Moment Of Truth / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Moment Of Truth / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 ตุลาคม 2551
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถ้าใช้ภาษาอังกฤษมาบรรยายถึงความรู้สึกของนักลงทุนหลายคนก็คงต้องใช้คำว่า Moment Of Truth มันเป็นวิกฤติกาล เป็นเวลาที่จะต้องนั่งคิดคำนึงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป อนาคตอันสดใสที่เคยวาดหวังไว้อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก หลายคนอาจจะต้องตัดหุ้นออกจากสาระบบของเครื่องมือที่จะนำพาไปสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน หุ้นอาจจะไม่ใช่หนทางสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างรวดเร็วตามที่ฝันไว้อีกต่อไป ลองมาดูความจริงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์หุ้นรอบนี้ที่ดัชนีตกลงมาจาก 858 จุดในตอนต้นปีเหลือเพียงประมาณ 433 จุดในช่วงนี้ดูว่านักลงทุนที่อยู่ในตลาด โดยเฉพาะ Value Investor หรือนักลงทุนระยะยาวที่เข้าตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาดู
ข้อเท็จจริงข้อแรกก็คือ ในช่วง 5 ปีนับจากปี 2547 เป็นต้นมา มีนักลงทุนหน้าใหม่ซึ่งรวมถึง Value Investor เข้ามาลงทุนในตลาดเป็นจำนวนมาก เหตุผลก็คือ ในปี 2546 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นถึง 117% ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นบูมมากที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย ข่าวของความร่ำรวยของเศรษฐีหุ้นกระจายไปทั่ว มูลค่าของหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นนับเป็นล้าน ๆ บาท คนคิดว่าการแสวงหาความร่ำรวยในตลาดนั้นทำได้ง่าย ๆ สิ่งนี้ประกอบกับการสนับสนุนและส่งเสริมจากรัฐบาลผ่านมาตรการทางภาษีหลากหลายและการเผยแพร่ความรู้ของหน่วยงานเกี่ยวกับตลาดทุนทำให้ตลาดหุ้นนั้นคึกคักยิ่งกว่ายุคใด ๆ และตลาดหุ้นไม่ใช่สถานที่เฉพาะของนักเก็งกำไรและคนที่ไม่มีความรู้อีกต่อไป และ Value Investor กลายเป็นความคิดและกลุ่มบุคคลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
โดยเฉลี่ยแล้ว หลังจากปี 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 740 จุดก่อนที่จะตกลงมาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนนี้ นั่นแปลว่าโดยเฉลี่ยแล้วนักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลาจะขาดทุนประมาณ 41% และถ้าจะกลับไปเท่าทุนได้นั้น ดัชนีจะต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 71% ซึ่งถ้าหากว่าตลาดหุ้นนับจากวันนี้สามารถปรับตัวขึ้นได้ปีละประมาณ 