สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 1
DCC บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด(มหาชน)
ข้อมูลทั่วๆไป : บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้อง เน้นกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดในประเทศ
ยอดขายเกือบทั้งหมดเป็นขายกระเบื้อง อื่นๆเล็กน้อยเป็นยาแนว
สภาวะตลาดโดยรวม กระเบื้องในประเทศ โตประมาณ 7-8% ต่อปี มีคู่แข่งในตลาดอยู่ 7
บริษัท แต่ที่เป็นผู้นำเลยคือ DCC และ SCC มียอดขายใกล้เคียงกัน
DCC ได้ Market Share อยู่ 32% ถ้าเป็นในประเทศกินส่วนแบ่งถึง 40% กลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดได้ Market share ถึง 80%
เป้าหมายระยะยาวของทางบริษัท ยอดขายโตประมาณ 10% ต่อปี มีเป้าที่จะทำยอดขายถึง 10,000 ลบ./ปีในอีก 4 ปีข้างหน้า และเป้ามี Market Share 100%
ข้อมูลทั่วๆไป : บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้อง เน้นกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดในประเทศ
ยอดขายเกือบทั้งหมดเป็นขายกระเบื้อง อื่นๆเล็กน้อยเป็นยาแนว
สภาวะตลาดโดยรวม กระเบื้องในประเทศ โตประมาณ 7-8% ต่อปี มีคู่แข่งในตลาดอยู่ 7
บริษัท แต่ที่เป็นผู้นำเลยคือ DCC และ SCC มียอดขายใกล้เคียงกัน
DCC ได้ Market Share อยู่ 32% ถ้าเป็นในประเทศกินส่วนแบ่งถึง 40% กลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดได้ Market share ถึง 80%
เป้าหมายระยะยาวของทางบริษัท ยอดขายโตประมาณ 10% ต่อปี มีเป้าที่จะทำยอดขายถึง 10,000 ลบ./ปีในอีก 4 ปีข้างหน้า และเป้ามี Market Share 100%
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 2
จุดแข็ง
1. จัดจำหน่ายเอง ด้วยสาขาปัจจุบัน 206 สาขา (มีเอเยนต์อีก 116 เจ้าแต่เขาเน้นขายเองมากกว่า) ครอบคลุมพื้นที่ทั่วไทย (ตรงนี้เป็นประเด็นหลักเลยเพราะคู่แข่งเจ้าอื่นยังต้องอาศัยเอเยนต์)
2. บริการ ส่งถึงบ้าน
3. ต้นทุนที่ตำ่ มี กำไรขั้นต้น ถึง 44% ซึ่งทางผู้บริหารบอกว่ายั่งยืน
4. Economic of scale ที่ตัวใหญ่แล้ว......
1. จัดจำหน่ายเอง ด้วยสาขาปัจจุบัน 206 สาขา (มีเอเยนต์อีก 116 เจ้าแต่เขาเน้นขายเองมากกว่า) ครอบคลุมพื้นที่ทั่วไทย (ตรงนี้เป็นประเด็นหลักเลยเพราะคู่แข่งเจ้าอื่นยังต้องอาศัยเอเยนต์)
2. บริการ ส่งถึงบ้าน
3. ต้นทุนที่ตำ่ มี กำไรขั้นต้น ถึง 44% ซึ่งทางผู้บริหารบอกว่ายั่งยืน
4. Economic of scale ที่ตัวใหญ่แล้ว......
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 4
โอกาส
1. สามารถเติบโตได้ด้วยการขยายสาขา เพราะที่ผ่านมาการขยายสาขาถ้าได้ทำเลยที่ดี มัก
จะประสบความสำเร็จ โดยผู้บริหารคาดว่า สามารถขยายสาขาได้ถืง 350 สาขาใน 8 ปี
แล้วตลาดในประเทศจะอิ่มตัวถึงเวลานั้นอาจขยายออกต่างประเทศ
2. SSS ที่โตขึ้นตลอด ประมาณปีละ 10 %
3. ขยายออกต่างประเทศเมื่อปัจจุบันส่งออกน้อยมาแค่ลองๆดูเฉยๆ และจากที่ตรวจสอบ
ตลาดพบว่ากระเบื้องไทยคุณภาพดีกว่า เพื่อนบ้านมาก(แต่จะทำหลังจากในประเทศอิ่มตัวแล้ว)
4. ขยายกำลังการผลิตได้ง่าย เพราะ ที่ดินในโรงงานพร้อมอยู่แล้วแค่ตั้งเตาก็ทำได้แล้ว
5. Trend ของการใช้กระเบืิ้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 12*12 เป็น 16*16
บริษัทได้ GPM สูงขึ้นประมาณ 8%
6. การที่กระเบื้องมีที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ใช้ปูเฉพาะห้องนำ้ ปัจจุบันปูได้ทั้งบ้านเลยทีเดียว
ผนังก็ปูได้
1. สามารถเติบโตได้ด้วยการขยายสาขา เพราะที่ผ่านมาการขยายสาขาถ้าได้ทำเลยที่ดี มัก
จะประสบความสำเร็จ โดยผู้บริหารคาดว่า สามารถขยายสาขาได้ถืง 350 สาขาใน 8 ปี
แล้วตลาดในประเทศจะอิ่มตัวถึงเวลานั้นอาจขยายออกต่างประเทศ
2. SSS ที่โตขึ้นตลอด ประมาณปีละ 10 %
3. ขยายออกต่างประเทศเมื่อปัจจุบันส่งออกน้อยมาแค่ลองๆดูเฉยๆ และจากที่ตรวจสอบ
ตลาดพบว่ากระเบื้องไทยคุณภาพดีกว่า เพื่อนบ้านมาก(แต่จะทำหลังจากในประเทศอิ่มตัวแล้ว)
4. ขยายกำลังการผลิตได้ง่าย เพราะ ที่ดินในโรงงานพร้อมอยู่แล้วแค่ตั้งเตาก็ทำได้แล้ว
5. Trend ของการใช้กระเบืิ้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 12*12 เป็น 16*16
บริษัทได้ GPM สูงขึ้นประมาณ 8%
6. การที่กระเบื้องมีที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ใช้ปูเฉพาะห้องนำ้ ปัจจุบันปูได้ทั้งบ้านเลยทีเดียว
ผนังก็ปูได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 5
ปัจจัยเสี่ยง
1. ภัยพิบัติ ตรงนี้ถ้าไม่พังบริษัทตรงๆก็น่าจะเป็นพังผลผลิตพี่น้องต่างจังหวัดซึ่งเป็นลูกค้าหลัก
ของบริษัท ทำให้ไม่มีกำลังซื้อ
2. Natural Gas เป็นต้นทุนหลักสุดของการผลิตกระเบื้อง (26%) ดังนั้นถ้าราคาขึ้นมากๆอาจทำให้
กำไรลดลง
3. Chinese Import แต่ตอนนี้ไม่ค่อยห่วงแล้วเพราะกระเบื้องเราหน้าตาเหมือนแกรนิตโต้ขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกระเบื้องเกรดเดียวกับที่บริษัททำอยู่ยากที่จะเข้ามาตีตลาดเพราะ กระเบื้องเป็นของหนัก
ขนส่งจะ สูงมาก เวลาเอาเข้ามาก็เลยทำราคาสู้ไม่ได้
1. ภัยพิบัติ ตรงนี้ถ้าไม่พังบริษัทตรงๆก็น่าจะเป็นพังผลผลิตพี่น้องต่างจังหวัดซึ่งเป็นลูกค้าหลัก
ของบริษัท ทำให้ไม่มีกำลังซื้อ
2. Natural Gas เป็นต้นทุนหลักสุดของการผลิตกระเบื้อง (26%) ดังนั้นถ้าราคาขึ้นมากๆอาจทำให้
กำไรลดลง
3. Chinese Import แต่ตอนนี้ไม่ค่อยห่วงแล้วเพราะกระเบื้องเราหน้าตาเหมือนแกรนิตโต้ขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกระเบื้องเกรดเดียวกับที่บริษัททำอยู่ยากที่จะเข้ามาตีตลาดเพราะ กระเบื้องเป็นของหนัก
ขนส่งจะ สูงมาก เวลาเอาเข้ามาก็เลยทำราคาสู้ไม่ได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณทางทีมงานทุกท่านที่จัดงานดีให้เราไปเยี่ยมบริษัทกัน
สำหรับผู้ที่ลงชื่อสรุปด้วยกัน วันนี้สอบถามทีมงานแล้วเขาบอกให้สรุปไปเลยต่างคนต่างสรุป
ใจจริงอยากสรุปด้วยกันมากกว่าจะได้รู้จักกันด้วยครับ คราวหน้านัดคุยกันเองนอกรอบดีกว่า :lol: :lol:
ใครที่มีแก้ไขหรือ เพิ่มเติมอะไร จัดการได้เต็มที่เลยนะครับ
สำหรับผู้ที่ลงชื่อสรุปด้วยกัน วันนี้สอบถามทีมงานแล้วเขาบอกให้สรุปไปเลยต่างคนต่างสรุป
ใจจริงอยากสรุปด้วยกันมากกว่าจะได้รู้จักกันด้วยครับ คราวหน้านัดคุยกันเองนอกรอบดีกว่า :lol: :lol:
ใครที่มีแก้ไขหรือ เพิ่มเติมอะไร จัดการได้เต็มที่เลยนะครับ
- Mr.Children
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 324
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 8
^^ ขอบคุณครับ
ผมเองจะส่งสรุปข้อมุลให้คุณ kiri ทาง e-mail เพื่อให้เค้าตรวจสอบก่อน
คิดว่าน่าจะได้ post ทาง web หลังจากนั้นนะครับผม
ผมเองจะส่งสรุปข้อมุลให้คุณ kiri ทาง e-mail เพื่อให้เค้าตรวจสอบก่อน
คิดว่าน่าจะได้ post ทาง web หลังจากนั้นนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณครับ3. Chinese Import แต่ตอนนี้ไม่ค่อยห่วงแล้วเพราะกระเบื้องเราหน้าตาเหมือนแกรนิตโต้ขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกระเบื้องเกรดเดียวกับที่บริษัททำอยู่ยากที่จะเข้ามาตีตลาดเพราะ กระเบื้องเป็นของหนัก
ขนส่งจะ สูงมาก เวลาเอาเข้ามาก็เลยทำราคาสู้ไม่ได้
ก็พอจะนึกภาพออกครับ เพราะว่าค่าขนส่งถ้ามาไทยในปัจจุบัน มันก็ยังแพงอยู่แล้วถ้าอนาคต บ.จีน เข้ามารุกโดยผลิตในไทย มีพูดุงประเด็นนี้หรือเปล่า
อีกประการ ค่าพลังงาน เป็นต้นทุนมากพอควร ทางบริษัท รับมืออย่างไรบ้างครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณมากๆ ครับ
ในฐานะ ผถห.เล็กๆๆๆๆ คนหนึ่งของ DCC ที่อยู่ไกล ไม่งั้นจะไปด้วยคน
ขอเพิ่มข้อดีอีกข้อนะครับ ไม่มีหนี้ เวลาเพิ่มเครื่องจักร/กำลังการผลิต/สาขา
ไม่ต้องไปกู้ ใช้เงินในบริษัทฯ ก็พอแล้ว ...
