อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 1
มีเพื่อนสมาชิกคนหนึ่งมาถาม ทางด้าน message ของ TVI
ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์น่าซื้อไม่
ในความคิดเห็นของผม
ควรมองให้รอบด้านว่า อุตสาหกรรมรถยนต์นั้น ในเมืองไทยมีกี่เจ้า
ส่งออกหรือใช้งานเองเท่าไร การเติบโต ต้องใช้ปัจจัยอะไรบ้าง
ถ้าตามหนังสือของท่านแม่ทัพสุมาอี้ เขียนไว้น่าสนใจว่า
ตัวผลักดันคือ "เศรษฐกิจโลก" นั้นคือ GDP กลายๆ
แล้วพักนี้มองเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไงบ้างล่ะครับ
GDP สหรัฐ ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน อังกฤษ พวกนี้ ถดถอยหรือเริ่มมีอาการเติบโตที่ลดลง
มาดูแต่อุตสาหกรรมบ้าง ที่สหรัฐ Big 3 ต้องขอเงินช่วยเหลือจาก รัฐบาล
Honda ถอนทีม F1 โตโยต้าประกาศยอมรับขาดทุน อีซูซูลดแผนการขยายโรงงานที่ รัสเซียและที่อื่น
ระยะหลังสองสามปี เมืองไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปที่ต่างๆของโลกยกเว้น ส่งออกไป ทวีปอเมริกาเหนือเท่านั้น มันบ่งชี้อะไร คือ ต้องตรวจสอบว่า ที่ไปนั้นมีการยกเลิกยอดสั่งซื้อหรือลดจำนวนการสั่งซื้อหรือไม่
อันนี้ตัวอย่าง ตามโฆษณาเลย เช่น อีซูซู ไปอังกฤษ Ford/มาสด้า ไปออสเตรียเลีย เป็นต้น
สิ่งต่อมา
ที่แปลกใจมากคือ เดี๋ยวนี้ อุตสาหกรรมนี้ ใช้ Supplier ร่วมกันจริงหรือไม่
ในเมืองไทย ผมยังเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ใครมีความรู้ในส่วนนี้บอกด้วยน่าครับ
สุดท้ายอ่านแล้วนำไปพิจารณาน่าครับ
ไม่ใช่เชื่อสิ่งที่ผมเขียนทั้งหมดน่าครับ เพราะถ้าเชื่อหมดก็เป็นคนหูเบา
ต้องพิจารณาให้มันแน่นอน
แล้วพิจารณา ต้องพิจารณาจริงๆจังๆ ไม่ใช่อืม คิดเหมือนความคิดของเราน่าครับ
ต้องพิสูจน์ว่า สิ่งที่ผมเขียน ณ ตอนนี้ ฐานะการตอนนี้มันคือสิ่งนี้ใช่หรือไม่
ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์น่าซื้อไม่
ในความคิดเห็นของผม
ควรมองให้รอบด้านว่า อุตสาหกรรมรถยนต์นั้น ในเมืองไทยมีกี่เจ้า
ส่งออกหรือใช้งานเองเท่าไร การเติบโต ต้องใช้ปัจจัยอะไรบ้าง
ถ้าตามหนังสือของท่านแม่ทัพสุมาอี้ เขียนไว้น่าสนใจว่า
ตัวผลักดันคือ "เศรษฐกิจโลก" นั้นคือ GDP กลายๆ
แล้วพักนี้มองเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไงบ้างล่ะครับ
GDP สหรัฐ ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน อังกฤษ พวกนี้ ถดถอยหรือเริ่มมีอาการเติบโตที่ลดลง
มาดูแต่อุตสาหกรรมบ้าง ที่สหรัฐ Big 3 ต้องขอเงินช่วยเหลือจาก รัฐบาล
Honda ถอนทีม F1 โตโยต้าประกาศยอมรับขาดทุน อีซูซูลดแผนการขยายโรงงานที่ รัสเซียและที่อื่น
ระยะหลังสองสามปี เมืองไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปที่ต่างๆของโลกยกเว้น ส่งออกไป ทวีปอเมริกาเหนือเท่านั้น มันบ่งชี้อะไร คือ ต้องตรวจสอบว่า ที่ไปนั้นมีการยกเลิกยอดสั่งซื้อหรือลดจำนวนการสั่งซื้อหรือไม่
อันนี้ตัวอย่าง ตามโฆษณาเลย เช่น อีซูซู ไปอังกฤษ Ford/มาสด้า ไปออสเตรียเลีย เป็นต้น
สิ่งต่อมา
ที่แปลกใจมากคือ เดี๋ยวนี้ อุตสาหกรรมนี้ ใช้ Supplier ร่วมกันจริงหรือไม่
ในเมืองไทย ผมยังเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ใครมีความรู้ในส่วนนี้บอกด้วยน่าครับ
สุดท้ายอ่านแล้วนำไปพิจารณาน่าครับ
ไม่ใช่เชื่อสิ่งที่ผมเขียนทั้งหมดน่าครับ เพราะถ้าเชื่อหมดก็เป็นคนหูเบา
ต้องพิจารณาให้มันแน่นอน
แล้วพิจารณา ต้องพิจารณาจริงๆจังๆ ไม่ใช่อืม คิดเหมือนความคิดของเราน่าครับ
ต้องพิสูจน์ว่า สิ่งที่ผมเขียน ณ ตอนนี้ ฐานะการตอนนี้มันคือสิ่งนี้ใช่หรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 3
คนใช้รถแต่ก็ต้องคิดหนักกว่าตอนที่เศรษฐกิจเติบโต
เนื่องจาก ราคามันลดลงเรื่อยตามภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ที่สินค้า ณ วันนี้ ราคา A บาท แต่ ในอนาคตราคา B บาท
ซึ่ง B<A อันนี้น่ากลัวน่าครับ
แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ ต้องแยกดูว่า เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับผลิตรถใหม่ หรือสินค้าที่ใช้สำหรับอุปกรณ์เดิมที่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา
แต่โดยรวม รถใหม่น้อย ทำให้เกิดปัญหาแน่นอน
ปัญหานี้ เกี่ยวไปถึง ประกันภัยในส่วนของ Motor ด้วย
เพราะรถใหม่ไม่ถอยออกจากดีลเดอร์ ทำให้ยอดลดลงเหมือนกันน่าครับ
มีแต่ตลาดรถเก่าอย่างเดียว อันนี้ก็จะทำให้จากประกันภัยชั้น1เป็น 3+ ก็ได้น่าครับ
เนื่องจาก ราคามันลดลงเรื่อยตามภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ที่สินค้า ณ วันนี้ ราคา A บาท แต่ ในอนาคตราคา B บาท
ซึ่ง B<A อันนี้น่ากลัวน่าครับ
แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ ต้องแยกดูว่า เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับผลิตรถใหม่ หรือสินค้าที่ใช้สำหรับอุปกรณ์เดิมที่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา
แต่โดยรวม รถใหม่น้อย ทำให้เกิดปัญหาแน่นอน
ปัญหานี้ เกี่ยวไปถึง ประกันภัยในส่วนของ Motor ด้วย
เพราะรถใหม่ไม่ถอยออกจากดีลเดอร์ ทำให้ยอดลดลงเหมือนกันน่าครับ
มีแต่ตลาดรถเก่าอย่างเดียว อันนี้ก็จะทำให้จากประกันภัยชั้น1เป็น 3+ ก็ได้น่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1230
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 4
อุต ฯ รถยนตร์...ระยะสั้น ไม่ดี ชลอตัว ระยะกลางยาว ...ผู้อยู่รอดก็คงกลับมาดีเหมือนเดิม เพราะว่าเป็นปัจจัยที่ห้าหรือหก ไปแล้ว demand จริงมีเพียบอยู่ที่มีปัญญาซื้อหรือเปล่าเท่านั้น
แต่หากมองเป็นรายบริษัทที่ผลิตOEM ......ผมว่าหลายบริษัทที่แกร่งยังน่าสนใจเพราะว่าภาพระยะสั้นของบริษัทนั้น ๆ ยังมัว ๆ แต่ราคากลับลดต่ำกว่าพื้นฐานมากและอย่างรวดเร็ว เหมือนเป็นเพียงบริษัทหนึ่ง ๆ ในอุต ฯ เดียวกัน
แต่หากมองเป็นรายบริษัทที่ผลิตOEM ......ผมว่าหลายบริษัทที่แกร่งยังน่าสนใจเพราะว่าภาพระยะสั้นของบริษัทนั้น ๆ ยังมัว ๆ แต่ราคากลับลดต่ำกว่าพื้นฐานมากและอย่างรวดเร็ว เหมือนเป็นเพียงบริษัทหนึ่ง ๆ ในอุต ฯ เดียวกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 8
"ปีนี้แย่แล้ว ปีหน้าแย่กว่าครับ"จากผม
เพราะภาวะเงินฝืดจะมาเยี่ยมเยือนอย่างจริงจังในปีหน้า(ดูตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปี52น่าจะภาพได้ชัดเจนครับ)
เพราะภาวะเงินฝืดจะมาเยี่ยมเยือนอย่างจริงจังในปีหน้า(ดูตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปี52น่าจะภาพได้ชัดเจนครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 9
ดูตัวอย่างของ US เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
Big 3 กำลังมีปัญหาต้องขอความช่วยเหลือจาก รัฐบาลที่นั้น
แต่โตโยต้า บอกเลยว่า หากทั้งสามนี้ล้ม ก็ล้มกันหมด
เพราะมันใช้ Supplier เดียวกัน
นั้นคือ ให้คนที่ชำนาญในส่วนไหนผลิตในส่วนที่ชำนาญ
โดยใช้อะไรที่มาจากที่เดียวกันให้มากที่สุด
เพื่อทำให้ OEM เหล่านั้น ได้ราคาที่ถูกที่สุด
มันคล้าย OEM ในเมืองไทยไหม ที่ทำให้ทั้ง ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซู
หากเจ้าไหนมีปัญหา ก็เจ้าอื่นก็มีปัญหาตามไปด้วย
นอกจาก OEM ไปหาตลาดที่พึ่งพาสินค้าทดแทนสินค้าที่เสื่อมตามกาลเวลา อันนี้ก็มีท่าทางจะไม่ทรุดมาก เพราะของมันต้องใช้งานกัน
ข่าวล่าสุด
.xBR> ฮอนด้าฯให้พนักงานซับคอนแทรกต์ราว 700 คนพักงานชั่วคราว เริ่มม.ค.รับออเดอร์หด
กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--รอยเตอร์
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) เตรียมให้พนักงานในส่วนที่เป็นผู้รับช่วง
งานผลิต(ซับคอนแทรกต์) ราว 700 คนพักงานชั่วคราว เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.52 เป็นต้นไป
โดยไม่มีกำหนด ซึ่งถือเป็นมาตรการแรก ในการรองรับสถานการณ์คำสั่งซื้อของตลาดรถยนต์
รวมที่หดตัวลง
"เป็นการพักชั่วคราว เพื่อจะรอว่ากำลังการผลิตเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่เดือนมกราคม
ส่วนจะถึงกำหนดเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้...เราไม่อยากจะ
ปลดคนงาน วิธีดีที่สุดคือพักดูก่อน ดูสถานการณ์" เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ของฮอนด้าฯ กล่าว
กับ"รอยเตอร์"
แต่เขายืนยันว่า จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานที่พักงานในสัดส่วน 75% ของอัตรา
เงินเดือนตามปกติ ซึ่งหากสถานการณ์ตลาดรถยนต์โดยรวมดีขึ้น พนักงานเหล่านี้ก็จะกลับ
เข้ามาทำงานตามปกติ แต่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบัน ฮอนด้าฯ มีพนักงาน ซึ่งรวมซับคอนแทรกต์ ในไทยกว่า 4 พันคน
การปรับตัวของฮอนด้าฯ ครั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันของค่ายรถยนต์อื่นในไทย
อย่าง จีเอ็มที่ประกาศหยุดสายการผลิตรถยนต์ในเดือนธ.ค.51-ม.ค.52 และวางเป้าลด
พนักงาน 200-250 คน ขณะที่โตโยต้า มีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด สำหรับพนักงานที่ว่า
จ้างตามสัญญา 340 คน
ตลาดรถยนต์ทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาจากคำสั่งซื้อที่ลดลง จากปัญหาเศรษฐกิจโลก
ที่ถดถอย ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อ รวมถึงตลาดรถยนต์ในไทยด้วย โดยยอดขายรถยนต์ในเดือน
พ.ย.ลดลง 20.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ 11 เดือนแรกปีนี้ลดลง
1.9% มาที่ 5.56 แสนคัน
ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) รายงานการส่งออกรถยนต์ล่าสุด
ของไทย ช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 20.44% มาที่ 6.67 แสนคัน
เมื่อต้นเดือนธ.ค. นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คาดว่าปีหน้ายอดขายรถยนต์
ในประเทศจะลดลง 10-20% มาที่ราว 5 แสนคัน รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ขณะที่ยังมีปัญหาการเมืองที่วุ่นวาย โดยการส่งออกเริ่มมีคำสั่งซื้อลดลงในช่วง 2 เดือน
สุดท้ายปีนี้ โดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐ รวมถึงตลาดออสเตรเลีย ก็มีคำสั่งซื้อลดลง 20-30%
เจ้าหน้าที่ของฮอนด้าฯ กล่าวอีกว่า การให้พักงานของพนักงานซับคอนแทรกต์ครั้งนี้
เนื่องจากมีการประเมินว่า สถานการณ์ตลาดรถยนต์โลกยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทไม่
สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ตามแผนที่วางไว้
ปัจจุบันบริษัทมีการผลิตรถยนต์ในไทยราว 1.4 แสนคัน/ปี จากกำลังการผลิตเต็มที่
2.4 แสนคัน/ปี ใน 2 โรงงานของบริษัท ที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา
โดยโรงงานแห่งที่สอง เพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อเดือนต.ค.51
"ไม่ใช่การลดกำลังการผลิต เรา plan ที่จะเพิ่มกำลังการผลิต โรงงานที่สองเปิด
แล้วเราก็ต้องเพิ่มตามตารางเวลาที่วางไว้ แต่ว่าไม่สามารถเพิ่มได้ตามที่คาดการณ์ไว้
เพราะปัญหาตลาดโลก เรามี domestic และ export ภาพรวมเกิดจากความต้องการตลาด
ไม่ขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้" เจ้าหน้าที่รายเดิม กล่าว
เขา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้การผลิตของโรงงานยังดำเนินการตามปกติ แต่การให้
พนักงานบางส่วนพักงานชั่วคราวนั้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ในปัจจุบัน --จบ--
Big 3 กำลังมีปัญหาต้องขอความช่วยเหลือจาก รัฐบาลที่นั้น
แต่โตโยต้า บอกเลยว่า หากทั้งสามนี้ล้ม ก็ล้มกันหมด
เพราะมันใช้ Supplier เดียวกัน
นั้นคือ ให้คนที่ชำนาญในส่วนไหนผลิตในส่วนที่ชำนาญ
โดยใช้อะไรที่มาจากที่เดียวกันให้มากที่สุด
เพื่อทำให้ OEM เหล่านั้น ได้ราคาที่ถูกที่สุด
มันคล้าย OEM ในเมืองไทยไหม ที่ทำให้ทั้ง ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซู
หากเจ้าไหนมีปัญหา ก็เจ้าอื่นก็มีปัญหาตามไปด้วย
นอกจาก OEM ไปหาตลาดที่พึ่งพาสินค้าทดแทนสินค้าที่เสื่อมตามกาลเวลา อันนี้ก็มีท่าทางจะไม่ทรุดมาก เพราะของมันต้องใช้งานกัน
ข่าวล่าสุด
.xBR> ฮอนด้าฯให้พนักงานซับคอนแทรกต์ราว 700 คนพักงานชั่วคราว เริ่มม.ค.รับออเดอร์หด
กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--รอยเตอร์
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) เตรียมให้พนักงานในส่วนที่เป็นผู้รับช่วง
งานผลิต(ซับคอนแทรกต์) ราว 700 คนพักงานชั่วคราว เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.52 เป็นต้นไป
โดยไม่มีกำหนด ซึ่งถือเป็นมาตรการแรก ในการรองรับสถานการณ์คำสั่งซื้อของตลาดรถยนต์
รวมที่หดตัวลง
"เป็นการพักชั่วคราว เพื่อจะรอว่ากำลังการผลิตเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่เดือนมกราคม
ส่วนจะถึงกำหนดเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้...เราไม่อยากจะ
ปลดคนงาน วิธีดีที่สุดคือพักดูก่อน ดูสถานการณ์" เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ของฮอนด้าฯ กล่าว
กับ"รอยเตอร์"
แต่เขายืนยันว่า จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานที่พักงานในสัดส่วน 75% ของอัตรา
เงินเดือนตามปกติ ซึ่งหากสถานการณ์ตลาดรถยนต์โดยรวมดีขึ้น พนักงานเหล่านี้ก็จะกลับ
เข้ามาทำงานตามปกติ แต่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบัน ฮอนด้าฯ มีพนักงาน ซึ่งรวมซับคอนแทรกต์ ในไทยกว่า 4 พันคน
การปรับตัวของฮอนด้าฯ ครั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันของค่ายรถยนต์อื่นในไทย
อย่าง จีเอ็มที่ประกาศหยุดสายการผลิตรถยนต์ในเดือนธ.ค.51-ม.ค.52 และวางเป้าลด
พนักงาน 200-250 คน ขณะที่โตโยต้า มีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด สำหรับพนักงานที่ว่า
จ้างตามสัญญา 340 คน
ตลาดรถยนต์ทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาจากคำสั่งซื้อที่ลดลง จากปัญหาเศรษฐกิจโลก
ที่ถดถอย ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อ รวมถึงตลาดรถยนต์ในไทยด้วย โดยยอดขายรถยนต์ในเดือน
พ.ย.ลดลง 20.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ 11 เดือนแรกปีนี้ลดลง
1.9% มาที่ 5.56 แสนคัน
ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) รายงานการส่งออกรถยนต์ล่าสุด
ของไทย ช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 20.44% มาที่ 6.67 แสนคัน
เมื่อต้นเดือนธ.ค. นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คาดว่าปีหน้ายอดขายรถยนต์
ในประเทศจะลดลง 10-20% มาที่ราว 5 แสนคัน รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ขณะที่ยังมีปัญหาการเมืองที่วุ่นวาย โดยการส่งออกเริ่มมีคำสั่งซื้อลดลงในช่วง 2 เดือน
สุดท้ายปีนี้ โดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐ รวมถึงตลาดออสเตรเลีย ก็มีคำสั่งซื้อลดลง 20-30%
เจ้าหน้าที่ของฮอนด้าฯ กล่าวอีกว่า การให้พักงานของพนักงานซับคอนแทรกต์ครั้งนี้
เนื่องจากมีการประเมินว่า สถานการณ์ตลาดรถยนต์โลกยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทไม่
สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ตามแผนที่วางไว้
ปัจจุบันบริษัทมีการผลิตรถยนต์ในไทยราว 1.4 แสนคัน/ปี จากกำลังการผลิตเต็มที่
2.4 แสนคัน/ปี ใน 2 โรงงานของบริษัท ที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา
โดยโรงงานแห่งที่สอง เพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อเดือนต.ค.51
"ไม่ใช่การลดกำลังการผลิต เรา plan ที่จะเพิ่มกำลังการผลิต โรงงานที่สองเปิด
แล้วเราก็ต้องเพิ่มตามตารางเวลาที่วางไว้ แต่ว่าไม่สามารถเพิ่มได้ตามที่คาดการณ์ไว้
เพราะปัญหาตลาดโลก เรามี domestic และ export ภาพรวมเกิดจากความต้องการตลาด
ไม่ขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้" เจ้าหน้าที่รายเดิม กล่าว
เขา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้การผลิตของโรงงานยังดำเนินการตามปกติ แต่การให้
พนักงานบางส่วนพักงานชั่วคราวนั้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ในปัจจุบัน --จบ--
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 11
----------------------------------------------------------------
ยอดขายรถยนต์พ.ย.ทรุดฮวบ20%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษก กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า เดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 46,068 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20.19% เพราะปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ส่งผลให้ยอดขายรถ 11 เดือนของปีมีปริมาณ 556,268 คัน ลดลง 1.9% โดยรถบรรทุกยอดขายลดมากสุด 18.10% รถกระบะลด 15.5% และคาดว่าทั้งปีจะจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวมกัน 6.3 แสนคันต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 3 หมื่นคัน
สำหรับยอดการผลิตและการส่งออกรถยนต์เดือน พ.ย. 51 มี 118,980 คัน ลดลง 4.87% โดยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 53,719 คัน ลดลง 2.70% เนื่องจากยอดขายในประเทศยังคงลดลง
ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 65,261 คัน ลดลงจากเดือน ต.ค. 7.67% ขณะที่ส่งออกรถยนต์เดือน พ.ย. 51 จำนวน 68,439 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.32%
ยอด 11 เดือน ผลิตรถยนต์ได้ 1,312,366 คัน เพิ่มขึ้น 11% โดยผลิตเพื่อการส่งออก 739,009 คัน คิดเป็น 56.31% ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 16.55% และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 573,357 คัน คิดเป็น 43.69 ของยอดผลิตทั้งหมด ผลิตเพิ่มขึ้น 4.58%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่าเป็นห่วงการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 52 อย่างมากโดยกลุ่มนี้มีแรงงาน 3 แสนคน คาดว่าจะถูกเลิกจ้าง 10% หรือ 3 หมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นประเภทชิ้นส่วนยานยนต์
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ภาพรวมของไทยเดือน พ.ย. 46,068 คัน แบ่งเป็น โตโยต้ามากสุด 19,771 คัน ลดลง 24.5% มีส่วนแบ่งตลาด 42.9% รองลงมาเป็น อีซูซุ 10,208 คัน ลดลง 36.3% ส่วนแบ่งตลาด 22.2%, ฮอนด้า 7,855 คัน เพิ่มขึ้น 12.4% ส่วนแบ่งตลาด 17.1%
สำหรับตลาดรถยนต์เดือน ธ.ค.นี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มทรงตัว แม้ว่าปกติจะเป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดในรอบปี เพราะแต่ละค่ายรถจะมีข้อเสนอพิเศษมากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตตามเป้าหมาย รวมกับการจัดงานมอเตอร์เอกซโปที่ผ่านมา มียอดจองทั้งสิ้น 14,690 คัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดรถยนต์ แต่ปัญหาวิกฤติทางการเงินโลกที่ยังไม่คลี่คลายเป็นปัจจัยสำคัญกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่.
