FYI - For Your Information
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
FYI - For Your Information
โพสต์ที่ 1
ถ้าเอ่ยชื่อ”ดีแทค” น้อยคนนักจะนึกถึงชื่อ”ทอเร่ จอห์นเซ่น”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
แต่ทุกคนจะนึกถึงชื่อ”ธนา เธียรอัจฉริยะ”ผู้สร้างตำนาน”แฮปปี้” พลิกฟื้นธุรกิจที่กำลังย่ำแย่ให้กลับมายิ่งใหญ่และสนุกสนาน
“ธนา”นั้นชวน”ซิกเว่ เบรกเก้” ฝรั่งหัวใจไทย เดินสายไปทุกสารทิศในเมืองไทย
จน“ซิกเว่”กลาย หนึ่งในตัวอย่างของ”ซีอีโอ แบรนด์ดิ้ง”
เคียงคู่กับ”ตัน ภาสกรนที”สมัยอยู่”โออิชิ”
“ธนา”เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ”คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน”ซึ่งถือเป็นหนังสือ How to ของคนไทยที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในเมืองไทย เพราะบอกเล่าเรื่องราวของการพลิกแบรนด์”ดีพร้อมท์”โทรศัพท์แบบเติมเงินของค่ายดีแทคเป็น”แฮปปี้”ที่มีบุคลิกไม่เหมือนใคร
เป็นหนังสือจาก”ตัวจริง-เสียงจริง”
“ธนา”เป็นคนทำงานด้วยความสนุก และทำงานเหมือนกิจกรรมนักศึกษา
ตัดสินใจรวดเร็วและกล้าคิดนอกกรอบ
จนวันหนึ่งเมื่อ”ซิกเว่”ต้องออกจากตำแหน่ง”ซีอีโอ” และก้าวไปรับตำแหน่งใหญ่ของ”เทเลนอร์”ที่คุมระดับภูมิภาค
“ทอเร่ จอห์นเซ่น”มารับไม้ต่อ
สไตล์ของ”ทอเร่” คล้ายนักการเงิน คิดละเอียดทุกช็อต
แนวคิดแบบ”นอกกรอบ”และกล้าเสี่ยงที่เคยเป็น”จุดแข็ง”ของ”ดีแทค”เริ่มถูกปฏิเสธ
แล้ววันหนึ่ง”ธนา”ก็ถูกย้ายจากรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานพาณิชย์ไปเป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์องค์กร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553
รับหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานราชการ
ซึ่งไม่ตรงกับ”จุดแข็ง”ของเขา
ตั้งแต่วันนั้นมีคนถาม”ธนา”เรื่อง”ลาออก”มาโดยตลอด
แต่เขาปฏิเสธการลาออกด้วยเหตุผลว่าเมื่อเขาเคยสอนลูกน้องเรื่อง”Change” เขาก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
ทั้งที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งชวน”ธนา”ไปทำงานด้วย
เขาทำงานในตำแหน่งใหม่มา 8 เดือน “ธนา”ก็เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะสมกับงานนี้
เพราะงานใหม่ของเขาเป็นงานในห้องแอร์
...ไม่เหงื่อออก
แล้ววันหนึ่ง ผู้หญิงที่ชื่อ “สุนี เสรีภาณุ” เดินทางไปพบกับ”ธนา”
เธออ่านหนังสือ”คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน”และติดตามงานของ”ธนา”มานาน
ประทับใจและอยากชวนมาร่วมงาน
”ธนา”ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการตัดสินใจ
เขาตัดสินใจลาออกจาก”ดีแทค”
เพื่อจะเริ่มงานใหม่กับ”สุณี”
คำถามที่หลายคนสงสัย
“สุณี”คือใคร ???
และบริษัทใหม่ของ”ธนา”คือ บริษัทอะไร ??
................
ในแวดวงโทรคมนาคม หรือธนาคาพาณิชย์ ไม่มีใครรู้จักชื่อ”สุณี”
แต่ในแวดวงธุรกิจเสื้อผ้า
ทุกคนรู้จักชื่อ”สุณี”เป็นอย่างดี
“สุณี”เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทพีเค การ์เม้นท์(อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต”จำกัด ผู้ผลิตกางเกงยีนส์ยี่ห้อ”แม็ค”
“พีเค การ์เมนท์”เคยเป็นโรงงานรับผลิตยีนส์ยี่ห้อลีวายส์เมื่อประมาณเกือบ 40 ปีก่อน
แต่เมื่อ”ลีวายส์”ตั้งโรงงานของตัวเอง
“พีเค การ์เม้นท์”จึงแจ้งเกิดยีนส์ยี่ห้อ”แม็ค”
จนถึงวันนี้”แม็ค”มีอายุถึง 35 ปีแล้ว
“แม็ค”ใช้กลยุทธ์”ป่าล้อมเมือง” และทำยอดขายติด 1 ใน 3 ของยีนส์ที่ขายดีที่สุดในเมืองไทย
และส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน
จนเมื่อ 2 ปีก่อน “แม็ค”เริ่มกลับมาทำตลาดวัยรุ่นในเมืองอีกครั้งด้วยการแป็นสปอนเซอร์หลักให้กับรายการอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย
“สุณี”นั้นดูแล”แม็ค”มานาน และอยากจะปล่อยมือให้”มืออาชีพ”เข้ามาดูแล
และ”ธนา”คือคนที่เธออยากได้
“สุณี”คุยกับ”ธนา”หลายครั้ง
ก่อนที่”ธนา”จะตัดสินใจ change ครั้งใหญ่
ไม่มีใครนึกว่าเขาจะไปทำบริษัทผลิตกางเกงยีนส์
ไม่มีใครนึกว่าเขาจะไปอยู่”แม็คยีนส์”
เพราะก่อนหน้านี้มีบริษัทใหญ่ๆหลายแห่งชวนเขาไปร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์
แต่เขาปฏิเสธ
“แม็ค”กับ”ธนา”
นี่คือ สิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง
ด้วยวัยเพียง 41 ปีของ”ธนา” เขาอยากทำงานที่ไม่ใหญ่มาก แต่”เหงื่อออก”อีกครั้ง
มีคนบอกว่าข้อเสนอของ”สุณี”เป็นข้อเสนอเรื่องงานใหม่งานแรกที่ทำให้”ธนา”เลือดสูบฉีดแรง
และนี่เหตุผลที่เขาตัดสินใจ
“ธนา”รู้สึกสนุกอีกครั้งเหมือนเมื่อครั้งที่ทำ”แฮปปี้”
และความจริงใจของ”สุณี”เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาตัดสินใจรับงาน
โดยที่ลืมถามว่าตำแหน่งที่จะให้ไปนั้นคือตำแหน่งอะไร
“คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน”ภาค 2
....เริ่มต้นแล้ว
แต่ทุกคนจะนึกถึงชื่อ”ธนา เธียรอัจฉริยะ”ผู้สร้างตำนาน”แฮปปี้” พลิกฟื้นธุรกิจที่กำลังย่ำแย่ให้กลับมายิ่งใหญ่และสนุกสนาน
“ธนา”นั้นชวน”ซิกเว่ เบรกเก้” ฝรั่งหัวใจไทย เดินสายไปทุกสารทิศในเมืองไทย
จน“ซิกเว่”กลาย หนึ่งในตัวอย่างของ”ซีอีโอ แบรนด์ดิ้ง”
เคียงคู่กับ”ตัน ภาสกรนที”สมัยอยู่”โออิชิ”
“ธนา”เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ”คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน”ซึ่งถือเป็นหนังสือ How to ของคนไทยที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในเมืองไทย เพราะบอกเล่าเรื่องราวของการพลิกแบรนด์”ดีพร้อมท์”โทรศัพท์แบบเติมเงินของค่ายดีแทคเป็น”แฮปปี้”ที่มีบุคลิกไม่เหมือนใคร
เป็นหนังสือจาก”ตัวจริง-เสียงจริง”
“ธนา”เป็นคนทำงานด้วยความสนุก และทำงานเหมือนกิจกรรมนักศึกษา
ตัดสินใจรวดเร็วและกล้าคิดนอกกรอบ