10% ซึ่งเป็นผลตอบแทนปกติในระยะยาวของตลาดแล้ว จะต้องใช้เวลาถึงประมาณ 5.6 ปี ดัชนีถึงจะกลับมาอยู่ที่เดิมที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในวันแรก ดังนั้น ถ้านักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงต้นปี 2547 ก็หมายความว่า เขาลงทุนในตลาดมาแล้ว 5 ปี โดยที่ยังขาดทุนอยู่ 41% และกว่าเขาจะได้ทุนคืน เขาอาจจะต้องรอไปอีกกว่า 5 ปี สรุปแล้ว เขาอาจจะเจอกับ 10 ปีแห่งความว่างเปล่าของการลงทุน
นักลงทุนบางคนนั้น นับจากวันลงทุนครั้งแรกเมื่อ 4-5 ปีก่อนจนถึงก่อนวิกฤติตลาดหุ้นรอบนี้อาจจะประสบความสำเร็จสูง หลายคนอาจจะเป็น “ดารา” ผลตอบแทนสูงลิ่วและเม็ดเงินลงทุนสูงขึ้นมากจนอาจจะใกล้ความเป็น “อิสรภาพทางการเงิน” แต่แล้วเม็ดเงินก็กลับทรุดฮวบลงอย่างน่าตกใจ พอร์ตหุ้นหรือผลตอบแทนที่ติดลบลงมาเกือบครึ่งหนึ่งหรือ 50% นั้น ถ้าเอามาเฉลี่ยกับผลตอบแทนเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นเวลา 4-5 ปีนั้นอาจจะคิดว่าไม่น่าจะมาก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ บางที ตอนที่ได้ผลตอบแทนมากนั้น เป็นช่วงที่เขาใช้เม็ดเงินลงทุนน้อย แต่ในช่วงที่หุ้นตก 50% นั้นอาจจะเป็นช่วงที่เขามีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมเข้ามามาก ดังนั้น ผลรวมก็คือ เขาอาจจะเหลือกำไรน้อยมากหรืออาจจะขาดทุนเลยก็ได้ทั้ง ๆ ที่คำนวณผลตอบแทนระยะยาวแล้ว ตัวเลขก็ยังเป็นบวกค่อนข้างมาก สถานการณ์แบบนี้ ผมอยากจะเปรียบเทียบกับเรื่องของสงครามที่มักจะมีคำพูดที่ว่า “ชนะศึกจำนวนมาก แต่แพ้สงคราม” เหตุผลก็คือ ศึกที่ชนะนั้นเป็นศึกเล็ก ๆ แต่ศึกที่แพ้กลับเป็นศึกใหญ่ที่กำหนดผลลัพธ์ของสงคราม
วิกฤติตลาดหุ้นนั้น น่าจะเหมือนกับสึนามิ นั่นคือ มันสามารถเปลี่ยนแปลงแผนภูมิความมั่งคั่งของบริษัทต่าง ๆ เช่นเดียวกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของมัน หุ้นหลายตัวหรือหลายกลุ่มอาจจะมีมูลค่าลดลงมากและมันอาจจะไม่กลับขึ้นมาอีกเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ตรงกันข้าม หุ้นหลายตัวหรือหลายกลุ่มอาจจะมีมูลค่าลดลงเช่นกันในยามที่เกิดวิกฤติแต่อาจจะลดลงไม่มาก แต่เมื่อภาวะวิกฤติหมดไป มันอาจจะฟื้นตัว มูลค่าหุ้นกลับมาที่เดิมและเติบโตขึ้นไปอีก ผลก็คือ เราได้บริษัทที่ยิ่งใหญ่ตัวใหม่หรือกลุ่มใหม่ปรากฏขึ้น ถ้ายังไม่เห็นภาพก็ลองนึกถึงบริษัทที่ยิ่งใหญ่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่วและเป็นที่สนใจของนักลงทุนในช่วงก่อนวิกฤติตลาดหุ้นปี 2540 ก็จะพบว่า มันแตกต่างจากภาพในวันนี้แค่ไหน ลองคิดถึงหุ้นไฟแน้นซ์ หุ้นที่ดินยักษ์ใหญ่ ที่เป็นพระเอกในสมัยนั้นดู!
