รายงานพิเศษ เล่นหุ้นไทยปีนี้ต้องทำใจโบรกฯ ฟันธง!ลงทุนสุดหิน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

รายงานพิเศษ เล่นหุ้นไทยปีนี้ต้องทำใจโบรกฯ ฟันธง!ลงทุนสุดหิน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รายงานพิเศษ : เล่นหุ้นไทยปีนี้ ต้องทำใจ  โบรกฯ ฟันธง! ลงทุนสุดหิน


ผ่านพ้นปี 2550 ปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ
มากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันแพงปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐฯ (ซับไพร์ม)
ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า  จนทำให้ผู้ประกอบการส่งออกหลายรายเจ็บตัวกันเป็น
แถว บางรายถึงกลับต้องปิดกิจการไปเลย เพราะแบกรับปัญหาไม่ไหว นอกจากนี้
ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้ง
ในประเทศและต่างประเทศ จนทำให้ไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ยังโชค
ดีที่ช่วงปลายปีมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ซึ่งส่งผลให้ประชาชนมีความหวัง
ฟื้นคืนอีกครั้งและส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องรวมทั้ง
บรรยากาศการลงทุนคึกคักขึ้นด้วย
แต่ปัญหาที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและจะต้องจารึกไว้ในประวัติ
ศาสตร์และอยู่ในความทรงจำของนักลงทุนและสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่าง
ประเทศมากที่สุด คือกรณีของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่มูลนิธิ คุ้ม
ครองผู้บริโภค ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนจากการเป็นบริษัทจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งคำร้องก็ไม่เป็นผล ปตท.ยัง
คงสภาพเป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะ ปตท. ต้อง
โอนท่อก๊าซและที่ดินคืนให้กับกระทรวงการคลังต้องเสียเช่าท่อก๊าซ  ซึ่งเรื่องดัง
กล่าวส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน จนทำให้นักลงทุนกังวลไม่รู้ว่าจะเดินหน้าลง
ทุนต่อไปหรือจะชะลอการลงทุนออกไปก่อนจนส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยสดุด แทนที่
ดัชนีฯ จะปรับเพิ่มขึ้นต้อนรับเลือกตั้งแต่กลับแผ่วปลาย ฝรั่งเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเปิดศักราชใหม่ไม่ถึง 10 วันหุ้นไทยรูดเกือบ 50 จุดแล้ว  นักลงทุน
หลายส่วนใหญ่ยังงงกลับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  หรือปีนี้จะเผาจริงอย่างที่หลายคนคาด
การณ์ และตลอดทั้งปี 2551 บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรรวม
ทั้งมีปัจจัยใดบ้างที่จะต้องติดตาม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจ
มากน้อยแค่ไหน มีผู้รอบรู้ในวงการหุ้นหลายท่านออกมาให้ความคิดเห็นดังนี้
       ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ  กรรมการผู้จัดการกลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัท
หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ ระบุว่าปีหน้าตลาดหุ้นไทยคงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กับตลาดหุ้นในต่างประเทศแม้หลังการเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลชุดใหม่จะส่งผลบวกต่อ
จิตวิทยาการลงทุนและทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่หากเปรียบเทียบกัน
แล้วกระแสการลงทุนของตลาดหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการไหลของเงิน
ทุนจากต่างประเทศมากกว่า ซึ่งปริมาณเงินในตลาดโลกที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคแม้จะ
ยังมีอยู่แต่ปริมาณจะค่อยๆ ลดลง  
        ด้านนายไพบูลย์  นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้
จำกัด กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้ามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 จุด  เพราะ
ได้รับปัจจัยบวกจากการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนส่วนใหญ่เกิด
ความมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้ นอกจากนี้พื้นฐาน
เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง แต่ขาดแรงขับเคลื่อนจากการบริ
โภค รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและเอกชน จึงอาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อน
ไหวในลักษณะผันผวน
        สำหรับ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเงินทุนกรุงเทพ
ธนาธร จำกัด (มหาชน) หรือ บีฟิท กล่าวว่า  ตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีความผันผวนเพราะ
ตัวแปรหลักทางเศรษฐกิจยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน นอกจากนี้ปัญหาซัพไพร์ม ทิศ
ทางราคาน้ำมันและค่าเงินบาทยังคงเป็นตัวแปรหลักที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยและ
ส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนด้วย ดังนั้นควรลงทุนด้วยความระมัดระวังเพื่อ
ป้องกันความเสี่ยง แต่ประเมิน SET Index ปีหน้าไว้ที่ 900-950 จุด แต่อาจมีการปรับ
ฐานเป็นระยะ ๆ  
