
สวัสดีครับ.....
"Invest first, investigate later"
Soros
ข้างบนนี้เปน คำพิพากษา ไม่ใช่สมมุติฐาน
สมมุติฐาน มาก่อนคำพิพากษา ส่วนสิ่งที่ก่อนสมมุติฐาน คือ สัณชาติญาณ
ผมเคยลองใช้กับ MINT สร้างสมมุติฐานขั้นมา แล้ว Invest first, investigate later ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ
คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ผมทำไม่บ่อยครับ
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสินใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
แล้วนี่ละครับ .....
กฎขอที่ 1 อย่าขาดทุน
กฎข้อที่ 2 อย่าลืมกฎข้อที่ 1
คำอธิบายที่อยู๋หลังกฎเหล่านี้เปนอย่างไร มันมีอะไรมากกว่านี้เยอะ
นี่ต้องคิดถึง วอเรน บัฟเฟต เขาอธิบายว่าทำอย่างไร เอ้ยยยย ตัวเขาเองปีนี้ยังขาดทุนเลยนี่
มีใครช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยนะครับ ว่าสิ่งที่พูดข้างบนนี้ ทำอย่างไร
สำหรับผม ถ้าไม่อยากขาดทุน ก็ไม่ต้องลงทุน...จบข่าวเลย 555555
ตอนเช้าไปตลาด ปิดจมุกกันหมด จะว่าไปจมุกคนไม่เคยลาพักเที่ยง จมุกไม่เคยลาพักร้อน จมุกไม่เคยลาหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้ามันขอลาพักครี่งวัน ขาดลมหายใจเพียงครั้งเดียว เสร็จแน่....ไม่ว่าคนเราจะอาการหนักแค่ไหน มันไม่เคยหยุดทำงานเลย ร่างกายเราไม่เคยหยุด ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้า "ขาดทุน" มันมีตัวตน มันก็ทำหน้าที่ของมัน หน้าที่ทำให้คนขาดทุน เหมือนตำรวจ เพื่อนผมโดนจับเรื่องขับรถ โดนแล้วทำโกรธใส่เขา หาว่าเขามาจ้องจับมัน ผมบอกไปว่า นั่นอาชีพเขา เขามีอาชีพจับคนผิด ไปว่าเขาทำไม ถ้ายอมรับ ว่ามีคนคอยจับเราทำผิด เราจะได้ระวังกาย ใจ วาจา ของเราให้ดี จะได้ไม่ทำผิด
"อย่าขาดทุน" กฎนี้ปมไม่เคยเชื่อเลย มันไม่ใช่กฎด้วยซ้ำ มันเปนแค่ สมมุติฐาน มันไม่ใช่การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ มันมีอย่างอื่นอีกด้วย
ผมยอมรับทุกวัน ผมมองไปที่วันนี้จะขาดทุนเท่าไร ผมยอมรับเรื่องนี้ แล้วสบายใจมากว่าเยอะ ไม่มีใครไม่ทำผิด อยู๋ที่ว่าเราผิดแล้ว เราจะแก้อย่างไรต่างหาก ไม่มีใครไม่ขาดทุน ขาดทุนแล้ส จะทำอย่างไรให้อยู่รอด คิดไปสองสามขั้น ข้างหน้า ไม่ใช่หนีการขาดทุน ขอโทษนะครับ พุดก็พูดเถอะครับ ผมเปนคนพุดตรง ปากกับใจตรงกัน ถ้าใจหมา ปากก็หมาด้วย 555555 ผมว่า กฎนี้ stupid มาก ๆ ถ้ายอมรับโดยไม่รูจักคิด
อาชีพนักลงทุนประจำอย่างผม ผมว่ามันหิน....
วันไหนพอร์ตติดลบ กลับบ้านมานั่งจมอยู่กับมัน ยอมรับมัน แก้ไขอย่างไร ผืดตรงไหน จำไว้อย่าผิดอีก มันเรื่องของใจล้วนๆ ถ้ามันง่าย ๆ คงเหนคนอื่นมาทำอาชีพนี้เปนงานประจำกันหมดแล้ว ตลาดปิดการเคลื่อนไหวไปแล้ว ใจมันยังเคลื่อนไหวอยู่เลย ถามตัวเอง ตัวเรานี่มีทฤษฎีการลงทุนที่ยอดเยี่ยม แต่มี ทฤษฎีชีวิต ที่ถุกแล้วหรือยัง นี่เราแสร้งวิเคราะห์ไปต่างๆ นา ๆ แม้แต่ตัวเองบางทียังเชื่อ ความสำเร็จที่ผ่านมา ไม่ทำให้ทฤษฎีที่เรามีมันน่าเชื่อถือได้หรอก ผมไม่เคยเชื่อว่าทุกอย่างมันจะไม่เปลี่ยนแปลง มันเปนฉากหนึ่งของชีวิตเราเท่านั้น สิ่งที่ผมทำคือดุดซับสถานการณ์ ณ ช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น เพ่งพินิจในสิ่งที่ทำ ปัญญามันเกิดตรงนั้นละ ช่วงหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย
ผมคิดถึง ป๋านัน...
