างสร้างเนื้อให้กับเด็กที่มีแววรุ่งตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งบางครั้งถึงกับเริ่มกันที่วัย 4 ขวบ หรือบางครั้งก็ทำการคัดเลือกเด็กๆด้วยเหตุผลแวดล้อมที่ดูไม่เป็นเหตุผล อย่างเช่น เพราะพ่อ-แม่ของเด็กสูงโย่ง กล่าวคือ มีร่างกายที่โดดเด่นในเชิงบวก
หลี่ คิวปิง โค้ชของทีมเซี่ยงไฮ ชาร์ค ทีมเก่าของเหยา หมิง ผู้เคยสร้าง เหยา ให้ผ่านการคัดตัวผู้เล่นเอ็นบีเอเมื่อปี 2002 เป็นหนึ่งในผู้ที่ตั้งคำถามกับระบบการสร้างนักกีฬาของจีน ที่วางโปรแกรมโหดให้กับนักกีฬา ฝึกหนักอย่างเข้มงวด โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมอื่นๆ หรือปัจจัยอื่นๆของการเป็น "นักกีฬาที่ดี"
"ผู้เล่นของเราได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก และเข้มงวด เร็วเกินไป ทุกคนต้องการให้พวกเขาเล่นบาสเกตบอลขณะที่ยังเด็กมากๆ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องการเล่าการเรียน" หลี่กล่าว
มีหลายคนโต้เถียงเช่นกันว่า จีน ไม่ควรมุ่งเน้นสร้างนักกีฬาโดยเน้นไปที่สภาพร่างกายอย่างเช่น ความสูง เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสนใจที่ ความสามารถทางการกีฬาด้วย อย่างเช่น ทักษะการครองบอล รวมไปถึง การทำแต้มที่เหมาะสมสำหรับความสูง หรือลักษณะร่างกายของผู้เล่นคนนั้นๆ
ดารีล มอเรย์ ผู้จัดการทีมทั่วไปของทีมร็อคเก็ต ถามแกมหยอกล้อ เหยา ระหว่างการแถลงข่าวอำลาวงการว่า มีนักกีฬาดาวรุ่งจีนที่พอจะแนะนำให้ทีมได้บ้างหรือไม่
เหยา ตอบกลับว่า ควรจะหาคนที่ต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนโดยด่วน ก่อนที่จะปฏิเสธว่า "ไม่มีใครที่เขาพอจะแนะนำให้ได้"
ด้าน หลี่ กล่าวอย่างจริงจังว่า ด้วยระบบการสร้างนักกีฬาของจีน ณ ขณะนี้ ไม่สามารถสร้าง "เหยา" คนที่ 2 ได้เลยหากไม่ปรับระบบการสร้าง ลดความตึงเครียดลงบ้าง เพิ่มความรู้สึกร่วม มีความสุขกับเกมการแข่งขันให้มากขึ้น
"ที่สหรัฐฯพวกเขาผ่อนคลายมาก ไม่มีแรงกดดันในการเอาชนะเลย พวกเขาเล่นบาสเกตบอลด้วยความสุข และเรียนรู้กีฬาอื่นๆไปพร้อมๆกัน ระบบที่นั่นแตกต่างมาก" หลี่กล่าว
ขณะที่ บ็อบ โดนวาลด์ จูเนียร์ โค้ชทีมชาติจีน กล่าวกับสำนักข่าวนิว ยอร์ค ไทมส์ ว่า ไม่มีใครสามารถหาตัวเต็ง นักกีฬาผู้จะเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในระดับโรงเรียนเลย ที่สำคัญคือ โครงสร้างของกีฬาบาสเกตบอลสร้างปัญหาและส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เล่น
"น่ามหัศจรรย์ที่ผมไม่สามารถหาผู้เล่นการ์ด ในประเทศที่มีประชากร 1.3 พันล้านคน" บ็อบกล่าวอย่างสะทกสะท้อน
ทั้งนี้ หลี่ ยังได้เริ่มตั้งคอร์ส บาสเกตบอล แคมป์ ในช่วงซัมเมอร์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับระบบการกีฬาในประเทศ โดยเปิดรับเด็กในวัยเรียนทั่วไปในแต่ละจังหวะ ที่มีอายุประมาณ 15 ปี และสนใจเข้ารับการฝึกวันละ 2-3 ชั่วโมง อันถือว่าเป็นโอกาสดีที่เยาวชนผู้สนใจจะเข้ารับการฝึกจากโค้ชอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะส่งผลต่อการคัดเลือกผู้เล่นในระดับโรงเรียนด้วย