จนวันหนึ่งเมื่อ”ซิกเว่”ต้องออกจากตำแหน่ง”ซีอีโอ” และก้าวไปรับตำแหน่งใหญ่ของ”เทเลนอร์”ที่คุมระดับภูมิภาค
“ทอเร่ จอห์นเซ่น”มารับไม้ต่อ
สไตล์ของ”ทอเร่” คล้ายนักการเงิน คิดละเอียดทุกช็อต
แนวคิดแบบ”นอกกรอบ”และกล้าเสี่ยงที่เคยเป็น”จุดแข็ง”ของ”ดีแทค”เริ่มถูกปฏิเสธ
แล้ววันหนึ่ง”ธนา”ก็ถูกย้ายจากรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานพาณิชย์ไปเป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์องค์กร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553
รับหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานราชการ
ซึ่งไม่ตรงกับ”จุดแข็ง”ของเขา
ตั้งแต่วันนั้นมีคนถาม”ธนา”เรื่อง”ลาออก”มาโดยตลอด
แต่เขาปฏิเสธการลาออกด้วยเหตุผลว่าเมื่อเขาเคยสอนลูกน้องเรื่อง”Change” เขาก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
ทั้งที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งชวน”ธนา”ไปทำงานด้วย
เขาทำงานในตำแหน่งใหม่มา 8 เดือน “ธนา”ก็เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะสมกับงานนี้
เพราะงานใหม่ของเขาเป็นงานในห้องแอร์
...ไม่เหงื่อออก
แล้ววันหนึ่ง ผู้หญิงที่ชื่อ “สุนี เสรีภาณุ” เดินทางไปพบกับ”ธนา”
เธออ่านหนังสือ”คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน”และติดตามงานของ”ธนา”มานาน
ประทับใจและอยากชวนมาร่วมงาน
”ธนา”ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการตัดสินใจ
เขาตัดสินใจลาออกจาก”ดีแทค”
เพื่อจะเริ่มงานใหม่กับ”สุณี”
คำถามที่หลายคนสงสัย
“สุณี”คือใคร ???
และบริษัทใหม่ของ”ธนา”คือ บริษัทอะไร ??
................
ในแวดวงโทรคมนาคม หรือธนาคาพาณิชย์ ไม่มีใครรู้จักชื่อ”สุณี”
แต่ในแวดวงธุรกิจเสื้อผ้า
ทุกคนรู้จักชื่อ”สุณี”เป็นอย่างดี
“สุณี”เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทพีเค การ์เม้นท์(อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต”จำกัด ผู้ผลิตกางเกงยีนส์ยี่ห้อ”แม็ค”
“พีเค การ์เมนท์”เคยเป็นโรงงานรับผลิตยีนส์ยี่ห้อลีวายส์เมื่อประมาณเกือบ 40 ปีก่อน
แต่เมื่อ”ลีวายส์”ตั้งโรงงานของตัวเอง
“พีเค การ์เม้นท์”จึงแจ้งเกิดยีนส์ยี่ห้อ”แม็ค”
จนถึงวันนี้”แม็ค”มีอายุถึง 35 ปีแล้ว
“แม็ค”ใช้กลยุทธ์”ป่าล้อมเมือง” และทำยอดขายติด 1 ใน 3 ของยีนส์ที่ขายดีที่สุดในเมืองไทย
และส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน
จนเมื่อ 2 ปีก่อน “แม็ค”เริ่มกลับมาทำตลาดวัยรุ่นในเมืองอีกครั้งด้วยการแป็นสปอนเซอร์หลักให้กับรายการอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย
“สุณี”นั้นดูแล”แม็ค”มานาน และอยากจะปล่อยมือให้”มืออาชีพ”เข้ามาดูแล
และ”ธนา”คือคนที่เธออยากได้
“สุณี”คุยกับ”ธนา”หลายครั้ง
ก่อนที่”ธนา”จะตัดสินใจ change ครั้งใหญ่
ไม่มีใครนึกว่าเขาจะไปทำบริษัทผลิตกางเกงยีนส์
ไม่มีใครนึกว่าเขาจะไปอยู่”แม็คยีนส์”
เพราะก่อนหน้านี้มีบริษัทใหญ่ๆหลายแห่งชวนเขาไปร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์
แต่เขาปฏิเสธ
“แม็ค”กับ”ธนา”
นี่คือ สิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง
ด้วยวัยเพียง 41 ปีของ”ธนา” เขาอยากทำงานที่ไม่ใหญ่มาก แต่”เหงื่อออก”อีกครั้ง
มีคนบอกว่าข้อเสนอของ”สุณี”เป็นข้อเสนอเรื่องงานใหม่งานแรกที่ทำให้”ธนา”เลือดสูบฉีดแรง
และนี่เหตุผลที่เขาตัดสินใจ
“ธนา”รู้สึกสนุกอีกครั้งเหมือนเมื่อครั้งที่ทำ”แฮปปี้”
และความจริงใจของ”สุณี”เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาตัดสินใจรับงาน
โดยที่ลืมถามว่าตำแหน่งที่จะให้ไปนั้นคือตำแหน่งอะไร
“คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน”ภาค 2
....เริ่มต้นแล้ว
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 6
เด็กอาชีวะ ต้องใจถึงอย่างนี้ เพราะอุณหภูมิ ติดลบ 25 องศาซี
เด็กอาชีวะซิวแชมป์แกะสลักน้ำแข็งนานาชาติที่จีนวันที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:20:24 น.
เมื่อวันที่ 7 มกราคม น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่านักศึกษาอาชีวศึกษา 2 ทีมที่เข้าแข่งขันแกะสลักน้ำแข็ง “The 2010 Harbin International Collegiate Snow Sculpture Contest” จัดโดยมหาวิทยาลัย Harbin Engineering University ณ เมืองฮาร์บิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 4-7 มกราคม คว้ารางวัลชนะเลิศ และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 รวมทั้ง 2 ทีมยังสามารถคว้ารางวัล Popular Vote อันดับ 1 และ 2 โดยการแข่งขันมี 43 ทีมทั่วโลกร่วมแข่งขัน อาทิ สหพันธ์รัฐรัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน
สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ชื่อผลงาน “Thai Custom Tianpunsar เป็นการแกะสลักรูปเทียนพรรษาที่มีครุฑอยู่ด้านหน้าและแพรเทียนอยู่ด้านหลัง เป็นผลงานทีมอาชีวศึกษาไทย 1 ประกอบด้วย นายวิษณุ โพธิ์วิเชียร วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายรุ่งชัย สุขเนตร วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายจักรกฤษ ผิวจันทร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี และนายเรืองฤทธิ์เดช สงขวัญ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี
ส่วนผลงานที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เป็นการแกะสลักเป็นรูปครุฑที่มีกิเลนหมอบอยู่ด้านหน้า เป็นผลงานของทีมที่ 2 ประกอบด้วย นายอนุวัฒน์ ชอบผล นายณัฐพงษ์ ขุนสนธิ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช นายณัฐพล ทรัพย์ศรี และนายปิยชาติ จิญกาญจน์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา โดยคณะนักศึกษาจะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 8 มกราคม 2554 เวลา 24.00 น.
