Thai VI

ทำไงดีครับรู้ว่าตัวใหนถูกก็เลยซื้อ pe ต่ำ เห็นกำไรมันโตเมื่อเทียบปีที่แล้ว แต่พอมันขึ้นมาไม่รู้ว่ามันแพงหรือยัง ใครมีเทคนิคที่ใช้แล้วได้ผลประจำมั่งครับ
เช่น เทียบกับตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ เทียบ pe ในอดีต หรือ เกิน 10 ก็แพงแล้ว หรือไม่ขายถ้าไม่ถึงเป้า แบ่งขายบ้าง อะไรบ้าง

ถ้าซื้อเพราะ PE ต่ำ เวลาจะขายก็ต้องขายตอน PE สูง

PE ต่ำ ตัวเลขไหนที่ต่ำ คุณกำหนดเองได้
PE สูง สูงแค่ไหน ทำไมกำหนดเองไม่ได้แล้วละครับ

ชิมิ ชิมิ

เห็นด้วยว่าขาย ยากกว่าซื้อ...

มันยาก เพราะ กลัวขายหมูบ้าง กลัวถือต่อแล้วจะติดดอยบ้าง... ทั้งนี้ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงมันไม่มีอยู่จริง มูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ก็เป็นกรอบอยู่ในช่วง ไม่ได้เป็นค่าตายตัว ดังนั้นการขายจึงยาก

เรื่องมันจะง่ายเข้า ถ้าเราคิดตอนซื้อว่าจะถือและตั้งใจจะไม่ขาย... เลยทำให้นักลงทุนบางคนเลือกหุ้นที่ไม่ต้องขาย เลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ที่ถือได้เป็นสิบปี

เรื่องมันก็ง่ายรองลงมา ถ้าเรามีหุ้นตัวอื่นมาเปรียบเทียบ แล้วเราเจอหุ้นตัวอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่เราถือมากๆ ซึ่งความโลภใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำให้เราขายหุ้นเก่าที่เราถืออยู่ทิ้งได้ง่ายๆ เพื่อไปเข้าหุ้นใหม่ที่ดีกว่า

เราอาจจะลำบากใจนิดๆ เวลาเราคิดผิด ประเมินมูลค่ากิจการผิด แล้วต้องขาย เพื่อ Cut Loss เพื่อยอมรับความเป็นจริง ว่าเราผิด เพื่อหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแผลเล็กๆ ที่กำลังลามเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นๆ

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่บอกว่าขาย เพราะ ได้กำไรไปแล้ว เท่านู้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ เท่านู้นเท่านี้บาท เนื่องจากผมเชื่อว่า การลงทุนที่ดีต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ Upside หรือ MOS ณ ขณะนี้ ไม่ใช่อยู่กับกำไรที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต เพราะ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรมาแล้ว 50% แต่ถ้า Upside ยังเหลืออีกเป็น 100% สมควรแล้วหรือ ที่เราจะขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง

แล้วจะง่ายที่สุด ถ้าเรารู้จักพอ รู้จักที่จะปล่อยวางอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว... ไม่ว่าจะขาย จะถือ หรือจะซื้อ ก็สามารถอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมาโทษตัวเองถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไม่ต้องเป็นทุกข์

ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ...

อะไรคือความหมายของคำว่า...
การขายที่ใช้ได้ผล ?

picatos เขียน:เห็นด้วยว่าขาย ยากกว่าซื้อ...

มันยาก เพราะ กลัวขายหมูบ้าง กลัวถือต่อแล้วจะติดดอยบ้าง... ทั้งนี้ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงมันไม่มีอยู่จริง มูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ก็เป็นกรอบอยู่ในช่วง ไม่ได้เป็นค่าตายตัว ดังนั้นการขายจึงยาก

เรื่องมันจะง่ายเข้า ถ้าเราคิดตอนซื้อว่าจะถือและตั้งใจจะไม่ขาย... เลยทำให้นักลงทุนบางคนเลือกหุ้นที่ไม่ต้องขาย เลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ที่ถือได้เป็นสิบปี

เรื่องมันก็ง่ายรองลงมา ถ้าเรามีหุ้นตัวอื่นมาเปรียบเทียบ แล้วเราเจอหุ้นตัวอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่เราถือมากๆ ซึ่งความโลภใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำให้เราขายหุ้นเก่าที่เราถืออยู่ทิ้งได้ง่ายๆ เพื่อไปเข้าหุ้นใหม่ที่ดีกว่า