อย่างไรก็ตาม หลี่ ซาง หมิง โค้ชทีมโรงเรียน เซี่ยงไฮ นานยาง ผู้เคยเทรนให้กับเหยา สมัยนักยัดห่วงชื่อดังเรียนที่โรงเรียนการกีฬา ปฏิเสธความกังวลเรื่องระบบการกีฬาในแต่ละจังหวัด พร้อมกล่าวด้วยว่า พบ "เหยา หมิง" คนใหม่แล้ว
"ตอนนี้เขาเรียนอยู่ในชั้นประถม เขาอายุ 12 สูง 1.86 เมตร เขามีศักยภาพมากหากเขาสูงไปถึง 2.10 เมตร เขาจะเป็นเหยา หมิง คนใหม่แน่" หลี่ กล่าว
คงต้องดูกันต่อไปว่าระบบการสร้างนักกีฬาของจีนที่ทำให้ทั่วโลกทึ่งในศักยภาพ แท้จริงแล้วมีปัญหาจริงเท็จอย่างไร แล้วจะแก้ปัญหาสามารถสร้าง "เหยา หมิง 2" ได้หรือไม่
ย้อนมองมาที่ไทยแล้ว...อย่ารอเลย เริ่มสร้างที่ "เส้นผมของเหยา หมิง" ก่อนดีกว่า ?
เมื่อวงการกีฬาจีนต้องการ "เหยา หมิง 2" แต่บ่นอุบระบบมีปัญหา...แล้วฝันจะเป็นจริงหรือไม่?
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:59:08 น.
วงการกีฬาจีนเร่งเฟ้นหา "เหยา หมิง 2" แต่พบระบบมีปัญหา
การประกาศอำลาสนามเอ็นบีเอของ เหยา หมิง นักยัดห่วงดังแดนมังกรของทีมฮุสตัน ร็อคเก็ต สร้างความเสียใจให้กับแฟนกีฬาทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการกีฬาจีนที่จะสูญเสียหนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
แม้ว่าหลายฝ่ายคาดการณ์กันเอาไว้ว่า การตัดสินใจของเหยา หมิง ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อวงการกีฬาไม่น้อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องปล่อยไป และเดินไปข้างหน้าต่อ ซึ่งหลายฝ่ายเริ่มแก้ไขสถานการณ์ มองหาเด็กหนุ่มสาว ที่มีแววจะเป็นซูเปอร์นักกีฬาแทนที่นักยัดห่วงเจ้าของความสูง 2.29 เมตรคนต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงตั้งคำถามกับระบบการสร้างนักกีฬาด้วยโปรแกรมการพัฒนาในสไตล์โซเวียต ด้วยการเริ่มก่อร่างสร้างเนื้อให้กับเด็กที่มีแววรุ่งตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งบางครั้งถึงกับเริ่มกันที่วัย 4 ขวบ หรือบางครั้งก็ทำการคัดเลือกเด็กๆด้วยเหตุผลแวดล้อมที่ดูไม่เป็นเหตุผล อย่างเช่น เพราะพ่อ-แม่ของเด็กสูงโย่ง กล่าวคือ มีร่างกายที่โดดเด่นในเชิงบวก
หลี่ คิวปิง โค้ชของทีมเซี่ยงไฮ ชาร์ค ทีมเก่าของเหยา หมิง ผู้เคยสร้าง เหยา ให้ผ่านการคัดตัวผู้เล่นเอ็นบีเอเมื่อปี 2002 เป็นหนึ่งในผู้ที่ตั้งคำถามกับระบบการสร้างนักกีฬาของจีน ที่วางโปรแกรมโหดให้กับนักกีฬา ฝึกหนักอย่างเข้มงวด โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมอื่นๆ หรือปัจจัยอื่นๆของการเป็น "นักกีฬาที่ดี"
"ผู้เล่นของเราได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก และเข้มงวด เร็วเกินไป ทุกคนต้องการให้พวกเขาเล่นบาสเกตบอลขณะที่ยังเด็กมากๆ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องการเล่าการเรียน" หลี่กล่าว