        ขณะที่ ดร. ก้องเกียรติ  โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร  บริษัทหลัก
ทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP มีความคิดเห็นว่าในปีนี้ตลาดหุ้นไทยน่า
จะยังคงผันผวนรุนแรงมากกว่าปีก่อน  เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในต่าง
ประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะปัญหาซัพไพร์ม น้ำมันแพงและปัญหาเงินเฟ้อใน
สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแปรหลักที่กดดันบรรยากาศการลงทุน ฟากนางวิวรรณ  ธาราหิรัญ
โชติ  รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย ยอม
รับว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงสามารถขายทำกำไรได้ถึงแม้ว่าจะมีกำไรใน
ระดับที่ไม่สูงเท่ากับปีหน้า เพราะตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนการลงทุนอาจจะ
ลงทุนยากกว่าที่ผ่านมาด้วย ดังนั้นควรใช้ความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลก่อนการลง
ทุนด้วย
        ส่วนบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ระบุว่า  ในปีนี้เศรษฐกิจไทยมีแนว
โน้มสดใสขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น  เพราะเมื่อ
พิจารณาสถิติย้อนหลัง ระหว่างปี 2547 - 2550 การเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้อยกว่า
ประเทศเพื่อนบ้านในอัตราที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในปีนี้แนวโน้มน่าจะเปลี่ยนไป จากการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่มีน้ำหนักในการสนับสนุนให้จีดีพีค่อนข้างเติบโตใน
ทิศทางที่ดี  ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะ Outperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค
ได้มากขึ้น โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา SET Index  ไทยตามหลังดัชนี MSCI ของกลุ่ม
ประเทศเกิดใหม่ ในภูมิภาคเอเซียอยู่ที่ 25% แต่ปัจจุบันตามหลังอยู่ที่ 40% ดังนั้น
KGI จึงประเมินว่าถ้าดัชนีกลับไปซื้อขายในอัตราส่วนลดเฉลี่ยที่ 25% จะเท่ากับระดับ
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ 970 จุด แต่หากการเติบโตดีกว่าและให้ส่วนลดดังกล่าวแคบ
ลงเหลือ 20% และ 15% จะประเมินดัชนีฯ ในปีนี้ได้ที่ 1,015 จุด และ 1,056 จุด ตาม
ลำดับ
       นอกจากนี้บทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ
BLS  ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันน่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส
แรกปีนี้  เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังไม่ได้นำเงิน
ออกนอกประเทศ โดยเป็นการโยกเงินจำนวนมากเข้าไปลงทุนในตลาดอนุพันธ์
(TFEX) และทำสัญญาขายล่วงหน้า (Short) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม มากถึง 4,000
สัญญา และที่ผ่านมา ได้มีการปิดสถานะไปแล้ว 3,500 สัญญา ซึ่งหากครบจะส่งผล
ให้ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ได้บ้าง ยกเว้นหากมีสัญญาขายล่วงหน้ามากกว่า 4,000
สัญญา จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแน่นอน ดังนั้นนักลงทุนจึงควรจับตาดูผล
ตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปี ให้ดี หากผลตอบแทนปรับตัวลดลงจะถูกเทขายทำ
กำไรแน่นอน ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ให้ปรับตัวดีขึ้นจากเม็ดเงินที่ไหลเข้า
ซึ่งหากมีเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาค ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับประโยชน์ด้วยและน่าจะ
ได้เห็นดัชนีฯ ปรับขึ้นไปแตะระดับ 1,146 จุด  ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนใน
ระยะยาว 1 ปีขึ้นไป โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาพาณิชย์ เพราะรับ
ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานของรัฐบาล
และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไม่น่าสนใจลงทุน เพราะการเลือกตั้งไม่ได้มีผลต่อ
ตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากถึงขณะนี้ ตลาดเริ่มมีมุมมองคล้าย ๆ กันว่า รัฐบาลใหม่จะ
อยู่ได้แค่ 1.5 - 2 ปี ทำให้แนวนโยบาย และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อาจไม่
เกิดขึ้นมากนัก
      จากความคิดเห็นของผู้รอบรู้ในวงการหุ้นต่างให้ความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกันว่า
ตลาดหุ้นไทยปีชวด 2551 มีแนวโน้มผัวผวน เพราะยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้ง
ปัญหาซับไพร์มที่ยังไม่คลี่คลาย  หนำซ้ำเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม พอๆกับราคาน้ำมันที่แพงจนผู้บริโภคหลายคนแทบจะ
ทนไม่ได้  และรอพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งล้วนแต่มีอิทธิพลต่อการลงทุนใน
ตลาดหุ้นไทยทั้งสิ้น ส่วนนักลงทุนเองก็ควรที่จะลงทุนด้วยความระมัดระวังและ
พิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ เพราะกูรูหลายสำนักออกมาการันตีแล้วว่าตลาดหุ้น
ไทยผันผวนและลงทุนยากแน่นอนในปีนี้

By: อาภรณ์   สุภาพ  
eFinanceThai.com
โพสต์โพสต์