เราอาจจะลำบากใจนิดๆ เวลาเราคิดผิด ประเมินมูลค่ากิจการผิด แล้วต้องขาย เพื่อ Cut Loss เพื่อยอมรับความเป็นจริง ว่าเราผิด เพื่อหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแผลเล็กๆ ที่กำลังลามเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นๆ

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่บอกว่าขาย เพราะ ได้กำไรไปแล้ว เท่านู้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ เท่านู้นเท่านี้บาท เนื่องจากผมเชื่อว่า การลงทุนที่ดีต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ Upside หรือ MOS ณ ขณะนี้ ไม่ใช่อยู่กับกำไรที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต เพราะ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรมาแล้ว 50% แต่ถ้า Upside ยังเหลืออีกเป็น 100% สมควรแล้วหรือ ที่เราจะขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง

แล้วจะง่ายที่สุด ถ้าเรารู้จักพอ รู้จักที่จะปล่อยวางอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว... ไม่ว่าจะขาย จะถือ หรือจะซื้อ ก็สามารถอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมาโทษตัวเองถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไม่ต้องเป็นทุกข์

ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ...

สุดยอดจริงๆ

wisut เขียน:

picatos เขียน:เห็นด้วยว่าขาย ยากกว่าซื้อ...

มันยาก เพราะ กลัวขายหมูบ้าง กลัวถือต่อแล้วจะติดดอยบ้าง... ทั้งนี้ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงมันไม่มีอยู่จริง มูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ก็เป็นกรอบอยู่ในช่วง ไม่ได้เป็นค่าตายตัว ดังนั้นการขายจึงยาก

เรื่องมันจะง่ายเข้า ถ้าเราคิดตอนซื้อว่าจะถือและตั้งใจจะไม่ขาย... เลยทำให้นักลงทุนบางคนเลือกหุ้นที่ไม่ต้องขาย เลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ที่ถือได้เป็นสิบปี

เรื่องมันก็ง่ายรองลงมา ถ้าเรามีหุ้นตัวอื่นมาเปรียบเทียบ แล้วเราเจอหุ้นตัวอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่เราถือมากๆ ซึ่งความโลภใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำให้เราขายหุ้นเก่าที่เราถืออยู่ทิ้งได้ง่ายๆ เพื่อไปเข้าหุ้นใหม่ที่ดีกว่า

เราอาจจะลำบากใจนิดๆ เวลาเราคิดผิด ประเมินมูลค่ากิจการผิด แล้วต้องขาย เพื่อ Cut Loss เพื่อยอมรับความเป็นจริง ว่าเราผิด เพื่อหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแผลเล็กๆ ที่กำลังลามเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นๆ

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่บอกว่าขาย เพราะ ได้กำไรไปแล้ว เท่านู้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ เท่านู้นเท่านี้บาท เนื่องจากผมเชื่อว่า การลงทุนที่ดีต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ Upside หรือ MOS ณ ขณะนี้ ไม่ใช่อยู่กับกำไรที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต เพราะ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรมาแล้ว 50% แต่ถ้า Upside ยังเหลืออีกเป็น 100% สมควรแล้วหรือ ที่เราจะขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง

แล้วจะง่ายที่สุด ถ้าเรารู้จักพอ รู้จักที่จะปล่อยวางอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว... ไม่ว่าจะขาย จะถือ หรือจะซื้อ ก็สามารถอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมาโทษตัวเองถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไม่ต้องเป็นทุกข์

ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ...

สุดยอดจริงๆ

ตกผลึกสุดๆ

ถ้าดูหุ้นถูกเป็น
ผมคิดว่าสิ่งที่ควรทำคือ
ขายเมื่อเจอหุ้นที่ถูกกว่า

picatos

ขอบคุณครับ

ส.สลึง เขียน:ถ้าดูหุ้นถูกเป็น
ผมคิดว่าสิ่งที่ควรทำคือ
ขายเมื่อเจอหุ้นที่ถูกกว่า

หุ้นถูกธรรมดาไม่กลัวครับพี่ ส.สลึง กลัวเจอถูกเรื้อรังครับ

picatos เขียน:เห็นด้วยว่าขาย ยากกว่าซื้อ...

