แก้ไขหนี้นอกระบบ ระวังพบหายนะ
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2009 11:32 am
มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่รัฐบาลจะเข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ติดหนี้สินนอกระบบ โดยเปิดให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1-31 ธ.ค.นี้ โดยมีเงื่อนไขให้มีหนี้สินไม่เกินคนละ 2 แสนบาท ธนาคารออมสิน และ ธกส. เป็นผู้รับหน้าที่ปล่อยกู้เพื่อแปลงหนี้เข้าในระบบ
โดยคาดการณ์กันไว้ว่าจะมีผู้เข้าจดทะเบียนถึง 1 ล้านคนซึ่งจะช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาหนี้สินนอกระบบให้ได้รับความเป็นธรรม สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่รับรีไฟแนนซ์จากเจ้าหนี้นอกระบบนั้น ธนาคารออมสินจะคิดที่ 0.5% ต่อเดือน ขณะที่ ธกส.จะคิดที่ 6.75% ต่อปี ซึ่งก็ถือได้ว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบซึ่งมักจะสูงกว่า 10% ต่อเดือนขึ้นไป
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งอยู่ 4 ประเด็นของ หนี้ ก็คือ
1. หนี้ปลอม : ซึ่งเป็นการวางแผนร่วมระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ปลอมๆ โดยไม่ได้ติดหนี้สินกันจริงๆ แต่ทำสัญญาเงินกู้กันขึ้นมา แล้วให้ลูกหนี้ปลอมนั้นไปกู้ยืมเงินตามโครงการนี้ ได้เงินมา 2 แสนบาท แบ่งเงินกันคนละครึ่ง จากนั้นก็เบี้ยวหนี้ธนาคารของรัฐไปเลยตั้งแต่งวดแรก ดังนั้น 2 คนซึ่งเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ปลอมก็แบ่งเงินไปคนละ 1 แสน แต่ความเสียหายหรือหนี้เสียนี้จะเกิดกับธนาคารออมสิน และ ธกส. ซึ่งจะตกมาเป็นภาระของงบประมาณรัฐบาลในที่สุด
2. หนี้พนัน : หนี้สินจำนวนไม่น้อยเกิดจากการเล่นพนัน และ นำไปซื้อสินค้าอบายมุขทั้งเหล้า หรือ ยาเสพติดต่างๆ การนำเงินของภาครัฐซึ่งเป็นเงินของคนทั้งประเทศไปให้กู้ด้วยต้นทุนต่ำๆ เพื่อช่วยบุคคลกลุ่มนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
3. หนี้ฟุ้งเฟ้อ : บางคนก็อาจเห็นว่านี่เป็นช่องทางหนึ่งซึ่งจะได้เงินของรัฐบาลมาง่ายๆ โดยไม่เกิดผลเสียหายหากจะเบี้ยวหนี้ในอนาคต โดยหนี้ที่พวกเขาก่อขึ้นเกิดจากการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่ฟุ่มเฟือยเกินตัว สุดท้ายแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถผ่อนชำระคืนหนี้สินได้อยู่ดี น่าคิดเป็นอย่างยิ่งเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่จะช่วยคนกลุ่มนี้
4. หนี้บิดเบือน : บางคนติดหนี้ในระบบอยู่ แต่เริ่มผ่อนไม่ค่อยไหว จึงคิดเปลี่ยนมาเข้าโครงการนี้แทน เพราะ ดอกเบี้ยต่ำลงมาก จึงให้เพื่อนสนิทเป็นเจ้าหนี้นอกระบบทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ได้เงินมาผ่อนกับโครงการนี้แทน นี่จึงเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด เพราะ ปกติสินเชื่อไร้หลักประกันเช่นนี้หากปล่อยให้กับคนรากหญ้าซึ่งไร้แหล่งทำงานชัดเจน ควรจะมีระดับที่สูงกว่าสินเชื่อในระบบปล่อยให้คนทำงานซึ่งอยู่ระดับ 28 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่โครงการนี้คิดแค่ 6.75 % ต่อปีเท่านั้นเอง อาจมีหนี้ในระบบย้ายมาเข้าโครงการนี้หลายหมื่นล้าน