http://www.dailynews.co.th/web/html/pop ... Template=1
http://kelive.kimeng.co.th/kelive/userv ... ontId=6543
--------------------------------------------------------------
ยอดขายรถยนต์พ.ย.ทรุดฮวบ20%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษก กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า เดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 46,068 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20.19% เพราะปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ส่งผลให้ยอดขายรถ 11 เดือนของปีมีปริมาณ 556,268 คัน ลดลง 1.9% โดยรถบรรทุกยอดขายลดมากสุด 18.10% รถกระบะลด 15.5% และคาดว่าทั้งปีจะจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวมกัน 6.3 แสนคันต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 3 หมื่นคัน
สำหรับยอดการผลิตและการส่งออกรถยนต์เดือน พ.ย. 51 มี 118,980 คัน ลดลง 4.87% โดยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 53,719 คัน ลดลง 2.70% เนื่องจากยอดขายในประเทศยังคงลดลง
ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 65,261 คัน ลดลงจากเดือน ต.ค. 7.67% ขณะที่ส่งออกรถยนต์เดือน พ.ย. 51 จำนวน 68,439 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.32%
ยอด 11 เดือน ผลิตรถยนต์ได้ 1,312,366 คัน เพิ่มขึ้น 11% โดยผลิตเพื่อการส่งออก 739,009 คัน คิดเป็น 56.31% ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 16.55% และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 573,357 คัน คิดเป็น 43.69 ของยอดผลิตทั้งหมด ผลิตเพิ่มขึ้น 4.58%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่าเป็นห่วงการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 52 อย่างมากโดยกลุ่มนี้มีแรงงาน 3 แสนคน คาดว่าจะถูกเลิกจ้าง 10% หรือ 3 หมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นประเภทชิ้นส่วนยานยนต์
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ภาพรวมของไทยเดือน พ.ย. 46,068 คัน แบ่งเป็น โตโยต้ามากสุด 19,771 คัน ลดลง 24.5% มีส่วนแบ่งตลาด 42.9% รองลงมาเป็น อีซูซุ 10,208 คัน ลดลง 36.3% ส่วนแบ่งตลาด 22.2%, ฮอนด้า 7,855 คัน เพิ่มขึ้น 12.4% ส่วนแบ่งตลาด 17.1%
สำหรับตลาดรถยนต์เดือน ธ.ค.นี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มทรงตัว แม้ว่าปกติจะเป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดในรอบปี เพราะแต่ละค่ายรถจะมีข้อเสนอพิเศษมากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตตามเป้าหมาย รวมกับการจัดงานมอเตอร์เอกซโปที่ผ่านมา มียอดจองทั้งสิ้น 14,690 คัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดรถยนต์ แต่ปัญหาวิกฤติทางการเงินโลกที่ยังไม่คลี่คลายเป็นปัจจัยสำคัญกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่.
http://www.dailynews.co.th/web/html/pop ... Template=1
http://kelive.kimeng.co.th/kelive/userv ... ontId=6543
--------------------------------------------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 12
ตลาดส่งออกรถยนต์เมืองไทย
ส่งไปทุกทวีปยกเว้นอเมริกาเหนือและญี่ปุ่นน่าครับ
น่าไปดูเลขการส่งออกรถยนต์จาก กระทรวงพาณิชย์
--------------------------------------------
ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือนพ.ย.ลดลง 26% ทรุดมากสุดรอบ 9 ปี Written by sw
Dec 16, 2008 at 03:15 PM
รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือนพฤศจิกายนลดลง 26% มากที่สุดในรอบ 9 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1999 เนื่องจากเศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยและตลาดสินเชื่อเกิดภาวะตึงตัวฉุดรั้งความต้องการยานพาหนะใหม่
สมาคมผู้ผลิตยานยนต์สหภาพยุโรปหรืออียูเปิดเผยวันนี้ว่า ยอดขายรถยนต์ในเดือนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ 932,537 คัน จาก 1.26 ล้านคัน ในเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายรถยนต์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ลดลง 7.1% มาอยู่ที่ 13.8 ล้านคัน เมื่อเทียบกับช่วง 10 เดือนแรกที่สิ้นสุดเดือนตุลาคมลดลง 5.4%
โดยยอดขายรถยนต์เดือนดังกล่าวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากยอดขายในอังกฤษลดลง 37% และสเปนลดลง 50% ขณะเดียวกันยอดขายในยุโรปตะวันตกยกเว้นฟินแลนด์ปรับลดลงเช่นกัน เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในอิตาลีลดลง 30% และเยอรมนีลดลง 18%
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในยุโรปตะวันตกซึ่งรวมถึง 15 ประเทศที่เป็นสมาชิกยูโรโซน ก่อนเดือนพฤษภาคมปี 2004 บวกไอซ์แลนด์ นอร์เวย์และสวิสเซอร์แลนด์ ลดลง 26% มาอยู่ที่
854,698 คัน ส่วนยอดขายรถยนต์ใน 10 ประเทศในยุโรปตะวันออกที่เป็นสมาชิกอียูตั้งแต่ปี 2004 ลดลง 23% มาอยู่ที่ 77,839 คัน
http://www.stockwave.in.th/http//index. ... Itemid=143
------------------------------------------------------------------------------
http://www.fpo.go.th/content.php?action ... 0&id=21523
ส่งไปทุกทวีปยกเว้นอเมริกาเหนือและญี่ปุ่นน่าครับ
น่าไปดูเลขการส่งออกรถยนต์จาก กระทรวงพาณิชย์
--------------------------------------------
ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือนพ.ย.ลดลง 26% ทรุดมากสุดรอบ 9 ปี Written by sw
Dec 16, 2008 at 03:15 PM
รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือนพฤศจิกายนลดลง 26% มากที่สุดในรอบ 9 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1999 เนื่องจากเศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยและตลาดสินเชื่อเกิดภาวะตึงตัวฉุดรั้งความต้องการยานพาหนะใหม่