ถ้ามองว่าหุ้นดีให้ซื้อ ถ้าไม่กล้าซื้อ เลิกเล่นหุ้นไปเลยดีกว่า"
nanchan
นั่งอ่านที่ ท่าน ดร. มัฟฟิน โพสเล่าให้ฟังในกระทู้นัดชุมนุมเหล่าจอมยุทธ์มวยวัด ในวงกว้างออกไป นั่นเปนรากฐานของระบบทุนนิยม ระบบทุนนิยมล้วนตั้งอยู่บนความเชื่อ ตั้งอยู่ความศัทธาของคนในสังคมนั้นๆ ถ้าไม่เกิดความเชื่อ ไม่มีศัทธา ตลาดหุ้นไปหมด ธนาคารไปหมด เศรษฐกิจไปหมด ความเชื่อมั่นจึงมีความสำคัญต่อพฤติกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมาก อยู๋ในป่าทุนนิยม ต้องเชื่อระบบทุนนิยม เหมือนถ้าเข้าป่า ความเชื่อมั่นในตัวพรานนั้นสำคัญอย่างยิ่ง แต่อย่าลืมถามว่าเชื่อแล้ว ดีแบบไหน ดีจริง ดีปลอม ดีถูก ดีผิด ดีเล็ก ดีใหญ่ ดียาก ดีง่าย ดีแบบรูเท่าทันการณ์ หรือ ไม่ทันการณ์ ถ้าไม่ใช้ทรรศนะแบบป่านันมองให้ดี ดีของท่านอาจกลายเปนร้าย ถ้าไม่ใคร่ครวญให้ท่องแท้ อย่าลืมถามท่านให้ดีครับ สำหรับผมแล้ว ป่านันเปนนักลงทุนที่เก่งมาก ป๋านันเหมือนพรานหุ้น และเปนพรานหุ้นที่เก่ง มาก ๆ ด้วยครับ
ออ.....ช่วงเข้าป่า พรานสอนผม มีเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟังครับ

พรานเดินไป คุยกันเพลินๆ ทำท่าโยนมีดใส่ผม เราก็ทำท่าหลบ ไม่รับ มีดสปาตามันยาวขนาดไหน ท่านพอนึกออก ทำท่าแต่ไม่โยนครับ เดินไปอีกสักพัก หันกลับมาคุยกับผม ทำท่าโยนมีดให้ผมรับอีก ผมก้ตั้งท่ารับ เพราะเหนมีดใส่ฝักแล้ว แต่ไม่โยนครับ เราก็ทำท่ารอ แต่เขาไม่โยนนะ เขาเหมือนกับวา จะโยนแต่ไม่โยน คือไม่ตั้งใจโยน พอเราเผลอ ๆ เอาอีก ทำท่าโยนอีก คราวนี้ ผมไม่ตั้งท่ารับอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่า เขาไม่โยน พอผมไม่ทำท่ารับ พรานจึงหัวเราะออกมา ผมถามว่าทำไมพรานหัวเราะละ พรานบอกว่า เหนท่านไม่รับผมจึงหัวเราะ พรานจึงบอกว่า ทำอย่างนั้นไมได้ ถ้าอยู่ในป่า อย่าประมาทเด้ดขาด ถ้าท่านเชื่อว่า ผมไม่โยนแน่ๆ จึงไม่รับ ถ้าผมโยนจริง ๆ ละ ท่านเสร็จเลย
มีดข้างบน ไม่ต่างอะไรจาก สมมุติฐานที่ว่า "อย่าขาดทุน" วันไหนท่านเลิกสงสัยในกฎข้อนี้ ไม่ยื่นแขนมารอรับแล้ว.......ท่านมีโอกาสหลงป่าทุนนิยมแน่ๆ !
สวัสดีครับ....... :breakdance: