ทำไม ผมถึงลงทุนเพียงบริษัทเดียว

[chatchai]

ผมมักจะถูกถามจากเพื่อนๆหลายๆคนว่า  ทำไมถึงลงทุนเพียงบริษัทเดียว  ทั้งๆที่ทั้งครอบครัวของผมก็ไม่มีใครทำงานประจำ

อีกทั้งหลักการบริหารพอร์ตการลงทุน  ก็แนะนำว่า  ควรที่จะกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนหลายๆบริษัท

ผมคิดอย่างไร  ถึงได้ลงทุนเพียงบริษัทเดียว

การลงทุนแนวคุณค่า  ให้หลักคิดว่า  เราถือหุ้นก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าของกิจการเอง  

ถ้าเราเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วประสบความสำเร็จ  สิ่งต่อไปที่เราควรทำคืออะไร

1. เปิดสาขาที่ 2

2. เปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่น  เพื่อกระจายความเสี่ยง

[Stock Broker]

[quote="chatchai"]
ถ้าเราเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วประสบความสำเร็จ

[Penguins]

กำลังคิดถึง ทุกปัจจัยในสาขา 2

[poppo]

เรื่องไปทำธุรกิจอื่น คงไม่น่าจะดี เพราะเราถนัดทางนี้

แต่ต้องมาดูว่าทำไมเราถึงประสบความสำเร็จในสาขานี้

เหตุผลเป็นเรื่องอะไร

ทำเลดี อยู่ในแหล่งชุมชนที่มีคนมีอันจะกินมาก

พ่อครัวเก่ง ทำอาหารเลิศรส

ต้นทุนถูกกว่าคนอื่นมากๆ จนคิดว่าไม่น่าจะมีใครซึ่งมีเงินมาเปิดแล้วจะคุ้มค่าทางธุรกิจในการตัดราคาแข่งกับเรา

ผลตอบแทนการลงทุนกรณีที่เปิดสาขาใหม่ จะเท่าสาขาแรกหรือเปล่า

ถ้า cash yield ไม่คุ้มค่า ก็ไม่น่าเปิด

[austin_bd]

เปิดสาขาใหม่คับ...



เรื่อง ใจ มันสำคัญ จริงๆ นะคับเนี่ย

[areliang]

ผม ว่า

การขยาย ความสามารถ ในการเข้าใจ ของเรา เพิ่ม สักหน่อยก็ดีนะครับ

ความสามารถ ในการเข้าใจธุกิจ

การที่ได้ ปันผล และ reinvestment

ซึ่ง การลงทุน รูปแบบนี้ ก็น่าจะมีเวลา ในการ ศึกษา

ถ้าเรา เข้า ใจ อีกธุรกิจ มากพอ จริงๆ

และผลตอบแทนเทียบเคียงกันได้

มันก็น่าจะ ขยาย ขอบเขต ออกไปได้

แต่ตอน นี้ อาจจะเป็นเพราะ บริษัท นั้น

ยังคง under value  อยู่

จึงยังทำให้ ได้ ปันผล และ reinvestment ในบริษัทเดิมแห่งเดียวได้

[areliang]

ถ้าเราเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วประสบความสำเร็จ  สิ่งต่อไปที่เราควรทำคืออะไร

1. เปิดสาขาที่ 2

2. เปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่น  เพื่อกระจายความเสี่ยง

เป็นผม ผมก็เลือก เปิด สาขา 2

แต่ถ้า เราเป็น นักลงทุน ใน ธุรกิจ เมื่อเราลงทุน ในธุรกิจที่หนึ่ง ประสบความสำเร็จ ด้วยความเข้าใจอย่างดี ในธุรกิจนั้น สิ่งต่อไป ที่เรา ควรทำคืออะไร

1. เข้าใจ และ ลงทุน ในบริษัท นั้น บริษัทเดียวไปเรื่อยๆ

2. ขยาย ความเข้าใจ ศึกษา ธุรกิจ ที่เรา พอจะเข้าใจ ให้เข้าใจยิ่งมากขึ้นไป
แล้วเมื่อมี โอกาส ก็เข้าซื้อ