สมาคมผู้ผลิตยานยนต์สหภาพยุโรปหรืออียูเปิดเผยวันนี้ว่า ยอดขายรถยนต์ในเดือนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ 932,537 คัน จาก 1.26 ล้านคัน ในเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายรถยนต์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ลดลง 7.1% มาอยู่ที่ 13.8 ล้านคัน เมื่อเทียบกับช่วง 10 เดือนแรกที่สิ้นสุดเดือนตุลาคมลดลง 5.4%
โดยยอดขายรถยนต์เดือนดังกล่าวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากยอดขายในอังกฤษลดลง 37% และสเปนลดลง 50% ขณะเดียวกันยอดขายในยุโรปตะวันตกยกเว้นฟินแลนด์ปรับลดลงเช่นกัน เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในอิตาลีลดลง 30% และเยอรมนีลดลง 18%
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในยุโรปตะวันตกซึ่งรวมถึง 15 ประเทศที่เป็นสมาชิกยูโรโซน ก่อนเดือนพฤษภาคมปี 2004 บวกไอซ์แลนด์ นอร์เวย์และสวิสเซอร์แลนด์ ลดลง 26% มาอยู่ที่
854,698 คัน ส่วนยอดขายรถยนต์ใน 10 ประเทศในยุโรปตะวันออกที่เป็นสมาชิกอียูตั้งแต่ปี 2004 ลดลง 23% มาอยู่ที่ 77,839 คัน
http://www.stockwave.in.th/http//index. ... Itemid=143
------------------------------------------------------------------------------
http://www.fpo.go.th/content.php?action ... 0&id=21523
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 13
http://www.fpo.go.th/pdf/EUecon_Nov08.pdf
อันนี้ต้องไปหาภาคภาษาอังกฤษเอาเองน่าครับ
แต่ มองแล้ว ปีหน้า แย่แน่นอน อุตสาหกรรมนี้
ภาพมันฟ้องน่าครับ
หากใครมองว่าดี ขอเอาตัวปัจจัยมาบอกด้วยน่าครับ
ผมไปค้นปัจจัยที่แย้งในส่วนการส่งออกมาให้แล้ว
อันนี้ต้องไปหาภาคภาษาอังกฤษเอาเองน่าครับ
แต่ มองแล้ว ปีหน้า แย่แน่นอน อุตสาหกรรมนี้
ภาพมันฟ้องน่าครับ
หากใครมองว่าดี ขอเอาตัวปัจจัยมาบอกด้วยน่าครับ
ผมไปค้นปัจจัยที่แย้งในส่วนการส่งออกมาให้แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 14
-
- Verified User
- โพสต์: 295
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 15
[quote="miracle"]มี
สิ่งต่อมา
ที่แปลกใจมากคือ เดี๋ยวนี้ อุตสาหกรรมนี้ ใช้ Supplier ร่วมกันจริงหรือไม่
ในเมืองไทย ผมยังเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ใครมีความรู้ในส่วนนี้บอกด้วยน่าครับ
จากที่ผมอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ การใช้Supplier หรือผู้ผลิตสินค้า ส่งให้ รถยนต์หลายๆค่ายประกอบ ชิ้นส่วนจะใช้ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะว่าแบบชิ้นส่วนจะออกแบบมาจากบริษัทแม่หรือเฉพาะยี่ห้อ ที่แต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกัน จะทำให้ Economic of scale ได้ไม่มาก ถ้าใช้ร่วมกันได้จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่านี้ ความสามารถในการแข่งกันกับต่างประเทศได้ดีกว่านี้ ส่วนบริษัทที่เป็นSupplier ใช้ร่วมกันอยู่แล้วครับ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนครับ แยกกันผลิต แยกกันส่งมอบสินค้า(เป็นความคิดเห็นในอีกแง่มุม)
สิ่งต่อมา
ที่แปลกใจมากคือ เดี๋ยวนี้ อุตสาหกรรมนี้ ใช้ Supplier ร่วมกันจริงหรือไม่
ในเมืองไทย ผมยังเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ใครมีความรู้ในส่วนนี้บอกด้วยน่าครับ
จากที่ผมอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ การใช้Supplier หรือผู้ผลิตสินค้า ส่งให้ รถยนต์หลายๆค่ายประกอบ ชิ้นส่วนจะใช้ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะว่าแบบชิ้นส่วนจะออกแบบมาจากบริษัทแม่หรือเฉพาะยี่ห้อ ที่แต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกัน จะทำให้ Economic of scale ได้ไม่มาก ถ้าใช้ร่วมกันได้จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่านี้ ความสามารถในการแข่งกันกับต่างประเทศได้ดีกว่านี้ ส่วนบริษัทที่เป็นSupplier ใช้ร่วมกันอยู่แล้วครับ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนครับ แยกกันผลิต แยกกันส่งมอบสินค้า(เป็นความคิดเห็นในอีกแง่มุม)
-
- Verified User
- โพสต์: 678
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 16
แล้วเราจะซื้อหุ้นได้เมื่อไหร่ละครับ
ในเมื่อตอนที่เรารอจะซื้อ ก่อนหน้านี้มันยังแพงอยู่
พอมาถึงวันนี้ ก็คิดว่า มันยังแพงอยู่ ทั้งๆที่ราคาลงมามากกว่า 50 %
รู้ทั้งรู้ว่าที่สุดแล้ว มันต้องกลับมา ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า 55 (ยืมคำนี้มาใช้)
ในเมื่อตอนที่เรารอจะซื้อ ก่อนหน้านี้มันยังแพงอยู่
พอมาถึงวันนี้ ก็คิดว่า มันยังแพงอยู่ ทั้งๆที่ราคาลงมามากกว่า 50 %
รู้ทั้งรู้ว่าที่สุดแล้ว มันต้องกลับมา ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า 55 (ยืมคำนี้มาใช้)
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 18
หวัดดีครับคุณ miracle ผมว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ตัวที่ผลประกอบการยังพอดูได้ ก็มี STANLY ที่ 59 บาท
ส่วน IRC ที่ผมถืออยู่เน่าเฟะ จากต้นปี 12.7 ตอนนี้เหลือ 5.8 บาท ToT
ถ้าผมเกิดคึกซื้อ STANLY ขึ้นมา สมมุตินะว่าซื้อต้นปี-กลางปี 2009 ที่เราๆท่านๆคาดกันว่าเป็นจุดต่ำสุด ไม่รู้ว่ากว่า STANLY จะกลับมาหลักร้อยเหมือนเดิม จะใช้เวลาซักกี่ปี ถ้าแค่ 1-2 ปี ผมว่าคุ้มนะ ราคาเพิ่มเป็นสองเท่าเลย
ส่วน IRC ที่ผมถืออยู่เน่าเฟะ จากต้นปี 12.7 ตอนนี้เหลือ 5.8 บาท ToT
ถ้าผมเกิดคึกซื้อ STANLY ขึ้นมา สมมุตินะว่าซื้อต้นปี-กลางปี 2009 ที่เราๆท่านๆคาดกันว่าเป็นจุดต่ำสุด ไม่รู้ว่ากว่า STANLY จะกลับมาหลักร้อยเหมือนเดิม จะใช้เวลาซักกี่ปี ถ้าแค่ 1-2 ปี ผมว่าคุ้มนะ ราคาเพิ่มเป็นสองเท่าเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 20
ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจุดต่ำสุดหรือยังpapae666 เขียน:หวัดดีครับคุณ miracle ผมว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ตัวที่ผลประกอบการยังพอดูได้ ก็มี STANLY ที่ 59 บาท
ส่วน IRC ที่ผมถืออยู่เน่าเฟะ จากต้นปี 12.7 ตอนนี้เหลือ 5.8 บาท ToT