5. หนี้เสีย : บทสรุปก็คือ เราจะประเมินความเสียหายจากอัตราการเกิดหนี้เสียของโครงการนี้ได้อย่างไร หากอัตราการเกิดหนี้เสียไม่ถึง 1% คล้ายกรณี กรุงไทยธนวัฏ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งเพราะน่าจะช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มนี้ให้ได้รับความเป็นธรรม แต่โอกาสที่เกิดหนี้เสียแบบธนาคารประชาชนซึ่งสูงกว่า 20% น่าจะเป็นไปได้มากกว่า นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจเพราะสุดท้ายแล้วหนี้เสียเหล่านี้ไปจะกัดกินส่วนทุนของธนาคารรัฐ สั่นคลอนความแข็งแกร่งของธนาคารออมสิน และ ธกส.ได้ โดยสุดท้ายแล้วรัฐบาลอาจจำเป็นต้องเพิ่มทุนให้อีกเป็นจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท
การแก้ไขปัญหาหนี้สินนั้นเป็นเรื่องที่ควรกระทำ แต่ผมคิดว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการแบบเสี่ยงมากจนเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อภาระการคลังได้สูงมากในอนาคต
เหตุใดรัฐบาลจึงไม่คิดจะนำ เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก ซึ่งใช้หลักการยืมพลังมาใช้ ที่จริงแล้วประชากรในกลุ่มประกันสังคมนั้นมีเงินออมในกองทุนประกันสังคมอยู่แล้ว แค่ยืมพลังนั้นมาใช้ก็เป็นเงินหลายแสนล้านบาทซึ่งใช้แก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบไปได้มากแล้ว
โดยแนวคิด สินเชื่อ99 ซึ่งเป็น 1 ใน 18 กระบวนท่า เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก นั้นได้เขียนไว้ว่า เป็นสินเชื่อซึ่งให้ผู้ประกันตน และ สมาชิก ของ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กบข. สามารถยืมเงินผ่านธนาคารของรัฐ (ออมสิน กรุงไทย ธกส. เป็นต้น) ในอัตราดอกเบี้ย 9 เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยแบงก์รัฐได้รับ 6% สปส.หรือ กบข.ได้รับ 1.5% ต่อปี และ รัฐบาลได้ค่าธรรมเนียม 1.5% ต่อปีเป็นรายได้เข้าคลัง จึงได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า
ให้ สปส. บลจ. และ กบข. เป็นผู้ค้ำประกันไม่เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเงินออมแต่ละบุคคล ด้วยวิธีง่ายๆ เช่นนี้สามารถมีเงินไหลออกมาเป็นสินเชื่อได้ถึง 9 แสนล้าน (จากยอดเงินบำนาญทั้งหมด 1.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะช่วยเหลือประชากรได้ถึง 9 ล้านครอบครัว (เมื่อรวมญาติสนิทของผู้ประกันตน และ ข้าราชการรายได้น้อยด้วย) ได้เงินสินเชื่อภายในเวลาไม่เกิน 9 วันเท่านั้นเอง
วิธีนี้จะสามารถป้องกันหนี้เสียได้ เพราะว่าหากใครเบี้ยวไม่จ่ายดอกเบี้ย 3 เดือนติดกัน ก็สามารถตัดยอดจากเงินออมของบุคคลนั้นได้เลย ความเสี่ยงของสินเชื่อโครงการนี้จึงไม่มีเลยแม้แต่น้อย
แนวคิดแบบนี้น่าจะยุติธรรมกว่ามาก มันเป็นเงินของผู้ประกันตน และ สมาชิกกองทุนบำนาญอยู่แล้ว ยืมเงินตนเองออกมาก่อนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินดอกเบี้ยโหด ในระบบปัจจุบันมือข้างหนึ่งถูกบังคับให้ออมเงินได้ผลตอบแทนราว 5% ต่อปี ส่วนมืออีกข้างต้องไปกู้ยืมเงินยอดเดียวกันนอกระบบด้วยดอกเบี้ยสูงถึง 120% ต่อปี เวลายิ่งผ่านไปยิ่งทำให้จนลงๆ และ ติดหนี้สินเพิ่มขึ้นตลอด ด้วยวิธีนี้ไม่ต้องมาลงทะเบียนว่าใครจนบ้าง ใครติดหนี้เท่าไหร่บ้าง ไม่ต้องเสียเวลาคุยประนอมหนี้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของลูกหนี้จะไปคุยเอาเอง สปส. และ กบข. มีข้อมูลอยู่แล้วว่าใครมีเงินออมอยู่เท่าใดประกันเงินกู้ให้ไม่เกิน 9 ส่วนของยอดนั้น เมื่อผู้ประกันตนเดินไปแบงก์รัฐทำเรื่องขอสินเชื่อ ภายใน 9 วัน รอรับเงินได้เลย
แนวคิดนี้น่าจะสามารถช่วยเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้สูงกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้าได้อย่างไม่ยากนัก เพราะเงินสินเชื่อนี้จะไปหมุนเศรษฐกิจได้อีกหลายรอบ แรงงานในระบบจะสามารถประหยัดดอกเบี้ยจ่ายไปได้มาก จึงสามารถนำเงินที่เหลือไปใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยอาจเหลือเงินออมได้อีกด้วย
ต่อคำถามที่ว่า จะแก้ไขปัญหาความยากจนและหนี้สินของคนครึ่งประเทศภายในครึ่งเดือนได้อย่างไร ผมคิดว่าแนวคิดข้างต้นอาจเป็นคำตอบนั้น ผมขอฝากรัฐบาลนำเรื่องนี้ไปคิดพิจารณาเพื่อสร้างระบบยุติธรรมต่อผู้ประกันตนและประชาชนด้วยครับ
โดยคาดการณ์กันไว้ว่าจะมีผู้เข้าจดทะเบียนถึง 1 ล้านคนซึ่งจะช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาหนี้สินนอกระบบให้ได้รับความเป็นธรรม สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่รับรีไฟแนนซ์จากเจ้าหนี้นอกระบบนั้น ธนาคารออมสินจะคิดที่ 0.5% ต่อเดือน ขณะที่ ธกส.จะคิดที่ 6.75% ต่อปี ซึ่งก็ถือได้ว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบซึ่งมักจะสูงกว่า 10% ต่อเดือนขึ้นไป
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งอยู่ 4 ประเด็นของ หนี้ ก็คือ
1. หนี้ปลอม : ซึ่งเป็นการวางแผนร่วมระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ปลอมๆ โดยไม่ได้ติดหนี้สินกันจริงๆ แต่ทำสัญญาเงินกู้กันขึ้นมา แล้วให้ลูกหนี้ปลอมนั้นไปกู้ยืมเงินตามโครงการนี้ ได้เงินมา 2 แสนบาท แบ่งเงินกันคนละครึ่ง จากนั้นก็เบี้ยวหนี้ธนาคารของรัฐไปเลยตั้งแต่งวดแรก ดังนั้น 2 คนซึ่งเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ปลอมก็แบ่งเงินไปคนละ 1 แสน แต่ความเสียหายหรือหนี้เสียนี้จะเกิดกับธนาคารออมสิน และ ธกส. ซึ่งจะตกมาเป็นภาระของงบประมาณรัฐบาลในที่สุด