มีหลายคนโต้เถียงเช่นกันว่า จีน ไม่ควรมุ่งเน้นสร้างนักกีฬาโดยเน้นไปที่สภาพร่างกายอย่างเช่น ความสูง เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสนใจที่ ความสามารถทางการกีฬาด้วย อย่างเช่น ทักษะการครองบอล รวมไปถึง การทำแต้มที่เหมาะสมสำหรับความสูง หรือลักษณะร่างกายของผู้เล่นคนนั้นๆ
ดารีล มอเรย์ ผู้จัดการทีมทั่วไปของทีมร็อคเก็ต ถามแกมหยอกล้อ เหยา ระหว่างการแถลงข่าวอำลาวงการว่า มีนักกีฬาดาวรุ่งจีนที่พอจะแนะนำให้ทีมได้บ้างหรือไม่
เหยา ตอบกลับว่า ควรจะหาคนที่ต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนโดยด่วน ก่อนที่จะปฏิเสธว่า "ไม่มีใครที่เขาพอจะแนะนำให้ได้"
ด้าน หลี่ กล่าวอย่างจริงจังว่า ด้วยระบบการสร้างนักกีฬาของจีน ณ ขณะนี้ ไม่สามารถสร้าง "เหยา" คนที่ 2 ได้เลยหากไม่ปรับระบบการสร้าง ลดความตึงเครียดลงบ้าง เพิ่มความรู้สึกร่วม มีความสุขกับเกมการแข่งขันให้มากขึ้น
"ที่สหรัฐฯพวกเขาผ่อนคลายมาก ไม่มีแรงกดดันในการเอาชนะเลย พวกเขาเล่นบาสเกตบอลด้วยความสุข และเรียนรู้กีฬาอื่นๆไปพร้อมๆกัน ระบบที่นั่นแตกต่างมาก" หลี่กล่าว
ขณะที่ บ็อบ โดนวาลด์ จูเนียร์ โค้ชทีมชาติจีน กล่าวกับสำนักข่าวนิว ยอร์ค ไทมส์ ว่า ไม่มีใครสามารถหาตัวเต็ง นักกีฬาผู้จะเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในระดับโรงเรียนเลย ที่สำคัญคือ โครงสร้างของกีฬาบาสเกตบอลสร้างปัญหาและส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เล่น
"น่ามหัศจรรย์ที่ผมไม่สามารถหาผู้เล่นการ์ด ในประเทศที่มีประชากร 1.3 พันล้านคน" บ็อบกล่าวอย่างสะทกสะท้อน
ทั้งนี้ หลี่ ยังได้เริ่มตั้งคอร์ส บาสเกตบอล แคมป์ ในช่วงซัมเมอร์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับระบบการกีฬาในประเทศ โดยเปิดรับเด็กในวัยเรียนทั่วไปในแต่ละจังหวะ ที่มีอายุประมาณ 15 ปี และสนใจเข้ารับการฝึกวันละ 2-3 ชั่วโมง อันถือว่าเป็นโอกาสดีที่เยาวชนผู้สนใจจะเข้ารับการฝึกจากโค้ชอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะส่งผลต่อการคัดเลือกผู้เล่นในระดับโรงเรียนด้วย
อย่างไรก็ตาม หลี่ ซาง หมิง โค้ชทีมโรงเรียน เซี่ยงไฮ นานยาง ผู้เคยเทรนให้กับเหยา สมัยนักยัดห่วงชื่อดังเรียนที่โรงเรียนการกีฬา ปฏิเสธความกังวลเรื่องระบบการกีฬาในแต่ละจังหวัด พร้อมกล่าวด้วยว่า พบ "เหยา หมิง" คนใหม่แล้ว
"ตอนนี้เขาเรียนอยู่ในชั้นประถม เขาอายุ 12 สูง 1.86 เมตร เขามีศักยภาพมากหากเขาสูงไปถึง 2.10 เมตร เขาจะเป็นเหยา หมิง คนใหม่แน่" หลี่ กล่าว
คงต้องดูกันต่อไปว่าระบบการสร้างนักกีฬาของจีนที่ทำให้ทั่วโลกทึ่งในศักยภาพ แท้จริงแล้วมีปัญหาจริงเท็จอย่างไร แล้วจะแก้ปัญหาสามารถสร้าง "เหยา หมิง 2" ได้หรือไม่
ย้อนมองมาที่ไทยแล้ว...อย่ารอเลย เริ่มสร้างที่ "เส้นผมของเหยา หมิง" ก่อนดีกว่า ?