ส่วนหนึ่งจากไทยรัฐ "หมายเหตุประเทศไทยครับ"
อย่างนี้ค่อยน่าลงทุน
วันพฤหัสบดีที่แล้ว ผมเขียนถึง "กองทุนรวมวายุภักษ์" ที่ผมเรียกว่า "กองทุนรวมนกกินลม" ตามชื่อนกที่เอามาตั้งเป็นชื่อ วงเงิน 100,000 ล้านบาท ของกระทรวงการคลัง ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ตั้งขึ้นมา แก้ปัญหาการลงทุนของภาครัฐแทนกระทรวงการคลัง และให้เป็นทางเลือกการออมของประชาชน
ผมแสดงความเห็นว่า เป็นกองทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนแคบและ "เสี่ยง" เกินไป และให้คำแนะนำว่า ไม่เหมาะกับประชาชน ที่ต้องการหาทางเลือกในการออม
วันนี้ ผมคงต้องเปลี่ยนคำแนะนำใหม่แล้ว เพราะหลังจากที่ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้หารือกับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีคลัง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของกองทุนวายุภักษ์ไปจากเดิม
กล่าวคือ มีการแบ่งกองทุนรวมวายุภักษ์ออกเป็น 2 กองทุน ที่มี "ความเสี่ยง" ในการลงทุนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 วงเงิน 100,000 ล้านบาท จะเป็นกองทุนรวมที่มีเป้าหมายให้ประชาชนทั่วไป มูลนิธิ และสมาคมต่างๆ เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป โดย รัฐบาลจะค้ำประกันเงินต้น และค้ำประกันผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ในอัตราตายตัวที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เพื่อให้เป็นกองทุนที่ "ไม่มีความเสี่ยง" จะได้เป็น "ทางเลือกการออม" ของประชาชนในยุคดอกเบี้ยต่ำ อย่างที่ผมได้ท้วงติงไปในบทความ
กองทุนรวมนี้มีอายุ 10 ปี แต่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปลงทุนในรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังมีสิทธิในการถือหุ้น โดยจะจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเป็นผู้บริหารกองทุน
เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็คงต้อง "เปลี่ยนคำแนะนำ" จาก "ไม่น่าลงทุน" เป็น "น่าลงทุน" เพราะวันนี้ กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ได้กลายเป็นกองทุนที่ "ไม่มีความเสี่ยง" โดยสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลค้ำประกันทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
ส่วนกองทุนรวมวายุภักษ์ 2 ไม่มีการกำหนดขนาดวงเงินของกองทุน แต่กระทรวงการคลังจะร่วมถือหุ้นร้อยละ 30 เป็นกองทุนที่ "มีความเสี่ยง" เพราะไม่มีการค้ำประกันผลตอบแทน แต่จะใช้วิธีแบ่งปันผลประโยชน์จากการลงทุนร่วมกับรัฐบาล ซึ่งจะขายหน่วยลงทุนให้กับนักลงทุนที่เป็นสถาบัน วงเงินขั้นต่ำ 5 ล้านบาทขึ้นไป
กองทุนรวมวายุภักษ์ 2 จะทำหน้าที่แทนกระทรวงการคลังในการเข้าไปซื้อหุ้นหรือร่วมทุน ในรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังมีสิทธิ ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อช่วยเหลือให้รัฐวิสาหกิจแห่งนั้นๆสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
แต่ในช่วงนี้น่าจะเรียกว่าเป็น "กองทุนรวมอุ้มบางจากและทหารไทย" ไปพลางๆก่อนก็คงไม่ผิดนัก เพราะเป็น 2 บริษัทแรกที่กระทรวงการคลังจะต้องนำเงินไปเพิ่มทุนรวมหลายหมื่นล้านบาทในเร็วๆนี้
เมื่อดูจาก "สภาพคล่อง" ทางการเงินในระบบธนาคารพาณิชย์ ที่ยังมีล้นระบบอยู่ประมาณ 6 แสนล้านบาท กองทุนแสนกว่าล้านบาทที่ออกมา ผมคิดว่าคงไม่สามารถแก้ปัญหาสภาพคล่องล้นระบบที่เป็นปัญหาได้ เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของเงินเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการลงทุนที่แท้จริงเกิดขึ้น
แต่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้ผู้ฝากเงินมีความรู้สึกที่ดีขึ้น เพราะได้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากธนาคาร
ในอนาคตถ้าหากผลประกอบการของกองทุนรวมดี เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลตอบแทนการลงทุนของกองทุนดีขึ้น ผมว่ารัฐบาลน่าจะประกาศทิศทางกองทุนให้ชัดเจนว่า เมื่อกองทุนมีกำไรดีขึ้น จะจ่ายดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ผมรับรองว่าประชาชนและ มูลนิธิทั้งหลาย จะแย่งกันซื้อกองทุนนี้หมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน.
"ลม เปลี่ยนทิศ"