เด็กอาชีวะซิวแชมป์แกะสลักน้ำแข็งนานาชาติที่จีนวันที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:20:24 น.
เมื่อวันที่ 7 มกราคม น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่านักศึกษาอาชีวศึกษา 2 ทีมที่เข้าแข่งขันแกะสลักน้ำแข็ง “The 2010 Harbin International Collegiate Snow Sculpture Contest” จัดโดยมหาวิทยาลัย Harbin Engineering University ณ เมืองฮาร์บิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 4-7 มกราคม คว้ารางวัลชนะเลิศ และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 รวมทั้ง 2 ทีมยังสามารถคว้ารางวัล Popular Vote อันดับ 1 และ 2 โดยการแข่งขันมี 43 ทีมทั่วโลกร่วมแข่งขัน อาทิ สหพันธ์รัฐรัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน
สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ชื่อผลงาน “Thai Custom Tianpunsar เป็นการแกะสลักรูปเทียนพรรษาที่มีครุฑอยู่ด้านหน้าและแพรเทียนอยู่ด้านหลัง เป็นผลงานทีมอาชีวศึกษาไทย 1 ประกอบด้วย นายวิษณุ โพธิ์วิเชียร วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายรุ่งชัย สุขเนตร วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา นายจักรกฤษ ผิวจันทร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี และนายเรืองฤทธิ์เดช สงขวัญ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี
ส่วนผลงานที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เป็นการแกะสลักเป็นรูปครุฑที่มีกิเลนหมอบอยู่ด้านหน้า เป็นผลงานของทีมที่ 2 ประกอบด้วย นายอนุวัฒน์ ชอบผล นายณัฐพงษ์ ขุนสนธิ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช นายณัฐพล ทรัพย์ศรี และนายปิยชาติ จิญกาญจน์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา โดยคณะนักศึกษาจะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 8 มกราคม 2554 เวลา 24.00 น.
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 8
ย้อนอดีต"วันเด็ก "เริ่มครั้งแรก 2498 คำขวัญวันเด็กครั้งแรกปี2499 สมัยจอมพล ป.คือ "จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม"
ย้อนอดีต"วันเด็ก "เริ่มต้นครั้งแรก 2498 คำขวัญวันเด็กครั้งแรก เกิดขึ้นในปี2499 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือ "จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม "
ส่วนวันเด็กแห่งชาติ ปี 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้คำขวัญว่า “ รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ ”
แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีต งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ รัฐบาล ได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ เอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
คำขวัญวันเด็ก เป็น คำขวัญ ที่ นายกรัฐมนตรี มอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ คำขวัญวันเด็กตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้ค่ะ
พ.ศ. 2499 - จอมพล ป.พิบูลสงคราม : จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม
พ.ศ. 2502 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ. 2503 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ. 2504 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ. 2505 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ. 2506 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด
พ.ศ. 2507 : ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2517 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ : สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ : เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519 - หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช : เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520 - นายธานินทร์ กรัยวิเชียร : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2522 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2530 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2531 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2532 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535 - นายอานันท์ ปันยารชุน : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536 - นายชวน หลีกภัย : ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537 - นายชวน หลีกภัย : ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538 - นายชวน หลีกภัย : สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539 - นายบรรหาร ศิลปอาชา : มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540 - พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ : รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541 - นายชวน หลีกภัย : ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542 - นายชวน หลีกภัย : ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ. 2550 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ : มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2551 - พลเอก สุรยุธ์ จุลานนท์ : สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2552 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคี
พ.ศ. 2553 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
การเมือง : คุณภาพชีวิต
วันที่ 7 มกราคม 2554 14:08ย้อนอดีต"คำขวัญ"วันเด็กสะท้อนวิธีคิดผู้นำประเทศ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ย้อนอดีต"วันเด็ก "เริ่มต้นครั้งแรก 2498 คำขวัญวันเด็กครั้งแรก เกิดขึ้นในปี2499 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือ "จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม "
ส่วนวันเด็กแห่งชาติ ปี 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้คำขวัญว่า “ รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ ”
แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีต งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ รัฐบาล ได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ เอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
คำขวัญวันเด็ก เป็น คำขวัญ ที่ นายกรัฐมนตรี มอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ คำขวัญวันเด็กตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้ค่ะ
พ.ศ. 2499 - จอมพล ป.พิบูลสงคราม : จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม
พ.ศ. 2502 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ. 2503 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ. 2504 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ. 2505 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ. 2506 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด
พ.ศ. 2507 : ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2517 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ : สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ : เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519 - หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช : เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520 - นายธานินทร์ กรัยวิเชียร : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2522 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2530 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2531 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2532 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535 - นายอานันท์ ปันยารชุน : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536 - นายชวน หลีกภัย : ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537 - นายชวน หลีกภัย : ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538 - นายชวน หลีกภัย : สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539 - นายบรรหาร ศิลปอาชา : มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540 - พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ : รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541 - นายชวน หลีกภัย : ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542 - นายชวน หลีกภัย : ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ. 2550 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ : มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2551 - พลเอก สุรยุธ์ จุลานนท์ : สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2552 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคี
พ.ศ. 2553 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
การเมือง : คุณภาพชีวิต
วันที่ 7 มกราคม 2554 14:08ย้อนอดีต"คำขวัญ"วันเด็กสะท้อนวิธีคิดผู้นำประเทศ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 10
จากสมุดบันทึกกว่า 70 เล่มที่ถูกถ่ายทอดเป็นหนังสือ "จากสมุดบันทึกของผม" หรือ President ’s Note รวบรวมแนวคิด 142 ข้อจากประสบการณ์บริหารธุรกิจ สามารถแก้ไขวิกฤติของบริษัทกว่า 2,000 แห่ง ไม่เพียงได้อ่าน ยิ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของประสบการณ์ ยิ่งทึ่งในแนวคิดของชายมากประสบการณ์ผู้นี้
ฮาเซงาวะ คะซุฮิโระ นักบริหารมือทองจากเมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ CEO และผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยศักยภาพบริษัท และยังเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจนานาชาติ มีประสบการณ์การทำงานกว่า 40 ปี ถือเป็นสุดยอดนักบริหารที่เฉียบคมและเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูกิจการ ทำให้สามารถกอบกู้กิจการบริษัทต่างๆ ที่กำลังจะล้มละลายให้สามารถปลดหนี้และกลับมีกำไรได้อีกครั้ง
“ผมใช้เวลาหลังเลิกงาน เริ่มเขียนบันทึกเกี่ยวกับการทำงานตั้งแต่อายุ 27 ปี ทำมาแล้วถึง 45 ปี โดยส่วนใหญ่จะเลือกจดบันทึกในเรื่องธุรกิจ ทำให้มีสมุดบันทึกมากถึง 70 เล่มแล้วตอนนี้ และเห็นว่ามีหลายเรื่องในสมุดบันทึกที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารเลยอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิด กลายมาเป็นหนังสือจำนวน 7 เล่ม โดยเล่มนี้เป็นเล่มที่ 3 ซึ่งนำมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยครั้งแรก”
เขาอธิบายถึงเนื้อหาในหนังสือว่า ผลงานและแนวคิดทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถูกนำมากลั่นกรองเป็น "ทฤษฎี" ในการบริหารจัดการองค์กรในรูปแบบของตัวเขาเอง
โดยมีหลักการง่ายๆ คือ ทำอย่างไรจึงจะให้บริษัทนั้นๆ สามารถ "สร้างพลัง" เพื่อดึงศักยภาพออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ
แม้แนวคิดของเขาดูไม่ต่างจากแนวคิดในการบริหารองค์กรทั่วไป แต่เขาบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องง่าย" ที่จะทำได้อย่างที่บอก โดยเขามองว่า การสร้างพลังต้องเกิดจากการสร้างสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ดี ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของคนในองค์กรนั้นๆ และถือเป็นแนวทางแรกสุด ไม่ว่าจะฟื้นฟูกิจการใดๆ ก็ตาม
นอกจากเรื่องของสภาวะแวดล้อมในการทำงานแล้ว ทฤษฎีของเขายังกลั่นกรองแนวคิดเหลือ 142 ข้อเพื่อทำให้ผู้บริหารและบุคคลทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ง่าย กระชับ และรวดเร็ว จนหนังสือติดอันดับ Best seller ทำยอดขายมากที่สุดในญี่ปุ่น
โดยในแนวคิดจำนวน 142 ข้อนี้ยังถูกนำมาทำให้กระชับลงอีกเป็น 3 ข้อใหญ่ ได้แก่
ข้อแรก ศักยภาพในการบริหารองค์กร หมายถึงทำอย่างไรผู้บริหารจึงจะมีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทต่อองค์กรมากที่สุด ที่สำคัญองค์กรจะรอดหรือไม่รอดขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้บริหาร
ข้อที่สอง ความมีเอกภาพขององค์กรนั้นๆ สะท้อนให้เห็นจากการแข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ เช่น สินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่ สินค้านั้นสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งพนักงานมีความรู้-ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดมากน้อยเพียงใด เป็นต้น
โดยเขาอธิบายให้ฟังว่า ถ้าคนในองค์กรมีความคิดที่มีเอกภาพไปในแนวทางเดียวกันกับองค์กรแล้ว ผลงานหรือสินค้านั้นๆ ก็จะถูกพัฒนาออกมาได้อย่างมีคุณภาพเช่นกัน
และข้อที่สาม ทำอย่างไรจึงจะทำให้องค์กรอยู่รอดได้ โดยต้องอยู่รอดอย่างมีความเสี่ยง "น้อย" ที่สุด
"ถ้าทำได้ตาม 3 ข้อนี้ รับรองว่าองค์กรจะไม่ขาดทุน หรือล้มละลาย โดยเขาเองกล้าการันตีจากประสบการณ์ที่เขาเข้าไปช่วยให้แนวคิดในการบริหารงานกับบริษัทกว่า 2,000 แห่งให้กลับมามีตัวเลขผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น"
เขายังบอกด้วยว่า ประสบการณ์ในการฟื้นฟูกิจการกว่า 2,000 บริษัทในญี่ปุ่น ไม่มีบริษัทใดที่เลือกใช้วิธี "ปลดพนักงาน" แม้แต่บริษัทเดียว
"โดยส่วนตัวผมเกลียดวิธีปลดพนักงานมาก การบริหารงานผิดพลาดน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้บริหารต้องรับผิดชอบมากกว่าการปลดพนักงานซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ"
ฮาเซงาวะ ยังเล่าถึงประสบการณ์ที่เขาได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูกิจการว่า อย่างตอนที่บริษัทนิคอนรวมตัวกับบริษัทเอซิรอล ผู้ผลิตเลนส์ของฝรั่งเศส เขาเข้ามาช่วยตั้งแต่การบริหารจัดการร่วม ไปจนถึงการก่อตั้งบริษัทร่วม จนสามารถฟื้นฟูบริษัทให้กลับมามีกำไรจากการขายในปีแรก พอปีที่สองก็เริ่มมีกำไรจากการบริหารงานจนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ปีที่สามสามารถปลดหนี้ได้
เขายังบอกด้วยว่า การบริหารงานของบริษัทในขณะนี้ "สุ่มเสี่ยง" ต่อการบริหารงานที่ผิดพลาดและขาดทุน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีบริษัทลูกกระจายอยู่ทั่วโลก เพราะอาจลืมหรือไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการดึงศักยภาพของพนักงานออกมาใช้อย่างเต็มที่
"ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ของผม เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยคุณจะได้แง่คิดจากประสบการณ์การทำงานของผมเพื่อนำไปใช้กับการทำงาน และยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริหารและบุคคลทั่วไป"
ฮาเซงาวะ บอกว่า หลายบริษัทในญี่ปุ่นถึงขนาดทำเป็นป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ เพื่อนำเสนอวิธีคิดของเขาแปะไว้ในบริษัทเพื่อให้พนักงานทุกคนได้อ่าน นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารหลายคนที่นำเอาแนวคิดของเขาไปใช้แล้วประสบความสำเร็จและเขียนจดหมายมาขอบคุณ
นักบริหารอย่างเขายังมอง "ความแตกต่าง" ระหว่างบริษัทสัญชาติตะวันตก กับบริษัทสัญชาติเอเชียว่า มีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องของสปิริตในการทำงาน เช่น การปลดพนักงานบริษัทในยุโรปหรืออเมริกามักจะเลือกใช้วิธีนี้ก่อน ต่างจากบริษัทในเอเชียที่มักจะไม่ค่อยทำกัน ทำให้บริษัทมีความเป็นเอกภาพค่อนข้างสูง
ในวัย 71 ปีของเขา ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากมายหลากหลาย และเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการทำงานเขาบอกว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตได้นั้น ต้องเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ การมองอดีต ทำให้รับรู้ปัจจุบัน และทำให้เรามองเห็นอนาคต นี่คือส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เขาประสบความสำเร็จ
ทว่า สิ่งที่จะขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือ ความจริงใจ และความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำธุรกิจ อีกสิ่งที่สำคัญคือ
“Never Give Up” อย่ายอมแพ้
ฮาเซงาวะ คะซุฮิโระ นักบริหารมือทองจากเมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ CEO และผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยศักยภาพบริษัท และยังเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจนานาชาติ มีประสบการณ์การทำงานกว่า 40 ปี ถือเป็นสุดยอดนักบริหารที่เฉียบคมและเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูกิจการ ทำให้สามารถกอบกู้กิจการบริษัทต่างๆ ที่กำลังจะล้มละลายให้สามารถปลดหนี้และกลับมีกำไรได้อีกครั้ง
“ผมใช้เวลาหลังเลิกงาน เริ่มเขียนบันทึกเกี่ยวกับการทำงานตั้งแต่อายุ 27 ปี ทำมาแล้วถึง 45 ปี โดยส่วนใหญ่จะเลือกจดบันทึกในเรื่องธุรกิจ ทำให้มีสมุดบันทึกมากถึง 70 เล่มแล้วตอนนี้ และเห็นว่ามีหลายเรื่องในสมุดบันทึกที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารเลยอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิด กลายมาเป็นหนังสือจำนวน 7 เล่ม โดยเล่มนี้เป็นเล่มที่ 3 ซึ่งนำมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยครั้งแรก”
เขาอธิบายถึงเนื้อหาในหนังสือว่า ผลงานและแนวคิดทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถูกนำมากลั่นกรองเป็น "ทฤษฎี" ในการบริหารจัดการองค์กรในรูปแบบของตัวเขาเอง
โดยมีหลักการง่ายๆ คือ ทำอย่างไรจึงจะให้บริษัทนั้นๆ สามารถ "สร้างพลัง" เพื่อดึงศักยภาพออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ
แม้แนวคิดของเขาดูไม่ต่างจากแนวคิดในการบริหารองค์กรทั่วไป แต่เขาบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องง่าย" ที่จะทำได้อย่างที่บอก โดยเขามองว่า การสร้างพลังต้องเกิดจากการสร้างสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ดี ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของคนในองค์กรนั้นๆ และถือเป็นแนวทางแรกสุด ไม่ว่าจะฟื้นฟูกิจการใดๆ ก็ตาม
นอกจากเรื่องของสภาวะแวดล้อมในการทำงานแล้ว ทฤษฎีของเขายังกลั่นกรองแนวคิดเหลือ 142 ข้อเพื่อทำให้ผู้บริหารและบุคคลทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ง่าย กระชับ และรวดเร็ว จนหนังสือติดอันดับ Best seller ทำยอดขายมากที่สุดในญี่ปุ่น
โดยในแนวคิดจำนวน 142 ข้อนี้ยังถูกนำมาทำให้กระชับลงอีกเป็น 3 ข้อใหญ่ ได้แก่
ข้อแรก ศักยภาพในการบริหารองค์กร หมายถึงทำอย่างไรผู้บริหารจึงจะมีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทต่อองค์กรมากที่สุด ที่สำคัญองค์กรจะรอดหรือไม่รอดขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้บริหาร
ข้อที่สอง ความมีเอกภาพขององค์กรนั้นๆ สะท้อนให้เห็นจากการแข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ เช่น สินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่ สินค้านั้นสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งพนักงานมีความรู้-ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดมากน้อยเพียงใด เป็นต้น
โดยเขาอธิบายให้ฟังว่า ถ้าคนในองค์กรมีความคิดที่มีเอกภาพไปในแนวทางเดียวกันกับองค์กรแล้ว ผลงานหรือสินค้านั้นๆ ก็จะถูกพัฒนาออกมาได้อย่างมีคุณภาพเช่นกัน
และข้อที่สาม ทำอย่างไรจึงจะทำให้องค์กรอยู่รอดได้ โดยต้องอยู่รอดอย่างมีความเสี่ยง "น้อย" ที่สุด
"ถ้าทำได้ตาม 3 ข้อนี้ รับรองว่าองค์กรจะไม่ขาดทุน หรือล้มละลาย โดยเขาเองกล้าการันตีจากประสบการณ์ที่เขาเข้าไปช่วยให้แนวคิดในการบริหารงานกับบริษัทกว่า 2,000 แห่งให้กลับมามีตัวเลขผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น"
เขายังบอกด้วยว่า ประสบการณ์ในการฟื้นฟูกิจการกว่า 2,000 บริษัทในญี่ปุ่น ไม่มีบริษัทใดที่เลือกใช้วิธี "ปลดพนักงาน" แม้แต่บริษัทเดียว
"โดยส่วนตัวผมเกลียดวิธีปลดพนักงานมาก การบริหารงานผิดพลาดน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้บริหารต้องรับผิดชอบมากกว่าการปลดพนักงานซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ"
ฮาเซงาวะ ยังเล่าถึงประสบการณ์ที่เขาได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูกิจการว่า อย่างตอนที่บริษัทนิคอนรวมตัวกับบริษัทเอซิรอล ผู้ผลิตเลนส์ของฝรั่งเศส เขาเข้ามาช่วยตั้งแต่การบริหารจัดการร่วม ไปจนถึงการก่อตั้งบริษัทร่วม จนสามารถฟื้นฟูบริษัทให้กลับมามีกำไรจากการขายในปีแรก พอปีที่สองก็เริ่มมีกำไรจากการบริหารงานจนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ปีที่สามสามารถปลดหนี้ได้
เขายังบอกด้วยว่า การบริหารงานของบริษัทในขณะนี้ "สุ่มเสี่ยง" ต่อการบริหารงานที่ผิดพลาดและขาดทุน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีบริษัทลูกกระจายอยู่ทั่วโลก เพราะอาจลืมหรือไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการดึงศักยภาพของพนักงานออกมาใช้อย่างเต็มที่
"ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ของผม เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยคุณจะได้แง่คิดจากประสบการณ์การทำงานของผมเพื่อนำไปใช้กับการทำงาน และยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริหารและบุคคลทั่วไป"
ฮาเซงาวะ บอกว่า หลายบริษัทในญี่ปุ่นถึงขนาดทำเป็นป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ เพื่อนำเสนอวิธีคิดของเขาแปะไว้ในบริษัทเพื่อให้พนักงานทุกคนได้อ่าน นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารหลายคนที่นำเอาแนวคิดของเขาไปใช้แล้วประสบความสำเร็จและเขียนจดหมายมาขอบคุณ
นักบริหารอย่างเขายังมอง "ความแตกต่าง" ระหว่างบริษัทสัญชาติตะวันตก กับบริษัทสัญชาติเอเชียว่า มีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องของสปิริตในการทำงาน เช่น การปลดพนักงานบริษัทในยุโรปหรืออเมริกามักจะเลือกใช้วิธีนี้ก่อน ต่างจากบริษัทในเอเชียที่มักจะไม่ค่อยทำกัน ทำให้บริษัทมีความเป็นเอกภาพค่อนข้างสูง
ในวัย 71 ปีของเขา ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากมายหลากหลาย และเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการทำงานเขาบอกว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตได้นั้น ต้องเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ การมองอดีต ทำให้รับรู้ปัจจุบัน และทำให้เรามองเห็นอนาคต นี่คือส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เขาประสบความสำเร็จ
ทว่า สิ่งที่จะขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือ ความจริงใจ และความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำธุรกิจ อีกสิ่งที่สำคัญคือ
“Never Give Up” อย่ายอมแพ้
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Rabbit VS. Turtle
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 11
เรื่องคุณธนา คงมีแต่เจ้าตัวที่รู้ ว่าสาเหตุจริงๆคืออะไร
แต่เรื่องการย้ายไปอยู่แผนก ที่เขาไม่ชอบเลย คงเป็นสาเหตุนึงแน่ๆ...
รออ่านเรื่องอื่นอยู่นะครับ พี่บู
แต่เรื่องการย้ายไปอยู่แผนก ที่เขาไม่ชอบเลย คงเป็นสาเหตุนึงแน่ๆ...
รออ่านเรื่องอื่นอยู่นะครับ พี่บู
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 13
9 January 2011 Last updated at 17:27 GMT
Harvesting energy: body heat to warm buildings
By Xanthe Hinchey
Technology of business reporter, BBC News
About 250,000 people pass through Stockholm's Central Station each day
Body heat is not an energy source that normally springs to mind when companies want to keep down soaring energy costs.
But it did spring to the mind of one Swedish company, which decided the warmth that everybody generates naturally was in fact a resource that was going to waste.
Jernhusen, a real estate company in Stockholm, has found a way to channel the body heat from the hordes of commuters passing through Stockholm's Central Station to warm another building that is just across the road.
"This is old technology being used in a new way. The only difference here is that we've shifted energy between two different buildings," says Klas Johnasson, who is one of the creators of the system and head of Jernhusen's environmental division.
"There are about 250,000 people a day who pass through Stockholm Central Station. They in themselves generate a bit of heat. But they also do a lot of activities. They buy food, they buy drinks, they buy newspapers and they buy books.
Excess body heat
All this energy generates an enormous amount of heat. So why shouldn't we use this heat. It's there. If we don't use it then it will just be ventilated away to no avail."
So how does the system work in practice?
Heat exchangers in the Central Station's ventilation system convert the excess body heat into hot water.
That is then pumped to the heating system in the nearby building to keep it warm.
Not only is the system environmentally friendly but it also lowers the energy costs of the office block by as much as 25%.
"This is generally good business," says Mr Johansson. "We save money in energy costs and so the building becomes worth more.
"We are quite surprised that people haven't done this before. For a large scale project like Kungbrohuset (the office block) this means a lot of money."
Over the next 40 years, most experts agree that the supply of oil and gas will become less abundant.
There will be strong competition and higher prices for the resources that remain. Given the abundance of human body heat worldwide and the growing need for renewable energy to replace costly fossil fuels - is this Swedish idea going to catch on?
Costs and benefits
Stockholm's Central Station is one building reusing heat from passengers passing through "People are now starting to think about urban heat distribution networks everywhere," says Doug King, a consultant specialising in design innovation and sustainable development in construction.
"But the financial costs and the benefits will depend very much on the climate and the pricing of energy in a particular country."
He explains that harnessing body heat works particularly well in Sweden because of their low winter temperatures and high gas prices.
Spin offs
"It means a low-grade waste heat source, like body heat, can be used advantageously. It's worth them spending a little bit of money on electricity to move heat from building to building, rather than spending a lot on heating with gas."
Mr Johansson is hoping there will be a lot of spin offs from their idea at Stockholm Central Station: "To get energy usage down in buildings what we need to do is use the energy that is being produced all around us.
"We own both Central Station and Kungbrohuset along with the land in between. So we are in charge of all of it and that has made it easier for us. But this doesn't mean that it cannot be done otherwise. It just means that real estate owners have to collaborate with each other."
He also advocates sustainability. "It's important in Sweden. But it should be important everywhere. Sustainability is the key ingredient to the future of mankind. We need to get sustainable with energy if we are supposed to live on this planet for a long time to come."
But what about the Swedish commuters in the station - will they be the ones left out in the cold?
"The commuters won't get chilly because we don't steal energy from Central Station we use excess heat that was already there before," says Mr Johansson.
So, with its freezing winters, green credentials and high energy costs, Sweden takes a creative approach to heating.
To stay warm all they need to do is keep the heat on. And, if Stockholm's Central Station stays busy then for one building at least it is well on the road to a low carbon and energy secure future.
Harvesting energy: body heat to warm buildings
By Xanthe Hinchey
Technology of business reporter, BBC News
About 250,000 people pass through Stockholm's Central Station each day
Body heat is not an energy source that normally springs to mind when companies want to keep down soaring energy costs.
But it did spring to the mind of one Swedish company, which decided the warmth that everybody generates naturally was in fact a resource that was going to waste.
Jernhusen, a real estate company in Stockholm, has found a way to channel the body heat from the hordes of commuters passing through Stockholm's Central Station to warm another building that is just across the road.
"This is old technology being used in a new way. The only difference here is that we've shifted energy between two different buildings," says Klas Johnasson, who is one of the creators of the system and head of Jernhusen's environmental division.
"There are about 250,000 people a day who pass through Stockholm Central Station. They in themselves generate a bit of heat. But they also do a lot of activities. They buy food, they buy drinks, they buy newspapers and they buy books.
Excess body heat
All this energy generates an enormous amount of heat. So why shouldn't we use this heat. It's there. If we don't use it then it will just be ventilated away to no avail."
“Why shouldn't we use this heat? It's there. If we don't use it then it will just be ventilated away to no avail”
Klas Johnasson Jernhusen
So how does the system work in practice?
Heat exchangers in the Central Station's ventilation system convert the excess body heat into hot water.
That is then pumped to the heating system in the nearby building to keep it warm.
Not only is the system environmentally friendly but it also lowers the energy costs of the office block by as much as 25%.
"This is generally good business," says Mr Johansson. "We save money in energy costs and so the building becomes worth more.
"We are quite surprised that people haven't done this before. For a large scale project like Kungbrohuset (the office block) this means a lot of money."
Over the next 40 years, most experts agree that the supply of oil and gas will become less abundant.
There will be strong competition and higher prices for the resources that remain. Given the abundance of human body heat worldwide and the growing need for renewable energy to replace costly fossil fuels - is this Swedish idea going to catch on?
Costs and benefits
Stockholm's Central Station is one building reusing heat from passengers passing through "People are now starting to think about urban heat distribution networks everywhere," says Doug King, a consultant specialising in design innovation and sustainable development in construction.
"But the financial costs and the benefits will depend very much on the climate and the pricing of energy in a particular country."
He explains that harnessing body heat works particularly well in Sweden because of their low winter temperatures and high gas prices.
Spin offs
"It means a low-grade waste heat source, like body heat, can be used advantageously. It's worth them spending a little bit of money on electricity to move heat from building to building, rather than spending a lot on heating with gas."
Mr Johansson is hoping there will be a lot of spin offs from their idea at Stockholm Central Station: "To get energy usage down in buildings what we need to do is use the energy that is being produced all around us.
"We own both Central Station and Kungbrohuset along with the land in between. So we are in charge of all of it and that has made it easier for us. But this doesn't mean that it cannot be done otherwise. It just means that real estate owners have to collaborate with each other."
He also advocates sustainability. "It's important in Sweden. But it should be important everywhere. Sustainability is the key ingredient to the future of mankind. We need to get sustainable with energy if we are supposed to live on this planet for a long time to come."
But what about the Swedish commuters in the station - will they be the ones left out in the cold?
"The commuters won't get chilly because we don't steal energy from Central Station we use excess heat that was already there before," says Mr Johansson.
So, with its freezing winters, green credentials and high energy costs, Sweden takes a creative approach to heating.
To stay warm all they need to do is keep the heat on. And, if Stockholm's Central Station stays busy then for one building at least it is well on the road to a low carbon and energy secure future.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 987
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 14
สวัสดีพี่บู ขอร่วมแจมข่าวด้วย
มีข่าวน่ารักๆจากแดนปลาดิบที่ทำให้บางคนอาจน้ำตาคลอ ฮักๆได้
มีข่าวน่ารักๆจากแดนปลาดิบที่ทำให้บางคนอาจน้ำตาคลอ ฮักๆได้
'Tiger Mask' repaying welfare facilities
Kyodo News
Child welfare institutions and consultation centers in cities across the country
are receiving school bags or cash gifts from someone
who claims to be the hero of a popular wrestling comic book
and TV series from the 1960s.
It all began at the Chuo Child Consultation Center in Gunma Prefecture on Dec. 25.
As one of the employees came to work on Christmas Day,
she found 10 boxes containing school bags that were left on the entrance
of the facility as she arrived for work.
A note signed by a "Naoto Date" was left with the boxes.
Initially, no one at the facility knew who he was
until two days later when it was discussed at an employee meeting.
As one of the senior officials, Keiichi Matsuba, 51,
reported the gifts, one of the employees, Kuniyuki Takizawa, 36,
realized Naoto Date was the name of the character
who played the hero in "Tiger Mask."
Takizawa had seen reruns of Tiger Mask, which aired between 1969 and 1971.
In the popular animation, Naoto Date was an orphan who grew up in a welfare facility
and donated money to the facility after becoming a professional wrestler.
"I suspect that someone around his 50s or so, had a similar experience with 'Tiger Mask'
and sent the gifts to us. We don't plan to search for him,
out of respect for his feelings," Matsuba said.
After the gifts were reported in December,
child welfare facilities in Kanagawa, Nagano, Gifu, Okinawa and Nagasaki prefectures
have received school bags or donations from "Naoto Date," one after another.
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 16
Grand show presents charm of Chinese ancient dance, murals ,music and poems.
Dancer(s) perform in Lanzhou, capital of northwest China's Gansu Province on Jan, 11, 2011. A grand three-act performance with the theme of presenting the essence of Chinese ancient dance and the romantic charm of the murals, music and poems in Dunhuang studies was seen in Lanzhou Tuesday. Dunhuang studies stem from the researching of frescoes of the Dunhuang Mogao Grottoes, a world heritage site in the northwestern part of Gansu Province. (Liang Qiang/Song Wen)
Dancer(s) perform in Lanzhou, capital of northwest China's Gansu Province on Jan, 11, 2011. A grand three-act performance with the theme of presenting the essence of Chinese ancient dance and the romantic charm of the murals, music and poems in Dunhuang studies was seen in Lanzhou Tuesday. Dunhuang studies stem from the researching of frescoes of the Dunhuang Mogao Grottoes, a world heritage site in the northwestern part of Gansu Province. (Liang Qiang/Song Wen)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 17
Thailand plans to submit bid for World Expo 2020 soon
English.news.cn 2011-01-12 22:08:04
By Sinfah Tunsarawuth
AYUTTHAYA, Thailand, Jan. 12 (Xinhua) -- Thailand plans to submit its bid for hosting the World Expo 2020 in the coming months, a senior Thai official said on Wednesday.
Details of the project will be submitted to the cabinet next month, when it is expected to pick up the province and theme of the exhibition, seen to be the world's largest industrial show, Akapol Sorasuchart, president and board member of Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB), told reporters.
Akapol on Wednesday led Vicente Gonzales Loscertales, secretary general of the Paris-based Bureau International des Expositions ( BIE), to visit Ayutthaya, a province 75 kilometers north of Bangkok.
Ayutthaya is one of the three provinces the Thai government has screened to be potential sites of hosting the world event. The other two are Chonburi in east of Bangkok and Chiang Mai in the north, where Loscertales will visit on Thursday and Friday respectively. The cabinet is expected to pick up the final province next month. Loscertales is currently on a tour to assess possible sites for the World Expo, to be held only every five years. The next World Expo 2015 will be in Milan, Italy while the last in 2010 was in Shanghai, China.
BIE is an inter-governmental organization in charge of overseeing the timing, bidding, selection, and organization of World and International Expos.
Earlier this week, Loscertales met with Thai Prime Minister Abhisit Vejjajiva, Finance Minister Korn Chatikavanij, Foreign Minister Kasit Piromya and leaders of the private sector, who had shown their support to the Thai bidding.
"If we want to host this event, all sectors will have to participate in," Akapol of TCEB told reporters on Wednesday in explaining the meeting schedules the BIE secretary general was having in the country.
He said Thailand could as soon as in June this year submit its formal bidding for hosting the World Expo 2020, adding the government is looking for a project site of about 2.0-2.4 square kilometers, which will be larger than the designated site in Milan in 2015.
He said it would be the largest international event Thailand will ever host.
Giving some examples of how local Thai people will benefit from the event, he said the construction of exhibition pavilions in the last World Expo in Shanghai alone cost the various exhibitor countries about one billion U.S. dollars.
He said Thailand can expect 37 million local and foreign visitors during the six-month period of the world event if the country will host it.
For Ayutthaya, an old capital of Thailand, as the event's host, its advantage is its proximity to Bangkok and, hence, it can rely on the two airports, hotels, transports and other facilities of the capital.
However, lying on a low plain, the province is susceptible to flooding, which Loscertales said was a concern to the BIE organizing committee.
During the devastating flooding of the country in the last quarter last year, a large area of Ayutthaya was submerged for weeks.
Loscertales told reporters on Wednesday that it was too early for him to make any judgment on potential host countries for World Expo 2020.
"The only thing I can say at this stage is that Thailand has a very good potential," he said.
Talking about factors that will win a country as the World Expo host, Loscertales said: "In my opinion, apart from the commitment of the government and the financial support, the active support of the citizens is very important."
He added, "Citizens are the key factor to the success of an Expo. And they need to feel that an Expo is giving back them something they need."
Brazil, Turkey, Russia, Qatar and Egypt were also said to eye for hosting the event in 2020. However, no country has made any formal move to the BIE yet.
Loscertales said BIE will need to receive formal proposals from candidate countries before the end of 2011.
Editor: Wang Guanqun
English.news.cn 2011-01-12 22:08:04
By Sinfah Tunsarawuth
AYUTTHAYA, Thailand, Jan. 12 (Xinhua) -- Thailand plans to submit its bid for hosting the World Expo 2020 in the coming months, a senior Thai official said on Wednesday.
Details of the project will be submitted to the cabinet next month, when it is expected to pick up the province and theme of the exhibition, seen to be the world's largest industrial show, Akapol Sorasuchart, president and board member of Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB), told reporters.
Akapol on Wednesday led Vicente Gonzales Loscertales, secretary general of the Paris-based Bureau International des Expositions ( BIE), to visit Ayutthaya, a province 75 kilometers north of Bangkok.
Ayutthaya is one of the three provinces the Thai government has screened to be potential sites of hosting the world event. The other two are Chonburi in east of Bangkok and Chiang Mai in the north, where Loscertales will visit on Thursday and Friday respectively. The cabinet is expected to pick up the final province next month. Loscertales is currently on a tour to assess possible sites for the World Expo, to be held only every five years. The next World Expo 2015 will be in Milan, Italy while the last in 2010 was in Shanghai, China.
BIE is an inter-governmental organization in charge of overseeing the timing, bidding, selection, and organization of World and International Expos.
Earlier this week, Loscertales met with Thai Prime Minister Abhisit Vejjajiva, Finance Minister Korn Chatikavanij, Foreign Minister Kasit Piromya and leaders of the private sector, who had shown their support to the Thai bidding.
"If we want to host this event, all sectors will have to participate in," Akapol of TCEB told reporters on Wednesday in explaining the meeting schedules the BIE secretary general was having in the country.
He said Thailand could as soon as in June this year submit its formal bidding for hosting the World Expo 2020, adding the government is looking for a project site of about 2.0-2.4 square kilometers, which will be larger than the designated site in Milan in 2015.
He said it would be the largest international event Thailand will ever host.
Giving some examples of how local Thai people will benefit from the event, he said the construction of exhibition pavilions in the last World Expo in Shanghai alone cost the various exhibitor countries about one billion U.S. dollars.
He said Thailand can expect 37 million local and foreign visitors during the six-month period of the world event if the country will host it.
For Ayutthaya, an old capital of Thailand, as the event's host, its advantage is its proximity to Bangkok and, hence, it can rely on the two airports, hotels, transports and other facilities of the capital.
However, lying on a low plain, the province is susceptible to flooding, which Loscertales said was a concern to the BIE organizing committee.
During the devastating flooding of the country in the last quarter last year, a large area of Ayutthaya was submerged for weeks.
Loscertales told reporters on Wednesday that it was too early for him to make any judgment on potential host countries for World Expo 2020.
"The only thing I can say at this stage is that Thailand has a very good potential," he said.
Talking about factors that will win a country as the World Expo host, Loscertales said: "In my opinion, apart from the commitment of the government and the financial support, the active support of the citizens is very important."
