ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 983
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 2
น่าจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่คาดหวังมากกว่าครับ
ถ้าต้องการผลตอบแทนสูงก็อาจจะหายากหน่อยครับ
อย่างตลาดตอนนี้สำหรับผมก็หายากหน่อย แต่ไม่ใช่จะไม่มีครับ
แต่หุ้นเกรด A ราคากลางๆ น่าจะหายากกว่า เกรดB C ราคาถูกหน่อย นะครับ
ลองศึกษาให้มั่นใจกอ่นก็ดีนะครับ โชคดีครับ
ถ้าต้องการผลตอบแทนสูงก็อาจจะหายากหน่อยครับ
อย่างตลาดตอนนี้สำหรับผมก็หายากหน่อย แต่ไม่ใช่จะไม่มีครับ
แต่หุ้นเกรด A ราคากลางๆ น่าจะหายากกว่า เกรดB C ราคาถูกหน่อย นะครับ

ลองศึกษาให้มั่นใจกอ่นก็ดีนะครับ โชคดีครับ
เริ่มนับหนึ่ง...
- Suysak
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 3
จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย
เอาแบบนี้สิครับ ลองติ๊งต่าง ตัวเองว่าเป็นพ่อค้า แล้วดูว่าอนาคตกิจการอะไรจะไปโลด แล้วในขณะนี้กิจการอะไรถูกเหลือเชื่อทั้งๆที่มันจะรุ่งโลดโชติช่วงในอนาคต
ลองมองดูรอบๆตัวก่อนครับ ต้องขึ้นอยู่ว่าพี่ทำอาชีพอะไร เป็นนักลงทุนที่ดีต้องรู้จักสังเกตุ โดยเฉพาะพวกที่ ลงท้ายด้วย จำกัด มหาชนทั้งหลาย นี่ต้องสังเกตุมากๆ
เอาแบบนี้สิครับ ลองติ๊งต่าง ตัวเองว่าเป็นพ่อค้า แล้วดูว่าอนาคตกิจการอะไรจะไปโลด แล้วในขณะนี้กิจการอะไรถูกเหลือเชื่อทั้งๆที่มันจะรุ่งโลดโชติช่วงในอนาคต
ลองมองดูรอบๆตัวก่อนครับ ต้องขึ้นอยู่ว่าพี่ทำอาชีพอะไร เป็นนักลงทุนที่ดีต้องรู้จักสังเกตุ โดยเฉพาะพวกที่ ลงท้ายด้วย จำกัด มหาชนทั้งหลาย นี่ต้องสังเกตุมากๆ
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 5
ตอนนี้ก็ยากครับ
แต่เมื่อต้นปี52
ง๊ายยยยย ง่าย....
งบปี51ออกมา ไม่ได้เลวร้ายอะไรเล้ยยยย
แต่หุ้นถู๊กกกกก ถูก
แต่ตอนนั้นยังไม่มีเงินครับ
แต่เมื่อต้นปี52
ง๊ายยยยย ง่าย....
งบปี51ออกมา ไม่ได้เลวร้ายอะไรเล้ยยยย
แต่หุ้นถู๊กกกกก ถูก
แต่ตอนนั้นยังไม่มีเงินครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 6
ผมว่าไม่ยากนะครับ เอาหุ้นทังตลาด มากรอง PE น้อยกว่า 10 ROE เกิน 15 PBV น้อยกว่า 2 Yield เกิน 5 DE น้อยกว่า 1 ออกมา เสร็จแล้วก็ดูแนวโน้มย้อนหลัง สัก 5 ปี ดูว่า EPS โตเรื่อยๆมั้ย ถ้าทุกอย่างเข้าเกณฑ์ ก็โหลด 56-1 มานั่งอ่านดูว่าช่วงนี้ บริษัทใหนจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด มีแผนการลงทุนหรือขยากการลงทุนใหม่ๆซึ่งจะทำให้ EPS ในอนาคตเพิ่มขึ้นอีก หรือ ได้เปรียบผู้แข่งขันรายอื่น เลือกบริษัทเหล่านี้มาซัก 5-10 บริษัท สำหรับมือใหม่ถ้าเก๋าแล้วน้อยกว่า 5 ตัวก็ได้ ซื้อเสร็จแล้วก็คอยตามผลประกอบการณ์ทุกไตรมาสดูว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ถือไปเรื่อยๆถ้ากำไรยังดีขึ้นเรื่อยๆ ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน หรือเจอตัวใหม่ที่ดีกว่าเยอะๆ ง่ายมัยครับ ถ้าหาหุ้นแบบนี้ยังไม่ได้ก็รอจนกว่ามันจะมีแล้วกันครับ อย่าพึ่งรีบซื้อ