วิกฤตินั้นมักจะช่วยบอกให้เรารู้ว่ากลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนที่เราใช้อยู่นั้น มันมีข้อดีข้อด้อยตรงไหน สิ่งที่เราใช้อยู่นั้น มันถูกต้องจริงหรือไม่ ผลสำเร็จของเราเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องของฝีมือ จุดอ่อนของ Value Investor ในเมืองไทยนั้น นอกจากเรื่องต่าง ๆ เช่นการที่มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนน้อยที่มีคุณภาพดีแล้ว ก็คือ Value Investor ส่วนใหญ่ไม่เคยประสบกับภาวะตลาดหุ้นตกรุนแรงหรือภาวะวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงมักจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการลงทุนหรือกำหนด Margin Of Safety น้อย พวกเขาเพียงแต่ “คิด” ว่า เขาได้เผื่อ Margin Of Safety สูงแล้ว หลายคนชอบลงทุนในกิจการที่ไม่มีความแน่นอนแต่มี “โมเมนตัม” ของกำไรหรือผลการดำเนินงานของบริษัทที่จะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้มาก คำว่าช้า ๆ แต่ชัวร์นั้นพวกเขาอาจจะคิดว่าเหมาะกับ Value Investor กลุ่มอื่นและคนที่สูงอายุมากกว่า ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น หุ้นจึงมักจะไม่สามารถต้านทานการตกลงมาได้
ทั้งหมดนั้นก็คือ Moment Of Truth ที่ผมพอจะนึกได้ นักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ “เจ็บหนัก” หรือคนที่ยัง “พอประคองตัวเอง” ได้ จะต้องคิดคำนึงถึงบทเรียนสำคัญในครั้งนี้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในวิกฤตินั้น ยังมีโอกาสเสมอ การท้อถอยเลิกลงทุนคือการพ่ายแพ้ ในตอนนี้ หลาย ๆ คนที่ “ฝันสลาย” จะต้องทำใจให้ได้ว่า นั่นคือความฝันจริง ๆ เป็นเรื่องที่เราจินตนาการไปเอง ณ. ขณะนี้ มันคือความจริงที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป ด้วยความคาดหวังที่สมจริง ผมเองเตือนอยู่เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้น ในระยะยาวแล้วอย่าคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนเกินปีละ 10-15 % ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราแน่แค่ไหน ขอให้โชคดีกับการเดินทางต่อไปครับ
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถ้าใช้ภาษาอังกฤษมาบรรยายถึงความรู้สึกของนักลงทุนหลายคนก็คงต้องใช้คำว่า Moment Of Truth มันเป็นวิกฤติกาล เป็นเวลาที่จะต้องนั่งคิดคำนึงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป อนาคตอันสดใสที่เคยวาดหวังไว้อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก หลายคนอาจจะต้องตัดหุ้นออกจากสาระบบของเครื่องมือที่จะนำพาไปสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน หุ้นอาจจะไม่ใช่หนทางสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างรวดเร็วตามที่ฝันไว้อีกต่อไป ลองมาดูความจริงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์หุ้นรอบนี้ที่ดัชนีตกลงมาจาก 858 จุดในตอนต้นปีเหลือเพียงประมาณ 433 จุดในช่วงนี้ดูว่านักลงทุนที่อยู่ในตลาด โดยเฉพาะ Value Investor หรือนักลงทุนระยะยาวที่เข้าตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาดู
ข้อเท็จจริงข้อแรกก็คือ ในช่วง 5 ปีนับจากปี 2547 เป็นต้นมา มีนักลงทุนหน้าใหม่ซึ่งรวมถึง Value Investor เข้ามาลงทุนในตลาดเป็นจำนวนมาก เหตุผลก็คือ ในปี 2546 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นถึง 117% ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นบูมมากที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย ข่าวของความร่ำรวยของเศรษฐีหุ้นกระจายไปทั่ว มูลค่าของหุ้นในตลาดเพิ่มขึ้นนับเป็นล้าน ๆ บาท คนคิดว่าการแสวงหาความร่ำรวยในตลาดนั้นทำได้ง่าย ๆ สิ่งนี้ประกอบกับการสนับสนุนและส่งเสริมจากรัฐบาลผ่านมาตรการทางภาษีหลากหลายและการเผยแพร่ความรู้ของหน่วยงานเกี่ยวกับตลาดทุนทำให้ตลาดหุ้นนั้นคึกคักยิ่งกว่ายุคใด ๆ และตลาดหุ้นไม่ใช่สถานที่เฉพาะของนักเก็งกำไรและคนที่ไม่มีความรู้อีกต่อไป และ Value Investor กลายเป็นความคิดและกลุ่มบุคคลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