2. หนี้พนัน : หนี้สินจำนวนไม่น้อยเกิดจากการเล่นพนัน และ นำไปซื้อสินค้าอบายมุขทั้งเหล้า หรือ ยาเสพติดต่างๆ การนำเงินของภาครัฐซึ่งเป็นเงินของคนทั้งประเทศไปให้กู้ด้วยต้นทุนต่ำๆ เพื่อช่วยบุคคลกลุ่มนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
3. หนี้ฟุ้งเฟ้อ : บางคนก็อาจเห็นว่านี่เป็นช่องทางหนึ่งซึ่งจะได้เงินของรัฐบาลมาง่ายๆ โดยไม่เกิดผลเสียหายหากจะเบี้ยวหนี้ในอนาคต โดยหนี้ที่พวกเขาก่อขึ้นเกิดจากการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่ฟุ่มเฟือยเกินตัว สุดท้ายแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถผ่อนชำระคืนหนี้สินได้อยู่ดี น่าคิดเป็นอย่างยิ่งเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่จะช่วยคนกลุ่มนี้
4. หนี้บิดเบือน : บางคนติดหนี้ในระบบอยู่ แต่เริ่มผ่อนไม่ค่อยไหว จึงคิดเปลี่ยนมาเข้าโครงการนี้แทน เพราะ ดอกเบี้ยต่ำลงมาก จึงให้เพื่อนสนิทเป็นเจ้าหนี้นอกระบบทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ได้เงินมาผ่อนกับโครงการนี้แทน นี่จึงเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด เพราะ ปกติสินเชื่อไร้หลักประกันเช่นนี้หากปล่อยให้กับคนรากหญ้าซึ่งไร้แหล่งทำงานชัดเจน ควรจะมีระดับที่สูงกว่าสินเชื่อในระบบปล่อยให้คนทำงานซึ่งอยู่ระดับ 28 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่โครงการนี้คิดแค่ 6.75 % ต่อปีเท่านั้นเอง อาจมีหนี้ในระบบย้ายมาเข้าโครงการนี้หลายหมื่นล้าน
5. หนี้เสีย : บทสรุปก็คือ เราจะประเมินความเสียหายจากอัตราการเกิดหนี้เสียของโครงการนี้ได้อย่างไร หากอัตราการเกิดหนี้เสียไม่ถึง 1% คล้ายกรณี กรุงไทยธนวัฏ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งเพราะน่าจะช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มนี้ให้ได้รับความเป็นธรรม แต่โอกาสที่เกิดหนี้เสียแบบธนาคารประชาชนซึ่งสูงกว่า 20% น่าจะเป็นไปได้มากกว่า นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจเพราะสุดท้ายแล้วหนี้เสียเหล่านี้ไปจะกัดกินส่วนทุนของธนาคารรัฐ สั่นคลอนความแข็งแกร่งของธนาคารออมสิน และ ธกส.ได้ โดยสุดท้ายแล้วรัฐบาลอาจจำเป็นต้องเพิ่มทุนให้อีกเป็นจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท
การแก้ไขปัญหาหนี้สินนั้นเป็นเรื่องที่ควรกระทำ แต่ผมคิดว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการแบบเสี่ยงมากจนเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อภาระการคลังได้สูงมากในอนาคต
เหตุใดรัฐบาลจึงไม่คิดจะนำ เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก ซึ่งใช้หลักการยืมพลังมาใช้ ที่จริงแล้วประชากรในกลุ่มประกันสังคมนั้นมีเงินออมในกองทุนประกันสังคมอยู่แล้ว แค่ยืมพลังนั้นมาใช้ก็เป็นเงินหลายแสนล้านบาทซึ่งใช้แก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบไปได้มากแล้ว
โดยแนวคิด สินเชื่อ99 ซึ่งเป็น 1 ใน 18 กระบวนท่า เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก นั้นได้เขียนไว้ว่า เป็นสินเชื่อซึ่งให้ผู้ประกันตน และ สมาชิก ของ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กบข. สามารถยืมเงินผ่านธนาคารของรัฐ (ออมสิน กรุงไทย ธกส. เป็นต้น) ในอัตราดอกเบี้ย 9 เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยแบงก์รัฐได้รับ 6% สปส.หรือ กบข.ได้รับ 1.5% ต่อปี และ รัฐบาลได้ค่าธรรมเนียม 1.5% ต่อปีเป็นรายได้เข้าคลัง จึงได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า
ให้ สปส. บลจ. และ กบข. เป็นผู้ค้ำประกันไม่เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเงินออมแต่ละบุคคล ด้วยวิธีง่ายๆ เช่นนี้สามารถมีเงินไหลออกมาเป็นสินเชื่อได้ถึง 9 แสนล้าน (จากยอดเงินบำนาญทั้งหมด 1.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะช่วยเหลือประชากรได้ถึง 9 ล้านครอบครัว (เมื่อรวมญาติสนิทของผู้ประกันตน และ ข้าราชการรายได้น้อยด้วย) ได้เงินสินเชื่อภายในเวลาไม่เกิน 9 วันเท่านั้นเอง
วิธีนี้จะสามารถป้องกันหนี้เสียได้ เพราะว่าหากใครเบี้ยวไม่จ่ายดอกเบี้ย 3 เดือนติดกัน ก็สามารถตัดยอดจากเงินออมของบุคคลนั้นได้เลย ความเสี่ยงของสินเชื่อโครงการนี้จึงไม่มีเลยแม้แต่น้อย
แนวคิดแบบนี้น่าจะยุติธรรมกว่ามาก มันเป็นเงินของผู้ประกันตน และ สมาชิกกองทุนบำนาญอยู่แล้ว ยืมเงินตนเองออกมาก่อนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินดอกเบี้ยโหด ในระบบปัจจุบันมือข้างหนึ่งถูกบังคับให้ออมเงินได้ผลตอบแทนราว 5% ต่อปี ส่วนมืออีกข้างต้องไปกู้ยืมเงินยอดเดียวกันนอกระบบด้วยดอกเบี้ยสูงถึง 120% ต่อปี เวลายิ่งผ่านไปยิ่งทำให้จนลงๆ และ ติดหนี้สินเพิ่มขึ้นตลอด ด้วยวิธีนี้ไม่ต้องมาลงทะเบียนว่าใครจนบ้าง ใครติดหนี้เท่าไหร่บ้าง ไม่ต้องเสียเวลาคุยประนอมหนี้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของลูกหนี้จะไปคุยเอาเอง สปส. และ กบข. มีข้อมูลอยู่แล้วว่าใครมีเงินออมอยู่เท่าใดประกันเงินกู้ให้ไม่เกิน 9 ส่วนของยอดนั้น เมื่อผู้ประกันตนเดินไปแบงก์รัฐทำเรื่องขอสินเชื่อ ภายใน 9 วัน รอรับเงินได้เลย
แนวคิดนี้น่าจะสามารถช่วยเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้สูงกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้าได้อย่างไม่ยากนัก เพราะเงินสินเชื่อนี้จะไปหมุนเศรษฐกิจได้อีกหลายรอบ แรงงานในระบบจะสามารถประหยัดดอกเบี้ยจ่ายไปได้มาก จึงสามารถนำเงินที่เหลือไปใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยอาจเหลือเงินออมได้อีกด้วย
ต่อคำถามที่ว่า จะแก้ไขปัญหาความยากจนและหนี้สินของคนครึ่งประเทศภายในครึ่งเดือนได้อย่างไร ผมคิดว่าแนวคิดข้างต้นอาจเป็นคำตอบนั้น ผมขอฝากรัฐบาลนำเรื่องนี้ไปคิดพิจารณาเพื่อสร้างระบบยุติธรรมต่อผู้ประกันตนและประชาชนด้วยครับ