เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
คนอุดร
Verified User
โพสต์: 3376
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

"เล่นหุ้นปีนี้ ไม่ต้องไปไล่เก็บหุ้นเพราะกลัวตกรถไฟ รอให้ราคาลงมาเองแล้วค่อยเข้าไปช้อน แล้วค่อยๆ ซื้อ ส่วนที่เหลือให้เก็บไว้เป็นเงินสด"
ผ่านไปแล้ว 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางที่ไม่น่าไว้วางใจ เห็นวี่แววว่าการลงทุนหุ้นปีนี้ "ไม่ง่าย" และ "ผันผวนสูง" สำหรับเทคนิคการลงทุนหุ้นปีนี้ 'เสี่ยวิลลี่' วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา ..ให้ เพิ่มเติมความเสี่ยงเรื่องมาบตาพุดเข้าไป นอกเหนือจากที่ต้องจับตาการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกา และปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีทางออก

ปัจจัยเหล่านี้ถ้าจะว่าไปแล้วมีผลกระทบต่อหุ้นขนาดเล็กไม่มากนัก แต่จะส่งผลต่อภาพรวมที่ไม่สดใส เพราะฉะนั้นเทคนิคการลงทุนปีนี้  "ไม่ต้องไปไล่เก็บหุ้นเพราะกลัวตกรถไฟ รอให้ราคาลงมาเองแล้วค่อยเข้าไปช้อนแล้วค่อยๆ ซื้อ (ไม่ต้องรีบร้อน)"
สัญญาณที่จะขับเคลื่อน ตลาดให้จับตาทิศทาง "ฟันด์โฟลว์" ของต่างชาติเป็นหลัก โดยให้สังเกตจากหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ที่จะเป็นผู้นำตลาดในปีนี้

นอกจากนี้ให้จับตาดูวอลุ่มการซื้อขายของกองทุนในประเทศ หากกองทุน "ขายหุ้น" ติดต่อกันหลายวันต้องรีบเช็คข่าวทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีรีบขายหุ้นทิ้งทันที

ประการสุดท้าย ให้ดูเงินในกระเป๋าเราว่ามี "หน้าตัก" เท่าไร ส่วนตัวเวลาซื้อหุ้นจะไม่ชอบทุ่มซื้อครั้งเดียวหมด แต่จะทยอยลงทุนมากกว่า ถ้าตัวไหนมีสภาพคล่องดีก็จะลงทุนครั้งละ 10-20% ถ้าหุ้นสภาพคล่องต่ำยิ่งไปไล่ราคาไม่ได้ต้องค่อยๆ เก็บ เว้นแต่ว่าหุ้นตัวไหนมี “สตอรี่ดี” ถ้ามองแล้วมีโอกาสได้กำไรสูงก็จะลงทุนมากหน่อย

วิรัตน์ มองว่า ตลาดหุ้นปี 2553 เป็นตลาดที่เหมาะสำหรับ "การลงทุน" ส่วนตัวยังเชื่อว่าโครงการมาบตาพุดจะมีทางออกในทิศทางบวก ภาพรวมเศรษฐกิจก็มีแนวโน้มดีขึ้น สำหรับเรื่องการเมืองถ้าทุกคนเล่นอยู่ในกรอบกติกาก็ไม่น่ามีปัญหา วิธีการลงทุนที่อยากแนะนำคือควรทยอยลงทุนในหุ้นตัวเองชื่นชอบครั้งละ 10-20% ทุกไตรมาส ส่วนที่เหลือให้เก็บไว้เป็น "เงินสด" แต่ปีนี้ไม่เหมาะที่จะลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะผลตอบแทนต่ำ

ส่วนตัวก็ชะลอการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวที่พัทยา จำนวน 30 ยูนิต ราคาขาย 8-12 ล้านบาท ปัจจุบันขายได้เพียง 3 ยูนิต สำหรับโครงการกึ่งรีสอร์ทระดับ 4-5 ดาว มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเขาใกล้วัดฉลอง จังหวัดภูเก็ต และโครงการรีสอร์ท 6 ดาว จังหวัดเชียงใหม่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ที่ร่วมลงทุนกับพันธมิตร ล่าสุดอยู่ระหว่างวางโปรเจคคาดว่าจะเปิดบริการได้ภายในปี 2554 ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมที่จะเปิดบริการในปีนี้
สำหรับโครงการร้านอาหาร นครคารา ตั้งอยู่หลังห้างเอสพลานาด รัชดา เปิดบริการมาแล้ว 1 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จ ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 2 ล้านบาทต่อเดือน

