ทันหุ้น-สมาคมบล.คาดตลาดหลักทรัพย์จะให้วางหลักประกันซื้อขายหุ้นเพิ่มเป็น 15% ในไตรมาส2/2551 เชื่อเป็นอัตราเหมาะสมที่สุด นักลงทุนและโบรกเกอร์รับได้เพราะมีสัดส่วนน้อยกว่าต่างประเทศ และรองรับความเสี่ยงอนาคตได้
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์(บล.)เปิดเผยว่า การเพิ่มการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็น 15% จาก 10% คาดว่าจะมีผลตั้งแต่ไตรมาส 2/2551เป็นต้นไปเพราะขณะนี้ได้ผ่านขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์(เฮียริ่ง)สมาชิกของสมาคมหมดแล้ว เหลือเพียงให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)รับทราบ
ทั้งนี้การเพิ่มวงเงินวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็น 15% จาก 10% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่นักลงทุนยังรับได้ และเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่ออกมาพบว่า การวางหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ 15% เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยง และในอนาคตไทยจะร่นระยะเวลาการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ หรือ T+2 จากเดิม T+3 ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงของระบบลดลงด้วย
อนึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2550 ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินการศึกษาการเพิ่มวงเงินวางหลักทรัพย์ค้ำประกันให้สูงกว่าปัจจุบันที่กำหนดไว้ 10% ของวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงของโบรกเกอร์ และระบบซื้อขายโดยรวม
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ทรีนิตี้ จำกัด ระบุว่า ปัจจัยที่กระทบต่อหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในปี 2551
ประกอบด้วย มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ โดยหากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยิ่งมาก จะส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ โดยคาดว่าปี 2551 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 1.8 พันล้านบาท สูงกว่าปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท
นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ เชื่อว่า บล.ที่จะอยู่รอดได้ในภาวะที่กำลังจะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน คือ บล. ที่มีการวางแผนจะมีรายได้ผ่านช่องทางต่างๆมากขึ้น นอกเหนือจากรายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นเท่านั้น(ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ดังกล่าวมีมากกว่า 80%) ไม่ว่าจะเป็นการเน้นรายได้จากพอร์ตการลงทุน, วาณิชธนกิจ,การเข้ารุกทางด้านตลาดอนุพันธ์ เป็นต้น และบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่และมีส่วนแบ่งตลาดสูงจะมีความได้เปรียบแข่งขันมากกว่าบริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็ก
ส่วนกระแสการควบรวมระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการตัดสินใจควบรวมระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ หรือการเข้าซื้อของพันธมิตรต่างชาติอาจจะทำให้เกิดการลดจุดอ่อนของแต่ละบริษัท โดยคาดว่าในช่วงปี 2551 จะมีดีลการควบรวมที่สำเร็จ ซึ่งหากจะพิจารณาว่าบล.ใดมีโอกาสที่จะมีการควบรวมเกิดขึ้น อาจพิจารณาได้จากสัดส่วน ราคาหุ้นต่อเงินสด(Price/ Cash) ซึ่งหากค่าสัดส่วนดังกล่าวยิ่งต่ำ แสดงถึงโอกาสที่อาจจะเกิดการควบรวมได้สูง โดยจะพบว่าบล.ที่มีค่าสัดส่วน Price/ Cash ในระดับที่ต่ำกว่า 2 เท่า ได้แก่ CNS, SYRUS, ASL, ZMICO และ BSEC
+เพิ่มวงเงินประกันหุ้นมีผลQ2+
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
+เพิ่มวงเงินประกันหุ้นมีผลQ2+
โพสต์ที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 493
- ผู้ติดตาม: 0
+เพิ่มวงเงินประกันหุ้นมีผลQ2+
โพสต์ที่ 2
ผมว่า 15% เนี่ยอาจจะดีแล้วถ้าเค้าให้ดอกเบี้ยใกล้ๆฝากประจำ แล้วให้หักจากวงเงินประกันก่อนจะหัก bank จะได้ลดการเก็งกำไร หรือซื้อเกินกำลังแล้วไม่มีจ่าย
แต่ T+2 เนี่ย เหนื่อยครับ เกิดต้องขาย mutual fund ที่มี T+3 ก็ไม่ทันเงินเข้า หรือแค่ fixed income T+1 ก็เหนื่อยแล้ว
แต่ T+2 เนี่ย เหนื่อยครับ เกิดต้องขาย mutual fund ที่มี T+3 ก็ไม่ทันเงินเข้า หรือแค่ fixed income T+1 ก็เหนื่อยแล้ว