He added, "Citizens are the key factor to the success of an Expo. And they need to feel that an Expo is giving back them something they need."
Brazil, Turkey, Russia, Qatar and Egypt were also said to eye for hosting the event in 2020. However, no country has made any formal move to the BIE yet.
Loscertales said BIE will need to receive formal proposals from candidate countries before the end of 2011.
Editor: Wang Guanqun
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 18
China
Enjoying wonderful Ice and Snow World in Harbin
English.news.cn 2011-01-16 21:24:04
Tourists visit the Ice and Snow World in Harbin, capital of northeast China's Heilongjiang Province, Jan. 15, 2011. The magnificent ice and snow sculptures and wonderful performances have attracted a lot of visitors to the 12th Harbin Ice and Snow World. (Xinhua/Li Yong)
Enjoying wonderful Ice and Snow World in Harbin
English.news.cn 2011-01-16 21:24:04
Tourists visit the Ice and Snow World in Harbin, capital of northeast China's Heilongjiang Province, Jan. 15, 2011. The magnificent ice and snow sculptures and wonderful performances have attracted a lot of visitors to the 12th Harbin Ice and Snow World. (Xinhua/Li Yong)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 20
อ่านแล้วรู้สึกคิดถึงสิ่งต่างๆในหนังสือเล่มนั้นจริงๆครับ
อยากบอกว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆครับสำหรับ "Happy"
ขอบคุณพี่บูสำหรับบทความนะครับผม
อยากบอกว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆครับสำหรับ "Happy"
ขอบคุณพี่บูสำหรับบทความนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: For Your Information - FYI
โพสต์ที่ 21
หะ หะ Harbin/Beijing
ผมไปcountdownตอน2009-2010 มันสสสส์มากกกกก
-20-25ระหว่างวัน
-30-35หลังอาทิตย์ตก
เชิญดูในfacebookผมได้ ถ้าจำลูกกะตา(เท่าที่เปิดสู้อากาศ)ของผมได้ครับ
อุปกรณ์มีครบชุดครับหมอ
ผมไปcountdownตอน2009-2010 มันสสสส์มากกกกก
-20-25ระหว่างวัน
-30-35หลังอาทิตย์ตก
เชิญดูในfacebookผมได้ ถ้าจำลูกกะตา(เท่าที่เปิดสู้อากาศ)ของผมได้ครับ
อุปกรณ์มีครบชุดครับหมอ
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: FYI - For Your Information
โพสต์ที่ 25
BBC News : 25 January 2011 Last updated at 11:25 GMT
IMF predicts faster global economic growth in 2011
The International Monetary Fund (IMF) has said that the global economy will grow faster this year than expected.
The IMF revised up its growth forecast from 4.2% to 4.4%, but warned of a two-speed recovery as advanced economies grow slower than emerging ones.
It said Europe's economic health was weak, and said the size of the bank rescue fund should be increased.
Emerging countries, however, should see growth of 6.5% this year and a similar expansion in 2012, the IMF said.
In its World Economic Outlook, the IMF said US growth was projected to reach 3%, up from the previous estimate of 2.3% published in October.
The IMF estimates UK growth will be 2%, unchanged from its previous forecast.
And there was also no change in the 1.5% growth forecast for both the eurozone and for Japan.
The IMF said in its report: "In advanced economies, activity has moderated less than expected, but growth remains subdued, unemployment is still high, and renewed stresses in the euro area periphery are contributing to downside risks."
In a separate report on global financial stability, the IMF said problems in Greece and the Irish Republic have reignited fears about sovereign debt.
"Banks face significant funding needs now and over the next two years. In many advanced economies, we need to deal with the legacy of the crisis by resolving financial fragilities once and for all," said Jose Vinals, the IMF's director of monetary and capital markets.
The European Financial Stability Facility, which has a fund of 440bn euros (£379bn), could be wiped out if a larger European economy needed rescuing.
"More than two years after the onset of the financial crisis, global financial stability is still not assured. It is still at risk," Mr Vinals said.
Inflationary pressures
However, emerging economies were more "buoyant", the IMF said, although the signs of overheating and inflation pressures were a worry.
Growth projections for China and India were unrevised at 9.6% and 8.4% respectively.
Sub-Saharan Africa is predicted to see economic expansion of 5.8%.
But the rapid growth forecast for emerging economies has a downside, the IMF warned.
The flow of foreign capital into emerging market economies would continue, helping to push up inflation.
Tighter monetary policies were needed to curb the inflationary impact, the organisation said.
Emerging economies account for almost 40% of global consumption, so any slowdown in these economies "would deal a serious blow to the global recovery," the IMF warned.
IMF predicts faster global economic growth in 2011
The International Monetary Fund (IMF) has said that the global economy will grow faster this year than expected.
The IMF revised up its growth forecast from 4.2% to 4.4%, but warned of a two-speed recovery as advanced economies grow slower than emerging ones.
It said Europe's economic health was weak, and said the size of the bank rescue fund should be increased.
Emerging countries, however, should see growth of 6.5% this year and a similar expansion in 2012, the IMF said.
In its World Economic Outlook, the IMF said US growth was projected to reach 3%, up from the previous estimate of 2.3% published in October.
The IMF estimates UK growth will be 2%, unchanged from its previous forecast.
And there was also no change in the 1.5% growth forecast for both the eurozone and for Japan.
The IMF said in its report: "In advanced economies, activity has moderated less than expected, but growth remains subdued, unemployment is still high, and renewed stresses in the euro area periphery are contributing to downside risks."
In a separate report on global financial stability, the IMF said problems in Greece and the Irish Republic have reignited fears about sovereign debt.
"Banks face significant funding needs now and over the next two years. In many advanced economies, we need to deal with the legacy of the crisis by resolving financial fragilities once and for all," said Jose Vinals, the IMF's director of monetary and capital markets.
The European Financial Stability Facility, which has a fund of 440bn euros (£379bn), could be wiped out if a larger European economy needed rescuing.
"More than two years after the onset of the financial crisis, global financial stability is still not assured. It is still at risk," Mr Vinals said.
Inflationary pressures
However, emerging economies were more "buoyant", the IMF said, although the signs of overheating and inflation pressures were a worry.
Growth projections for China and India were unrevised at 9.6% and 8.4% respectively.
Sub-Saharan Africa is predicted to see economic expansion of 5.8%.
But the rapid growth forecast for emerging economies has a downside, the IMF warned.
The flow of foreign capital into emerging market economies would continue, helping to push up inflation.
Tighter monetary policies were needed to curb the inflationary impact, the organisation said.
Emerging economies account for almost 40% of global consumption, so any slowdown in these economies "would deal a serious blow to the global recovery," the IMF warned.
Rabbit VS. Turtle
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
Re: FYI - For Your Information
โพสต์ที่ 30
Li Na charms Australian Open crowd after final defeat
BBC Sport Tennis
Page last updated at 11:56 GMT, Saturday, 29 January 2011
Australian Open runner-up Li Na delivers a touching tribute to her husband and coach and wishes everyone a happy Chinese New Year as she loses 3-6 6-3 6-3 to Kim Clijsters in the final in Melbourne.
BBC Sport Tennis
Page last updated at 11:56 GMT, Saturday, 29 January 2011
Australian Open runner-up Li Na delivers a touching tribute to her husband and coach and wishes everyone a happy Chinese New Year as she loses 3-6 6-3 6-3 to Kim Clijsters in the final in Melbourne.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Rabbit VS. Turtle