"ผมทำธุรกิจนี้ไม่หวังเอากำไรมากๆ แต่ต้องการให้ธุรกิจอยู่นานๆ ตอนนี้มีแผนจะขยายสาขาใหม่แต่จะเป็นย่านใดอยู่ระหว่างการพิจารณา"

เสี่ยวิลลี่ ฝากบอกนักลงทุนหน้าใหม่ว่า พยายามค้นหา “สไตล์” การลงทุนของตัวเองให้เจอ อย่าซื้อขายหุ้นตามคนอื่น อย่างตนเองเป็นนักลงทุนประเภท High Risk..High Return ถ้าคุณเป็นคนขี้กลัวแต่มาลงทุนตาม เมื่อวันหนึ่งเกิดขาดทุนคุณจะยอมรับมันได้หรือเปล่า แต่ถ้าหาทางเดินได้เหมาะสม คุณก็จะสนุกกับการเล่นหุ้น

Tags : เสี่ยวิลลี่ • วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา  :lol:
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
ภาพประจำตัวสมาชิก
kmphol
Verified User
โพสต์: 417
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เพิ่งเคยได้ยินชื่อ เสี่ยวิลลี่ ครับ
เขาเป็น ใคร มาจากไหน ทำอะไรมาก่อนครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
killyz
Verified User
โพสต์: 409
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

kmphol เขียน:เพิ่งเคยได้ยินชื่อ เสี่ยวิลลี่ ครับ
เขาเป็น ใคร มาจากไหน ทำอะไรมาก่อนครับ
ใช่ ที่เป็นเจ้าของรายการ ร่วมกับ เสนาเปิ้ลและเสนาหอย ใช่ไหมครับ
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
Radio
Verified User
โพสต์: 1296
ผู้ติดตาม: 1

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ไม่รู้จักเป็นใครหวา ช่วยเฉลยที
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eragon
Verified User
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ลองดูแนวลงทุนของเค้าดู
ตกปลา(หุ้น)ใน'บลูโอเชี่ยน'..'วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา'

ใครจะว่าเป็นหุ้นเน่า-หุ้นไร้อนาคต-หุ้นขายฝัน ข้อด้อยของหุ้นเหล่านั้น สำหรับคน "ตาถึง" ก็ไม่ต่างจากการตกปลา (หุ้น) ใน "บลูโอเชี่ยน" High Risk ก็ High Return คนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อเหมือนคนส่วนใหญ่ "เฮียแป๊ะ" วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา นักธุรกิจพันล้าน หรือ "เสี่ยวิลลี่" เซียนหุ้น (เทิร์นอะราวด์) รายใหญ่ในตลาดหุ้น เจ้าของพอร์ตมูลค่า "หลายร้อยล้านบาท"

จุดบรรจบระหว่างนักธุรกิจและเซียนหุ้นของเขา ก็คือ เขามองหุ้นและมองธุรกิจอย่างนักลงทุน และประเมินการลงทุนอย่างนักธุรกิจ มันไม่ใช่การเก็งกำไรเพื่อหวังส่วนต่างราคาหุ้นเพียง 10-20% แต่มันคือการเดิมพัน "กำไรก้อนโต" ด้วยการจำกัดความเสี่ยงน้อยครั้ง บนโอกาส "ได้" มากกว่า "เสีย"        

วิรัตน์มีความเชื่อส่วนตัวว่า การลงทุนหุ้นเทิร์นอะราวด์ผลตอบแทนขาขึ้นมีโอกาสได้ Upside Gain มหาศาล ไม่ต่างจากการตกปลาใน "บลูโอเชี่ยน" ขึ้นกับว่าใครตาถึง  

ในปี 2552 ที่ผ่านมา วิรัตน์เป็นคนหนึ่งที่ทำผลตอบแทน "แพ้ดัชนี" (SET Index ปรับขึ้น 63%) เจ้าตัวทำกำไรได้เพียง 25% แต่เขายังไม่ทิ้งแนวทางลงทุนหุ้นเทิร์นอะราวด์ และยังเชื่อในโอกาสที่มากับวิกฤติ เกมล่าเหยื่อชิ้นโตของวิรัตน์จะมองหากิจการที่ "ตกต่ำ" (ส่วนใหญ่กิจการขาดทุน) แต่มีวี่แววฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้ในอนาคต หรือมีพันธมิตรรายใหม่และมีสตอรี่ใหม่ๆ "..เสี่ยวิลลี่ชอบ"

ในรอบปีที่ผ่านมาเขา "โกยกำไร" หุ้น 124 คอมมิวนิเคชั่นส (PR124) อย่างเป็นกอบเป็นกำ หลังยกระดับขึ้นเป็น "แกนนำ" ร่วมกับพันธมิตร (คุณากร เศรษฐี และกิ่งกาญจน์ สมิตานนท์) เจรจาซื้อหุ้นใหญ่ PR124 จากกลุ่มนิมิตร หมดราคี ในราคาหุ้นละ 0.35 บาท ก่อนที่ราคาหุ้นจะทะยานขึ้นไปหลายเท่าตัว

เช่นเดียวกับที่ประสบความสำเร็จจากหุ้นขาดทุน-ขายฝัน ดราก้อน วัน (D1) ของ "เสี่ยจี้" จเรรัฐ ปิงคลาศัย ที่บ่มเพาะสัมพันธ์กันมา 3 ปี ทนถือหุ้นนานเป็นปีก่อนจะใส่พานขายให้กับตระกูลเตชะอุบลและพันธมิตร ได้กำไรอย่างคุ้มค่า...จุดเริ่มต้นแนวคิดการตกปลาในบลูโอเชี่ยน วิรัตน์เรียนรู้เส้นทางมาจากหุ้น ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ของ "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล เข้าไปเสี่ยง "เก็บ" ช่วงที่กิจการตกต่ำและเดิมพันอัตราเสียเท่ากับ "สูญ" (เงินก้อนไม่ใหญ่ที่ลงทุน) บนเพดานกำไรที่ไร้ขีดจำกัด    

วิรัตน์ยอมรับกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ผลตอบแทนการลงทุนในปี 2552 ถือว่าพลาดเป้าอย่างแรง ทำกำไรได้เพียง 25% จากที่ควรต้องได้กำไรถึง 50% (เพราะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย) เป็นเพราะหุ้นเวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) และหุ้นเอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (MPIC) สร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าผิดหวัง จากผลกระทบเศรษฐกิจถดถอยและปัจจัยการเมืองในประเทศ แม้ว่าหุ้น MPIC จะเข้าสู่ช่วงเทิร์นอะราวด์แล้วราคาก็ยังไม่ขึ้น ถึงผลตอบแทนในปี 2552 จะไม่เข้าเป้า แต่ก็ได้กำไรจำนวนมากจากหุ้นตัวอื่นมาชดเชย โดยเฉพาะหุ้นดราก้อน วัน (D1) ที่ภูมิใจนำเสนอ

"เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ผมได้รับผลตอบแทนจากหุ้น D1 สูงถึง 50% มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 30% (ต้นทุน 0.30 บาท ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 0.85 บาท) ตอนนี้ไม่เหลือหุ้น D1 ในพอร์ตแล้ว เหลือแต่วอร์แรนท์ D1-W1 ที่รอใช้สิทธิประมาณ 30-40 ล้านหุ้น ถ้าปีนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนแล้วราคา D1 ขึ้นแตะ 1 บาท (เท่าราคาใช้สิทธิ) ก็อาจแปลงวอร์แรนท์ ซึ่งความจริงราคาหุ้นควรเกิน 1 บาท ตั้งแต่กลางปี 2552 แล้ว แต่ติดปัญหาหนี้สินดูไบเวิลด์ ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย และการเมืองในประเทศ พันธมิตรจากดูไบ จึงชะลอการลงทุนอย่างไม่มีกำหนด"

ส่วนเหตุผลที่ขายหุ้น D1 ออกไปทั้งหมด ทั้งที่ยังเชื่อมั่นในฝีไม้ลายมือการบริหารของกลุ่ม "เสี่ยไมค์" สดาวุธ เตชะอุบล เพราะได้กำไรตามเป้าหมายแล้ว (ถอยดีกว่า) ถ้ากลุ่มเตชะอุบลมีแผนธุรกิจที่น่าสนใจก็คงจะแปลงวอร์แรนท์เป็นหุ้นแม่แน่นอน

สำหรับหุ้น 124 คอมมิวนิเคชั่นส ตั้งแต่เข้าลงทุนเมื่อกลางปี 2552 ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า 100% แล้ว จากเป้าที่ตั้งไว้ตอนแรก 30% หากคิดจากราคาต้นทุน 0.35 บาท ราคาวันนี้ 0.94 บาท "กำไรเละ"

"ภายในปีนี้ ผมตั้งใจจะแปลงวอร์แรนท์ PR124-W1 (ถืออยู่ 22.25 ล้านหุ้น) เมื่อราคาแม่ขึ้นไปยืน 1.50 บาท เพราะมองว่าอนาคตของบริษัทกำลังจะดี ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ (คุณากร เศรษฐี ถือสัดส่วน 25.75%) เขามีวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก ขนาดคนที่คลุกคลีในแวดวงมีเดียยังคิดไม่ถึงเลย"

ปัจจุบัน บมจ.124 คอมมิวนิเคชั่นส อยู่ระหว่างเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรและจัดตั้งบริษัทย่อย 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส คอนซัลติ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นธุรกิจเดิม และ บริษัท เวิร์ค บาย ฮาร์ท จำกัด ประกอบธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจสื่อโฆษณา และการวางแผนสื่อแบบบูรณาการ เมื่อโครงการแอร์พอร์ตลิงค์เปิดใช้บริการบริษัทอาจได้สิทธิในการโฆษณา

เซียนหุ้นเทิร์นอะราวด์ เล่าต่อว่า สำหรับหุ้น MPIC (ปัจจุบันเป็นกรรมการบริษัทอยู่) ปีนี้เชื่อว่าจะได้กำไรจากการลงทุนกลับคืนมาแน่นอน ยังเชื่อมือ 2 ผู้บริหาร เผด็จ หงษ์ฟ้า และ วิชา พูลวรลักษณ์ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผน "เพิ่มรายรับ-ลดรายจ่าย" และมีแผนปรับ "จุดด้อย-เสริมจุดแข็ง" แต่คงให้รายละเอียดมากไม่ได้ เพราะถือเป็นคนวงใน ไม่ขาดทุนก็ถือว่าโอเคแล้ว
สำหรับหุ้น เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) ของประชา มาลีนนท์ ตัวนี้ถือว่า "เจ็บหนัก" ปีที่แล้วขาดทุนมากถึง 40% ราคาหุ้นเคยทะยานขึ้นไป 20 บาท แต่หากคิดจากราคาต้นทุน 16 บาท และราคาซื้อขายล่าสุด 11 บาท

"...ผมก็ยังเศร้าอยู่ดี"  

วิรัตน์ยังปลอบใจตัวเองว่า หุ้น WAVE จะต้องกลับมา กลุ่มมาลีนนท์คงกลับมาทำธุรกิจโทรทัศน์แบบที่ตนถนัดจากเดิมที่หลงทางเล็กน้อย ยังมองดีว่าผลประกอบการในปี 2553 จะฟื้นตัวได้ ยังไงก็ต้องถือลงทุนต่อไป และเป็นหุ้นที่ "ติด" มานานที่สุด

สำหรับวิธีการลงทุนของเซียนหุ้นรายนี้ เริ่ม "โฟกัส" และ "เฟ้น" เป้าหมายมากขึ้น จากเดิมเคยลงทุนมากกว่า 10 ตัว แต่วันนี้เหลืออยู่เพียง 5 ตัว (PR124, D1, MPIC, WAVE และ  VARO) สำหรับหุ้นวโรปกรณ์ ผู้นำเข้าอะลูมิเนียมแท่ง ตัวนี้ลงทุนมานาน 10 ปี และคงถือต่อไป เพราะเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับธุรกิจหลักของครอบครัว (หจก.โอ้ว เฮียบ เซ่ง เชียง โงว กิม ผู้ค้าสเตนเลสรายใหญ่)

ด้านแผนการลงทุนในปี 2553 ตั้งงบลงทุนหุ้นเทิร์นอะราวด์ไว้ประมาณ 100 ล้านบาท กำลังเล็งจะเข้าลงทุนหุ้น 2 บริษัท บริษัทแรกอยู่ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยจะเข้าไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ  จากนั้นจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากรับเหมาก่อสร้างมาเป็นทำพลังงานทดแทนที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยไม่ซ้ำใคร  

"ที่ผ่านมาผมอยากทำธุรกิจพลังงานทดแทนมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส แต่เมื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้นเขาพูดว่า เหนื่อยแล้วไม่อยากทำบริษัทนี้แล้ว ผมเลยถือโอกาสไปเสนอโปรเจคนี้ซึ่งเขาก็ชอบ คาดว่าภายในไตรมาส 1 ปีนี้ จะได้ความชัดเจนของดีลนี้"

ส่วนหุ้นเทิร์นอะราวด์ "อีกตัว" ตอนนี้ยังไม่มีเข้าตา คาดว่าภายในไตรมาส 2 จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่แน่หุ้นตัวที่สองอาจได้ร่วมมือกับ จเรรัฐ ปิงคลาศัย (คนปั้นหุ้น D1) อีกครั้งก็ได้ เพราะเขามักจะมีดีลดีๆ มานำเสนออยู่บ่อยๆ ส่วนจะทำได้จริง (ตามที่ชอบโม้) หรือไม่ เป็นอีกเรื่องที่ต้องมาวิเคราะห์เอาเอง

สำหรับเป้าหมายในปี 2553 วิรัตน์ มั่นใจว่า จะสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 50% ไม่น่าพลาด ประเมินจากหุ้น PR124 ที่มีกำไร "ตุน" ไว้แล้วค่อนข้างมาก บวกกับความหวังอยู่ที่หุ้นเทิร์นอะราวด์ตัวใหม่ที่ตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ไม่ต่ำกว่า 30% ผลตอบแทนรวมปีนี้ จึงน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา "ฟันธง"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eragon
Verified User
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

หรือไปดูที่นี่

http://video.aol.co.uk/video-detail/-12/1588038236
อินทรีทอง
Verified User
โพสต์: 161
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

มาเฉลยเท่าที่รู้นะครับ พื้นเพครอบครัวทำธุรกิจมาหลายสิบปีเกี่ยวกับโลหะหลายๆอย่างอยู่แถวตลาดน้อย (หจก. โอวเฮียบเซ่งเชียงโงวกิม) หลักๆก็เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสเตนเลสแผ่น เจ้าตัวลงทุนหุ้นมานานพอควรน่าจะมีสิบกว่าเกือบยี่สิบปี ขนาดพอร์ทก็ใหญ่พอควรครับ
Always stay humble or be swallowed by the market.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eragon
Verified User
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

รวยหุ้นสูตรเสี่ยวิลลี่..วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา
เต่าชนะกระต่ายเพราะ"สม่ำเสมอ-อดทน" กระต่ายแพ้เพราะ"มั่นใจ-ประมาท" ถ้าสูตรรวยหุ้นแม่นยำเหมือนในตำราคงไม่มี เสี่ยวิลลี่ "เซียนหุ้นนอกตำรา"
สูตรรวยหุ้นของ "เสี่ยวิลลี่" วิรัตน์ อุดมสินวัฒนา การเลือกหุ้นมีความยากระดับหนึ่ง การรู้จักจังหวะเข้า-ออกก็ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ยากที่สุดหาใช่สูตรที่เป็น "รูปธรรม" แต่เป็นเรื่องของความเชื่อที่ว่า ก้อนกรวดสักวันจะกลายเป็นทองคำ...หุ้นที่ไร้อนาคตคือหุ้นที่สร้างอนาคต

ความเสี่ยงที่แฝงไว้ในความเชื่อที่น้อยคนจะเชื่อกลับกลายเป็นหุ้นที่สร้างความร่ำรวยให้กับวิรัตน์ นักลงทุนมักเรียกหุ้นพวกนี้ว่า "หุ้นเน่า-หุ้นขายฝัน" แต่หุ้นเหล่านี้มักถูก "สร้างราคา" จนน่าอัศจรรย์ใจในเวลาต่อมา

สำหรับหุ้นพวกนี้วิรัตน์เรียกมันสวยหรูว่า "หุ้นเทิร์นอะราวด์" ซื้อตอนถูกๆ ไม่มีใครเห็นคุณค่า และรอขายตอนแพงๆ ตอนที่แมลงวันมารุมตอม

หุ้นตัวล่าสุดที่ทำเงินให้เสี่ยวิลลี่เป็นกอบเป็นกำคือหุ้น ดราก้อน วัน (D1) ของ "เสี่ยจี้" จเรรัฐ ปิงคลาศัย ในบัญชีผู้ถือหุ้นเขามีอยู่ถึง 61.50 ล้านหุ้นมากเป็นอันดับที่สอง (ปัจจุบันขายไปแล้วบางส่วน) ขณะที่หุ้นตัวที่สร้างชื่อเสียงให้กับวิรัตน์คือหุ้น เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (MPIC) ตั้งแต่สมัยยังเป็น ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ โฮลดิ้งส์ (TRAF) ครั้งนั้นวิรัตน์ได้กำไรไปอย่างอื้อซ่า! (เริ่มซื้อแถวๆ 1.80 บาท ก่อนจะถูกกระชากขึ้นไปทำนิวไฮ 21.90 บาท)  

"เสี่ยวิลลี่" ในตลาดหุ้นวัย 46 ปีรายนี้ มีชื่อเล่นจริงๆ ว่า "เฮียแป๊ะ" เป็นทายาทคนโต "รุ่นที่สาม" ของห้างหุ้นส่วนจำกัด โอ้วเฮียบเซ่งเชียงโงวกิม พื้นฐานครอบครัวอุดมสินวัฒนาทำธุรกิจค้าสเตนเลสมายาวนานนับ "ครึ่งศตวรรษ" ปัจจุบันเป็นผู้ค้าสเตนเลสรายใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

วิรัตน์จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ (สาขาไฟฟ้ากำลัง) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และจบโทบัญชีจุฬาฯ หลังจากคลุกคลีกับธุรกิจค้าสเตนเลสของตระกูลโดยรับผิดชอบด้านการเงิน ทำให้วิรัตน์เริ่มเห็นช่องทางเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ในฐานะผู้บริหาร "พอร์ตกงสี" และในฐานะ "ตั๊วเฮีย" ของน้องๆ อีก 2 คน คือ สมศักดิ์ และ วิเศษ อุดมสินวัฒนา  

เมื่อต้นปี 2551 วิรัตน์เคยเล่าให้ฟังว่า พอร์ตหุ้นกงสีที่ดูแลมีมูลค่าประมาณ 500-800 ล้านบาท ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ ลงทุนในหุ้นประมาณ 10-15 บริษัท ผ่านโบรกเกอร์คู่ใจ 3 แห่งหลัก ได้แก่ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) บล.ธนชาต และ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)

ประธานกรรมการบริษัท บ็อกซ์ แอสเซ็ท จำกัด เจ้าของโครงการ Box Zone @ Ratchada บริหารพื้นที่หลังห้างเอสพลานาด รัชดาฯ เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า หลังผ่านช่วงเศรษฐกิจตกต่ำรอบนี้ทำให้แนวคิดการลงทุนเปลี่ยนไปมาก เพราะช่วงที่มีปัญหาการเมืองและวิกฤติซับไพร์มจะใช้กลยุทธ์ "เข้าเร็ว-ออกเร็ว" ถือหุ้น 1 ตัวไม่เกิน 1 เดือน มีกำไร 10-15% ก็ขาย

"วันนี้ผมเปลี่ยนแนวมาเน้นลงทุนยาวตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปี และเชื่อว่าตั้งแต่ปีหน้า (2553) เป็นต้นไปทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เล่นหุ้นตอนนี้ต้องถือคติอดเปรี้ยวไว้กินหวานดีที่สุด"

วิรัตน์กล่าวถึงสูตรการลงทุนที่แตกต่างจากนักลงทุนทั่วไปและเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จมาตลอดแม้บางครั้งต้องใช้เวลาในการถือหุ้นค่อนข้างนานก็ตาม  

"ผมชอบทำอะไรสวนทางคนอื่น (แนวคิด Contrarian คือการลงทุนแบบสวนกระแส) อธิบายง่ายๆ คือ กล้าซื้อในขณะที่คนอื่นขาย และกล้าขายในตอนที่คนอื่น(แห่)ซื้อ เห็นได้จากหุ้น D1 วันนั้นแทบไม่มีใครสนใจคำพูดของ พี่จี้ (จเรรัฐ ปิงคลาศัย) จริงอยู่ผู้ชายคนนี้ชอบขายฝันพูดอะไรต้องเอา 10 หาร แต่อย่างน้อยเขาไม่มีทางทำให้ตัวเองเสียหน้าและเขาไม่มีทางโกยกำไรแบบ จุ๋มจิ๋ม ผมเกาะขบวนไปกับเขาผลสุดท้ายได้กำไรหุ้น D1 มหาศาลเลย"

บทสัมภาษณ์ครั้งก่อน วิรัตน์อธิบายสไตล์การลงทุนของตัวเองไว้ว่า ปกติจะไม่ได้เทรดหุ้นทุกวัน แต่จะเก็บเป็นจังหวะ เล่นเป็นช่วงๆ ช่วงที่ทยอยสะสมก็จะ "ซื้อเก็บ" อย่างเดียวและชอบหุ้น High Risk...High Return โดยเฉพาะ "หุ้นเทิร์นอะราวด์" เพราะผลตอบแทนขาขึ้นมีโอกาสได้ Upside Gain มหาศาล สมมติเราตั้งงบประมาณซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ 20 ล้านบาท โอกาสขาดทุนก็แค่ "ศูนย์" แต่ขาขึ้นมันไม่มีลิมิต

การลงทุนในลักษณะนี้ ในมุมมองของ วิรัตน์ เขาให้ทัศนะว่า...

"ผมมองต่างมุมว่า หุ้น TRAF (ปัจจุบันคือ MPIC) นี่แหละ คือ การตกปลาใน "บลูโอเชี่ยน" สำหรับหุ้นประเภทนี้ มีโอกาสเทิร์นอะราวด์สูง มันขึ้นกับว่าใครตาถึงและใครดวงดี คุณต้องมี 2 อย่าง (ถึงจะสำเร็จ) นั่นคือ เก่งกับเฮง"

สำหรับวันนี้ เฮียแป๊ะ บอกว่า จะขอโฟกัสหุ้นในมือแค่ 5-6 ตัว ได้แก่ ดราก้อน วัน (D1) เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (MPIC) เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) วโรปกรณ์ (VARO) ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น (TCC) และไทยง้วนเมทัล (TYM) โดยหุ้น D1 จะเป็นตัวที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ปัจจุบันได้ทยอยขายออกไปบ้างเหลือหุ้นในมือ 4.48% หลังจากกลุ่มเตชะอุบลเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่และราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก

ผมลงทุนหุ้น D1 ก็รูปแบบเดียวกับหุ้น MPIC ช่วงแรกๆ ตัวหุ้นไม่ได้น่าสนใจอะไรแต่พอมีชื่อตระกูลพูลวรลักษณ์ และเตชะอุบลเข้ามาลงทุนหุ้น 2 ตัวนี้ก็น่าสนใจขึ้นมาทันที ถ้าหุ้น D1 ลงมาแถวๆ 0.50 บาทก็จะเข้าไปเก็บเพิ่ม (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.73 บาทขึ้นมาจาก 0.11-0.12 บาท)"  
ทายาทรุ่นที่สาม หจก.โอ้วเฮียบเซ่งเชียงโงวกิม บอกอีกว่า ถึงจะเก็บหุ้น D1 เพิ่มก็จะไม่ขอเป็นกรรมการบริษัทและจะถือหุ้นตัวนี้ต่อไป เพราะมองว่าธุรกิจมีอนาคต ที่ทยอยขายออกมาบางส่วนเพราะต้องการนำเงินไปลงทุนหุ้นตัวอื่น ตอนนี้เล็งๆ หุ้นกลุ่มก่อสร้างรายใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง และหุ้นก่อสร้างอีกตัวที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เพราะไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ทนหรือไม่ทน แต่โครงการก่อสร้าง (ตามแผนไทยเข้มแข็ง 2555) ก็ต้องเดินหน้าต่อไป หุ้นกลุ่มก่อสร้าง "มาแน่นอน" (รีบเก็บตอนนี้ราคายังถูก)

สำหรับหุ้นเวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (ของ ประชา มาลีนนท์) ปัจจุบันถืออยู่ 5.83% เฉลี่ยต้นทุนราวๆ 10 บาทต่อหุ้น (ราคาตลาด 13.60 บาท) เท่าที่รู้กลุ่มมาลีนนท์กำลังวางโครงสร้างธุรกิจใหม่ทั้งหมดคาดว่าไม่นานคงมีข่าวดี

"ส่วนตัววโรปกรณ์ (VARO) ผู้นำเข้าอะลูมิเนียมแท่งก็เป็นอีกตัวที่ผมจะลงทุนต่อไป ตัวนี้ลงทุนมานาน 10 ปี (ลงทุนทั้ง 3 พี่น้อง) เหตุผลที่ชอบเป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มโลหะ ที่สำคัญธุรกิจอะลูมิเนียมจะเป็นเครื่องชี้วัดอุตสาหกรรมโลหะได้เป็นอย่างดี และยังสอดคล้องกับธุรกิจหลักของครอบครัว"

วิรัตน์อธิบายถึงหุ้นไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น (TCC) ตัวนี้อาจจะเป็น "เพชรในตม" อีกตัวหลังบริษัทเปลี่ยนมาทำธุรกิจถ่านหินและให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ หุ้นตัวนี้ถือลงทุนมา 1 ปีแล้ว ปัจจุบันเหลือหุ้นประมาณ 1% มีต้นทุน 0.80-2 บาท

สำหรับตัวไทยง้วนเมทัล (TYM) วันนี้มีอยู่ 0.77% คาดว่าจะถือลงทุนต่อไปหรืออาจซื้อเพิ่มเติม เพราะได้ยินมาว่ากลุ่มจิระพงษ์ตระกูลเขาสนใจจะลงทุนทำโรงงานเอทานอล ถ้าอดใจรออีกนิดคิดว่าได้กำไรแน่นอน นอกจากนี้ทายาทรุ่นที่สามของตระกูลค้าสเตนเลสเก่าแก่ ยังบอกอีกว่า สนใจลงทุนด้านอื่นๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันได้เช่าพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร เพื่อทำโครงการ Box Zone @ Ratchada หลังโรงภาพยนตร์เอสพลานาด เดิมตั้งใจจะทำเป็นชอปปิงโซนเหมือนที่เมเจอร์ฯ รัชโยธิน แต่ไม่เวิร์ค เพราะทำเลไม่โดนใจวัยรุ่น

"ผมเลยตัดสินใจแบ่งพื้น 1,000 ตารางเมตร มาทำร้านอาหารสูตรไทยโบราณ และห้องคาราโอเกะภายใต้ชื่อ นครคารา ลงทุน 20 ล้านบาท เปิดมาแล้ว 2-3 เดือน เสียงตอบรับค่อนข้างดี ส่วนพื้นที่อีก 2,000 ตารางเมตร จะแบ่งให้เช่าทำสปาหรือผับ คาดว่าจะเริ่มในปีหน้า"

นอกจากนั้น เมื่อปีกว่าที่ผ่านมาได้เทคโอเวอร์โครงการบ้านเดี่ยวที่พัทยามาบริหาร จำนวน 30 ยูนิต มูลค่า 100 ล้านบาท ลงทุนเพิ่มเติมอีก 20 ล้านบาท ตอนนี้ขายได้แล้ว 2-3 ยูนิต ราคาขายหลังละ 8-12 ล้านบาท โอนให้ลูกค้าแล้ว 1 ยูนิต

"ปีนี้ ผมคงไม่หวังยอดขาย เพราะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยโครงการนี้ลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ คาดว่าจะเริ่มรุกการขายอย่างจริงจังตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป"

นอกจากนี้ ได้ลงทุนซื้อที่ดินเปล่าบนเขาใกล้วัดฉลอง (วัดหลวงพ่อแช่ม) ที่จังหวัดภูเก็ต พื้นที่ 40 ไร่ และที่เชียงใหม่ ติดแม่น้ำปิงอีก 30 ไร่ คาดว่าจะนำที่ดินจังหวัดภูเก็ตไปทำโครงการกึ่งรีสอร์ทระดับ 4-5 ดาว มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่ดินที่เชียงใหม่ อาจทำเป็นรีสอร์ท 6 ดาว โครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะทำร่วมกับพันธมิตร อาจเริ่มลงมือทำในปีหน้า

วิรัตน์ แจกแจงให้ฟังว่า มูลค่าการลงทุนของตระกูลอุดมสินวัฒนาทั้งในส่วนของหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนหุ้นประมาณ 500 ล้านบาท ที่เหลือเป็นในส่วนของอสังหาริมทรัพย์และที่ดินเปล่า

ปีนี้ ผมมองว่ายังไม่เหมาะที่จะควักเงินลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังไม่ผ่านจุดต่ำสุด แต่ระหว่างนี้ได้เตรียมแนวทางไว้หมดแล้ว วันที่มั่นใจว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจริงๆ ก็จะเริ่มเดินหน้าทันที"

วิรัตน์มีหลักยึดเรื่องการลงทุนไว้เสมอว่า...จะไม่ลงทุนอะไรที่เกินตัว และลงทุนในสิ่งที่ไม่คุ้มค่า เพื่อรักษาทรัพย์สมบัติให้สืบต่อไปในฐานะผู้นำรุ่นที่สามของห้างโอ้วเฮียบเซ่งเชียงโงวกิม
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B2.html
Radio
Verified User
โพสต์: 1296
ผู้ติดตาม: 1

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมคิดว่าถ้าใครมีPort หลายร้อยล้าน และมี Connection
กับเซียนหุ้น(ที่รวยเร็วๆ)ในตลาดหลักทรัพย์ และไม่กลัว
กตล. ก็สมควรเล่นหุ้นแบบเขา  แต่เราๆท่านๆ Port
กระจ้อยร่อย อย่าเสี่ยงดีกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eragon
Verified User
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

เล่นหุ้นปีนี้ 'อย่าไล่-รอร่วง' ค่อยๆ ซื้อ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

มีใครซื้อหุ้นตัวเดียวกับเค้ามั่งเนี่ย
โพสต์โพสต์