เมื่อตอนใช้แรกๆหลายปีก่อน
ผมเคยทำเงินที่เติมไปแล้วไม่ได้ใช้เกือบพันบาทหายไปเฉยเลย...
เพราะเข้าใจผิดอะไรบางอย่างเรื่องหมดอายุนี่แหละ
ตอนนั้นได้แต่ทนบ่นกับตัวเองว่าช่างมันวะ...
ตูข้าโง่เองนี่หว่า....
บัดเดี๋ยวnow....
กทช" ลงดาบยักษ์มือถือ เมื่อ"พรีเพด" ห้ามหมดอายุ
เขียนโดย นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
Friday, 13 June 2008
นับจากประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องมาตรฐานสัญญาบริการโทรคมนาคม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2549
หนึ่งในข้อบังคับที่ไม่เคยมีใครเหลียวแล ทั้งโอเปอเรเตอร์และผู้กำกับดูแล
คือข้อบังคับที่ 11 ที่กำหนดให้ "บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการล่วงหน้าต้องไม่มีข้อกำหนดอันมีลักษณะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้บริการต้องใช้บริการภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ผู้ให้บริการจะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเป็นการ ล่วงหน้า"
โดยคณะกรรมการอาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบด้วย การถ่ายโอนมูลค่าที่เหลืออยู่ การคืนเงินค่าบริการในส่วนที่ไม่ได้ใช้ การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการใช้บริการ การขึ้นทะเบียนชื่อที่อยู่ของผู้ใช้บริการ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะหรือรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคด้วยก็ได้
และผู้ให้บริการตามวรรค 1 ต้องเผยแพร่แบบสัญญาที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วเป็นการทั่วไป และแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นหนังสือก่อนเริ่มใช้บริการ
หมายความว่า บริการโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน (พรีเพด) เข้าข่ายบริการที่มีการเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าจึงกำหนดวันหมดอายุไม่ได้ เว้นแต่ กทช.จะอนุญาต
ตั้งแต่ประกาศมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ "พรีเพด" ก็ยังคงเป็นบริการที่มีกำหนดระยะเวลาในการใช้งาน
ผู้ใช้บริการมือถือแบบเติมเงิน ซึ่งมีสัดส่วนมากถึงกว่า 90% ของจำนวนคนใช้บริการในปัจจุบันที่มีกว่า 54 ล้านคนแล้ว จึงยังมีหน้าที่ต้องคอยเช็กวันหมดอายุใช้งานของตน ต้องคอยเติมเงินเพื่อรักษาสิทธิในการใช้เลขหมายนั้นๆ เฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 300 บาท (ใช้ได้ 30 วัน)
กฎระเบียบ ถ้าสักแต่ออก ไม่ผลักดันหรือดูแลให้เกิดการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ
ในมุมของผู้บริโภค-ประชาชนคนใช้บริการ มีบ้างเหมือนกันที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิของตนเองเมื่อเห็นว่า กทช.ไม่ทำหน้าที่
โดยยื่นร้องเรียนต่อสถาบันคุ้มครอง ผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว
"ผมใช้มือถือแบบเติมเงินของทรูมูฟมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปลายปี 2550 ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมต้องคอยเติมเงินเดือนละ 300 บาททุกเดือน เพื่อให้ได้ต่ออายุการใช้งานทีละ 30 วัน ทั้งๆ ที่เติมเงินไปแล้วก็น่าจะมีสิทธิใช้ถึงเมื่อไรก็ได้จนกว่าเงินที่เติมไว้จะหมด ทำไมต้องมีวันหมดอายุด้วย" พีรพงษ์ คงธนาสมบูรณ์ กล่าว และว่า
เหมือนกับเติมน้ำมันรถ เมื่อเติมไปแล้วเจ้าของรถก็ควรมีสิทธิใช้ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าน้ำมันจะหมด ไม่ใช่ต้องคอยเติมน้ำมันทุก 7 วัน
คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ "ไม่เติมเงิน" จนเดือน ม.ค.2551 ที่ผ่านมา เมื่อครบกำหนดวันหมดอายุจึงไม่สามารถใช้โทร.ออกได้ (ยังรับสายได้)
"พีรพงษ์" จึงร้องเรียนไปยัง "สบท."