เป็นการกระจาย ที่ไม่ยอมให้เกิดความเสี่ยงมากนัก เพราะ เข้าใจ

ลงทุน ในบริษัท นั้น บริษัทเดียวไปเรื่อยๆ นั้นดีมาก ถ้ามูลค่ายังคง undervalue
แต่บริษัท ในตลาดหุ้น หลายๆ ครั้ง ก็ขึ้นลง จนไม่ได้อยู่ที่ undervalue

ปล. เป็นเพียง ความเห็นของผมนะครับ

[Linzhi]

คือบางทีลงทุนไปเรื่อย ๆ รู้สึกลงไปหลายสาขาแล้ว (ตามความรู้สึกว่าเงินในหุ้นตัวนั้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ )

เลยเลือกขยายไปธุรกิจอื่นครับ (เพราะความกลัว)

บางครั้งก็เห็นว่าธุรกิจอื่นถูกและดี เลยแว๊ปไปแว๊ปมา เป็นระยะ ๆ

[surachaichia]

ผมคิดว่า การลงทุนโดยธุรกิจที่บริหารด้วยตัวเอง กับ ธุรกิจที่ ลงทุนผ่านบริษัทไม่เหมือนกัน แต่ถ้าสมมติฐาน คือ เราคิดว่า ข้อมูลทุกอย่างเรารู้ได้หมด หลักการคิดก็จะเป็นแบบเดียวกัน หลายครั้งผมถึงคิดว่า buffet จึงซื้อบริษัท แม้จะไม่ยุ่งกับผู้บริหารเดิม แต่นั่นคือ หลักการบริหารเชิงกลยุทธ์อย่างหนึ่ง

[BHT]

เห็นทำร้านอาหารญี่ปุ่นดัง แล้วไปทำชาเขียว ก็ดังกว่าเดิมนี่ครับ

[siebelize]

ผมคิดว่า การลงทุนโดยธุรกิจที่บริหารด้วยตัวเอง กับ ธุรกิจที่ ลงทุนผ่านบริษัทไม่เหมือนกัน แต่ถ้าสมมติฐาน คือ เราคิดว่า ข้อมูลทุกอย่างเรารู้ได้หมด หลักการคิดก็จะเป็นแบบเดียวกัน

เห็นด้วยกับความเห็นนี้ครับ


ว่าแต่ว่า ตอนช่วงที่ไข้หวัดนกระบาดหนักๆเนี่ย เคยผ่านร้านข้าวมันไก่กันบ้างรึเปล่าครับ  :D    :D

[samahara]

โดยส่วนตัว ผมขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แท้จริงของเราครับ ถ้าปัจจุบันเรามีเงินเก็บพอประมาณ และพิจารณาแล้วว่า ร้านของเรายังทำกำไรได้ดีไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี รวมถึงเรามีเวลาพักผ่อนเหมาะสม ถ้าเป็นผมๆคงไม่ทำครับ ดูแลร้านเดียวต่อไปดีกว่า ถึงแม้ว่า ร้านที่ 2 อาจจะทำรายได้มากกว่าดีกว่าเดิมมาก แต่ถ้ากลายเป็นว่า เราต้องทำงานหนักมากขึ้น จนไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ผมคงไม่เลือกครับ.

[A man from the Islay]

เอาคู่เลยฮ่ะ ฮิๆๆ มันส์ดี ผมชอบ

[omega]

แต่ถ้าบังเอินมีคนมาเสนอซื้อร้านอาหารญี่ปุ่นของเราในราคาที่น่าสนใจ(มากๆ) เทียบกับการเปิดสาขาที่ 2 แบบนี้ก็ช่างใจลำบากอยู่  :oops:

[Diablo]

ว่าแต่ว่า ตอนช่วงที่ไข้หวัดนกระบาดหนักๆเนี่ย เคยผ่านร้านข้าวมันไก่กันบ้างรึเปล่าครับ  :D    :D

