หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2010 1:42 pm
โดย bluecode
ตัวผมทำงานประจำไปด้วย ถ้าจะหาหุ้นคุณถาพราคาถูก มันจะใช้เวลานานไหมครับ ต้องทุ่มขนาดไหน ปกติตอนนี้ลง index fund แล้ว dca อยู่ครับ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2010 1:54 pm
โดย เด็กเลี้ยงไม้
น่าจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่คาดหวังมากกว่าครับ
ถ้าต้องการผลตอบแทนสูงก็อาจจะหายากหน่อยครับ

อย่างตลาดตอนนี้สำหรับผมก็หายากหน่อย แต่ไม่ใช่จะไม่มีครับ
แต่หุ้นเกรด A ราคากลางๆ น่าจะหายากกว่า เกรดB C ราคาถูกหน่อย นะครับ :D

ลองศึกษาให้มั่นใจกอ่นก็ดีนะครับ โชคดีครับ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2010 3:39 pm
โดย Suysak
จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย

เอาแบบนี้สิครับ ลองติ๊งต่าง ตัวเองว่าเป็นพ่อค้า แล้วดูว่าอนาคตกิจการอะไรจะไปโลด แล้วในขณะนี้กิจการอะไรถูกเหลือเชื่อทั้งๆที่มันจะรุ่งโลดโชติช่วงในอนาคต

ลองมองดูรอบๆตัวก่อนครับ ต้องขึ้นอยู่ว่าพี่ทำอาชีพอะไร เป็นนักลงทุนที่ดีต้องรู้จักสังเกตุ โดยเฉพาะพวกที่ ลงท้ายด้วย จำกัด มหาชนทั้งหลาย นี่ต้องสังเกตุมากๆ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2010 5:25 pm
โดย นพพร
อืม น่าลองสังเกตดูบ้าง ตอนนี้วิเคราะห์ไม่ค่อยจะเป็นเลย ใช้ดูเอาเองเลยดีกว่า

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 01, 2010 8:59 am
โดย chowbe76
ตอนนี้ก็ยากครับ
แต่เมื่อต้นปี52
ง๊ายยยยย ง่าย....
งบปี51ออกมา ไม่ได้เลวร้ายอะไรเล้ยยยย
แต่หุ้นถู๊กกกกก ถูก

แต่ตอนนั้นยังไม่มีเงินครับ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 01, 2010 11:22 am
โดย aviruth
ผมว่าไม่ยากนะครับ เอาหุ้นทังตลาด มากรอง PE น้อยกว่า 10 ROE เกิน 15 PBV น้อยกว่า 2 Yield เกิน 5 DE น้อยกว่า 1 ออกมา เสร็จแล้วก็ดูแนวโน้มย้อนหลัง สัก 5 ปี ดูว่า EPS โตเรื่อยๆมั้ย ถ้าทุกอย่างเข้าเกณฑ์ ก็โหลด 56-1 มานั่งอ่านดูว่าช่วงนี้ บริษัทใหนจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด มีแผนการลงทุนหรือขยากการลงทุนใหม่ๆซึ่งจะทำให้ EPS ในอนาคตเพิ่มขึ้นอีก หรือ ได้เปรียบผู้แข่งขันรายอื่น เลือกบริษัทเหล่านี้มาซัก 5-10 บริษัท สำหรับมือใหม่ถ้าเก๋าแล้วน้อยกว่า 5 ตัวก็ได้ ซื้อเสร็จแล้วก็คอยตามผลประกอบการณ์ทุกไตรมาสดูว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ถือไปเรื่อยๆถ้ากำไรยังดีขึ้นเรื่อยๆ ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน หรือเจอตัวใหม่ที่ดีกว่าเยอะๆ ง่ายมัยครับ ถ้าหาหุ้นแบบนี้ยังไม่ได้ก็รอจนกว่ามันจะมีแล้วกันครับ อย่าพึ่งรีบซื้อ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 02, 2010 1:50 pm
โดย foncs18
คุณ aviruth คะ  แล้วจะหาข้อมูลแบบทั้งตลาด  เพื่อเทียบ PE PBV อะไรพวกนี้จากที่ไหนอ่ะคะ  เอาแบบกางออกมามีข้อมูลพื้นฐานพวกนี้เรียงกันให้เทียบได้เลยอ่ะค่ะ
ขอออกตัวว่าดิฉันมือใหม่จิงจิ๊งค่ะ  :roll:

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 03, 2010 9:18 pm
โดย kin
[quote="foncs18"]คุณ aviruth คะ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 03, 2010 10:13 pm
โดย navapon
ขอเสริมนิดหนึ่งครับ ดร.นิเวศน์ เคยแนะไว้ว่าให้เลือกหุ้นโดยดูจากแนวโน้มธุรกิจในอนาคตก่อน แล้วค่อยมาจับงบการเงินหรือแม้แต่ค่า screening อย่าง ROA+ ROE ซึ่งมีให้เห็นได้ง่ายๆนะครับ มิฉะนั้นท่านอาจจะถูกแสงเฮ้ากวงเข้าไปได้และจะโดนมนต์สะกดของงบการเงินเข้าให้

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2010 10:34 am
โดย aviruth
ผมว่ามือใหม่เริ่มจากค่าพวกนี้ก่อนดีกว่า ถ้าเราวิเคระห์ธุรกิจ ใครๆก็รู้ว่าหุ้นค้าปลีกเป็นหุ้นโตเร็ว พวก cpall hmpro ธุรกิจดีจริง แต่ราคาตอนนี้ บรื๋อ ไม่น่าแนะนำเลยครับ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2010 10:20 pm
โดย nut776
พูดแบบหยาบๆ
คือหาหุ้นไม่ยาก
แต่หาราคาที่น่าเข้าซื้อยากคับ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2010 10:24 pm
โดย nut776
aviruth เขียน:ผมว่าไม่ยากนะครับ เอาหุ้นทังตลาด มากรอง PE น้อยกว่า 10 ROE เกิน 15 PBV น้อยกว่า 2 Yield เกิน 5 DE น้อยกว่า 1 ออกมา เสร็จแล้วก็ดูแนวโน้มย้อนหลัง สัก 5 ปี ดูว่า EPS โตเรื่อยๆมั้ย ถ้าทุกอย่างเข้าเกณฑ์ ก็โหลด 56-1 มานั่งอ่านดูว่าช่วงนี้ บริษัทใหนจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด มีแผนการลงทุนหรือขยากการลงทุนใหม่ๆซึ่งจะทำให้ EPS ในอนาคตเพิ่มขึ้นอีก หรือ ได้เปรียบผู้แข่งขันรายอื่น เลือกบริษัทเหล่านี้มาซัก 5-10 บริษัท สำหรับมือใหม่ถ้าเก๋าแล้วน้อยกว่า 5 ตัวก็ได้ ซื้อเสร็จแล้วก็คอยตามผลประกอบการณ์ทุกไตรมาสดูว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ถือไปเรื่อยๆถ้ากำไรยังดีขึ้นเรื่อยๆ ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน หรือเจอตัวใหม่ที่ดีกว่าเยอะๆ ง่ายมัยครับ ถ้าหาหุ้นแบบนี้ยังไม่ได้ก็รอจนกว่ามันจะมีแล้วกันครับ อย่าพึ่งรีบซื้อ
ดร.นิเวศน์ เคยลองทำวิจัย ว่าใช้สูตรนี้จะได้รีเทิร์นเท่าไหร่ใน สิบปี
ตัวเลข เกิน สิบกว่าเปอร์เซนต์ทบต้น
น่าสนใจทีเีดียว  แต่ต้องถือหลายปีนะ

ผมเคยคิืดเหมือนกัีนนะว่า น่าจะลองดูเหมือนกัน

แต่จำไม่ได้ว่าอ่านจากในบทความของเวปนี้หรือ หนังสือ
แต่ชัวร์ว่าดร.นิเวศน์ เคยทำวิจัยไว้ชัวร์ๆ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2010 10:31 pm
โดย nut776
navapon เขียน:ขอเสริมนิดหนึ่งครับ ดร.นิเวศน์ เคยแนะไว้ว่าให้เลือกหุ้นโดยดูจากแนวโน้มธุรกิจในอนาคตก่อน แล้วค่อยมาจับงบการเงินหรือแม้แต่ค่า screening อย่าง ROA+ ROE ซึ่งมีให้เห็นได้ง่ายๆนะครับ มิฉะนั้นท่านอาจจะบัถูกแสงเฮ้ากวงเข้าไปได้และจะโดนมนต์สะกดของงบการเงินเข้าให้

ดร.นิเวศน์ ก็มีวิวัฒนการทางความคิดนะคับ
หลังๆพอร์ทแกใหญ่ แนวโน้มความคิดก็คล้ายบัฟเฟต มากขึ้นเรื่อยๆ
คงไม่สนเรื่อง ต้องเสี่ยงกับหุ้น turn around  or growth stock

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2010 10:05 am
โดย aviruth
ถ้าจะเป็น vi ไม่ควรคิดถือหุ้นแค่สองสามเดือนนะครับ เราซื้อหุ้นเหมือนทำธุรกิจถือไป กินปันผลไป เอาปันผลกลับมาลงทุนต่อ ถ้ามีตัวน่าสนใจกว่าก็ขายตัวเดิมที่เกินพื้นฐานไปแล้วมาซื้อตัวใหม่คือถือไปเหอะอย่าขายเพราะหุ้นตกโดยที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนหรืออย่าขายเพราะหุ้นขึ้นถ้ามันพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆหวังกำไรปีละ 10-15% ก็หรูแล้ว อย่าไปดูราคาหุ้นรายวัน เริ่มตอนนี้ อีก 20 ปีเราสบายแน่ ผมอยู่ในตลาดมาห้าปี ไม่ได้เก่งอะไร แต่ก็ไม่เคยขาดทุนหนักๆ ถือหุ้นผ่าน subprime มาโดยไม่ขายออกแม้แต่หุ้นเดียว 5 ปีเงินเพิ่ม 1 เท่าตัว หรือ 15% แบบทบต้น ซึ่งผมก็พอใจตรงนี้ แต่ถ้าผมทำได้เท่าเดิมไปเรือยๆ อีก 15 ปี เงินผมจะเพิ่มมากถึง 16 เท่าของเงินเริ่มต้น หรือ 1 ล้านเป็น 16 ล้าน ซึ่งก็คงจะพอทำให้ผมอยู่สบายไปได้ในตอนแก่ (ที่จริงยังไม่แก่หรอก อีก15ปีผมจะมีอายุ 47 เอง) จริงๆผมว่า ดร นิเวศ ก็เริ่มจากหุ้น PE ต่ำสภาพคล่องน้อยๆเหมือนกัน แต่พอมีเงินเยอะแกก็ซื้อไม่ได้เพราะสภาพคล่องก็เลยต้องไปซื้อตัวที่ใหญ่ขึ้น ส่วน ห้าปีที่ผ่านมาผมพอจะสรุปประสปการณ์ให้ฟังได้ดังนี้

PE ควรคำนวนเอง ดูใน web set เป็น PE เก่าปีที่แล้ว
PBV ไม่ค่อยมีผลกับราคาหุ้น
ROE ต้องดูว่าสม่ำเสมอ
ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
อย่าเชื่อสัญญาน technic
หุ้นบางตัวตก อย่าถัว ควรอยู่เฉยๆ รอจนได้ปันผลค่อยเอามาซื้อเพิ่มถ้าทุกอย่างยังดีอยู่
เอาปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่ม
ก่อนซื้อให้ศึกษาธุรกิจของเขาก่อนโดยอ่าน 56-1
ติดตามผลประกอบการทุกไตรมาสเพื่อตรวจสอบพื้นฐาน
กล้าขายทิ้งถ้าพื้นฐานเปลี่ยน
ถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวตลอดเวลา
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อดีกว่าเสียใจที่ซื้อที่ยอดดอย
ไม่เจอหุ้นเข้าเกณฑ์ก็ถือเงินสดรอไปก่อน
ดูผลตอบแทนของพอร์ตรวมอย่าไปดูเป็นรายตัว
ถ้าหุ้นมันตกทั้งตลาดยิ่งไม่ควรกลัว
5-10% ขึ้นหรือลงไม่ค่อยมีความหมายอย่าไปกังวล
ถ้ามีเงินเก็บก็เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ  

ขอให้ประสบความสำเร็จทุกคนครับ  :D

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2010 3:23 pm
โดย bluecode
กำไรแบบทบต้นหมายความว่ายังไงหรอครับ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2010 3:24 pm
โดย nut776
[quote="aviruth"]ถ้าจะเป็น vi ไม่ควรคิดถือหุ้นแค่สองสามเดือนนะครับ เราซื้อหุ้นเหมือนทำธุรกิจถือไป กินปันผลไป เอาปันผลกลับมาลงทุนต่อ ถ้ามีตัวน่าสนใจกว่าก็ขายตัวเดิมที่เกินพื้นฐานไปแล้วมาซื้อตัวใหม่คือถือไปเหอะอย่าขายเพราะหุ้นตกโดยที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนหรืออย่าขายเพราะหุ้นขึ้นถ้ามันพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆหวังกำไรปีละ 10-15% ก็หรูแล้ว อย่าไปดูราคาหุ้นรายวัน เริ่มตอนนี้ อีก 20 ปีเราสบายแน่ ผมอยู่ในตลาดมาห้าปี ไม่ได้เก่งอะไร แต่ก็ไม่เคยขาดทุนหนักๆ ถือหุ้นผ่าน subprime มาโดยไม่ขายออกแม้แต่หุ้นเดียว 5 ปีเงินเพิ่ม 1 เท่าตัว หรือ 15% แบบทบต้น ซึ่งผมก็พอใจตรงนี้ แต่ถ้าผมทำได้เท่าเดิมไปเรือยๆ อีก 15 ปี เงินผมจะเพิ่มมากถึง 16 เท่าของเงินเริ่มต้น หรือ 1 ล้านเป็น 16 ล้าน ซึ่งก็คงจะพอทำให้ผมอยู่สบายไปได้ในตอนแก่ (ที่จริงยังไม่แก่หรอก อีก15ปีผมจะมีอายุ 47 เอง) จริงๆผมว่า ดร นิเวศ ก็เริ่มจากหุ้น PE ต่ำสภาพคล่องน้อยๆเหมือนกัน แต่พอมีเงินเยอะแกก็ซื้อไม่ได้เพราะสภาพคล่องก็เลยต้องไปซื้อตัวที่ใหญ่ขึ้น ส่วน ห้าปีที่ผ่านมาผมพอจะสรุปประสปการณ์ให้ฟังได้ดังนี้

PE ควรคำนวนเอง ดูใน web set เป็น PE เก่าปีที่แล้ว
PBV ไม่ค่อยมีผลกับราคาหุ้น
ROE ต้องดูว่าสม่ำเสมอ
ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
อย่าเชื่อสัญญาน technic
หุ้นบางตัวตก อย่าถัว ควรอยู่เฉยๆ รอจนได้ปันผลค่อยเอามาซื้อเพิ่มถ้าทุกอย่างยังดีอยู่
เอาปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่ม
ก่อนซื้อให้ศึกษาธุรกิจของเขาก่อนโดยอ่าน 56-1
ติดตามผลประกอบการทุกไตรมาสเพื่อตรวจสอบพื้นฐาน
กล้าขายทิ้งถ้าพื้นฐานเปลี่ยน
ถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวตลอดเวลา
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อดีกว่าเสียใจที่ซื้อที่ยอดดอย
ไม่เจอหุ้นเข้าเกณฑ์ก็ถือเงินสดรอไปก่อน
ดูผลตอบแทนของพอร์ตรวมอย่าไปดูเป็นรายตัว
ถ้าหุ้นมันตกทั้งตลาดยิ่งไม่ควรกลัว
5-10% ขึ้นหรือลงไม่ค่อยมีความหมายอย่าไปกังวล
ถ้ามีเงินเก็บก็เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2010 3:54 pm
โดย aviruth
กำไรแบบทบต้นก็คือ ถ้าเราได้ปันผลมาเราก็เอาไปลงทุนเพิ่ม หรือถ้าเราขายแล้วได้กำไร เราก็ไม่เอากำไรไปใช้ แต่เอากลับมาซื้อหุ้นเพิ่มอีก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่้งคั่งของเราในอนาคตจนกว่าจะถึงเป้าหมายของเรา ดังนั้นเงินที่เอามาลงทุนจะต้องเป็นเงินเย็น ไม่คิดจะใช้ กันออกมาจากส่วนอื่นแล้ว นั่นเอง
วันหนึ่งปันผลมันจะมากจนเราสามารถอยู่ได้ด้วยปันผลอย่างเดียวหลังจากนั้นจะใช้บ้างก็ได้ เป้าหมายของผมคือไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครแล้วก็อยู่ได้ก็พอใจแล้ว

ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 19, 2010 1:46 am
โดย luangrit
สำหรับผมจะว่ายากก็ไม่เชิงครับ...ถ้าเรามีความรู้เรื่องงบการเงินก็ไม่ยากมากนัก

อันดับแรก....ก็ดูจากตัวสินค้าในท้องตลาด ว่าสินค้าเป็นยังไง ผู้บริโภคชอบมั้ย คุณภาพสินค้า บริการ
หลักสำคัญคือเรื่อง Customer satisfaction.....ถ้าบริษัทใดตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ก็นับว่าผ่านรอบแรก


อันดับสอง....จะดูเรื่องความสามารถทางการแข่งขัน ถ้ามีความได้เปรียบเช่นเป็นจ้าวตลาด สินค้าทดแทนได้น้อย หาคนมาสู้ด้วยยาก


หลังจากนั้นก็จะเริ่มเข้ามาดูเชิง "ตัวเลข" ครับ
1. D/E ratio.....แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูเรื่องชนิดของอุตสาหกรรมด้วยนะครับ
2. Revenue growth คือต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆใน 5 ปี จริงๆเป็นตัวเลขที่สำคัญอันดับต้นๆ
   เพราะถ้ายอดขายไม่ดี บ.ก็ไม่โต ถึงแม้net profitอาจจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่มาจากการขายสินค้าโดยตรง อันนี้ต้องระวังครับ
   ถ้าบางปีRevenueลดลง  แต่มีเหตุผลเหมาะสมก็ไม่เป็นไร
3. Net profit....ยิ่งเพิ่มขึ้นเยอะยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึง บ.ต้องทำอะไรหลายอย่าง เช่น ควบคุมวัตถุดิบ ค่าจ้าง เพิ่มยอดขาย และอื่นๆ
4. ROA, ROE ระดับ 15% ขึ้นไป


หลังจากนั้นก็จะมามองในเรื่องความคุ้มค่าที่จะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่

ข้อคิดของผมคือ.....ให้คิดแบบเจ้าของกิจการ เช่น ราคาหุ้น A = 10 Bth, EPS = 2 Bth
แล้วเราคำนวนได้ว่า EPS จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น เพิ่ม จน. สาขา, ยอดขายมากขึ้น, ส่วนแบ่งมากขึ้น, ขยายการผลิต

เฉพาะฉะนั้น ไม่เกิน 5 ปีผมก็ได้ทุนคืนมาแล้ว....แต่ก็ยังจะถือไปเรื่อยๆเพราะ
1. เงินปันผลก็เพิ่มขึ้นทุกปี จาก EPS ที่เพิ่มขึ้น
2. EPS ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นผลทำให้ราคาเพิ่มขึ้น


นี่เป็นแค่ ตย. คร่าวๆนะครับ.....สิ่งที่สำคัญที่อยากจะย้ำคือเรื่อง"การอ่านงบการเงิน"นะครับ