มันยาก เพราะ กลัวขายหมูบ้าง กลัวถือต่อแล้วจะติดดอยบ้าง... ทั้งนี้ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงมันไม่มีอยู่จริง มูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ก็เป็นกรอบอยู่ในช่วง ไม่ได้เป็นค่าตายตัว ดังนั้นการขายจึงยาก

เรื่องมันจะง่ายเข้า ถ้าเราคิดตอนซื้อว่าจะถือและตั้งใจจะไม่ขาย... เลยทำให้นักลงทุนบางคนเลือกหุ้นที่ไม่ต้องขาย เลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ที่ถือได้เป็นสิบปี

เรื่องมันก็ง่ายรองลงมา ถ้าเรามีหุ้นตัวอื่นมาเปรียบเทียบ แล้วเราเจอหุ้นตัวอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่เราถือมากๆ ซึ่งความโลภใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำให้เราขายหุ้นเก่าที่เราถืออยู่ทิ้งได้ง่ายๆ เพื่อไปเข้าหุ้นใหม่ที่ดีกว่า

เราอาจจะลำบากใจนิดๆ เวลาเราคิดผิด ประเมินมูลค่ากิจการผิด แล้วต้องขาย เพื่อ Cut Loss เพื่อยอมรับความเป็นจริง ว่าเราผิด เพื่อหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแผลเล็กๆ ที่กำลังลามเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นๆ

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่บอกว่าขาย เพราะ ได้กำไรไปแล้ว เท่านู้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ เท่านู้นเท่านี้บาท เนื่องจากผมเชื่อว่า การลงทุนที่ดีต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ Upside หรือ MOS ณ ขณะนี้ ไม่ใช่อยู่กับกำไรที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต เพราะ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรมาแล้ว 50% แต่ถ้า Upside ยังเหลืออีกเป็น 100% สมควรแล้วหรือ ที่เราจะขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง

แล้วจะง่ายที่สุด ถ้าเรารู้จักพอ รู้จักที่จะปล่อยวางอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว... ไม่ว่าจะขาย จะถือ หรือจะซื้อ ก็สามารถอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมาโทษตัวเองถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไม่ต้องเป็นทุกข์

ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ...

ตรงๆเน้นๆ เข้าประเด็นทุกข้อ

Dekfaifah เขียน:

ส.สลึง เขียน:ถ้าดูหุ้นถูกเป็น
ผมคิดว่าสิ่งที่ควรทำคือ
ขายเมื่อเจอหุ้นที่ถูกกว่า

หุ้นถูกธรรมดาไม่กลัวครับพี่ ส.สลึง กลัวเจอถูกเรื้อรังครับ

ดีสิครับ จะได้ไม่กุ้ม ว่าจะต้องขายออกไปเมื่อไหร่ และขายยังไง ?

ซื้อเมื่อ Under value

ขายเมื่อ Over value

ศึกษาให้เข้าใจในตัวกิจการ จะช่วยได้มากครับ

ขอบคุณที่เข้ามาแชร์ครับ บางครั้งผมรู้สึกว่าลงทุนอยู่คนเดียว เข้าใจอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนคุยเรื่องหุ้น เพราะคนรอบๆตัวไม่มีใครสน กลัวหลงทางเสียเวลา

ถ้าจะยากกว่านั้นอีกต้องเป็น

"ขายไปแล้ว จะรับกลับเท่าไหร่ดี"

เนื่องจากมันยากเกินปัญญาของผม ผมเลยไม่ค่อยทำ SAP ครับ

picatos เขียน:เห็นด้วยว่าขาย ยากกว่าซื้อ...

มันยาก เพราะ กลัวขายหมูบ้าง กลัวถือต่อแล้วจะติดดอยบ้าง... ทั้งนี้ เพราะ มูลค่าที่แท้จริงมันไม่มีอยู่จริง มูลค่าที่เหมาะสมที่เราคำนวณได้ก็เป็นกรอบอยู่ในช่วง ไม่ได้เป็นค่าตายตัว ดังนั้นการขายจึงยาก

เรื่องมันจะง่ายเข้า ถ้าเราคิดตอนซื้อว่าจะถือและตั้งใจจะไม่ขาย... เลยทำให้นักลงทุนบางคนเลือกหุ้นที่ไม่ต้องขาย เลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ที่ถือได้เป็นสิบปี

เรื่องมันก็ง่ายรองลงมา ถ้าเรามีหุ้นตัวอื่นมาเปรียบเทียบ แล้วเราเจอหุ้นตัวอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่เราถือมากๆ ซึ่งความโลภใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำให้เราขายหุ้นเก่าที่เราถืออยู่ทิ้งได้ง่ายๆ เพื่อไปเข้าหุ้นใหม่ที่ดีกว่า

เราอาจจะลำบากใจนิดๆ เวลาเราคิดผิด ประเมินมูลค่ากิจการผิด แล้วต้องขาย เพื่อ Cut Loss เพื่อยอมรับความเป็นจริง ว่าเราผิด เพื่อหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแผลเล็กๆ ที่กำลังลามเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นๆ

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่บอกว่าขาย เพราะ ได้กำไรไปแล้ว เท่านู้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ เท่านู้นเท่านี้บาท เนื่องจากผมเชื่อว่า การลงทุนที่ดีต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ Upside หรือ MOS ณ ขณะนี้ ไม่ใช่อยู่กับกำไรที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต เพราะ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรมาแล้ว 50% แต่ถ้า Upside ยังเหลืออีกเป็น 100% สมควรแล้วหรือ ที่เราจะขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง

แล้วจะง่ายที่สุด ถ้าเรารู้จักพอ รู้จักที่จะปล่อยวางอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว... ไม่ว่าจะขาย จะถือ หรือจะซื้อ ก็สามารถอยู่กับปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมาโทษตัวเองถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไม่ต้องเป็นทุกข์

ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ...

+1 เยี่ยมมากครับ

คำแนะนำของคุณ picatos ดีมากครับ
ผมเองก็มีปัญญาแบบเดียวกันว่าควรขายตอนไหน โดยเฉพาะเวลาหุ้นขาขึ้น
ส่วนมากเราจะไม่มีเวลาวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจของหุ้นนั้นๆอย่างลึกซึ้งมากกว่า
โดยเฉพาะถ้าเรามีหุ้นมากตัว ทำให้ไม่รู้ว่าราคาปัจจุบันได้ overvalued โดย Mr. Market หรือยัง

การแบ่งชนิดของหุ้นก็น่าจะมีส่วนช่วยนะครับ
อย่างที่คุณ picatos ว่าเป็นหุ้นดีถือได้เป็นสิบปี ก็น่าจะเป็นประเภทพวกห่านทองคำ
ถ้าเป็นหุ้น growth ก็ต้องดูสภาวะการแข่งขันของธุรกิจนั้นๆ ณ เวลานี้ว่าจะยังโตได้ดีเหมือนที่ผ่านมาได้ไหม
ถ้าเป็นหุ้น cyclical ก็ต้องประเมินปัจจุบันกับอนาคตอันใกล้ว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง
ปัญหาจะง่ายถ้าเราเข้าใจในวงจรธุรกิจและหุ้นตัวนั้นอย่างแท้จริงครับ

บางทีเราก็ต้องลงทุนเรียนรู้ด้วยการลองเหมือนกันนะครับ
พลาดก็จำไว้เป็นบทเรียน
No pain no gain ครับ

ดีใจที่มีเพื่อนที่มีปัญหาคล้ายๆกัน และที่ดีใจยิ่งกว่าก็คือมีคนใจดีที่มีประสบการณ์มา
ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์มากๆ อย่างคุณ picatos และอีกหลายๆท่านครับ

คนจำนวนมากสนใจแต่กลยุทธ์ ในการเข้า ไม่เตรียมกลยุทธ์ ในการออกไว้
ถ้าทุกครั้งที่ซื้อหุ้นแล้วเราคิดไว้อย่างรอบคอบแล้วว่าจะขายกรณีไหน เมื่อไหร่บ้าง ก็คงไม่มีปัญหาในการขาย
เหมือนกับเราเข้าไปในตึกสูง ก็ควรมองหาทางหนีไฟไว้
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปตลอดไม่ว่าราคาจะเป็นเช่นไร ตราบที่กิจการบริษัทยังดีอยู่
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปจนราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่เราคำนวณไว้
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าเมื่อประกาศข่าว...ออกมา เราจะขายหุ้น

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราน่าจะคิดได้ตั้งแต่ก่อนซื้อหุ้น เพราะส่วนใหญ่เหตุผลที่เราใช้ในการขาย มักจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เราใช้ตัดสินใจซื้อ

มาแลกเปลี่ยนบ้าง
เพราะผมคนนึงล่ะ
ที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องหย่า
ในวันแต่งงาน

ประเด็นคือ
ผมไม่สนใจว่า...
ผมควรจะหย่าเมื่อไหร่
ตราบใดที่เธอยังน่ารัก
ดูแลเราดี และดีมากกว่าคนอื่น
ผมก็พร้อมที่จะรักเธอต่อไป

อย่าลืมนะครับ
ว่าหลังการแต่งงาน
เรามีทั้งความสุข
แล้วก็ความทุกข์
ที่รอเราอยู่
คนที่แต่งงานแล้วน่าจะรู้ดี

เพียงแต่...

ผมยังไม่เค๊ย.. ไม่เคย :lol: ...

ส.สลึง เขียน:มาแลกเปลี่ยนบ้าง
เพราะผมคนนึงล่ะ
ที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องหย่า
ในวันแต่งงาน

ประเด็นคือ
ผมไม่สนใจว่า...
ผมควรจะหย่าเมื่อไหร่
ตราบใดที่เธอยังน่ารัก
ดูแลเราดี และดีมากกว่าคนอื่น
ผมก็พร้อมที่จะรักเธอต่อไป

อย่าลืมนะครับ
ว่าหลังการแต่งงาน
เรามีทั้งความสุข
แล้วก็ความทุกข์
ที่รอเราอยู่
คนที่แต่งงานแล้วน่าจะรู้ดี

เพียงแต่...

ผมยังไม่เค๊ย.. ไม่เคย :lol: ...

แย่จัง ลัลล้า อย่างผม ทำไงดี

Skyforever เขียน:คนจำนวนมากสนใจแต่กลยุทธ์ ในการเข้า ไม่เตรียมกลยุทธ์ ในการออกไว้
ถ้าทุกครั้งที่ซื้อหุ้นแล้วเราคิดไว้อย่างรอบคอบแล้วว่าจะขายกรณีไหน เมื่อไหร่บ้าง ก็คงไม่มีปัญหาในการขาย
เหมือนกับเราเข้าไปในตึกสูง ก็ควรมองหาทางหนีไฟไว้
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปตลอดไม่ว่าราคาจะเป็นเช่นไร ตราบที่กิจการบริษัทยังดีอยู่
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปจนราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่เราคำนวณไว้
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าเมื่อประกาศข่าว...ออกมา เราจะขายหุ้น

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราน่าจะคิดได้ตั้งแต่ก่อนซื้อหุ้น เพราะส่วนใหญ่เหตุผลที่เราใช้ในการขาย มักจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เราใช้ตัดสินใจซื้อ

ผมถึงขนาดเตรียมร่มชูชีพไปเวลาเข้าตึกสูงเลย

วรันศ์ บัฟเฟต เขียน:

Skyforever เขียน:คนจำนวนมากสนใจแต่กลยุทธ์ ในการเข้า ไม่เตรียมกลยุทธ์ ในการออกไว้
ถ้าทุกครั้งที่ซื้อหุ้นแล้วเราคิดไว้อย่างรอบคอบแล้วว่าจะขายกรณีไหน เมื่อไหร่บ้าง ก็คงไม่มีปัญหาในการขาย
เหมือนกับเราเข้าไปในตึกสูง ก็ควรมองหาทางหนีไฟไว้
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปตลอดไม่ว่าราคาจะเป็นเช่นไร ตราบที่กิจการบริษัทยังดีอยู่
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปจนราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่เราคำนวณไว้
หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าเมื่อประกาศข่าว...ออกมา เราจะขายหุ้น

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราน่าจะคิดได้ตั้งแต่ก่อนซื้อหุ้น เพราะส่วนใหญ่เหตุผลที่เราใช้ในการขาย มักจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เราใช้ตัดสินใจซื้อ

ผมถึงขนาดเตรียมร่มชูชีพไปเวลาเข้าตึกสูงเลย

:lovl:

ถ้าตึกสูงไม่พอ ร่มมันจะกางไม่ทันนะผมว่า ถึงมีร่มก็อาจตายได้ อย่างเมืองไทยเนี่ยผมว่าต้อง ตึก ไบหยก2 อย่างเดียว

ผมเองตั้งแต่ซื้อหุ้นมาก็ยังไม่เคยขายเลยครับ พอร์ทมันเขียวๆก็จริงอยู่แต่หลายครั้งเลยเงื่อนไขที่ตั้งไว้
ว่าจะขายตอนแรกไปแล้วก็ไม่ได้ขาย ดูต่อไปซิถ้าถือต่อมันจะเป็นยังไง

ถ้าบริษัทมันเสื่อมถอยจริงๆคงขาย แต่ตอนซื้อมันก็เสื่อมถอยไปแล้วนะ 5555