ถ้าผมเกิดคึกซื้อ STANLY ขึ้นมา สมมุตินะว่าซื้อต้นปี-กลางปี 2009 ที่เราๆท่านๆคาดกันว่าเป็นจุดต่ำสุด ไม่รู้ว่ากว่า STANLY จะกลับมาหลักร้อยเหมือนเดิม จะใช้เวลาซักกี่ปี ถ้าแค่ 1-2 ปี ผมว่าคุ้มนะ ราคาเพิ่มเป็นสองเท่าเลย
เนื่องจาก GDP ยังบอกไม่ได้ว่า ต่ำสุดที่ไหน
GDP ของ US เองก็บอกไม่ได้ว่า ถดถอยนานขนาดไหน
GDP ของ ยุโรป ก็ด้วยว่าถดถอยกินระยะเวลาแค่ไหน
ทุกอย่างคาดเดาทั้งหมด ณ ตอนนี้ แต่การคาดเดาต่างๆ ก็มีตัวชี้วัดในการคาดเดาได้ เช่น อัตราการสร้างบ้านใหม่ อัตราการว่างงาน การส่งออกสินค้าต่าง เป็นต้น พวกนี้เป็นตัวชี้นำได้ว่า GDP เป็นอย่างไง
ผมแค่มาบอกว่า อุตสาหกรรมนี้ ควรออกห่าง ณ ตอนนี้
ถือแม้นว่า ตัวบริษัทแข็งแรงขนาดไหนก็ตาม มีเงินสดท่วม แต่เมื่องานน้อยลง ก็ต้องประคองตัวบริษัทให้อยู่รอดได้ ก็เข้าหลักที่ว่า ลดค่าใช้จ่ายเพิ่มรายได้ ในเมื่อรายได้ที่เคยได้ลดลง ก็ต้องลดค่าใช้จ่ายให้มากกว่ารายได้ที่ลดลง ก็แค่นั้นอ่ะ
ที่ผมสร้างกระทู้นี้เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการดูว่า อนาคตบริษัทต้องดูภาพใหญ่ก่อนแล้วค่อยดูแต่ละบริษัทลงไป เพราะ การศึกษาแนว VI ต้องรู้จังหวะในการซื้อว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ไม่ควรไปยุ่ง หรือไม่มีความรู้ก็ไม่ควรไปยุ่ง และยิ่งได้ยิ่งว่าแบบโน้นแบบนี้ก็ไม่ควรไปยุ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 21
ถึงแม้ผู้ผลิตส่วน จะผลิตให้ ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซูmiracle เขียน:ดูตัวอย่างของ US เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
Big 3 กำลังมีปัญหาต้องขอความช่วยเหลือจาก รัฐบาลที่นั้น
แต่โตโยต้า บอกเลยว่า หากทั้งสามนี้ล้ม ก็ล้มกันหมด
เพราะมันใช้ Supplier เดียวกัน
นั้นคือ ให้คนที่ชำนาญในส่วนไหนผลิตในส่วนที่ชำนาญ
โดยใช้อะไรที่มาจากที่เดียวกันให้มากที่สุด
เพื่อทำให้ OEM เหล่านั้น ได้ราคาที่ถูกที่สุด
มันคล้าย OEM ในเมืองไทยไหม ที่ทำให้ทั้ง ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซู
หากเจ้าไหนมีปัญหา ก็เจ้าอื่นก็มีปัญหาตามไปด้วย
นอกจาก OEM ไปหาตลาดที่พึ่งพาสินค้าทดแทนสินค้าที่เสื่อมตามกาลเวลา อันนี้ก็มีท่าทางจะไม่ทรุดมาก เพราะของมันต้องใช้งานกัน
--
แล้วอาศัยความได้เปรียบในการใช้เครื่องจักรร่วมหรือทรัพยากรอื่น
เพื่อใช้ ในการลดต้นทุนผลิตก็ตาม แต่ก็ผมคิดว่าไม่น่าจะมีผล
กระทบเท่าไหร่ ถึงจะมี ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซู ลดกำลังผลิตบ้าง เพราะว่า
ในการคิดต้นทุนของผู้ผลิตชิ้นส่วนนั้น เขาคิดต้นทุนแบบสร้างโรงงานใหม่
อยู่แล้ว ดั้งนั้นการที่มีบริษัทใด บริษัทใด บริษัทลดกำไรผลิตก็ไม่น่า
จะมีผลต่อกำไรเท่าไหร่
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 22
ถึงแม้ผู้ผลิตส่วน จะผลิตให้ ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซูRONNAPUM เขียน:
แล้วอาศัยความได้เปรียบในการใช้เครื่องจักรร่วมหรือทรัพยากรอื่น
เพื่อใช้ ในการลดต้นทุนผลิตก็ตาม แต่ก็ผมคิดว่าไม่น่าจะมีผล
กระทบเท่าไหร่ ถึงจะมี ฮอนด้า โตโยต้า อีซูซู ลดกำลังผลิตบ้าง เพราะว่า
ในการคิดต้นทุนของผู้ผลิตชิ้นส่วนนั้น เขาคิดต้นทุนแบบสร้างโรงงานใหม่
อยู่แล้ว ดั้งนั้นการที่มีบริษัทใด บริษัทใด บริษัทลดกำไรผลิตก็ไม่น่า
จะมีผลต่อกำไรเท่าไหร่
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 23
เลือกเอาระหว่าง ซื้อแล้วถือเพื่อรอการฟื้นตัว (ไม่รู้ว่าจะฟุบหรือเปล่า) เพื่อที่จะได้ผลตอบแทนมหาศาล
หรือรอฟื้นตัวก่อนแล้วค่อยซื้อ(ซื้อแพงกว่ามาก แต่ไปขายแพงกว่าอีก)
ผู้บริหารบางบริษัทยอมรับว่ายอดขาย (ไม่ได้บอกถึงกำไร) จะลดลง 30-40% แต่ตอนนี้ราคามันลงมา 70% แล้ว
จริง ๆ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน
หรือรอฟื้นตัวก่อนแล้วค่อยซื้อ(ซื้อแพงกว่ามาก แต่ไปขายแพงกว่าอีก)
ผู้บริหารบางบริษัทยอมรับว่ายอดขาย (ไม่ได้บอกถึงกำไร) จะลดลง 30-40% แต่ตอนนี้ราคามันลงมา 70% แล้ว
จริง ๆ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 24
ถ้าผมเป็นญี่ปุ่น ผมก็จะพูดอย่างนี้เหมือนกันครับmiracle เขียน:ดูตัวอย่างของ US เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
Big 3 กำลังมีปัญหาต้องขอความช่วยเหลือจาก รัฐบาลที่นั้น
แต่โตโยต้า บอกเลยว่า หากทั้งสามนี้ล้ม ก็ล้มกันหมด
เพราะมันใช้ Supplier เดียวกัน
และเหตุผลก็ฟังขึ้นซะด้วย :lol:
แต่ในระยะยาวแล้ว
แม้จะล้มแค่ไครสเลอร์อันเดียว หรือล้มละลายสักสองอัน
ญี่ปุ่นก็จะได้ประโยชน์เต็มๆ
และเราจะได้เห็นรถญี่ปุ่นครองโลก
อย่างโตโยต้าเองแม้ปีนี้จะขาดทุนเป็นปีแรกในรอบ 70+ ปี
แต่ก็ไม่ได้ขาดมากนัก แสนห้าหมื่นล้านเยนหรือไรนี่แหละ
โดยปีที่แล้วได้กำไรตั้ง 2.27 ล้านล้านเยน
ฐานะทางการเงินยังแข็งแกร่ง
รอวันฟื้นและกลับมายิ่งใหญ่อีกที
ทีนี้เมื่อญี่ปุ่นเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นไปอีก
แหล่งผลิตที่ไหนที่ญี่ปุ่นชอบ
ผมว่าไทยนี่แหละเป็นหนึ่งในนั้น
ผมจำได้ว่า
ปีเตอร์ ลินช์ เคยซื้อหุ้นมาร์ลโบโร่
ซื้อทั้งๆที่กระแสรณรงค์เลิกสูบบุหรี่กระหึ่มไปทั่วโลก
แต่ลินช์ก็ทำกำไรได้อย่างงดงาม
ทำได้อย่างไร
ก็เพราะแม้ตลาดโดยรวมจะลดลง
แต่ไม่มีคู่แข่งรายใหม่อยากเข้ามาแข่ง
แถมคู่แข่งเดิมก็ค่อยๆถดถอยและปิดตัวเองลง
มาร์ลโบโร่เลยกำไรดีวันดีคืน
ตลาดบุหรี่นี้จะให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมผมว่ายากมาก
แต่รถยนต์มาแน่ มาชัวร์ๆเพราะเป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว
แต่เป็นอย่างนี้แล้วใช่ว่าจะซื้อหุ้นชิ้นส่วนเหล่านี้ได้ทันทีนะครับ :lol:
ผมว่าคงจะซึมๆไปอีกนานล่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 25
ตกลงอุตสาหกรรมนี้จะฟื้นหรือยัง ลองมาดูข้อมูลบริษัทผมไหม
บริษัทผมทำเหล็กที่จะเอาไปขึ้นรูปเป็น bolt ,nut และพาร์ทอีกประมาณ
15-20% ที่เป็นส่วนเหล็กในรถ ลูกค้าของพวกผมก็เอาเหล็กผมไป
ขึ้นรูปแล้วก็ส่งทั้ง honda,toyota,isuzu,gm etc..
ยอดขาย เจ้าหลักผม เมื่อเดือน สิงหา ถ้าคิดเป็น 100%
(เป็นช่วงที่สูงสุดของปีนี้) ออเดอร์เริ่มลดจิงจัง เมื่อ ตุลา
เหลือประมาณ 70% ธันวา เหลืออยู่ 40% และ forecast ล่าสุด
ของเดือนมกรา เหลือประมาณ 25%
ลดลงมากจิงๆคับ
บริษัทผมทำเหล็กที่จะเอาไปขึ้นรูปเป็น bolt ,nut และพาร์ทอีกประมาณ
15-20% ที่เป็นส่วนเหล็กในรถ ลูกค้าของพวกผมก็เอาเหล็กผมไป
ขึ้นรูปแล้วก็ส่งทั้ง honda,toyota,isuzu,gm etc..
ยอดขาย เจ้าหลักผม เมื่อเดือน สิงหา ถ้าคิดเป็น 100%
(เป็นช่วงที่สูงสุดของปีนี้) ออเดอร์เริ่มลดจิงจัง เมื่อ ตุลา
เหลือประมาณ 70% ธันวา เหลืออยู่ 40% และ forecast ล่าสุด
ของเดือนมกรา เหลือประมาณ 25%
ลดลงมากจิงๆคับ
yoroshiku onegaishimasu
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 26
ถ้าบิ๊กทรีเจ๊งจริงๆนี่น่ากลัวนะครับ เพราะเดิมที สามรายนี้ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้รถญี่ปุ่นขายได้กำไรดี แต่ถ้าสามรายนี้หายไป ญี่ปุ่นต้องมาแข่งกันเองนะครับ กำไรคงไม่ดีเหมือนเดิม
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
circle of competence
waiting for the perfect pitch
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 28
ผมว่าทุกวันนี้มันก็ครองอยู่แล้วนาครับพี่แผ่วพี่แผ่ว เขียน:แต่ในระยะยาวแล้ว
แม้จะล้มแค่ไครสเลอร์อันเดียว หรือล้มละลายสักสองอัน
ญี่ปุ่นก็จะได้ประโยชน์เต็มๆ
และเราจะได้เห็นรถญี่ปุ่นครองโลก
ก่อนพี่ขับบีเอ็มพี่ก็ขับมาซด้าอยู่นานนาครับ
แข่งกันเองก็เข้าทุภาษิตครับน้องพงศ์ เขียน:ถ้าบิ๊กทรีเจ๊งจริงๆนี่น่ากลัวนะครับ
เพราะเดิมที สามรายนี้ไม่มีประสิทธิภาพ
ทำให้รถญี่ปุ่นขายได้กำไรดี
แต่ถ้าสามรายนี้หายไป
ญี่ปุ่นต้องมาแข่งกันเองนะครับ
กำไรคงไม่ดีเหมือนเดิม
"เรือล่มในหนอง ทองก็เป็นของพวกเรา(อยู่ดี)"
ผมว่าผู้บริหารรถญี่ปุ่นนั่งยิ้มอยู่ครับตอนนี้
เตรียมนับเงิน
ในแง่การตลาดไม่มีอะไรดีไปกว่าคู่แข่งเจ๊งครับ
ต่อให้มีคนเก่งกว่ามาเทคโอเวอร์ไป
ก็ต้องใช้เวลาอีกแยะครับ
ช่วงนั้นก็ัรับทรัพย์ไปก่อน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 29
ผลิตรถหดใน10ปี เหลือ1.2ล้านคัน
โพสต์ทูเดย์ สถาบันยานยนต์ชี้ยอดผลิตรถยนต์ปี 2552 หดตัวเหลือ 1.2 ล้านคัน หลังตลาดพึ่งส่งออกกว่า 60%
นายวัลลภ เตียสิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยปี 2552 น่าจะหดตัวลงเหลือแค่ 1.2 ล้านคัน จากในปี 2551 ที่จะผลิตได้ถึง 1.4 ล้านคัน โตประมาณ 10% ซึ่งยอดการผลิตที่ลดลงเป็นผลมาจากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพึ่งพาการส่งออกกว่า 60%
ปีหน้ายอดผลิตรถยนต์รวมได้ 1.2 ล้านคัน ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะต้องรอดูว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวมากแค่ ไหน แต่การที่จะได้ยอด 1.2 ล้านคันได้ เอกชนก็ต้องทำงานเยอะเหมือนกัน เพราะเราพึ่งการส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศ นายวัลลภ กล่าว
นายอดิศักดิ์ โรหิตศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถที่ลดลงถือเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งมองว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายนัก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงปลายปีจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ต้องตามแก้ไขกันอีกมากในปีหน้า
ทั้งนี้ มองว่าตลาดรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลงไม่มากนักประมาณ 5-10% เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งขึ้นสูงในช่วงกลางปี ทำให้ความต้องการของรถปิกอัพหดตัวอย่างรุนแรง ขณะที่ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกก็ทำให้ตัวเลขการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์นั้น คาดว่าปีนี้จะเติบโตประมาณ 7-8% สำหรับตลาดในประเทศ แต่ปัจจัยลบอาจจะส่งผลกระทบถึงในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ขณะที่ภาพ รวมการส่งออกรถจักรยานยนต์ก็อยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากตลาดส่ง ออกสามารถทำชิ้นส่วนด้วยตัวเองได้เพิ่มมากขึ้น
http://www.posttoday.com/news.php?id=25166
----------------------------------------------------------------------
ฟังสถาบันยานยนต์ ไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรน่าครับ
by the way
พี่มน ดอทดำ มีอยู่คนเดียวใน Web อ่ะ พี่
แซวพี่แกเล่นๆๆน่าครับ เลยต่อท้ายให้
ตอนนี้พี่เขาเริ่มตัวขาวแล้วน่าครับ
โพสต์ทูเดย์ สถาบันยานยนต์ชี้ยอดผลิตรถยนต์ปี 2552 หดตัวเหลือ 1.2 ล้านคัน หลังตลาดพึ่งส่งออกกว่า 60%
นายวัลลภ เตียสิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยปี 2552 น่าจะหดตัวลงเหลือแค่ 1.2 ล้านคัน จากในปี 2551 ที่จะผลิตได้ถึง 1.4 ล้านคัน โตประมาณ 10% ซึ่งยอดการผลิตที่ลดลงเป็นผลมาจากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพึ่งพาการส่งออกกว่า 60%
ปีหน้ายอดผลิตรถยนต์รวมได้ 1.2 ล้านคัน ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะต้องรอดูว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวมากแค่ ไหน แต่การที่จะได้ยอด 1.2 ล้านคันได้ เอกชนก็ต้องทำงานเยอะเหมือนกัน เพราะเราพึ่งการส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศ นายวัลลภ กล่าว
นายอดิศักดิ์ โรหิตศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถที่ลดลงถือเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งมองว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายนัก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงปลายปีจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ต้องตามแก้ไขกันอีกมากในปีหน้า
ทั้งนี้ มองว่าตลาดรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลงไม่มากนักประมาณ 5-10% เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งขึ้นสูงในช่วงกลางปี ทำให้ความต้องการของรถปิกอัพหดตัวอย่างรุนแรง ขณะที่ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกก็ทำให้ตัวเลขการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์นั้น คาดว่าปีนี้จะเติบโตประมาณ 7-8% สำหรับตลาดในประเทศ แต่ปัจจัยลบอาจจะส่งผลกระทบถึงในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ขณะที่ภาพ รวมการส่งออกรถจักรยานยนต์ก็อยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากตลาดส่ง ออกสามารถทำชิ้นส่วนด้วยตัวเองได้เพิ่มมากขึ้น
http://www.posttoday.com/news.php?id=25166
----------------------------------------------------------------------
ฟังสถาบันยานยนต์ ไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรน่าครับ
by the way
พี่มน ดอทดำ มีอยู่คนเดียวใน Web อ่ะ พี่
แซวพี่แกเล่นๆๆน่าครับ เลยต่อท้ายให้
ตอนนี้พี่เขาเริ่มตัวขาวแล้วน่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โพสต์ที่ 30
เศรษฐกิจไทยอาการหนัก ต.ค.-พ.ย.โตติดลบ2.5%
ภาวะไทยชะลอตัวหนัก ไตรมาส 4 ปีนี้โต 0% เทียบกับไตรมาส 3 ติดลบ 2.5% หมู่หรือจ่าอยู่ที่นโยบายรัฐ
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า พิจารณาประมาณการเบื้องต้น จากข้อมูลเดือนต.ค.และพ.ย. พบว่าการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ ไม่น่าจะเลวร้ายถึงขนาดติดลบ 3% แต่ขยายตัวได้แค่ 0% แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 3 ติดลบ 2.5%
นางอมรา กล่าวว่า การขยายตัวระดับนี้ ถือว่าต่ำกว่ากรณีเลวร้ายที่ธปท. เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ จึงต้องติดตามว่าไตรมาสแรกปีหน้าจะปรับขึ้นได้หรือไม่มากกว่า
ผู้บริหารธปท. กล่าวว่า ตัวเลขที่คาดการณ์ว่าโต 3.8-5% นั้น ระดับ 5% ไม่มีใครมองแล้ว คงต้องดูว่าจะสูงกว่าหรือต่ำกว่า 3.8%
อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลนี้สามารถบริหารราชการไปได้ เพราะแถลงนโยบายไปแล้ว สถานการณ์ก็อาจจะดีขึ้นก็ได้ ภาคธุรกิจตอบรับดี ความเชื่อมั่นก็อาจจะกลับมา การใช้จ่าย การบริโภค การลงทุนจะกลับมาได้
ทั้งนี้ ธปท.จะแถลงผลการประเมินเศรษฐกิจอีกครั้ง ในวันที่ 23 ม.ค. 2552 นี้
สำหรับเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาชะลอตัวลงชัดเจนในแทบทุกด้าน
ด้านอุปทาน ดัชนีภาคอุตสาหกรรมติดลบ 6.6% จาก 2.3% ในเดือนก่อนหน้า การใช้กำลังการผลิตลดเหลือ 61.2% จาก 87% ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนติดลบ 1.6% จาก 2.8% และถ้าเทียบกับเดือนก่อนหน้าติดลบ 4.1% จากที่เคยติดลบ 1.1% ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.2% จาก 2.2% และถ้าเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าติดลบ 1.1% จาก 0.8% ส่วนภาคการส่งออกมีมูลค่า 1.17 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 17.7%
http://www.posttoday.com/news.php?id=25505
ภาวะไทยชะลอตัวหนัก ไตรมาส 4 ปีนี้โต 0% เทียบกับไตรมาส 3 ติดลบ 2.5% หมู่หรือจ่าอยู่ที่นโยบายรัฐ
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า พิจารณาประมาณการเบื้องต้น จากข้อมูลเดือนต.ค.และพ.ย. พบว่าการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ ไม่น่าจะเลวร้ายถึงขนาดติดลบ 3% แต่ขยายตัวได้แค่ 0% แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 3 ติดลบ 2.5%
นางอมรา กล่าวว่า การขยายตัวระดับนี้ ถือว่าต่ำกว่ากรณีเลวร้ายที่ธปท. เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ จึงต้องติดตามว่าไตรมาสแรกปีหน้าจะปรับขึ้นได้หรือไม่มากกว่า
ผู้บริหารธปท. กล่าวว่า ตัวเลขที่คาดการณ์ว่าโต 3.8-5% นั้น ระดับ 5% ไม่มีใครมองแล้ว คงต้องดูว่าจะสูงกว่าหรือต่ำกว่า 3.8%
อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลนี้สามารถบริหารราชการไปได้ เพราะแถลงนโยบายไปแล้ว สถานการณ์ก็อาจจะดีขึ้นก็ได้ ภาคธุรกิจตอบรับดี ความเชื่อมั่นก็อาจจะกลับมา การใช้จ่าย การบริโภค การลงทุนจะกลับมาได้
ทั้งนี้ ธปท.จะแถลงผลการประเมินเศรษฐกิจอีกครั้ง ในวันที่ 23 ม.ค. 2552 นี้
สำหรับเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาชะลอตัวลงชัดเจนในแทบทุกด้าน
ด้านอุปทาน ดัชนีภาคอุตสาหกรรมติดลบ 6.6% จาก 2.3% ในเดือนก่อนหน้า การใช้กำลังการผลิตลดเหลือ 61.2% จาก 87% ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนติดลบ 1.6% จาก 2.8% และถ้าเทียบกับเดือนก่อนหน้าติดลบ 4.1% จากที่เคยติดลบ 1.1% ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.2% จาก 2.2% และถ้าเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าติดลบ 1.1% จาก 0.8% ส่วนภาคการส่งออกมีมูลค่า 1.17 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 17.7%
http://www.posttoday.com/news.php?id=25505