ในฐานะ ผถห.เล็กๆๆๆๆ คนหนึ่งของ DCC ที่อยู่ไกล ไม่งั้นจะไปด้วยคน
ขอเพิ่มข้อดีอีกข้อนะครับ ไม่มีหนี้ เวลาเพิ่มเครื่องจักร/กำลังการผลิต/สาขา
ไม่ต้องไปกู้ ใช้เงินในบริษัทฯ ก็พอแล้ว ...
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 16
เรื่องจีนเข้ามาตั้งโรงงานนับว่าน่าสนใจทีเดียวครับ แต่การที่เข้ามาตั้งโรงงาน จะยังสามารถคงต้นทุนให้ต่ำด้วย economy of scale หรือไม่ นับเป็นเรื่องที่น่าติดตามPaul VI เขียน:ก็พอจะนึกภาพออกครับ เพราะว่าค่าขนส่งถ้ามาไทยในปัจจุบัน มันก็ยังแพงอยู่แล้วถ้าอนาคต บ.จีน เข้ามารุกโดยผลิตในไทย มีพูดุงประเด็นนี้หรือเปล่า
อีกประการ ค่าพลังงาน เป็นต้นทุนมากพอควร ทางบริษัท รับมืออย่างไรบ้างครับ
เรื่องแก๊สธรรมชาติคงจะเป็นความเสี่ยงที่ immediate กว่ามาก เพราะแนวโน้มแก๊สธรรมชาติในต่างประเทศดูจะขึ้นมากกว่าน้ำมันดิบเสียด้วยซ้ำครับ ดังนั้นโดยส่วนตัวผมคิดว่า 44% GPM คงไม่ใช่ง่ายนัก ส่วนตัวผมเองมองไว้แค่ 42% เท่านั้นสำหรับปีนี้ (โดยเฉลี่ย) เพราะนอกจากเรื่องราคาแล้ว ผมคาดว่าอาจจะมีการดัมพ์สินค้ากันยกใหญ่ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากอั้นกันมาหลายเดือนจากการ stock สินค้าจีน (เพราะ anti-dumping ที่จะเริ่ม)
ที่ผมสนใจกว่าคือแนวโน้มของการทำ single firing tile ให้มีความสวยงามใกล้เคียงกับแกรนิตโต ถ้าทำได้จริงด้วยต้นทุนที่ถูกกว่ามากๆ อาจจะพลิกโฉมการใช้กระเบื้องในเมืองไทยได้ทีเดียวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 18
ขออนุญาตเพิ่มเติมค่ะ
จุดแข็ง อีกข้อคือเรื่องการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบซึ่งผบห.ของ DCC บอกว่าขณะนี้เป็น generation ที่ 4
ส่วนในแง่การแข่งขันกับสินค้าของจีน ถ้าหากมีการตั้งโรงงานของจีนในไทย ก็จะไม่สามารถผลิตกระเบื้องแกรนิตโต้ได้เพราะปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ (ไม่อย่างนั้น บริษัทในไทยผลิตไปแล้ว) ส่วนหากว่าโรงงานจีนนี้จะผลิตกระเบื้องที่ไทยก็ผลิตได้อยู่แล้ว ก็น่าจะติดปัญหาเรื่องค่าแรงงานที่สูงกว่าจีน และ เรื่องการจัดกระจายสินค้าซึ่งเป็นจุดแข็งของ DCC
จุดแข็ง อีกข้อคือเรื่องการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบซึ่งผบห.ของ DCC บอกว่าขณะนี้เป็น generation ที่ 4
ส่วนในแง่การแข่งขันกับสินค้าของจีน ถ้าหากมีการตั้งโรงงานของจีนในไทย ก็จะไม่สามารถผลิตกระเบื้องแกรนิตโต้ได้เพราะปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ (ไม่อย่างนั้น บริษัทในไทยผลิตไปแล้ว) ส่วนหากว่าโรงงานจีนนี้จะผลิตกระเบื้องที่ไทยก็ผลิตได้อยู่แล้ว ก็น่าจะติดปัญหาเรื่องค่าแรงงานที่สูงกว่าจีน และ เรื่องการจัดกระจายสินค้าซึ่งเป็นจุดแข็งของ DCC
- kiri
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 473
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 19
ขออนุญาตเพิ่มรายงานสรุป Company visit DCC อีก 3 สำนวนค่ะ (หลังจากที่ได้รับการตรวจทานจากทางพี่ๆเรียบร้อยแล้ว จึงก็ได้นำมาให้พวกเราอ่านกันค่ะ)
บางฉบับจะยังเก็บร่องรอยการแก้ไขไว้ค่ะ (ที่เป็นอักษรสีแดง)
ต้องขอบคุณทุกท่าน หมอเบิร์ด หมอนุ่น คุณโอม และคุยนุ้ย ที่ตั้งใจช่วยกันถ่ายทอดข้อมูลเป็นอย่างดี และขอบคุณพี่ๆที่ช่วยอ่านทุกฉบับอย่างละเอียดค่ะ
(ขอนับรายงานหมอเบิร์ดเป็นฉบับที่ 1 นะคะ)
รายงาน 2
บันทึกการเยี่ยมชมบริษัท
>
> ชื่อบริษัท DCC วันที่ 16 ก.พ. 54
> ชื่อผู้บริหารที่ได้พบ มารุต แสงศาสตรา (เค้าไม่ได้แนะนำตัวครับ
> ทราบมาว่าเป็นลูกของประธานฯ แต่ไม่ยืนยันนะครับ)
> คุณมารุตเป็นลูกคุณรุ่งโรจน์ครับ เข้าใจถูกแล้วครับ
> สภาพการแข่งขันในปัจจุบัน
> > market share ในประเทศ สำหรับตลาดกระเบื้องปูพื้น/ปูผนัง คิดจาก volume ขาย คิดเป็น 32%(รวมทั้งหมด ถ้าเฉพาะในประเทศ 40 %) ถือเป็นอันดับ1 (หากคิดจากยอดขายหรือ gross margin ก็เป็นอันดับ 1 เช่นกัน )
> สูสีกับbrand TGCI และโสสุโก้รวมกัน ซึ่งถือเป็นอันดับ2 (ทั้ง TGCI
> และโซซูโกเป็นbrandของ SCC)
เข้าใจว่า brand หลักอีกตัวหนึ่งของ scc คือ cotto ด้วยครับ และหากดูจาก domestic market share นั้น DCC จะเป็นอันดับ 1 ที่ประมาณ 45% เพราะ DCC ส่งออกน้อย ในขณะที่คู่แข่งส่งออกในสัดส่วนที่มากกว่า DCC มาก >
แต่แนวโน้ม market share ของ DCC เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ของ SCC น้อยลง
> เพราะ SCC ติดปัญหาเรื่องช่องทางจำหน่าย กล่าวคือ SCC
> ไม่สามารถลงไปขายแข่งกับ agent ได้และปีที่ผ่านมาจุดจำหน่ายของ SCC
> ก็ปิดตัวลงไปหลายจุด
> > ส่วนส่งออก market share ประมาณ 4% การส่งออกทางบริษัทไม่เน้น เพราะเห็นว่าเสียเปรียบกระเบื้องจากจีน อินโด(ซึ่งมีคุณภาพด้อยกว่าของไทย) เพราะบ้านเค้าค่าแรงถูกกว่าบ้านเรามาก แต่แนวโน้มในอนาคตค่าแรงบ้านเค้าก็น่าจะสูงขึ้น
> > ค่าขนส่งเป็น entry barrier ไว้ป้องกันคู่แข่งจาก ตปท (เพราะกระเบื้องมันหนัก..ขนส่งยาก) << บรรทัดนี้นำมาจากคุณ JN_5480 ในร้อยคนร้อยหุ้นครับ
>
>
> พฤติกรรมการซื้อสินค้า
> > ผู้ซื้อส่วนใหญ่คือ ชาวบ้าน ผู้รับเหมาสร้างบ้าน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
> > ชาวบ้าน มักเลือกลายที่ชอบ
> > ผู้รับเหมาสร้างบ้าน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ความสำคัญกับคุณภาพ อันประกอบด้วย กระเบื้องต้องไม่โก่งงอ มุมต้องเป็นฉาก น้ำต้องไม่ซึม ซึ่ง DCC มั่นใจในคุณภาพว่าไม่เป็นรองใครในประเทศ
> จุดเด่นของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
> > เรื่องการซื้อซ้ำ บริษัทชี้แจงว่า สิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้าซื้อกับ DCC คือ promotion และ บริการ
>
>
> จุดเด่นของบริษัทเทียบกับคู่แข่ง
> > ช่องทางจัดจำหน่ายที่มีมากที่สุดในประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ 206 สาขากระจายอยู่ทุกจังหวัด(ส่วนใหญ่เป็นของ DCC เอง ส่วนน้อยมากที่เป็น agent/franchisee) ตั้งใจจะเพิ่มปีละ 10-15 สาขา เป้า 350 สาขาใน 8 ปี และวางแผนไว้ว่าจะค่อยๆ take over franchisee เหตุที่ไม่เน้นขยายช่องทางจัดจำหน่ายด้วยการเพิ่มจำนวน agent เพราะ DCC บริหาร stock หมุนเวียนได้ดีกว่า agent มาก
> เรื่องช่องทางจัดจำหน่ายนี้ หาก SCC คู่แข่งตัวใหญ่ที่สุด
> จะลงมาแข่งด้วยการเปิดร้านเองเหมือน DCC ก็ยาก
> เพราะหากทำเช่นนั้นจะติดล็อกเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับ agent ทันที
SCC ไม่ได้มีกระเบื้องเป็น product เดียว และกระเบี้องก็มีมูลค่าการขายน้อยเมื่อเทียบกับสินค้าหลักๆ อย่างปูนซิเมนต์ ดังนั้น SCC จึงต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับ agent ซึ่งเป็นผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นโอกาสที่ปูนจะมาเปิด outlet กระเบี้องจึงทำได้ยาก อันนี้ผมช่วยวิเคราะห์เสริมให้ด้วยนะครับ
> > เป็นผู้นำในการกำหนดราคาขาย ในประเทศ เนื่องจากมี volume ขายเยอะที่สุดเทียบกับ SCC และรายอื่น จึงสามารถกำหนด market price ของกระเบื้องและกาวทากระเบื้อง ใน segment ที่ DCC ขายอยู่ได้
> > กระเบื้องในประเทศไทยถือว่าคุณภาพใกล้ๆกัน แต่ราคาเราต่ำสุด (cotto ก็ราคาสูงหน่อย) << บรรทัดนี้นำมาจากคุณ JN_5480 ในร้อยคนร้อยหุ้นครับ
> เป็นผู้ผลิตกระเบื้องต้นทุนต่ำสุดในไทย
> แผนการเติบโตของยอดขายในอนาคต & บริษัทมีแผนการออกสินค้าใหม่
> หรือมีโครงการลดต้นทุนอย่างไรบ้าง & นโยบายการลงทุนของบริษัทใน 2-3 ปีนี้
> > ระยะยาว ต้องการคงความเป็นที่ 1 ต่อไป โดยตั้งเป้าเพิ่ม market share ให้ได้มากขึ้น โดยแต่ละปี volume ขายของ DCC จะโตประมาณ 10% ถือว่ามากกว่าตลาดโดยรวมซึ่งโตประมาณ 7% (โตจากการกิน market share ของคู่แข่งด้วย)
> > ระยะสั้น
> เพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากปัจจุบันใช้ capacity utilization rate >95%
> จึงจะเพิ่มเตาเผาอีก1เตา ทุกๆ1เตาที่เปิดเพิ่มจะลดต้นทุนคงที่ได้ 1
> บาท/กระเบื้อง 1 ตารางเมตร
> เน้นผลิตและขายกระเบื้องขนาดที่มี margin มากกว่า (โดยเน้นกระเบื้อง 16*16 นิ้ง แทน 12*12 นิ้ว ซึ่งผู้บริโภคก็สนใจ)
> ปี 2553 Same store sale โต 10 %
>
> ความแข็งแกร่ง หรือจุดเด่นด้านการเงิน & นโยบายการปันผล
> > cash flow หลัง CAPEX เหลือเยอะ จึงคาดว่าปีนี้จะปันผลได้ 100% ของกำไรสุทธิเหมือนปีก่อน
> (บริษัทไม่มีหนี้ เน้นขายเงินสด ปันผลทุกไตรมาส)
> นโยบายด้านการบุคคล & มีการขยายงานไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือไม่
> > ไม่ได้พูดคุยกันในประเด็นนี้
>
> ข้อสังเกต หรือความประทับใจต่อบริษัท
> > ผู้บริหารตอบคำถามได้ชัดเจน (ทำข้อมูล present ได้ดีมาก ดูได้จาด Opp Day 21 ก.พ.54)
>
> คำแนะนำอื่นๆ สำหรับคณะผู้จัดงาน
> > พอใจมากครับ ว่าแต่ไม่มีดูโรงงานประกอบด้วยเหรอครับ จะได้เห็นภาพฝ่ายผลิต ว่าการทำงานในโรงงานมีระบบมากน้อย และบรรยากาศการทำงานเป็นเช่นไร เป็นต้น
> เป้าหมาย ปี 2554
1.ยอดขายโต 10%
2.GP 44%
3.เปิดสาขา 10-15 สาขา
4. capacity rate > 95%
> ชื่อผู้เขียนรายงานสรุป LA-Z-BOY
บางฉบับจะยังเก็บร่องรอยการแก้ไขไว้ค่ะ (ที่เป็นอักษรสีแดง)
ต้องขอบคุณทุกท่าน หมอเบิร์ด หมอนุ่น คุณโอม และคุยนุ้ย ที่ตั้งใจช่วยกันถ่ายทอดข้อมูลเป็นอย่างดี และขอบคุณพี่ๆที่ช่วยอ่านทุกฉบับอย่างละเอียดค่ะ
(ขอนับรายงานหมอเบิร์ดเป็นฉบับที่ 1 นะคะ)
รายงาน 2
บันทึกการเยี่ยมชมบริษัท
>
> ชื่อบริษัท DCC วันที่ 16 ก.พ. 54
> ชื่อผู้บริหารที่ได้พบ มารุต แสงศาสตรา (เค้าไม่ได้แนะนำตัวครับ
> ทราบมาว่าเป็นลูกของประธานฯ แต่ไม่ยืนยันนะครับ)
> คุณมารุตเป็นลูกคุณรุ่งโรจน์ครับ เข้าใจถูกแล้วครับ
> สภาพการแข่งขันในปัจจุบัน
> > market share ในประเทศ สำหรับตลาดกระเบื้องปูพื้น/ปูผนัง คิดจาก volume ขาย คิดเป็น 32%(รวมทั้งหมด ถ้าเฉพาะในประเทศ 40 %) ถือเป็นอันดับ1 (หากคิดจากยอดขายหรือ gross margin ก็เป็นอันดับ 1 เช่นกัน )
> สูสีกับbrand TGCI และโสสุโก้รวมกัน ซึ่งถือเป็นอันดับ2 (ทั้ง TGCI
> และโซซูโกเป็นbrandของ SCC)
เข้าใจว่า brand หลักอีกตัวหนึ่งของ scc คือ cotto ด้วยครับ และหากดูจาก domestic market share นั้น DCC จะเป็นอันดับ 1 ที่ประมาณ 45% เพราะ DCC ส่งออกน้อย ในขณะที่คู่แข่งส่งออกในสัดส่วนที่มากกว่า DCC มาก >
แต่แนวโน้ม market share ของ DCC เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ของ SCC น้อยลง
> เพราะ SCC ติดปัญหาเรื่องช่องทางจำหน่าย กล่าวคือ SCC
> ไม่สามารถลงไปขายแข่งกับ agent ได้และปีที่ผ่านมาจุดจำหน่ายของ SCC
> ก็ปิดตัวลงไปหลายจุด
> > ส่วนส่งออก market share ประมาณ 4% การส่งออกทางบริษัทไม่เน้น เพราะเห็นว่าเสียเปรียบกระเบื้องจากจีน อินโด(ซึ่งมีคุณภาพด้อยกว่าของไทย) เพราะบ้านเค้าค่าแรงถูกกว่าบ้านเรามาก แต่แนวโน้มในอนาคตค่าแรงบ้านเค้าก็น่าจะสูงขึ้น
> > ค่าขนส่งเป็น entry barrier ไว้ป้องกันคู่แข่งจาก ตปท (เพราะกระเบื้องมันหนัก..ขนส่งยาก) << บรรทัดนี้นำมาจากคุณ JN_5480 ในร้อยคนร้อยหุ้นครับ
>
>
> พฤติกรรมการซื้อสินค้า
> > ผู้ซื้อส่วนใหญ่คือ ชาวบ้าน ผู้รับเหมาสร้างบ้าน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
> > ชาวบ้าน มักเลือกลายที่ชอบ
> > ผู้รับเหมาสร้างบ้าน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ความสำคัญกับคุณภาพ อันประกอบด้วย กระเบื้องต้องไม่โก่งงอ มุมต้องเป็นฉาก น้ำต้องไม่ซึม ซึ่ง DCC มั่นใจในคุณภาพว่าไม่เป็นรองใครในประเทศ
> จุดเด่นของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
> > เรื่องการซื้อซ้ำ บริษัทชี้แจงว่า สิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้าซื้อกับ DCC คือ promotion และ บริการ
>
>
> จุดเด่นของบริษัทเทียบกับคู่แข่ง
> > ช่องทางจัดจำหน่ายที่มีมากที่สุดในประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ 206 สาขากระจายอยู่ทุกจังหวัด(ส่วนใหญ่เป็นของ DCC เอง ส่วนน้อยมากที่เป็น agent/franchisee) ตั้งใจจะเพิ่มปีละ 10-15 สาขา เป้า 350 สาขาใน 8 ปี และวางแผนไว้ว่าจะค่อยๆ take over franchisee เหตุที่ไม่เน้นขยายช่องทางจัดจำหน่ายด้วยการเพิ่มจำนวน agent เพราะ DCC บริหาร stock หมุนเวียนได้ดีกว่า agent มาก
> เรื่องช่องทางจัดจำหน่ายนี้ หาก SCC คู่แข่งตัวใหญ่ที่สุด
> จะลงมาแข่งด้วยการเปิดร้านเองเหมือน DCC ก็ยาก
> เพราะหากทำเช่นนั้นจะติดล็อกเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับ agent ทันที
SCC ไม่ได้มีกระเบื้องเป็น product เดียว และกระเบี้องก็มีมูลค่าการขายน้อยเมื่อเทียบกับสินค้าหลักๆ อย่างปูนซิเมนต์ ดังนั้น SCC จึงต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับ agent ซึ่งเป็นผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นโอกาสที่ปูนจะมาเปิด outlet กระเบี้องจึงทำได้ยาก อันนี้ผมช่วยวิเคราะห์เสริมให้ด้วยนะครับ
> > เป็นผู้นำในการกำหนดราคาขาย ในประเทศ เนื่องจากมี volume ขายเยอะที่สุดเทียบกับ SCC และรายอื่น จึงสามารถกำหนด market price ของกระเบื้องและกาวทากระเบื้อง ใน segment ที่ DCC ขายอยู่ได้
> > กระเบื้องในประเทศไทยถือว่าคุณภาพใกล้ๆกัน แต่ราคาเราต่ำสุด (cotto ก็ราคาสูงหน่อย) << บรรทัดนี้นำมาจากคุณ JN_5480 ในร้อยคนร้อยหุ้นครับ
> เป็นผู้ผลิตกระเบื้องต้นทุนต่ำสุดในไทย
> แผนการเติบโตของยอดขายในอนาคต & บริษัทมีแผนการออกสินค้าใหม่