ผมกินเกือบทุกวันเลยครับ แทบไม่ได้สนใจเรื่องหวัดนกเลยอ่ะ น่าจะเพราะความที่ติดตามข่าวสารน้อยด้วยครับ จึงไม่ถูกสื่อครอบงำจนกลัวเกินความเป็นจริงนัก

[gnomeller]

มองต่างมุม
ผมมีญาติอยู่คนหนึงเค้าทำธรุกิจของตัวเองมาตลอด ตั้งแต่เค้าจนอยู่สมัยก่อน
ค่อยๆทำธุรกิจเล๊กๆมาเรื่อยๆ ลักษณะในการทำของเค้าคือ เค้าจะปั้นธุรกิจหนึงๆมาเรื่อยจากไม่มีอะไรเลย ลงทุนเครือ่งจักรสร้างโรงงานและทำระบบทั้งหมด พอทำได้กำไรทุกอย่างเข้าทีเข้าทาง เค้าจะเสนอขายหุ้นธุรกิจนั้นๆให้คนอื่นแบบ ขายหุ้นส่วนมากเลยทีเดียว แล้วทีนี้เค้าได้กำไรจากการขายหุ้นมหาศาล
เค้าก็เอาไปลงทุนสร้างธุรกิจใหม่ออกมาอีกสร้างจนมันได้ดิบได้ดี แล้วเค้าก็จะขายมันในช่วงที่มัน peak
แล้วเค้าก็จะหันไปสร้างธุรกิจใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

ตอนนี้เวลาผ่านมา 15 ปี เค้าสร้างธุรกิจและขาย สร้างแล้วขาย ไปได้ 3โรงงานแล้ว จากคนที่เคย"จน" ทำงาน มอมแมมในอู่ซ่อมรถมาก่อน
ตอนนี้ญาติผมคนนั้นเค้ามีบ้านหลังละ 15ล้าน และรถที่เค้าขับอยู่ ราคาเท่ากับบ้านหลังนั้น


ในกรณีนี้ ผมมองว่าเค้าใช้วิธีแบบที่2
เค้าไม่ได้ขยายสาขา แต่ว่าเค้าจะขายกิจการทันในที่จุดที่ peak และน่าสนใจที่สุดของกิจการ และจะเข้าไปถึอหุ้นกิจการอื่นอีกต่อไป

[คลายเครียด]

ผมเชื่อ่ว่า  ใดๆในโลกล้วนอนิจจังครับ
ก็เลยไม่เคยกล้าถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ต

สมมติว่า เมื่อสิบปีก่อน
มีหมอดูบอกว่า  เลห์แมนจะล้มละลายในที่สุด
คนฟังคงจะขำกลิ้ง   ด่าหมอดูว่า  ทำนายไร้สาระสิ้นดี


 :oops:  :oops:  :oops:  :oops:  :oops:  :oops:

[CEO]

ทำเเฟรนชายน์ ขยายกิจการใหญ่โต เอาเข้าตลาดหุ้น
ปั่นหุ้นแล้วขายทิ้งให้หมดที่ยอดดอย
แล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะว่าชีวิตไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ในประเทศ
เอ๊ะ คุ้นๆแฮะ

[siebelize]

[quote="Diablo"][quote="siebelize"]

ว่าแต่ว่า ตอนช่วงที่ไข้หวัดนกระบาดหนักๆเนี่ย เคยผ่านร้านข้าวมันไก่กันบ้างรึเปล่าครับ

[chatchai]

ในกรณีนี้ ผมมองว่าเค้าใช้วิธีแบบที่2
เค้าไม่ได้ขยายสาขา แต่ว่าเค้าจะขายกิจการทันในที่จุดที่ peak และน่าสนใจที่สุดของกิจการ และจะเข้าไปถึอหุ้นกิจการอื่นอีกต่อไป

แล้วในกรณีที่ธุรกิจเดิมยังไม่ peak ละ

เค้ายังคงทำธุรกิจเดิมธุรกิจเดียวอยู่หรือเปล่า  หรือว่ามีการขยายไปทำธุรกิจอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง

[chatchai]

การเปิดสาขาที่ 2  กับ  ความเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่

ทางเลือกไหนมีความเสี่ยงมากกว่ากัน

[areliang]

ถ้า คนที่เคยมีประสบการณ์ จริงๆ จากการสร้างธุรกิจ

การ สร้าง สาขา สอง ก็ เสี่ยงไม่น้อยเช่นกัน

ถ้าไม่ใช่ model ธุรกิจ ที่ดี

เคยเห็น การขยาย ของบริษัท ต่างๆ หลายครั้ง ก็ เกิดผิดพลาดได้

องค์ ประกอบ เพื่อ การขยาย สาขาให้สำเร็จ นั้นสำคัญ

การเริ่มต้นธุรกิจ ใหม่

นั้นเสี่ยงกว่า ถ้าไม่มีประสบการณ์ หรือ ไม่เคยทำมาก่อน

แต่ถ้ามีประสบการณ์ มาก ถึง มากที่สุด ความเสี่ยงก็ลดลง

ดังนั้น ความเสี่ยง เกิด จากการ ไม่รู้ มากกว่า

ยิ่งไม่รู้ ก็ยิ่งเสี่ยง ยิ่ง รู้ ก็ยิ่งเสี่ยงน้อยลง

[สวนหย่อม]

พี่ฉัตรครับ ถ้าผมเปิดร้านเอง และผมมองว่ายังมีโอกาสโตได้อีกอย่างมั่นคง ผมคงเลือกเปิดสาขาสองเพราะผมมีความชำนาญมากกว่า

แต่ในกรณีเลือกลงทุนในบริษัท เรามีผู้บริหารมืออาชีพ และมีความเชี่ยวชาญ
ในหลายๆ สาขาไว้คอยทำงานแทนเราอยู่แล้ว

ผมว่าก็น่าสนใจที่จะลงทุนในกิจการอื่นๆ ที่มีแนวโน้มสดใสกว่าธุรกิจที่เราทำอยู่
(ในกรณีที่เราได้ศึกษามาดีแล้วนะครับ)

[areliang]

ผมว่า

การเป็น นักลงทุน ในธุรกิจ คล้ายๆ การ จับมือ

เมื่อ ร่วมลงทุน ในธุรกิจ แปลว่า เราไปร่วมเป็นหุ้นส่วน จับมือ กับผู้บริหาร หรือเจ้าของเดิม

ผู้บริหาร ธุรกิจ ที่ ดี และ มีประสบการณ์

เมื่อเทียบกับนักลงทุน

ผู้บริหาร คงมีความสามารถ ที่จะ ทำธุรกิจ เข้าใจธุรกิจดีกว่าตัวเรามาก

ตัวนักลงทุนเองนั้น ก็ยากที่จะมี ความสามารถ เทียบเท่าแล้วไปบริหารธุรกิจนั้นๆเอง เพราะ ผู้บริหารที่ดี บางทีต้องอาศัย ประสบการณ์ การทำงานเป็นสิบปี

แต่ผู้ลงทุน จะลงทุน บริษัทไหน ต้องเข้าใจ กลไก การทำงาน และ ลักษณะ ธุรกิจให้ดี ตาม วงกลม แห่งความสามารถในความเข้าใจ ของแต่ละบุคคล

ปล. เป็น เพียง ความเห็นนะครับ

[kin]

ขออนุญาตแสดงความเห็นนะครับ

การขยายสาขาที่ 2 ในความหมายของพี่ฉัตร ถ้าเทียบกับหุ้นก็น่าจะเสมือนเป็นการซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่ม

ดังนั้นสาขาที่ 2 แทบจะเรียกว่าไม่มีความแตกต่างจากสาขาแรกเลย ความเสี่ยงระหว่างสองสาขานี้คงไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แค่เดิมพันด้วยเงินมากขึ้น

ต่างกับการกระจายการลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้ น้อยมากที่จะหาคนที่มีความเชี่ยวชาญหลายๆอย่างอย่างแท้จริง  ผมว่ายิ่งกระจายหลายอุตสาหกรรมยิ่งแย่ใหญ่