เรื่องเข้าสู่กระบวนการร้องเรียนแล้ว เรื่อยมาจน 2 เม.ย.ที่ผ่านมา เลขหมายของเขาก็ไม่สามารถรับสายได้อีกต่อไป
"พีรพงษ์" ขอให้ "สบท." ช่วยคุ้มครองฉุกเฉินเพื่อให้เลขหมายของเขายังคงสามารถโทร.ออกและรับสายได้ต่อไป รวมถึงคุ้มครองเงินที่เหลืออยู่ในซิมการ์ดด้วย
ในที่สุดก็ได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา 15 วัน จนถึงขณะนี้ได้ต่ออายุความคุ้มครองมาแล้วเป็นครั้งที่ 2
"ก็รู้สึกดีใจที่มี กม.ในลักษณะนี้ออกมา เราเริ่มใช้มือถือพรีเพดมาตั้งแต่ปี 2547 ถึงวันนี้ก็น่าจะเติมเงินไปแล้วหลายหมื่น รู้สึกว่าเป็นความสูญเสียของเรา เมื่อเติมเงินไปแล้วก็ควรใช้ได้โดยไม่มีกำหนดเวลา ยังมีเรื่องการคิดค่าโทร.จากเมื่อก่อนคิดเป็นวินาที ก็เปลี่ยนมาเป็นนาที โทร.เกิน 1 วินาทีก็โดนตัดเป็น 1 นาที เท่ากับเสียสิทธิไป 59 วินาที เรื่องแบบนี้อาจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถามว่าบริษัทได้กำไรไปเท่าไร"
"น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา" ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) มองว่า กรณีนี้เป็นข้อร้องเรียนแรกที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยรวมด้วย ซึ่งในเบื้องต้นได้นัดให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูลแล้ว
"ฝั่งทรูมูฟอ้างว่า ทั้ง 4 โอเปอเรเตอร์เคยทำหนังสือไปยัง กทช.ตั้งแต่ปี 2549 แล้วว่า ข้อบังคับดังกล่าวมีปัญหาไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ กทช.ได้ และอ้างด้วยว่าเมื่อ กทช.ไม่มีจดหมายตอบกลับมาโอเปอเร เตอร์จึงเข้าใจว่าอนุญาตให้กำหนดวันหมดอายุได้ แต่เมื่อถามต่อไปว่ามี กม.หรือข้อบังคับอื่นใด ให้อำนาจโอเปอเรเตอร์กำหนดวันหมดอายุในลักษณะนี้ ก็ไม่มีคำตอบ"
โดยส่วนตัวมองว่า กับกรณีนี้กฎหมายเขียนไว้ชัดและยืนยันว่า การกระทำของโอเปอเรเตอร์ขัดต่อประกาศ กทช. "สบท." จึงจะทำข้อเสนอถึง กทช.ขอให้มีคำสั่งหรือแนวทางปฏิบัติออกมาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
เหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อได้เลยทีเดียว ด้วยว่าขนาดของตลาดพรีเพดใหญ่โตมาก
แนวปฏิบัติที่ "กทช." ต้องตัดสินใจ อาจกลายเป็นกรณีศึกษาและเป็นบรรทัดฐานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการรักษาช่องสัญญาณ ต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมายรายเดือน หรือกรณีโดนสั่งให้ต้องคืนเงินผู้บริโภคหากระงับการให้บริการจริง ก็ยังติดเรื่องภาษีที่ยักษ์มือถืออ้างว่าได้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว หรือนำส่งส่วนแบ่งรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่ายไปแล้ว และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นข้อมูลที่ยักษ์มือถือหยิบยกขึ้นมาอธิบายว่า ทำไมต้องกำหนดวันหมดอายุบริการพรีเพด
เรื่องนี้ยังทำท่าว่าจะร้อนขึ้นไปอีก
เมื่อ "ดร.อานุภาพ ถิรลาภ" ผู้อำนวยการสถาบันการบริหารสื่อสารไทย นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม ลุกขึ้นมาลุยด้วย โดยระบุว่า ถ้าเรื่องนี้เงียบหายไปกับสายลม กทช.ไม่ทำอะไร ไม่มีมาตรการลงโทษโอเปเรเตอร์ ก็จะลุกขึ้นมาฟ้อง "กทช." ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เมื่อถามไปยัง "กทช.-เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์" ระบุว่า ยังไม่เห็นเอกสาร แต่ในทางปฏิบัติ กทช.จะพิจารณาจากรายละเอียดที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล
ซึ่งตนเข้าใจว่า ผู้ร้องเรียนต้องการ ใช้สิทธิ์ตามประกาศ กทช.ฉบับดังกล่าว แต่ก็ต้องดูในทางปฏิบัติด้วยว่าเป็นไปได้หรือไม่ เช่น หากมีวงเงินคงเหลือแค่ 5 บาทก็อาจต้องปล่อยให้ตัดการใช้งาน
ด้านแหล่งข่าวจาก บมจ.ทรู คอร์ปอเร ชั่น กล่าวว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายได้ทำหนังสือร่วมกันส่งถึง กทช.เพื่อชี้แจงว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ กทช.ในกรณีดังกล่าวได้ เพราะมีต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมาย ค่าใช้จ่ายในการรักษาเลขหมาย ฯลฯ
หากไม่สามารถกำหนดวันหมดอายุได้ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่ม และจำเป็นต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภค
"ไม่มีหนังสือตอบกลับใดๆ จาก กทช. สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบไป"
แหล่งข่าวคนเดิมยอมรับว่า หากมีการบังคับใช้ประกาศอย่างเข้มงวดจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายอย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่ 1% ของลูกค้าพรีเพดร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น ก็มีจำนวนเป็นแสนกว่ารายแล้ว
ขณะที่ "พลเอกชูชาติ พรหมพระสิทธิ์" ประธานคณะกรรมการ กทช. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาระเบียบ และประกาศของ กทช.ต่างๆ ที่บังคับใช้แล้วมีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะที่ผ่านมาประกาศหลายฉบับได้รับการร้องเรียนมากว่า ทำตามได้ยาก
"ประกาศที่ออกมาแล้วสามารถแก้ไขได้ตามความเหมาะสม แต่จะเน้นผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก" พลเอกชูชาติกล่าวทิ้งท้าย
กับกรณีดังกล่าวถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบ แต่น่าติดตามอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยได้อย่างไร ระหว่างกฎระเบียบที่ปฏิบัติได้สำหรับผู้ประกอบการ โดยไม่ลืมยึดผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก
ประชาชาติธุรกิจ 29 พ.ค. 2551