8 บิ๊กอสังหาฯครองตลาดปี'50 กวาดรายได้ 7.9 หมื่นล้าน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

8 บิ๊กอสังหาฯครองตลาดปี'50 กวาดรายได้ 7.9 หมื่นล้าน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

8 บิ๊กอสังหาฯครองตลาดปี'50 กวาดรายได้ 7.9 หมื่นล้าน

ผลประกอบการกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ปี 2550 ฉายภาพรายใหญ่ครองตลาดอย่างเหนียวแน่น... "8 บิ๊กอสังหาฯ" ครองความได้เปรียบ สามารถปรับตัวทั้งแผนรุก-รับ ขยายแนวรบ"กินรวบ"ตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นแลนด์ฯ-พฤกษาฯ ล้วนกินส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม ขณะที่ คิวเฮ้าส์-เอพี เป็นดาวเด่นมาแรง ส่วนแสนสิริ เร่งเครื่องกำไรไตรมาส 4 กระฉูด



ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การปรับตัวที่เหนือกว่า ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ครองความได้เปรียบครองสถานะผู้นำตลาดชัดเจน โดยเฉพาะถ้าคัดผลงาน 8 บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH), แสนสิริ (SIRI), ควอลิตี้ เฮ้าส์(QH), พฤกษา เรียลเอสเตท (PS), แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN), เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP), พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) และศุภาลัย (SPALI) ในปี 2550 ที่ผ่านมา สามารถโชว์ฟอร์มด้วยยอดรายได้รวมกัน 79,511 ล้านบาท กำไรสุทธิรวมกัน 9,296 ล้านบาท

บางรายยังสามารถเติบโตแบบสวนทางตลาด หนึ่งใน Key Success สำคัญที่ทำให้รายใหญ่ สามารถโต้คลื่นตลาดที่รุมเร้าด้วยปัจจัยลบ คือ กลยุทธ์การปรับตัว ที่สามารถรับกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็น พฤกษา เรียลเอสเตท ที่ผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งกระจายตัวมากขึ้นในปี 2550 โดยเพิ่มสินค้าอย่างครบวงจร ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ครอบคลุมฐานลูกค้าตั้งแต่ 5 แสนถึง 10 ล้านบาท รวมทั้งการย้ายฐานเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้น ส่งผลให้พฤกษา สามารถเพิ่มฐานการเติบโตในทุกเซ็กเมนท์ โดยผลงานในปี 2550 มีรายได้รวม 9,093 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,270 ล้านบาท และสามารถทำยอดขายรวมสูงถึง 13,646 ล้านบาทเติบโต 91%

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บอกว่า ผลจากการปรับตัวดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2550 ที่ผ่านมา พฤกษาสามารถเติบโตแบบสวนกระแส โดยสามารถทำส่วนแบ่งตลาดรวมได้มากขึ้นเป็น 15.8% โดยทาวน์เฮ้าส์ มีส่วนแบ่งตลาด 42.2% จากเดิม 34.7% บ้านเดี่ยว 8.6% จากเดิม 7.1% ในขณะที่ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในช่วงเดือนมกรมคม-พฤศจิกายน 2550 ตลาดเติบโตลดลง 9.5%

ทิศทางในปี 2551 พฤกษา เลือกที่เดินกลยุทธ์..เน้นโครงการเล็ก กระจายตัวในหลายทำเล และปิดโครงการให้เร็ว เพื่อเพิ่มอัตราการหมุนของรายได้และลดความเสี่ยง โดยจะสังเกตได้ว่า แม้จะการเปิดตัวมากถึง 40 โครงการ เทียบกับปี 2549 ที่เปิดโครงการใหม่ 28 โครงการ แต่มูลค่าแต่ละโครงการจะมีขนาดไม่ใหญ่มากเพื่อกระจายความเสี่ยง และปิดโครงการได้เร็ว

ผู้นำอย่าง "แลนด์แอนด์เฮ้าส์" สามารถโชว์ฟอร์มเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในปี 2550 โดย นพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ส่วนแบ่งตลาดในตลาดบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยอดรวมเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2550 แลนด์ฯ สามารถครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มสูงขึ้นเป็น 17.3% เทียบกับปี 2549 ที่มีส่วนแบ่งตลาด 15.3%

สำหรับแผนปี 2551 แลนด์ฯ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่รวม 14 โครงการ มูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจในปีนี้ของกลุ่มแลนด์ จากการถ่ายทอดของนพร คือ ปีนี้แลนด์ฯจะมีหลายโครงการที่เป็นสามารถสร้างรายได้และหมุนเงินอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องซื้อที่ดินแปลงใหญ่ถือไว้ แต่อาจจะทำให้พื้นที่แปลงไม่ใหญ่นัก แต่อาศัยการเข้าออกให้ไว

ผลประกอบการของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ในปี 2550 มีรายได้จากการขาย 18,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีรายได้จากการขาย 17,619 ล้านบาทประมาณ 5.9% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 19,837 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2549 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 19,552 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,158 ล้านบาท ลดลง 89 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเนื่องจากในปี 2549 บริษัทมีรายได้ที่เกิดจากการขายอาคารเข้ากองทุนควอลิตี้เฮ้าส์ ทำให้มีกำไรพิเศษถึง 500 ล้านบาท

ขณะที่ "ควอลิตี้ เฮ้าส์" โชว์ฟอร์มด้วยรายได้จากธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากพลิกเกมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สินค้าที่ขายได้ตรงตามต้องการมากขึ้น จากการขยับมาเล่นตลาดบ้านระดับกลาง ภายใต้โครงคาซ่า วิลล์ และคาซ่า ซิตี้ ช่วยหนุนให้มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นถึง 4.3% เป็น 28.9% จาก 24.5% ในปี 2549 และหากดูเฉพาะรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินของ "ควอลิตี้ เฮ้าส์" ในรอบปี 2550 ที่ผ่านมา จะพบการเติบโตขึ้น 18.5% มาอยู่ที่ 9,075.9 ล้านบาท ในปี 2550

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากรายได้ธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง เนื่องจากมีการปรับปรุงห้องพักบางส่วน และการลงทุนของต่างประเทศที่ชะลอตัว ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2550 ของควอลิตี้ เฮ้าส์ มีรายได้ 10,580 ล้านบาท ลดลง 4.8% แต่สามารถโชว์ฟอร์มทำกำไรสุทธิได้ 1,066 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6% จากปี 2549

สำหรับแผนปี 2551 ควอลิตี้ เฮ้าส์ คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดตัวโครงการใหม่อีก 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท โดยให้น้ำหนักแบรนด์"คาซ่า" 7 โครงการ มูลค่ารวม 9,220 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายทำรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20%

ด้าน "เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์" เป็นอีกรายที่มีจุดเด่น สามารถปรับกลยุทธ์ได้ว่องไว เข้ากับสภาวะตลาดในช่วงปี 2550 โดยเฉพาะปัจจัยความสำเร็จจากการรุกเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม ส่งผลให้เอพี มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 35% และผลประกอบการในปี 2550 สามารถรับรู้รายได้ทั้งปี 7,825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.3% จาก 6,344 ล้านในปี 2549 แต่สาเหตุที่ตัวเลขกำไรสุทธิที่ 899 ล้านบาทในปี 2550 ลดลง 33.1% เนื่องจากไม่มีกำไรจากการขายเงินลงทุน จากปี 2549 ที่บริษัทมีกำไรพิเศษ (หลังหักค่าใช้จ่ายและภาษี) จากการขายเงินลงทุนในกองทุนรวมซิตี้แอสเสท 550 ล้านบาท

แต่หากไม่รวมรายการกำไรดังกล่าว ปี 2550 ที่ผ่านมา เอพี จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ เพิ่มขึ้น 13.2% เทียบกับปี 2549 สำหรับแผนในปี 2551 เอพี มีแผนเปิดตัว 13 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.49 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 8 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ

อีกรายที่นับว่าโชว์ฟอร์มได้ค่อนข้างโดดเด่นในปี 2550 "แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์" ด้วยผลงานการโกยกำไรสุทธิ 927.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.24% จากปี 2549 และมีรายได้รวม 6,823.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.92% จาก 5,020.49 ในปี 2549 โดยแรงส่งรายได้สำคัญมาจากการโอนห้องชุดใน 3 โครงการหลักๆ ได้แก่ โครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา, ลุมพินี เพลส พหล-สะพานควาย, ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า 2 มูลค่ารวม 6,176.47 ล้านบาท ขณะที่ความสามารถในการทำกำไร ปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตรากำไรขั้น 35% เทียบกับ 32% ในปี 2549 ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 6-8 โครงการ รวมมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเน้นโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางและล่าง ที่มีราคาขายอยู่ที่ 6-7 แสนบาท/ยูนิต ภายใต้แบรนด์ ลุมพินี คอนโดทาวน์

ปิดท้ายด้วยค่าย"แสนสิริ" เร่งสปีดกำไรไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว แบบติดเทอร์โบ เฉพาะภายในไตรมาสเดียว ทำกำไรได้ถึง 491 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 59% จาก 3,258 ล้านบาท เป็น 5,186 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ปี 2550 แสนสิริ มีรายได้รวม 13,888 ล้านบาท เติบโตขึ้น 21% และมีกำไรสุทธิ 708 ล้านบาท เติบโต 75.2% เทียบจากปี 2549



 http://www.bangkokbizweek.com/
โพสต์โพสต์