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 9
ขอเสริมนิดหนึ่งครับ ดร.นิเวศน์ เคยแนะไว้ว่าให้เลือกหุ้นโดยดูจากแนวโน้มธุรกิจในอนาคตก่อน แล้วค่อยมาจับงบการเงินหรือแม้แต่ค่า screening อย่าง ROA+ ROE ซึ่งมีให้เห็นได้ง่ายๆนะครับ มิฉะนั้นท่านอาจจะถูกแสงเฮ้ากวงเข้าไปได้และจะโดนมนต์สะกดของงบการเงินเข้าให้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 10
ผมว่ามือใหม่เริ่มจากค่าพวกนี้ก่อนดีกว่า ถ้าเราวิเคระห์ธุรกิจ ใครๆก็รู้ว่าหุ้นค้าปลีกเป็นหุ้นโตเร็ว พวก cpall hmpro ธุรกิจดีจริง แต่ราคาตอนนี้ บรื๋อ ไม่น่าแนะนำเลยครับ
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 12
ดร.นิเวศน์ เคยลองทำวิจัย ว่าใช้สูตรนี้จะได้รีเทิร์นเท่าไหร่ใน สิบปีaviruth เขียน:ผมว่าไม่ยากนะครับ เอาหุ้นทังตลาด มากรอง PE น้อยกว่า 10 ROE เกิน 15 PBV น้อยกว่า 2 Yield เกิน 5 DE น้อยกว่า 1 ออกมา เสร็จแล้วก็ดูแนวโน้มย้อนหลัง สัก 5 ปี ดูว่า EPS โตเรื่อยๆมั้ย ถ้าทุกอย่างเข้าเกณฑ์ ก็โหลด 56-1 มานั่งอ่านดูว่าช่วงนี้ บริษัทใหนจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด มีแผนการลงทุนหรือขยากการลงทุนใหม่ๆซึ่งจะทำให้ EPS ในอนาคตเพิ่มขึ้นอีก หรือ ได้เปรียบผู้แข่งขันรายอื่น เลือกบริษัทเหล่านี้มาซัก 5-10 บริษัท สำหรับมือใหม่ถ้าเก๋าแล้วน้อยกว่า 5 ตัวก็ได้ ซื้อเสร็จแล้วก็คอยตามผลประกอบการณ์ทุกไตรมาสดูว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ถือไปเรื่อยๆถ้ากำไรยังดีขึ้นเรื่อยๆ ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน หรือเจอตัวใหม่ที่ดีกว่าเยอะๆ ง่ายมัยครับ ถ้าหาหุ้นแบบนี้ยังไม่ได้ก็รอจนกว่ามันจะมีแล้วกันครับ อย่าพึ่งรีบซื้อ
ตัวเลข เกิน สิบกว่าเปอร์เซนต์ทบต้น
น่าสนใจทีเีดียว แต่ต้องถือหลายปีนะ
ผมเคยคิืดเหมือนกัีนนะว่า น่าจะลองดูเหมือนกัน
แต่จำไม่ได้ว่าอ่านจากในบทความของเวปนี้หรือ หนังสือ
แต่ชัวร์ว่าดร.นิเวศน์ เคยทำวิจัยไว้ชัวร์ๆ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 13
navapon เขียน:ขอเสริมนิดหนึ่งครับ ดร.นิเวศน์ เคยแนะไว้ว่าให้เลือกหุ้นโดยดูจากแนวโน้มธุรกิจในอนาคตก่อน แล้วค่อยมาจับงบการเงินหรือแม้แต่ค่า screening อย่าง ROA+ ROE ซึ่งมีให้เห็นได้ง่ายๆนะครับ มิฉะนั้นท่านอาจจะบัถูกแสงเฮ้ากวงเข้าไปได้และจะโดนมนต์สะกดของงบการเงินเข้าให้
ดร.นิเวศน์ ก็มีวิวัฒนการทางความคิดนะคับ
หลังๆพอร์ทแกใหญ่ แนวโน้มความคิดก็คล้ายบัฟเฟต มากขึ้นเรื่อยๆ
คงไม่สนเรื่อง ต้องเสี่ยงกับหุ้น turn around or growth stock
show me money.
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 14
ถ้าจะเป็น vi ไม่ควรคิดถือหุ้นแค่สองสามเดือนนะครับ เราซื้อหุ้นเหมือนทำธุรกิจถือไป กินปันผลไป เอาปันผลกลับมาลงทุนต่อ ถ้ามีตัวน่าสนใจกว่าก็ขายตัวเดิมที่เกินพื้นฐานไปแล้วมาซื้อตัวใหม่คือถือไปเหอะอย่าขายเพราะหุ้นตกโดยที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนหรืออย่าขายเพราะหุ้นขึ้นถ้ามันพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆหวังกำไรปีละ 10-15% ก็หรูแล้ว อย่าไปดูราคาหุ้นรายวัน เริ่มตอนนี้ อีก 20 ปีเราสบายแน่ ผมอยู่ในตลาดมาห้าปี ไม่ได้เก่งอะไร แต่ก็ไม่เคยขาดทุนหนักๆ ถือหุ้นผ่าน subprime มาโดยไม่ขายออกแม้แต่หุ้นเดียว 5 ปีเงินเพิ่ม 1 เท่าตัว หรือ 15% แบบทบต้น ซึ่งผมก็พอใจตรงนี้ แต่ถ้าผมทำได้เท่าเดิมไปเรือยๆ อีก 15 ปี เงินผมจะเพิ่มมากถึง 16 เท่าของเงินเริ่มต้น หรือ 1 ล้านเป็น 16 ล้าน ซึ่งก็คงจะพอทำให้ผมอยู่สบายไปได้ในตอนแก่ (ที่จริงยังไม่แก่หรอก อีก15ปีผมจะมีอายุ 47 เอง) จริงๆผมว่า ดร นิเวศ ก็เริ่มจากหุ้น PE ต่ำสภาพคล่องน้อยๆเหมือนกัน แต่พอมีเงินเยอะแกก็ซื้อไม่ได้เพราะสภาพคล่องก็เลยต้องไปซื้อตัวที่ใหญ่ขึ้น ส่วน ห้าปีที่ผ่านมาผมพอจะสรุปประสปการณ์ให้ฟังได้ดังนี้
PE ควรคำนวนเอง ดูใน web set เป็น PE เก่าปีที่แล้ว
PBV ไม่ค่อยมีผลกับราคาหุ้น
ROE ต้องดูว่าสม่ำเสมอ
ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
อย่าเชื่อสัญญาน technic
หุ้นบางตัวตก อย่าถัว ควรอยู่เฉยๆ รอจนได้ปันผลค่อยเอามาซื้อเพิ่มถ้าทุกอย่างยังดีอยู่
เอาปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่ม
ก่อนซื้อให้ศึกษาธุรกิจของเขาก่อนโดยอ่าน 56-1
ติดตามผลประกอบการทุกไตรมาสเพื่อตรวจสอบพื้นฐาน
กล้าขายทิ้งถ้าพื้นฐานเปลี่ยน
ถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวตลอดเวลา
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อดีกว่าเสียใจที่ซื้อที่ยอดดอย
ไม่เจอหุ้นเข้าเกณฑ์ก็ถือเงินสดรอไปก่อน
ดูผลตอบแทนของพอร์ตรวมอย่าไปดูเป็นรายตัว
ถ้าหุ้นมันตกทั้งตลาดยิ่งไม่ควรกลัว
5-10% ขึ้นหรือลงไม่ค่อยมีความหมายอย่าไปกังวล
ถ้ามีเงินเก็บก็เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ
ขอให้ประสบความสำเร็จทุกคนครับ :D
PE ควรคำนวนเอง ดูใน web set เป็น PE เก่าปีที่แล้ว
PBV ไม่ค่อยมีผลกับราคาหุ้น
ROE ต้องดูว่าสม่ำเสมอ
ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
อย่าเชื่อสัญญาน technic
หุ้นบางตัวตก อย่าถัว ควรอยู่เฉยๆ รอจนได้ปันผลค่อยเอามาซื้อเพิ่มถ้าทุกอย่างยังดีอยู่
เอาปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่ม
ก่อนซื้อให้ศึกษาธุรกิจของเขาก่อนโดยอ่าน 56-1
ติดตามผลประกอบการทุกไตรมาสเพื่อตรวจสอบพื้นฐาน
กล้าขายทิ้งถ้าพื้นฐานเปลี่ยน
ถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวตลอดเวลา
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อดีกว่าเสียใจที่ซื้อที่ยอดดอย
ไม่เจอหุ้นเข้าเกณฑ์ก็ถือเงินสดรอไปก่อน
ดูผลตอบแทนของพอร์ตรวมอย่าไปดูเป็นรายตัว
ถ้าหุ้นมันตกทั้งตลาดยิ่งไม่ควรกลัว
5-10% ขึ้นหรือลงไม่ค่อยมีความหมายอย่าไปกังวล
ถ้ามีเงินเก็บก็เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ
ขอให้ประสบความสำเร็จทุกคนครับ :D
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 16
[quote="aviruth"]ถ้าจะเป็น vi ไม่ควรคิดถือหุ้นแค่สองสามเดือนนะครับ เราซื้อหุ้นเหมือนทำธุรกิจถือไป กินปันผลไป เอาปันผลกลับมาลงทุนต่อ ถ้ามีตัวน่าสนใจกว่าก็ขายตัวเดิมที่เกินพื้นฐานไปแล้วมาซื้อตัวใหม่คือถือไปเหอะอย่าขายเพราะหุ้นตกโดยที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนหรืออย่าขายเพราะหุ้นขึ้นถ้ามันพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆหวังกำไรปีละ 10-15% ก็หรูแล้ว อย่าไปดูราคาหุ้นรายวัน เริ่มตอนนี้ อีก 20 ปีเราสบายแน่ ผมอยู่ในตลาดมาห้าปี ไม่ได้เก่งอะไร แต่ก็ไม่เคยขาดทุนหนักๆ ถือหุ้นผ่าน subprime มาโดยไม่ขายออกแม้แต่หุ้นเดียว 5 ปีเงินเพิ่ม 1 เท่าตัว หรือ 15% แบบทบต้น ซึ่งผมก็พอใจตรงนี้ แต่ถ้าผมทำได้เท่าเดิมไปเรือยๆ อีก 15 ปี เงินผมจะเพิ่มมากถึง 16 เท่าของเงินเริ่มต้น หรือ 1 ล้านเป็น 16 ล้าน ซึ่งก็คงจะพอทำให้ผมอยู่สบายไปได้ในตอนแก่ (ที่จริงยังไม่แก่หรอก อีก15ปีผมจะมีอายุ 47 เอง) จริงๆผมว่า ดร นิเวศ ก็เริ่มจากหุ้น PE ต่ำสภาพคล่องน้อยๆเหมือนกัน แต่พอมีเงินเยอะแกก็ซื้อไม่ได้เพราะสภาพคล่องก็เลยต้องไปซื้อตัวที่ใหญ่ขึ้น ส่วน ห้าปีที่ผ่านมาผมพอจะสรุปประสปการณ์ให้ฟังได้ดังนี้
PE ควรคำนวนเอง ดูใน web set เป็น PE เก่าปีที่แล้ว
PBV ไม่ค่อยมีผลกับราคาหุ้น
ROE ต้องดูว่าสม่ำเสมอ
ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
อย่าเชื่อสัญญาน technic
หุ้นบางตัวตก อย่าถัว ควรอยู่เฉยๆ รอจนได้ปันผลค่อยเอามาซื้อเพิ่มถ้าทุกอย่างยังดีอยู่
เอาปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่ม
ก่อนซื้อให้ศึกษาธุรกิจของเขาก่อนโดยอ่าน 56-1
ติดตามผลประกอบการทุกไตรมาสเพื่อตรวจสอบพื้นฐาน
กล้าขายทิ้งถ้าพื้นฐานเปลี่ยน
ถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวตลอดเวลา
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อดีกว่าเสียใจที่ซื้อที่ยอดดอย
ไม่เจอหุ้นเข้าเกณฑ์ก็ถือเงินสดรอไปก่อน
ดูผลตอบแทนของพอร์ตรวมอย่าไปดูเป็นรายตัว
ถ้าหุ้นมันตกทั้งตลาดยิ่งไม่ควรกลัว
5-10% ขึ้นหรือลงไม่ค่อยมีความหมายอย่าไปกังวล
ถ้ามีเงินเก็บก็เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ
PE ควรคำนวนเอง ดูใน web set เป็น PE เก่าปีที่แล้ว
PBV ไม่ค่อยมีผลกับราคาหุ้น
ROE ต้องดูว่าสม่ำเสมอ
ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
อย่าเชื่อสัญญาน technic
หุ้นบางตัวตก อย่าถัว ควรอยู่เฉยๆ รอจนได้ปันผลค่อยเอามาซื้อเพิ่มถ้าทุกอย่างยังดีอยู่
เอาปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่ม
ก่อนซื้อให้ศึกษาธุรกิจของเขาก่อนโดยอ่าน 56-1
ติดตามผลประกอบการทุกไตรมาสเพื่อตรวจสอบพื้นฐาน
กล้าขายทิ้งถ้าพื้นฐานเปลี่ยน
ถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวตลอดเวลา
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อดีกว่าเสียใจที่ซื้อที่ยอดดอย
ไม่เจอหุ้นเข้าเกณฑ์ก็ถือเงินสดรอไปก่อน
ดูผลตอบแทนของพอร์ตรวมอย่าไปดูเป็นรายตัว
ถ้าหุ้นมันตกทั้งตลาดยิ่งไม่ควรกลัว
5-10% ขึ้นหรือลงไม่ค่อยมีความหมายอย่าไปกังวล
ถ้ามีเงินเก็บก็เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ
show me money.
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 17
กำไรแบบทบต้นก็คือ ถ้าเราได้ปันผลมาเราก็เอาไปลงทุนเพิ่ม หรือถ้าเราขายแล้วได้กำไร เราก็ไม่เอากำไรไปใช้ แต่เอากลับมาซื้อหุ้นเพิ่มอีก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่้งคั่งของเราในอนาคตจนกว่าจะถึงเป้าหมายของเรา ดังนั้นเงินที่เอามาลงทุนจะต้องเป็นเงินเย็น ไม่คิดจะใช้ กันออกมาจากส่วนอื่นแล้ว นั่นเอง
วันหนึ่งปันผลมันจะมากจนเราสามารถอยู่ได้ด้วยปันผลอย่างเดียวหลังจากนั้นจะใช้บ้างก็ได้ เป้าหมายของผมคือไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครแล้วก็อยู่ได้ก็พอใจแล้ว
วันหนึ่งปันผลมันจะมากจนเราสามารถอยู่ได้ด้วยปันผลอย่างเดียวหลังจากนั้นจะใช้บ้างก็ได้ เป้าหมายของผมคือไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครแล้วก็อยู่ได้ก็พอใจแล้ว
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนแบบ VI หาหุ้นแต่ละตัวยากไหมครับ
โพสต์ที่ 18
สำหรับผมจะว่ายากก็ไม่เชิงครับ...ถ้าเรามีความรู้เรื่องงบการเงินก็ไม่ยากมากนัก
อันดับแรก....ก็ดูจากตัวสินค้าในท้องตลาด ว่าสินค้าเป็นยังไง ผู้บริโภคชอบมั้ย คุณภาพสินค้า บริการ
หลักสำคัญคือเรื่อง Customer satisfaction.....ถ้าบริษัทใดตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ก็นับว่าผ่านรอบแรก
อันดับสอง....จะดูเรื่องความสามารถทางการแข่งขัน ถ้ามีความได้เปรียบเช่นเป็นจ้าวตลาด สินค้าทดแทนได้น้อย หาคนมาสู้ด้วยยาก
หลังจากนั้นก็จะเริ่มเข้ามาดูเชิง "ตัวเลข" ครับ
1. D/E ratio.....แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูเรื่องชนิดของอุตสาหกรรมด้วยนะครับ
2. Revenue growth คือต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆใน 5 ปี จริงๆเป็นตัวเลขที่สำคัญอันดับต้นๆ
เพราะถ้ายอดขายไม่ดี บ.ก็ไม่โต ถึงแม้net profitอาจจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่มาจากการขายสินค้าโดยตรง อันนี้ต้องระวังครับ
ถ้าบางปีRevenueลดลง แต่มีเหตุผลเหมาะสมก็ไม่เป็นไร
3. Net profit....ยิ่งเพิ่มขึ้นเยอะยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึง บ.ต้องทำอะไรหลายอย่าง เช่น ควบคุมวัตถุดิบ ค่าจ้าง เพิ่มยอดขาย และอื่นๆ
4. ROA, ROE ระดับ 15% ขึ้นไป
หลังจากนั้นก็จะมามองในเรื่องความคุ้มค่าที่จะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่
ข้อคิดของผมคือ.....ให้คิดแบบเจ้าของกิจการ เช่น ราคาหุ้น A = 10 Bth, EPS = 2 Bth
แล้วเราคำนวนได้ว่า EPS จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น เพิ่ม จน. สาขา, ยอดขายมากขึ้น, ส่วนแบ่งมากขึ้น, ขยายการผลิต
เฉพาะฉะนั้น ไม่เกิน 5 ปีผมก็ได้ทุนคืนมาแล้ว....แต่ก็ยังจะถือไปเรื่อยๆเพราะ
1. เงินปันผลก็เพิ่มขึ้นทุกปี จาก EPS ที่เพิ่มขึ้น
2. EPS ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นผลทำให้ราคาเพิ่มขึ้น
นี่เป็นแค่ ตย. คร่าวๆนะครับ.....สิ่งที่สำคัญที่อยากจะย้ำคือเรื่อง"การอ่านงบการเงิน"นะครับ
อันดับแรก....ก็ดูจากตัวสินค้าในท้องตลาด ว่าสินค้าเป็นยังไง ผู้บริโภคชอบมั้ย คุณภาพสินค้า บริการ
หลักสำคัญคือเรื่อง Customer satisfaction.....ถ้าบริษัทใดตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ก็นับว่าผ่านรอบแรก
อันดับสอง....จะดูเรื่องความสามารถทางการแข่งขัน ถ้ามีความได้เปรียบเช่นเป็นจ้าวตลาด สินค้าทดแทนได้น้อย หาคนมาสู้ด้วยยาก
หลังจากนั้นก็จะเริ่มเข้ามาดูเชิง "ตัวเลข" ครับ
1. D/E ratio.....แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูเรื่องชนิดของอุตสาหกรรมด้วยนะครับ
2. Revenue growth คือต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆใน 5 ปี จริงๆเป็นตัวเลขที่สำคัญอันดับต้นๆ
เพราะถ้ายอดขายไม่ดี บ.ก็ไม่โต ถึงแม้net profitอาจจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่มาจากการขายสินค้าโดยตรง อันนี้ต้องระวังครับ
ถ้าบางปีRevenueลดลง แต่มีเหตุผลเหมาะสมก็ไม่เป็นไร
3. Net profit....ยิ่งเพิ่มขึ้นเยอะยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึง บ.ต้องทำอะไรหลายอย่าง เช่น ควบคุมวัตถุดิบ ค่าจ้าง เพิ่มยอดขาย และอื่นๆ
4. ROA, ROE ระดับ 15% ขึ้นไป
หลังจากนั้นก็จะมามองในเรื่องความคุ้มค่าที่จะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่
ข้อคิดของผมคือ.....ให้คิดแบบเจ้าของกิจการ เช่น ราคาหุ้น A = 10 Bth, EPS = 2 Bth
แล้วเราคำนวนได้ว่า EPS จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น เพิ่ม จน. สาขา, ยอดขายมากขึ้น, ส่วนแบ่งมากขึ้น, ขยายการผลิต
เฉพาะฉะนั้น ไม่เกิน 5 ปีผมก็ได้ทุนคืนมาแล้ว....แต่ก็ยังจะถือไปเรื่อยๆเพราะ
1. เงินปันผลก็เพิ่มขึ้นทุกปี จาก EPS ที่เพิ่มขึ้น
2. EPS ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นผลทำให้ราคาเพิ่มขึ้น
นี่เป็นแค่ ตย. คร่าวๆนะครับ.....สิ่งที่สำคัญที่อยากจะย้ำคือเรื่อง"การอ่านงบการเงิน"นะครับ