โดยเฉลี่ยแล้ว หลังจากปี 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 740 จุดก่อนที่จะตกลงมาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนนี้ นั่นแปลว่าโดยเฉลี่ยแล้วนักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลาจะขาดทุนประมาณ 41% และถ้าจะกลับไปเท่าทุนได้นั้น ดัชนีจะต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 71% ซึ่งถ้าหากว่าตลาดหุ้นนับจากวันนี้สามารถปรับตัวขึ้นได้ปีละประมาณ 10% ซึ่งเป็นผลตอบแทนปกติในระยะยาวของตลาดแล้ว จะต้องใช้เวลาถึงประมาณ 5.6 ปี ดัชนีถึงจะกลับมาอยู่ที่เดิมที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในวันแรก ดังนั้น ถ้านักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงต้นปี 2547 ก็หมายความว่า เขาลงทุนในตลาดมาแล้ว 5 ปี โดยที่ยังขาดทุนอยู่ 41% และกว่าเขาจะได้ทุนคืน เขาอาจจะต้องรอไปอีกกว่า 5 ปี สรุปแล้ว เขาอาจจะเจอกับ 10 ปีแห่งความว่างเปล่าของการลงทุน
นักลงทุนบางคนนั้น นับจากวันลงทุนครั้งแรกเมื่อ 4-5 ปีก่อนจนถึงก่อนวิกฤติตลาดหุ้นรอบนี้อาจจะประสบความสำเร็จสูง หลายคนอาจจะเป็น “ดารา” ผลตอบแทนสูงลิ่วและเม็ดเงินลงทุนสูงขึ้นมากจนอาจจะใกล้ความเป็น “อิสรภาพทางการเงิน” แต่แล้วเม็ดเงินก็กลับทรุดฮวบลงอย่างน่าตกใจ พอร์ตหุ้นหรือผลตอบแทนที่ติดลบลงมาเกือบครึ่งหนึ่งหรือ 50% นั้น ถ้าเอามาเฉลี่ยกับผลตอบแทนเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นเวลา 4-5 ปีนั้นอาจจะคิดว่าไม่น่าจะมาก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ บางที ตอนที่ได้ผลตอบแทนมากนั้น เป็นช่วงที่เขาใช้เม็ดเงินลงทุนน้อย แต่ในช่วงที่หุ้นตก 50% นั้นอาจจะเป็นช่วงที่เขามีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมเข้ามามาก ดังนั้น ผลรวมก็คือ เขาอาจจะเหลือกำไรน้อยมากหรืออาจจะขาดทุนเลยก็ได้ทั้ง ๆ ที่คำนวณผลตอบแทนระยะยาวแล้ว ตัวเลขก็ยังเป็นบวกค่อนข้างมาก สถานการณ์แบบนี้ ผมอยากจะเปรียบเทียบกับเรื่องของสงครามที่มักจะมีคำพูดที่ว่า “ชนะศึกจำนวนมาก แต่แพ้สงคราม” เหตุผลก็คือ ศึกที่ชนะนั้นเป็นศึกเล็ก ๆ แต่ศึกที่แพ้กลับเป็นศึกใหญ่ที่กำหนดผลลัพธ์ของสงคราม
วิกฤติตลาดหุ้นนั้น น่าจะเหมือนกับสึนามิ นั่นคือ มันสามารถเปลี่ยนแปลงแผนภูมิความมั่งคั่งของบริษัทต่าง ๆ เช่นเดียวกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของมัน หุ้นหลายตัวหรือหลายกลุ่มอาจจะมีมูลค่าลดลงมากและมันอาจจะไม่กลับขึ้นมาอีกเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ตรงกันข้าม หุ้นหลายตัวหรือหลายกลุ่มอาจจะมีมูลค่าลดลงเช่นกันในยามที่เกิดวิกฤติแต่อาจจะลดลงไม่มาก แต่เมื่อภาวะวิกฤติหมดไป มันอาจจะฟื้นตัว มูลค่าหุ้นกลับมาที่เดิมและเติบโตขึ้นไปอีก ผลก็คือ เราได้บริษัทที่ยิ่งใหญ่ตัวใหม่หรือกลุ่มใหม่ปรากฏขึ้น ถ้ายังไม่เห็นภาพก็ลองนึกถึงบริษัทที่ยิ่งใหญ่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่วและเป็นที่สนใจของนักลงทุนในช่วงก่อนวิกฤติตลาดหุ้นปี 2540 ก็จะพบว่า มันแตกต่างจากภาพในวันนี้แค่ไหน ลองคิดถึงหุ้นไฟแน้นซ์ หุ้นที่ดินยักษ์ใหญ่ ที่เป็นพระเอกในสมัยนั้นดู!
วิกฤตินั้นมักจะช่วยบอกให้เรารู้ว่ากลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนที่เราใช้อยู่นั้น มันมีข้อดีข้อด้อยตรงไหน สิ่งที่เราใช้อยู่นั้น มันถูกต้องจริงหรือไม่ ผลสำเร็จของเราเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องของฝีมือ จุดอ่อนของ Value Investor ในเมืองไทยนั้น นอกจากเรื่องต่าง ๆ เช่นการที่มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนน้อยที่มีคุณภาพดีแล้ว ก็คือ Value Investor ส่วนใหญ่ไม่เคยประสบกับภาวะตลาดหุ้นตกรุนแรงหรือภาวะวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงมักจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการลงทุนหรือกำหนด Margin Of Safety น้อย พวกเขาเพียงแต่ “คิด” ว่า เขาได้เผื่อ Margin Of Safety สูงแล้ว หลายคนชอบลงทุนในกิจการที่ไม่มีความแน่นอนแต่มี “โมเมนตัม” ของกำไรหรือผลการดำเนินงานของบริษัทที่จะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้มาก คำว่าช้า ๆ แต่ชัวร์นั้นพวกเขาอาจจะคิดว่าเหมาะกับ Value Investor กลุ่มอื่นและคนที่สูงอายุมากกว่า ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น หุ้นจึงมักจะไม่สามารถต้านทานการตกลงมาได้
ทั้งหมดนั้นก็คือ Moment Of Truth ที่ผมพอจะนึกได้ นักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ “เจ็บหนัก” หรือคนที่ยัง “พอประคองตัวเอง” ได้ จะต้องคิดคำนึงถึงบทเรียนสำคัญในครั้งนี้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในวิกฤตินั้น ยังมีโอกาสเสมอ การท้อถอยเลิกลงทุนคือการพ่ายแพ้ ในตอนนี้ หลาย ๆ คนที่ “ฝันสลาย” จะต้องทำใจให้ได้ว่า นั่นคือความฝันจริง ๆ เป็นเรื่องที่เราจินตนาการไปเอง ณ. ขณะนี้ มันคือความจริงที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป ด้วยความคาดหวังที่สมจริง ผมเองเตือนอยู่เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้น ในระยะยาวแล้วอย่าคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนเกินปีละ 10-15 % ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราแน่แค่ไหน ขอให้โชคดีกับการเดินทางต่อไปครับ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
Moment Of Truth / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- King_Krimson
- Verified User
- โพสต์: 171
- ผู้ติดตาม: 0
Moment Of Truth / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
โอยเมาหมัด SET + Poison Hamberger
"Ther Pursuit of Liberty"
"You can only depend on yourself. The cavalry ain't coming."
"You can only depend on yourself. The cavalry ain't coming."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Moment Of Truth / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ทั้งหมดนั้นก็คือ Moment Of Truth ที่ผมพอจะนึกได้ นักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ เจ็บหนัก หรือคนที่ยัง พอประคองตัวเอง ได้ จะต้องคิดคำนึงถึงบทเรียนสำคัญในครั้งนี้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในวิกฤตินั้น ยังมีโอกาสเสมอ การท้อถอยเลิกลงทุนคือการพ่ายแพ้ ในตอนนี้ หลาย ๆ คนที่ ฝันสลาย จะต้องทำใจให้ได้ว่า นั่นคือความฝันจริง ๆ เป็นเรื่องที่เราจินตนาการไปเอง ณ. ขณะนี้ มันคือความจริงที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป ด้วยความคาดหวังที่สมจริง ผมเองเตือนอยู่เสมอว่า การลงทุนในตลาดหุ้น ในระยะยาวแล้วอย่าคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนเกินปีละ 10-15 % ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราแน่แค่ไหน ขอให้โชคดีกับการเดินทางต่อไปครับ