อัจฉริยะในโลกนี้ส่วนมากยังเก่งเรื่องเดียวเลย ให้เดวิด เบคแฮม ไปแข่งพุ่งแหลนคงดูไม่จืด พอเริ่มเข้าวงการบันเทิง ฝีเท้าก็เริ่มตก

[chatchai]

ผู้บริหารร้านสุกี้  MK  ก็เปิดสาขาร้านสุกี้แทบจะทั่วประเทศไทยแล้ว  จึงเริ่มที่จะทำร้านอาหารญี่ปุ่น  ยาโยอิ  ซึ่งก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเหมือนร้านสุกี้  (แม้จะเป็นร้านอาหารเหมือนกัน)

ร้านบุฟเฟ่โออิชิ  กว่าจะทำชาเขียว  ผมว่าก็เปิดสาขาไม่ใช่น้อยแล้ว
และเมื่อทำ อามิโนะ  โอเค  ก็ทำชาเขียวจนแทบจะอิ่มตัวแล้ว  ซึ่งก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ  รวมถึง  น้ำส้มเซกิ  กาแฟคอฟฟี่โอ

ผมมีความคิดว่า  นักธุรกิจส่วนใหญ่มักจะขยายธุรกิจเดิมที่ประสบความสำเร็จไปจนอิ่มตัวแล้ว  จึงจะขยายไปยังธุรกิจอื่น  ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่สูงมากที่จะล้มเหลว

นักธุรกิจส่วนใหญ่มักจะไม่คิดถึงเรื่องการกระจายการลงทุน  ถ้าธุรกิจเดิมยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่

[สวนหย่อม]

แต่การลงทุนในหุ้น กับการทำธุรกิจด้วยตัวของเราเองไม่เหมือนกันนะครับพี่

[สวนหย่อม]

^
^
^----- (ในความเห็น ซึ่งอิงจากความรู้เท่าหางอึ่งอ่างของผมนะครับพี่ )

[kornjackrit]

โดยส่วนตัว ผมขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แท้จริงของเราครับ ถ้าปัจจุบันเรามีเงินเก็บพอประมาณ และพิจารณาแล้วว่า ร้านของเรายังทำกำไรได้ดีไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี รวมถึงเรามีเวลาพักผ่อนเหมาะสม ถ้าเป็นผมๆคงไม่ทำครับ ดูแลร้านเดียวต่อไปดีกว่า ถึงแม้ว่า ร้านที่ 2 อาจจะทำรายได้มากกว่าดีกว่าเดิมมาก แต่ถ้ากลายเป็นว่า เราต้องทำงานหนักมากขึ้น จนไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ผมคงไม่เลือกครับ.

ผมเชื่อ่ว่า  ใดๆในโลกล้วนอนิจจังครับ
ก็เลยไม่เคยกล้าถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ต

สมมติว่า เมื่อสิบปีก่อน
มีหมอดูบอกว่า  เลห์แมนจะล้มละลายในที่สุด
คนฟังคงจะขำกลิ้ง   ด่าหมอดูว่า  ทำนายไร้สาระสิ้นดี

เห็นด้วยกับพี่ๆทั้งสองคนครับ

ผมว่าสิ่งที่เราควรจะถามตัวเองก่อนก้คือ
วัตถุประสงค์ของการลงทุนของเราคืออะไร ?

การลงทุนทั้งหมดในบริษัทเดียวเนื่องจากความเข้าใจธุรกิจนั้น
อย่างถ่องแท้ เป็นการลงทุนที่ผมคิดว่าเสี่ยงน้อยที่สุด

และยิ่งไปกว่านั้นถ้าการลงทุนนั้นทำให้ผมได้บรรลุวัตถุประสงค์
ในการลงทุนที่ผมได้ตั้งไว้ ผมคิดว่าผมก็ควรจะพอ และไม่คิดที่จะเปิดสาขาเพิ่มเติม หรือ ทำธุรกิจอื่นๆอีก
เว้นแต่ว่าผมชอบที่จะทำเช่นนั้น


 :roll:  :roll:

[BHT]

[quote="chatchai"]ผู้บริหารร้านสุกี้