> หรือมีโครงการลดต้นทุนอย่างไรบ้าง & นโยบายการลงทุนของบริษัทใน 2-3 ปีนี้
> > ระยะยาว ต้องการคงความเป็นที่ 1 ต่อไป โดยตั้งเป้าเพิ่ม market share ให้ได้มากขึ้น โดยแต่ละปี volume ขายของ DCC จะโตประมาณ 10% ถือว่ามากกว่าตลาดโดยรวมซึ่งโตประมาณ 7% (โตจากการกิน market share ของคู่แข่งด้วย)
> > ระยะสั้น
> เพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากปัจจุบันใช้ capacity utilization rate >95%
> จึงจะเพิ่มเตาเผาอีก1เตา ทุกๆ1เตาที่เปิดเพิ่มจะลดต้นทุนคงที่ได้ 1
> บาท/กระเบื้อง 1 ตารางเมตร
> เน้นผลิตและขายกระเบื้องขนาดที่มี margin มากกว่า (โดยเน้นกระเบื้อง 16*16 นิ้ง แทน 12*12 นิ้ว ซึ่งผู้บริโภคก็สนใจ)
> ปี 2553 Same store sale โต 10 %
>
> ความแข็งแกร่ง หรือจุดเด่นด้านการเงิน & นโยบายการปันผล
> > cash flow หลัง CAPEX เหลือเยอะ จึงคาดว่าปีนี้จะปันผลได้ 100% ของกำไรสุทธิเหมือนปีก่อน
> (บริษัทไม่มีหนี้ เน้นขายเงินสด ปันผลทุกไตรมาส)
> นโยบายด้านการบุคคล & มีการขยายงานไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือไม่
> > ไม่ได้พูดคุยกันในประเด็นนี้
>
> ข้อสังเกต หรือความประทับใจต่อบริษัท
> > ผู้บริหารตอบคำถามได้ชัดเจน (ทำข้อมูล present ได้ดีมาก ดูได้จาด Opp Day 21 ก.พ.54)
>
> คำแนะนำอื่นๆ สำหรับคณะผู้จัดงาน
> > พอใจมากครับ ว่าแต่ไม่มีดูโรงงานประกอบด้วยเหรอครับ จะได้เห็นภาพฝ่ายผลิต ว่าการทำงานในโรงงานมีระบบมากน้อย และบรรยากาศการทำงานเป็นเช่นไร เป็นต้น
> เป้าหมาย ปี 2554
1.ยอดขายโต 10%
2.GP 44%
3.เปิดสาขา 10-15 สาขา
4. capacity rate > 95%
> ชื่อผู้เขียนรายงานสรุป LA-Z-BOY
แก้ไขล่าสุดโดย kiri เมื่อ จันทร์ ก.พ. 21, 2011 8:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
- kiri
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 473
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 20
รายงาน 3
บันทึกการเยี่ยมชมบริษัท
ชื่อบริษัท : DCC
วันที่ : 16 กุมภาพันธ์ 2554
ชื่อผู้บริหารที่ได้พบ :
สภาพการแข่งขันในปัจจุบัน :
บริษัทมีกำลังการผลิต ยอด และกำไร เป็นอันดับที่ 1 ในอุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องภายในประเทศ ตามมาด้วยกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยซึ่งมี Domestic Market share เป็นอันดับสอง และ Total Market Share (รวมส่งออก) อันดับหนึ่ง คู่แข่งสำคัญในตลาดต่างจังหวัดได้แก่ กระเบื้องของโสสุโก้ และ TGCI
ในระดับโลก DCC มีกำลังผลิตมากเป็นอันดับที่ 9 (ปี 2007 อยู่ที่อันดับ 17)
พฤติกรรมการซื้อสินค้า :
ยอดขายส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากต่างจังหวัด (มีเพียง 3% ที่อยู่ในกรุงเทพ) ทำให้ยอดขายขึ้นอยู่กับราคาสินค้าเกษตร High Season ของบริษัทอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตของสินค้าเกษตรหลายชนิด โดย 70% ของผู้ซื้อ ซื้อไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการซ่อมแซม
จุดเด่นของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง :
ความสามารถในการควบคุมต้นทุน เนื่องจาก Economy of Scale รวมทั้งการที่บริษัทเน้นการจัดจำหน่ายผ่าน Outlet ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าผู้ผลิตกระเบื้องรายอื่น ๆ ที่จัดจำหน่ายผ่านเอเย่นต์
เมื่อเทียบกับผู้ผลิตกระเบื้องในอาเซียน นับว่ากระเบื้องที่ผลิตในประเทศไทยมีคุณภาพสูงที่สุด
แผนการเติบโตของยอดขายในอนาคต
ปี 2011 บริษัทจะเปิด Company Outlet เพิ่มอีกประมาณ 10-15 สาขา คาดว่ายอดขายจะเติบโตประมาณ 10 % (ตลาดกระเบื้องโดยรวมน่าจะเติบโตประมาณ 7%) และรักษาอัตรากำไรขั้นไว้ที่ 44% ทั้งนี้ หากราคา Natural Gas และน้ำมันยังทรงตัวก็มีโอกาสที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 47%
เป้าหมายระยะกลาง-ยาว บริษัทหวังว่าจะมียอดขายระดับหนึ่งหมื่นล้านบาทภายใน 4 ปี (2015) และเปิด Outlet ให้ได้ 350 สาขา ภายใน 8 ปี (2019) และจะทยอยยกเลิกร้านค้าแฟรนไชส์
ด้านการส่งออก ในปัจจุบันบริษัทมียอดการส่งออกเพียง 4 % ของยอดขาย โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ศึกษาแนวทางของตลาดในต่างประเทศเท่านั้น เนื่องจากการขายในต่างประเทศมีอัตรากำไรที่ต่ำกว่าในประเทศ แต่ในระยะยาว(9-10 ปี)บริษัทคาดว่าอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้น
บริษัทมีแผนการออกสินค้าใหม่ หรือมีโครงการลดต้นทุนอย่างไรบ้าง
เปลี่ยนคำนวณเส้นทางขนส่งสินค้าจาก Shortest Path เป็น Cheapest Path เปลี่ยนขนาดรถบรรทุก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
ทำ Raw Material Research เพื่อลดการใช้ Natural Gas
ความแข็งแกร่ง หรือจุดเด่นด้านการเงิน
ไม่มีหนี้
นโยบายการปันผล
คาดว่าปีนี้จะจ่ายปันผลที่ 100%
มีการขยายงานไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ผลิตปูนยาแนว
ข้อสังเกต หรือความประทับใจต่อบริษัท
ราคา Natural Gas เป็นตัวแปรสำคัญต่ออัตราการทำกำไรของบริษัท ทั้งนี้ NG ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยจะช้ากว่าประมาณ 3 เดือน
ประเทศไทยมีอัตราการใช้กระเบื้องต่อคนต่อตารางเมตรน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ อาทิ สิงคโปร์ หรือประเทศในยุโรป อยู่มาก
ผลกระทบด้านน้ำท่วม หากท่วมไม่มากและไม่นาน จะทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ถ้าท่วมใหญ่ เช่นเมื่อปีกลายที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าไม่มีกำลังซื้อ ส่งผลให้ยอดขายตกลง
ชื่อผู้เขียนรายงานสรุป Chaanat
Email address [email protected]
บันทึกการเยี่ยมชมบริษัท
ชื่อบริษัท : DCC
วันที่ : 16 กุมภาพันธ์ 2554
ชื่อผู้บริหารที่ได้พบ :
สภาพการแข่งขันในปัจจุบัน :
บริษัทมีกำลังการผลิต ยอด และกำไร เป็นอันดับที่ 1 ในอุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องภายในประเทศ ตามมาด้วยกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยซึ่งมี Domestic Market share เป็นอันดับสอง และ Total Market Share (รวมส่งออก) อันดับหนึ่ง คู่แข่งสำคัญในตลาดต่างจังหวัดได้แก่ กระเบื้องของโสสุโก้ และ TGCI
ในระดับโลก DCC มีกำลังผลิตมากเป็นอันดับที่ 9 (ปี 2007 อยู่ที่อันดับ 17)
พฤติกรรมการซื้อสินค้า :
ยอดขายส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากต่างจังหวัด (มีเพียง 3% ที่อยู่ในกรุงเทพ) ทำให้ยอดขายขึ้นอยู่กับราคาสินค้าเกษตร High Season ของบริษัทอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตของสินค้าเกษตรหลายชนิด โดย 70% ของผู้ซื้อ ซื้อไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการซ่อมแซม
จุดเด่นของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง :
ความสามารถในการควบคุมต้นทุน เนื่องจาก Economy of Scale รวมทั้งการที่บริษัทเน้นการจัดจำหน่ายผ่าน Outlet ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าผู้ผลิตกระเบื้องรายอื่น ๆ ที่จัดจำหน่ายผ่านเอเย่นต์
เมื่อเทียบกับผู้ผลิตกระเบื้องในอาเซียน นับว่ากระเบื้องที่ผลิตในประเทศไทยมีคุณภาพสูงที่สุด
แผนการเติบโตของยอดขายในอนาคต
ปี 2011 บริษัทจะเปิด Company Outlet เพิ่มอีกประมาณ 10-15 สาขา คาดว่ายอดขายจะเติบโตประมาณ 10 % (ตลาดกระเบื้องโดยรวมน่าจะเติบโตประมาณ 7%) และรักษาอัตรากำไรขั้นไว้ที่ 44% ทั้งนี้ หากราคา Natural Gas และน้ำมันยังทรงตัวก็มีโอกาสที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 47%
เป้าหมายระยะกลาง-ยาว บริษัทหวังว่าจะมียอดขายระดับหนึ่งหมื่นล้านบาทภายใน 4 ปี (2015) และเปิด Outlet ให้ได้ 350 สาขา ภายใน 8 ปี (2019) และจะทยอยยกเลิกร้านค้าแฟรนไชส์
ด้านการส่งออก ในปัจจุบันบริษัทมียอดการส่งออกเพียง 4 % ของยอดขาย โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ศึกษาแนวทางของตลาดในต่างประเทศเท่านั้น เนื่องจากการขายในต่างประเทศมีอัตรากำไรที่ต่ำกว่าในประเทศ แต่ในระยะยาว(9-10 ปี)บริษัทคาดว่าอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้น
บริษัทมีแผนการออกสินค้าใหม่ หรือมีโครงการลดต้นทุนอย่างไรบ้าง
เปลี่ยนคำนวณเส้นทางขนส่งสินค้าจาก Shortest Path เป็น Cheapest Path เปลี่ยนขนาดรถบรรทุก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
ทำ Raw Material Research เพื่อลดการใช้ Natural Gas
ความแข็งแกร่ง หรือจุดเด่นด้านการเงิน
ไม่มีหนี้
นโยบายการปันผล
คาดว่าปีนี้จะจ่ายปันผลที่ 100%
มีการขยายงานไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ผลิตปูนยาแนว
ข้อสังเกต หรือความประทับใจต่อบริษัท
ราคา Natural Gas เป็นตัวแปรสำคัญต่ออัตราการทำกำไรของบริษัท ทั้งนี้ NG ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยจะช้ากว่าประมาณ 3 เดือน
ประเทศไทยมีอัตราการใช้กระเบื้องต่อคนต่อตารางเมตรน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ อาทิ สิงคโปร์ หรือประเทศในยุโรป อยู่มาก
ผลกระทบด้านน้ำท่วม หากท่วมไม่มากและไม่นาน จะทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ถ้าท่วมใหญ่ เช่นเมื่อปีกลายที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าไม่มีกำลังซื้อ ส่งผลให้ยอดขายตกลง
ชื่อผู้เขียนรายงานสรุป Chaanat
Email address [email protected]
แก้ไขล่าสุดโดย kiri เมื่อ จันทร์ ก.พ. 21, 2011 8:44 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- kiri
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 473
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 21
รายงาน 4
Company Visit DCC
- ผู้สนใจข้อมูลของบริษัทสามารถอ่านข้อมูลเบื้องต้นได้จาก 56-1
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... mp_id=0278
สามารถอ่านข้อมูลสรุป company visit ของหมอ bird ได้ที่ link นี้ครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=45&t=46567
- เริ่มการ company visit ทาง DCC ให้ชม วิดิทัศน์ แนะนำบริษัท คร่าวๆ
- หลังจากนั้น คุณมารุต แสงศาสตรา ได้เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทด้วยตนเอง
- ยอดขายของ DCC >>20% เป็นพื้นที่ภาคอีสาน ( 29% ) , 17% เป็นพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเท่ากับพื้นที่ภาคใต้
ส่วนพื้นที่ กทม. มียอดขายเท่ากับ 3% ของยอดขายทั้งหมด
- ในปี 2553 ที่ผ่านมา พื้นที่ภาคอีสานประสบกับปัญหาอุทกภัยอย่างหนัก ซึ่งมีผลต่อยอดขายในเดือน สิงหาคม และเดือน กันยายน 2553
- DCC พยายามควบคุมต้นทุนในการผลิตกระเบื้องให้มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดของประเทศ
- กิจกรรมที่ทำเพื่อส่งเสริมการขายมีต้นทุนในการทำกิจกรรมไม่มาก แต่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เช่นการมี promotion ในการซื้อกระเบื้อง ฯลฯ (หาอ่านได้ใน 56-1 และรายงานประจำปีครับ)
- เตาเผากระเบื้องของบริษัท ปัจจุบันมี 3 เตา ผลิตกระเบื้องได้ประมาณ 250,000 – 300,000 ตารางเมตร ต่อเดือน
- เตาเผาแห่งที่ 4 จะสามารถเปิดใช้การได้ในกลางปี 2554
- เดิม การผลิตกระเบื้อง 1 แผ่น ใช้เวลาประมาณ 3 วัน ปัจจุบัน DCC ใช้ระยะเวลาในการผลิตกระเบื้องประมาณ 45 นาที ต่อกระเบื้อง 1 แผ่น
- ปัจจุบัน DCC เป็นผู้ผลิตกระเบื้อง อันดับ 9 ของโลก
- มีอัตราการผลิตกระเบื้องแล้วเกิดความเสียหายต่ำ ประมาณ 1% ( 1.13% และ เป้าต่ำกว่า 1%)
(ผมไม่แน่ใจว่า ใช้คำว่า loss yield หรือไม่(ใช่ครับ)นะครับ พยายามเปิดหาจากแหล่งต่างๆ แต่ไม่รู้ศัทพ์ตรงนี้จริงๆครับ)
- ปัจจุบันใช้ระบบ computer ทั้งหมดเหมือนกับ Makro ,Lotus และ modern trade แห่งอื่น
- มีระบบ Waste Heat Recovery System โดยการนำ gas ที่ผ่านการผลิตกระเบื้องนำกลับมาอัดเข้าไปในเตาผลิตกระเบื้องใหม่เพื่อเป็นการลดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
- DCC มี trademark ทั้งหมด 6 brand โดยแต่ละ brand จะไม่ให้มีลายกระเบื้องเหมือนกันเลย เพื่อจะไม่ได้เป็นการแข่งขันกันเอง
- ปัจจุบัน อสังหาฯในต่างจังหวัด มักจะเน้นที่บ้านเดี่ยว
- ในปี 2553 ยอดขายโตประมาณ 11% โดยใน Q3-4 ไม่โตตามเป้า เนื่องจากลูกค้าประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งกระทบต่อรายได้ของลูกค้า
- กำไรในปี 2553 โต 18%
- ปีที่แล้วบริษัท ผลิต กาวยาแนว 10 % ของปริมาณกาวยาแนวที่ขายทั้งหมด
(อีก 90% เป็นสินค้าที่ซื้อมา ขายไป)
- ในปี 2554 จะผลิต กาวยาแนวขายเอง 40% และเป็นสินค้าที่ซื้อมาขายไป 60%
- ปัจจุบัน กระเบื้องที่ บริษัทผลิต มี average sale price อยู่ที่ 128.62 บาท และปัจจุบัน กระเบื้องที่ขาย มักเป็น 16 * 16 เพราะมีความนิยม และมี margin มากกว่า 12 * 12 โดยทาง DCC จะเน้นไปที่สินค้าที่มี margin สูง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายพลังงานที่สูงขึ้น
- ปัจจุบัน DCC ใช้ NG (Natural Gas) ไม่ใช่ LPG ซึ่ง NG รัฐบาลไม่ได้ support ใดๆตั้งแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น แม้นราคา LPG จะสูงขึ้น หรือมีการลอยตัวของราคา LPG ก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับบริษัท
- เวลาที่จะสังเกตราคา gas ให้สังเกตที่ราคาน้ำมัน เพราะราคา gas จะช้ากว่า ราคาน้ำมันประมาณ 3 เดือน เช่น ราคาน้ำมันลดลงในเดือน มค. (สมมติ) ราคา gas ก็มักจะลดลง ในเดือน เม.ย.
- Transporttation Cost เท่าๆกับปี 2008 เพราะบริษัทมีการพัฒนาเรื่อง logistic มาตลอด เช่นการเปลี่ยนจาก รถบรรทุก 6 ล้อ มาเป็น รถ 18 ล้อ
- ยอดขายในเดือน มค.53 โต 30% yoy คุณมารุตมองว่า เป็นยอดขายที่โตมากกว่าปกติ ส่วนยอดขายในปี 2554 น่าจะโตตามปกติครับ
- ปกติ การมองที่ volume การขาย จะมองยอดขายได้กระจ่างชัดก่วา
- ยอดขายในภาคใต้ volume การขายเพิ่ม แม้บริษัทจะไม่เพิ่มสาขาในภาคใต้เลย
- กลางปี 2554 จะใช้ดิน และสารต่างๆที่ทำให้อุณหภูมิในการผลิตกระเบื้องลดลง ซึ่งเป็นการประหยัดพลังงานที่ใช้ (คาดว่าประหยัดได้ 6% ข้อมูลจาก Oppdayวันนี้)
- การที่บริษัทมี Economy of Scale ทำให้บริษัทลดต้นทุนการผลิตกระเบื้องได้ประมาณ 1 บาท ต่อ ตารางเมตร
- อัตราส่วน ในปี 2010 ที่น่าสนใจ
ROE 43.08
ROA 31.59
EPS 2.88 บาท/หุ้น
D/E 0.36
P/BV 9.89
Pay-out ratio = 100% และไม่เคยกู้เงินมาเพื่อทำการปันผล
Target
10% growth in revenue
สินค้ามี margin 44% (กรณีน้ำมันแพง)
ถ้าน้ำมันไม่แพง margin 47%
Loss Yield < 1%
เปิดสาขา 10-15 สาขา
คุณมารุตคาดว่า ราคาน้ำมัน และ gas ธรรมชาติน่าจะไม่สูงขึ้นกว่าปัจจุบัน
ปัจจุบันมี Capacity Utility Rate มากกว่า 95%
- ปัจจุบัน กำลังพัฒนา ระบบ logistic ให้ Cheapest Cost and Shortest Pass
- ลายกระเบื้องที่ขายดีที่สุดในปัจจุบัน ขายได้ประมาณ 80,000 ตร.เมตร / เดือน ขายดีจนผลิตไม่ทัน แต่เวลาที่บริษัทไป CSR ในต่างจังหวัดก็ใช้ลายนี้ในการไปปูพื้นให้เด็กๆในต่างจังหวัด
- ปี 2555 มี plan ที่จะทำ CSR ในการปูผนังให้เด็กๆด้วย
- DCC เน้น domestic sale โดย 80% เป็น country site กระเบื้องยี่ห้ออื่นๆ มักส่งออกประมาณ 20% แต่การล่งออกก็จะไปเจอกับปัญหาต่างๆได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าน้ำมันในอินโดนีเซียมีราคาถูกกว่า ค่าแรงในจีนถูกกว่า แต่ก็พบว่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีราคาสูงขึ้นแล้วในต่างปะเทศ
(ค่าแรงงานจีนไม่ถูกแล้ว)
- ยอดขายของกระเบื้อง DCC เป็น Renovatron / Replacement 70% (ลูกค้าซื้อกระเบื้องใหม่เพื่อปูแทนกระเบื้องเดิมประมาณ 5-10 ปี ครั้ง) , ตลาดบ้านใหม่ 30%
โดยสังเกตจาก บิลที่เข้ามาในบริษัท บิลที่มียอดไม่เกิน 50 ตร.ม. มักเป็น Renovation / Replacement
- เวลาดูคุณภาพ กระเบื้อง ดูจาก
1. ดูความ โก่ง / แอ่น ของกระเบื้อง
2. ดูว่า ได้ฉากไหม
3. ดูว่า มีน้ำซึมไหม
4. ดูลวดลายว่ามีการผุหรือไม่
- การดูลวดลายว่า มีการผุของลวดลายหรือไม่จะใช้สายตาคนในการดู โดยเปลี่ยนทุก 10 นาที
- กระเบื้องที่ผลิตจากประเทศอิตาลี แม้ว่าจะมีการ screen ลายลงแผ่นกระเบื้องมากกว่า (screen ประมาณ 10 ครั้ง/แผ่น) แต่ก็มี loss yield สูงกว่า คือประมาณ 3% และมีราคาแพงกว่า (ราคาเป็นพันบาท)
- การเปิดสาขาใหม่ หากมีการเปิดสาขาใกล้ๆสาขาเดิม แรกๆอาจดึงยอดขายสาขาเดิมบ้าง เช่นสาขาเดิม ขายได้ 4 ล้าน หลังเปิดสาขาใหม่ จะขายได้ 3 ล้าน ทั้ง 2 สาขา หลังจากนั้นยอดขายก็จะกลับมาเท่าๆเดิม คือประมาณ 4 ล้าน
- Plan ในการเปิดสาขาใหม่ คือ มีสาขา 360 ( น่าจะเป็น 350 นะครับ) สาขา ภายใน ระยะเวลา 8 ปี
- Usage การใช้กระเบื้องมีมากขึ้นกว้าสมัยก่อน สมัยก่อนเราปู ห้องน้ำ อย่างเดียว ปัจจุบันเราปูพื้นบ้านทุกๆห้อง ปูผนัง ปูลานจอดรถ
- วัสดุที่ทดแทนกระเบื้องแทบจะไม่มี พื้นปาเกต์ เสื่อน้ำมันก็ไม่ใช่คู่แข่ง ส่วนหินแกรนิโต้ พอใช้ไปสักพัก สีจะเริ่หมอง(คุณมารุตยกตัวอย่างร้านค้าที่ห้าง paragon)
- Asian FTA >> ไม่กลัว เพราะขณะนี้ก็มี FTA ไทย กับ จีน แต่กระเบื้องของจีนก็ไม่เข้ามา และแม้นเข้ามาก็แข่งกับของไทยไม่ได้
- กระเบื้องไทยมีคุณภาพติดอันดับโลก
- การเปิด outlet ใหม่ๆ มักเป็นการเช่า โดยเป็นสัญญาเช่าระยะยาว ประมาณ 15ปี
หากเป็นการซื้อที่ ต้องเป็นพื้นที่ที่เป็นทำเลทองจริงๆ
- มีคำถามเกี่ยวกับ homepro คุณมารุตบอกว่า homepro จะขายกระเบื้องประมาณ 5% และ homepro ก็ไม่ได้ stock ของไว้ ซึ่งทาง homepro ก็จะเป็น agency รายหนึ่งของ DCC
- กระเบื้องในกลุ่มของ SCC มี 4 บริษัท margin น้อยกว่า และทาง SCC ไม่กล้าตัด agency ออกแล้วนำสินค้ามาขายเอง
- การเปิดสาขาใหม่ ยิ่งเปิดยิ่งดี เพราะบริษัทจะได้ขายสินค้าได้ทั่วถึงมากขึ้น ส่วนเรื่องการบริหาร stock สินค้า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ DCC จะเปิดร้านรอบๆเมือง และชอบทำเลที่ติดถนนใหญ่
- ช่วงปลายปี 53 มีฝนตกหนัก คนในภาคใต้กรีดยางไม่ได้ รายได้จึงลดลง ปัจจุบันฝนหยุดตกแล้ว ชาวสวนยางสามารถกลับมากรีดยางได้ใหม่
- อัตราการใช้กระเบื้อง
ประเทศญี่ปุ่น 12 ตร.เมตร / คน / ปี
ประเทศในแถบยุโรป 5 -6 ตร.เมตร / คน / ปี
ไทย น้อยกว่า 2 ตร.เมตร / คน / ปี ถ้าเทียบแล้ว โอกาส growth ยังมีอีกมาก
- มีคนสอบถามว่า ถ้าต้อง import กระเบื้องไปขายที่ต่างประเทศ ราคาเท่าไหร่ถึง ok >> ราคา 109 บาท/แผ่น ก็ ok ครับ
กระบวนการคิดลายใหม่
- คนในบริษัทคิดลาย โดยการวาดรูปและส่งมาให้ designer หลักดู
- หลังจากนั้น designer หลัก จะส่งให้ผู้บริหารพิจารณา
- ถ้าผู้บริหาร ok ก็จะเริ่มผลิตกระเบื้องลายนั้นๆดู และ follow ยอดขาย ว่าประสบความสำเร้จมากน้อยเพียงใด
- - ถ้าลายใด ขายไม่ดี บริษัทจะนำไปทำ promotion แต่ปี 53 -54ยังไม่มีลายใดมาทำ promotion เพราะขายเกือบหมด จะเหลือแค่ประมาณ 1,000 กว่ากล่อง/ ลาย ซึ่งทำ promotion ยาก
- Same Stor Sale Growth ประมาณ 11% / ปี
- ประเทศบางประเทศ เช่น Indonesia ยังทำกระเบื้องสู้ประเทศไทยไม่ได้ เค้ารีบผลิตกระเบื้อง แล้วพบกับปัญหากระเบื้องไม่ได้ประสิทธิภาพ
ปกติคนที่คิด technology การเผากระเบื้องคือ ประเทศ italy หลังจากนั้นประเทศจีน จะเป็นผู้ผลิต
ประเทศไทย , อินโดนีเซีย เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี
ความเสี่ยง
1. Natural Diaster ถ้าเกิดภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ก็จะกระทบต่อรายได้ของลูกค้า DCC
2. Natural Gas ราคา gas ที่แพงขึ้น จะมีผลต่อต้นทุนการผลิตกระเบื้อง(DCC ใช้ Natural gas ไม่ใช่ LPG)
3. Chinese Import ตอนนี้ไม่ค่อยห่วงแล้วเพราะกระเบื้องของ DCC ก็มีหน้าตาเหมือนแกรนิตโต้
ส่วนกระเบื้องเกรดเดียวกับที่บริษัททำอยู่ก็ยากที่จะเข้ามาตีตลาด เพราะ กระเบื้องเป็นของหนัก
ขนส่งจะ สูงมาก เวลาเอาเข้ามาก็เลยทำราคาสู้ไม่ได้
- ปัจจุบันDCC จ่ายค่า Gas เป็น Spot Price เพราะทาง PTT ไม่ขาย gas เป็น contract
- 2-4 มี.ค.54 มี road show ที่ประเทศสิงคโปร์
- ผู้บริหารแจ้งว่าช่วงนี้มีคนมาขอดูงานบ่อยมาก ผู้บริหารอยากทำงานมากกว่ามาพูดอย่างเดียว
ชื่อผู้จัดทำสรุปรายงาน noooon010
Company Visit DCC
- ผู้สนใจข้อมูลของบริษัทสามารถอ่านข้อมูลเบื้องต้นได้จาก 56-1
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... mp_id=0278
สามารถอ่านข้อมูลสรุป company visit ของหมอ bird ได้ที่ link นี้ครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=45&t=46567
- เริ่มการ company visit ทาง DCC ให้ชม วิดิทัศน์ แนะนำบริษัท คร่าวๆ
- หลังจากนั้น คุณมารุต แสงศาสตรา ได้เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทด้วยตนเอง
- ยอดขายของ DCC >>20% เป็นพื้นที่ภาคอีสาน ( 29% ) , 17% เป็นพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเท่ากับพื้นที่ภาคใต้
ส่วนพื้นที่ กทม. มียอดขายเท่ากับ 3% ของยอดขายทั้งหมด
- ในปี 2553 ที่ผ่านมา พื้นที่ภาคอีสานประสบกับปัญหาอุทกภัยอย่างหนัก ซึ่งมีผลต่อยอดขายในเดือน สิงหาคม และเดือน กันยายน 2553
- DCC พยายามควบคุมต้นทุนในการผลิตกระเบื้องให้มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดของประเทศ
- กิจกรรมที่ทำเพื่อส่งเสริมการขายมีต้นทุนในการทำกิจกรรมไม่มาก แต่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เช่นการมี promotion ในการซื้อกระเบื้อง ฯลฯ (หาอ่านได้ใน 56-1 และรายงานประจำปีครับ)
- เตาเผากระเบื้องของบริษัท ปัจจุบันมี 3 เตา ผลิตกระเบื้องได้ประมาณ 250,000 – 300,000 ตารางเมตร ต่อเดือน
- เตาเผาแห่งที่ 4 จะสามารถเปิดใช้การได้ในกลางปี 2554
- เดิม การผลิตกระเบื้อง 1 แผ่น ใช้เวลาประมาณ 3 วัน ปัจจุบัน DCC ใช้ระยะเวลาในการผลิตกระเบื้องประมาณ 45 นาที ต่อกระเบื้อง 1 แผ่น
- ปัจจุบัน DCC เป็นผู้ผลิตกระเบื้อง อันดับ 9 ของโลก
- มีอัตราการผลิตกระเบื้องแล้วเกิดความเสียหายต่ำ ประมาณ 1% ( 1.13% และ เป้าต่ำกว่า 1%)
(ผมไม่แน่ใจว่า ใช้คำว่า loss yield หรือไม่(ใช่ครับ)นะครับ พยายามเปิดหาจากแหล่งต่างๆ แต่ไม่รู้ศัทพ์ตรงนี้จริงๆครับ)
- ปัจจุบันใช้ระบบ computer ทั้งหมดเหมือนกับ Makro ,Lotus และ modern trade แห่งอื่น
- มีระบบ Waste Heat Recovery System โดยการนำ gas ที่ผ่านการผลิตกระเบื้องนำกลับมาอัดเข้าไปในเตาผลิตกระเบื้องใหม่เพื่อเป็นการลดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
- DCC มี trademark ทั้งหมด 6 brand โดยแต่ละ brand จะไม่ให้มีลายกระเบื้องเหมือนกันเลย เพื่อจะไม่ได้เป็นการแข่งขันกันเอง
- ปัจจุบัน อสังหาฯในต่างจังหวัด มักจะเน้นที่บ้านเดี่ยว
- ในปี 2553 ยอดขายโตประมาณ 11% โดยใน Q3-4 ไม่โตตามเป้า เนื่องจากลูกค้าประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งกระทบต่อรายได้ของลูกค้า
- กำไรในปี 2553 โต 18%
- ปีที่แล้วบริษัท ผลิต กาวยาแนว 10 % ของปริมาณกาวยาแนวที่ขายทั้งหมด
(อีก 90% เป็นสินค้าที่ซื้อมา ขายไป)
- ในปี 2554 จะผลิต กาวยาแนวขายเอง 40% และเป็นสินค้าที่ซื้อมาขายไป 60%
- ปัจจุบัน กระเบื้องที่ บริษัทผลิต มี average sale price อยู่ที่ 128.62 บาท และปัจจุบัน กระเบื้องที่ขาย มักเป็น 16 * 16 เพราะมีความนิยม และมี margin มากกว่า 12 * 12 โดยทาง DCC จะเน้นไปที่สินค้าที่มี margin สูง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายพลังงานที่สูงขึ้น
- ปัจจุบัน DCC ใช้ NG (Natural Gas) ไม่ใช่ LPG ซึ่ง NG รัฐบาลไม่ได้ support ใดๆตั้งแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น แม้นราคา LPG จะสูงขึ้น หรือมีการลอยตัวของราคา LPG ก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับบริษัท
- เวลาที่จะสังเกตราคา gas ให้สังเกตที่ราคาน้ำมัน เพราะราคา gas จะช้ากว่า ราคาน้ำมันประมาณ 3 เดือน เช่น ราคาน้ำมันลดลงในเดือน มค. (สมมติ) ราคา gas ก็มักจะลดลง ในเดือน เม.ย.
- Transporttation Cost เท่าๆกับปี 2008 เพราะบริษัทมีการพัฒนาเรื่อง logistic มาตลอด เช่นการเปลี่ยนจาก รถบรรทุก 6 ล้อ มาเป็น รถ 18 ล้อ
- ยอดขายในเดือน มค.53 โต 30% yoy คุณมารุตมองว่า เป็นยอดขายที่โตมากกว่าปกติ ส่วนยอดขายในปี 2554 น่าจะโตตามปกติครับ
- ปกติ การมองที่ volume การขาย จะมองยอดขายได้กระจ่างชัดก่วา
- ยอดขายในภาคใต้ volume การขายเพิ่ม แม้บริษัทจะไม่เพิ่มสาขาในภาคใต้เลย
- กลางปี 2554 จะใช้ดิน และสารต่างๆที่ทำให้อุณหภูมิในการผลิตกระเบื้องลดลง ซึ่งเป็นการประหยัดพลังงานที่ใช้ (คาดว่าประหยัดได้ 6% ข้อมูลจาก Oppdayวันนี้)
- การที่บริษัทมี Economy of Scale ทำให้บริษัทลดต้นทุนการผลิตกระเบื้องได้ประมาณ 1 บาท ต่อ ตารางเมตร
- อัตราส่วน ในปี 2010 ที่น่าสนใจ
ROE 43.08
ROA 31.59
EPS 2.88 บาท/หุ้น
D/E 0.36
P/BV 9.89
Pay-out ratio = 100% และไม่เคยกู้เงินมาเพื่อทำการปันผล
Target
10% growth in revenue
สินค้ามี margin 44% (กรณีน้ำมันแพง)
ถ้าน้ำมันไม่แพง margin 47%
Loss Yield < 1%
เปิดสาขา 10-15 สาขา
คุณมารุตคาดว่า ราคาน้ำมัน และ gas ธรรมชาติน่าจะไม่สูงขึ้นกว่าปัจจุบัน
ปัจจุบันมี Capacity Utility Rate มากกว่า 95%
- ปัจจุบัน กำลังพัฒนา ระบบ logistic ให้ Cheapest Cost and Shortest Pass
- ลายกระเบื้องที่ขายดีที่สุดในปัจจุบัน ขายได้ประมาณ 80,000 ตร.เมตร / เดือน ขายดีจนผลิตไม่ทัน แต่เวลาที่บริษัทไป CSR ในต่างจังหวัดก็ใช้ลายนี้ในการไปปูพื้นให้เด็กๆในต่างจังหวัด
- ปี 2555 มี plan ที่จะทำ CSR ในการปูผนังให้เด็กๆด้วย
- DCC เน้น domestic sale โดย 80% เป็น country site กระเบื้องยี่ห้ออื่นๆ มักส่งออกประมาณ 20% แต่การล่งออกก็จะไปเจอกับปัญหาต่างๆได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าน้ำมันในอินโดนีเซียมีราคาถูกกว่า ค่าแรงในจีนถูกกว่า แต่ก็พบว่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีราคาสูงขึ้นแล้วในต่างปะเทศ
(ค่าแรงงานจีนไม่ถูกแล้ว)
- ยอดขายของกระเบื้อง DCC เป็น Renovatron / Replacement 70% (ลูกค้าซื้อกระเบื้องใหม่เพื่อปูแทนกระเบื้องเดิมประมาณ 5-10 ปี ครั้ง) , ตลาดบ้านใหม่ 30%
โดยสังเกตจาก บิลที่เข้ามาในบริษัท บิลที่มียอดไม่เกิน 50 ตร.ม. มักเป็น Renovation / Replacement
- เวลาดูคุณภาพ กระเบื้อง ดูจาก
1. ดูความ โก่ง / แอ่น ของกระเบื้อง
2. ดูว่า ได้ฉากไหม
3. ดูว่า มีน้ำซึมไหม
4. ดูลวดลายว่ามีการผุหรือไม่
- การดูลวดลายว่า มีการผุของลวดลายหรือไม่จะใช้สายตาคนในการดู โดยเปลี่ยนทุก 10 นาที
- กระเบื้องที่ผลิตจากประเทศอิตาลี แม้ว่าจะมีการ screen ลายลงแผ่นกระเบื้องมากกว่า (screen ประมาณ 10 ครั้ง/แผ่น) แต่ก็มี loss yield สูงกว่า คือประมาณ 3% และมีราคาแพงกว่า (ราคาเป็นพันบาท)
- การเปิดสาขาใหม่ หากมีการเปิดสาขาใกล้ๆสาขาเดิม แรกๆอาจดึงยอดขายสาขาเดิมบ้าง เช่นสาขาเดิม ขายได้ 4 ล้าน หลังเปิดสาขาใหม่ จะขายได้ 3 ล้าน ทั้ง 2 สาขา หลังจากนั้นยอดขายก็จะกลับมาเท่าๆเดิม คือประมาณ 4 ล้าน
- Plan ในการเปิดสาขาใหม่ คือ มีสาขา 360 ( น่าจะเป็น 350 นะครับ) สาขา ภายใน ระยะเวลา 8 ปี
- Usage การใช้กระเบื้องมีมากขึ้นกว้าสมัยก่อน สมัยก่อนเราปู ห้องน้ำ อย่างเดียว ปัจจุบันเราปูพื้นบ้านทุกๆห้อง ปูผนัง ปูลานจอดรถ
- วัสดุที่ทดแทนกระเบื้องแทบจะไม่มี พื้นปาเกต์ เสื่อน้ำมันก็ไม่ใช่คู่แข่ง ส่วนหินแกรนิโต้ พอใช้ไปสักพัก สีจะเริ่หมอง(คุณมารุตยกตัวอย่างร้านค้าที่ห้าง paragon)
- Asian FTA >> ไม่กลัว เพราะขณะนี้ก็มี FTA ไทย กับ จีน แต่กระเบื้องของจีนก็ไม่เข้ามา และแม้นเข้ามาก็แข่งกับของไทยไม่ได้
- กระเบื้องไทยมีคุณภาพติดอันดับโลก
- การเปิด outlet ใหม่ๆ มักเป็นการเช่า โดยเป็นสัญญาเช่าระยะยาว ประมาณ 15ปี
หากเป็นการซื้อที่ ต้องเป็นพื้นที่ที่เป็นทำเลทองจริงๆ
- มีคำถามเกี่ยวกับ homepro คุณมารุตบอกว่า homepro จะขายกระเบื้องประมาณ 5% และ homepro ก็ไม่ได้ stock ของไว้ ซึ่งทาง homepro ก็จะเป็น agency รายหนึ่งของ DCC
- กระเบื้องในกลุ่มของ SCC มี 4 บริษัท margin น้อยกว่า และทาง SCC ไม่กล้าตัด agency ออกแล้วนำสินค้ามาขายเอง
- การเปิดสาขาใหม่ ยิ่งเปิดยิ่งดี เพราะบริษัทจะได้ขายสินค้าได้ทั่วถึงมากขึ้น ส่วนเรื่องการบริหาร stock สินค้า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ DCC จะเปิดร้านรอบๆเมือง และชอบทำเลที่ติดถนนใหญ่
- ช่วงปลายปี 53 มีฝนตกหนัก คนในภาคใต้กรีดยางไม่ได้ รายได้จึงลดลง ปัจจุบันฝนหยุดตกแล้ว ชาวสวนยางสามารถกลับมากรีดยางได้ใหม่
- อัตราการใช้กระเบื้อง
ประเทศญี่ปุ่น 12 ตร.เมตร / คน / ปี
ประเทศในแถบยุโรป 5 -6 ตร.เมตร / คน / ปี
ไทย น้อยกว่า 2 ตร.เมตร / คน / ปี ถ้าเทียบแล้ว โอกาส growth ยังมีอีกมาก
- มีคนสอบถามว่า ถ้าต้อง import กระเบื้องไปขายที่ต่างประเทศ ราคาเท่าไหร่ถึง ok >> ราคา 109 บาท/แผ่น ก็ ok ครับ
กระบวนการคิดลายใหม่
- คนในบริษัทคิดลาย โดยการวาดรูปและส่งมาให้ designer หลักดู
- หลังจากนั้น designer หลัก จะส่งให้ผู้บริหารพิจารณา
- ถ้าผู้บริหาร ok ก็จะเริ่มผลิตกระเบื้องลายนั้นๆดู และ follow ยอดขาย ว่าประสบความสำเร้จมากน้อยเพียงใด
- - ถ้าลายใด ขายไม่ดี บริษัทจะนำไปทำ promotion แต่ปี 53 -54ยังไม่มีลายใดมาทำ promotion เพราะขายเกือบหมด จะเหลือแค่ประมาณ 1,000 กว่ากล่อง/ ลาย ซึ่งทำ promotion ยาก
- Same Stor Sale Growth ประมาณ 11% / ปี
- ประเทศบางประเทศ เช่น Indonesia ยังทำกระเบื้องสู้ประเทศไทยไม่ได้ เค้ารีบผลิตกระเบื้อง แล้วพบกับปัญหากระเบื้องไม่ได้ประสิทธิภาพ
ปกติคนที่คิด technology การเผากระเบื้องคือ ประเทศ italy หลังจากนั้นประเทศจีน จะเป็นผู้ผลิต
ประเทศไทย , อินโดนีเซีย เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี
ความเสี่ยง
1. Natural Diaster ถ้าเกิดภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ก็จะกระทบต่อรายได้ของลูกค้า DCC
2. Natural Gas ราคา gas ที่แพงขึ้น จะมีผลต่อต้นทุนการผลิตกระเบื้อง(DCC ใช้ Natural gas ไม่ใช่ LPG)
3. Chinese Import ตอนนี้ไม่ค่อยห่วงแล้วเพราะกระเบื้องของ DCC ก็มีหน้าตาเหมือนแกรนิตโต้
ส่วนกระเบื้องเกรดเดียวกับที่บริษัททำอยู่ก็ยากที่จะเข้ามาตีตลาด เพราะ กระเบื้องเป็นของหนัก
ขนส่งจะ สูงมาก เวลาเอาเข้ามาก็เลยทำราคาสู้ไม่ได้
- ปัจจุบันDCC จ่ายค่า Gas เป็น Spot Price เพราะทาง PTT ไม่ขาย gas เป็น contract
- 2-4 มี.ค.54 มี road show ที่ประเทศสิงคโปร์
- ผู้บริหารแจ้งว่าช่วงนี้มีคนมาขอดูงานบ่อยมาก ผู้บริหารอยากทำงานมากกว่ามาพูดอย่างเดียว
ชื่อผู้จัดทำสรุปรายงาน noooon010
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 23
ช่วยกันจดนี่ดีจังเลยครับ
ได้ข้อมูลหลากหลายมากๆ
ขอบคุณคณะผู้จัด company visit อีกครั้งนะครับผม
ได้ข้อมูลหลากหลายมากๆ
ขอบคุณคณะผู้จัด company visit อีกครั้งนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 361
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนมากครับ ที่จดแล้วยังมาแชร์ให้ได้อ่านกัน
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป COMPANY VISIT DCC ตามสัญญาครับ
โพสต์ที่ 29
ขอบคุณมากครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง