เงินยูโร เริ่มใช้วันที่ 1 กรกฎาคม คศ.1999 คือ สกุลเงินที่ประเทศในเขตยูโรโซนปัจจุบันมีถึง 16 ประเทศ ตัดสินใจนำใช้เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าขายโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างๆ ในเขตยูโรโซน สกุลเงินนี้ครอบคลุมประชากรถึงเกือบ 500 ล้านคน และ มีขนาดของเศรษฐกิจราว 18 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ใหญ่กว่าประเทศอเมริกาเสียอีก แต่เมื่อใช้มาได้ราว 10 ปีเราเริ่มได้เห็นถึง ด้านมืด ของการใช้เงินสกุลเดียวชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อฟิตซ์ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของ กรีซ ลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ A- เป็นการลดระดับความน่าเชื่อถือในรอบ 10 ปี และ เป็นครั้งแรกของกรีซที่ถูกลดระดับลงต่ำกว่า A นอกจากนี้ S&P ยังให้มุมมอง เชิงลบ จาก ทรงตัว ต่อประเทศสเปนอีกด้วย หลังจากปรับลดเครดิตจาก AAA เป็น AA+ มาตั้งแต่ต้นปีเดือน มกราคม
ทำไมประเทศที่ดูเหมือนแข็งแกร่งเหล่านี้จึงได้ประสบปัญหาในเรื่องของเครดิตได้ เมื่อมองย้อนหลังไปดูก็จะพบว่าวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไม่ใหญ่นัก มักจะมีต้นเหตุหลักมาจาก ระบบอัตราแลกเปลี่ยน นั่นเอง โดยเฉพาะการปล่อยให้ค่าเงินมีค่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นนานเกินไป ทำให้เกิดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงและต่อเนื่องหลายปี และ ในที่สุดความเชื่อมั่นก็ถดถอยจนเกิดการถอนเงินตราต่างประเทศออกอย่างเร็ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดกับประเทศเม็กซิโก ในปี คศ.1994 ประเทศไทย (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ในปี คศ.1997 และ ประเทศอาร์เจนตินา ในปี 2002
ค่าเงินยูโรได้แข็งขึ้นอย่างเร็วจากระดับ 1 ยูโร ราว 0.8 ดอลลาร์ในปี คศ.2002 เป็น 1.6 ดอลลาร์ ในปี 2008 ได้เพิ่ม GDP ของประเทศในกลุ่มนี้ให้สูงขึ้นอย่างมาก โดยประเทศกรีซ และ สเปน มี GDP ที่สูงขึ้นกว่า 150% คิดตามเหรียญ สรอ. ในระยะเวลา 7 ปี จนถึงปี 2008 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่สูงมากๆ เมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเติบโตขึ้นราว 40% เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี ค่าเงินที่แข็งค่าอย่างเร็วนี้ได้ทำให้ความสามารถแข่งขันในการส่งออก และท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ประชาชนมีกำลังซื้อสูงขึ้นเกิดการนำเข้าสินค้าต่างๆ เข้ามามากมาย จนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอย่างหนักเป็นสัดส่วนถึงกว่า 10% GDP สำหรับประเทศกรีซ ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้ว และ สำหรับประเทศสเปน ก็ขาดดุลมากกว่า 7% มานาน 4 ปีแล้วเช่นกัน ในขณะที่ประเทศแกนกลางของเขตยูโร อย่าง ออสเตรีย เยอรมัน และ ฝรั่งเศส กลับไม่พบกับปัญหานี้
ประเทศริมขอบของเขตยูโร อย่าง กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และ สเปน ต่างก็ต้องประสบกับปัญหาการที่ต้องพยายามประคองเศรษฐกิจให้ได้ ภายใต้สภาวะที่ค่าเงินยูโรแข็งค่า ประเทศเหล่านี้ได้ติด กับดักเงินยูโร เข้าแล้วโดยต้องประสบกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างสูง เพราะ ค่าเงินยูโรนี้จะเคลื่อนไหวอิงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่กว่าอย่าง เยอรมัน และ ฝรั่งเศส เป็นหลัก นอกจากนี้ค่าเงินยูโรยังถูกซื้อเพื่อนำไปเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อทดแทนเงินดอลลาร์ซึ่งมีความเสี่ยงของการอ่อนค่า
หากเป็นประเทศอย่าง เม็กซิโก ไทย หรืออาร์เจนตินา ก็คือ การปล่อยให้ค่าเงินอ่อนลงอย่างเร็ว และ ดึงสมดุลการค้าให้กลับคืนมา เศรษฐกิจจะตกต่ำไปราว 2-3 ปี จากนั้นก็เริ่มยืนได้และเดินหน้าต่อไป แต่สำหรับประเทศริมขอบยูโรโซนเหล่านี้ ใช้ค่าเงินยูโรอยู่แล้ว จะลดค่าลงมาก็ไม่ได้ จะมีทางออกที่สวยงามสำหรับประเทศเหล่านี้หรือไม่
1. กลับไปใช้เงินตราสกุลดั้งเดิมก่อนใช้ยูโร ก็คือยอมแพ้ไม่สามารถเกาะค่าเงินตาม ยูโร ไปได้ ปล่อยให้ค่าเงินอ่อนลง เพื่อดึงสมดุลการค้ากลับมา
2. รวมตัวกันจัดตั้งเงินสกุลใหม่ ผมขอใช้ชื่อ ยูร่า (EURA) ก็แล้วกัน เป็นค่าเงินที่จะอ่อนค่ากว่า ยูโร เพื่อให้ประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งนัก มีเงินเฟ้อ และ อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าประเทศเยอรมัน ได้มาเลือกใช้กัน ตอนแรกอาจปรับค่าให้ต่ำกว่า ยูโรราว 10% จากนั้นก็ปล่อยให้ซื้อขายกันได้อิสระตามตลาด ประเทศที่แข็งแกร่งทีม A ก็ใช้ ยูโร กันไป ส่วนประเทศที่พื้นฐานไม่ค่อยไหว ก็เลือกมาใช้ ยูร่า แทน ประเทศอังกฤษก็อาจสนใจเข้าร่วมในเครือข่ายนี้ด้วยก็เป็นได้
ระบบเงินสกุลเดียวที่เคยดูเหมือนจะสดในในอดีต เมื่อใช้มาย่างเข้าปีที่ 10 เริ่มพบว่ามี ด้านมืด แล้ว สำหรับเอเชียก็เช่นกัน ไม่ควรนำแนวคิดเงินสกุลเดียวมาใช้เลย เพราะ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และดุลบัญชีเดินสะพัด
สำหรับประเทศริมขอบยูโรโซนนั้น ก็ต้องคอยติดตามดูว่า พวกเขาจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อให้หลุดพ้นจาก กับดักเงินยูโร ไปได้ ซึ่งหากบริหารจัดการแก้ไขปัญหาไม่ดีนัก ก็อาจกระทบต่อการส่งออก การท่องเที่ยว ของประเทศไทยได้ครับ
