maiโชว์ฟอร์มปีหมูทอง
--------------------------------------------------------------------------------
ปีหมูทองของตลาดmai สร้างความคึกคักให้กับนักลงทุน ในภาวะที่ตลาดหลักSET มีความผันผวน แต่ยังมีสมาชิกใหม่ที่กล้าเข้ามาระดมทุน ประกอบกับผู้ประกอบการรายเดิมเอง ต่างก็พยายามปรับกลยุทธ์การดำเนินงานภายใต้ภาวะที่กดดัน แต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะสามารถ สร้างมาร์เก็ตแคป ให้กับตัวเองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปของตลาดmai โดยรวมเติบโตอย่างชัดเจน
นับจากปี2546 มารเก็ตแคปโดยรวมของตลาดmai อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท,ปี2547 มาร์เก็ตแคปอยูที่ 1.1 หมื่นล้านบาท,ปี2548 มาร์เก็ตแคปอยูที่ 1.4 หมื่นล้านบาท,ปี 2549 มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท และปี 2550 อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันmai มีบริษัทเข้าจดทะเบียน ณ. สิ้นปี2550 รวมทั้งหมด 48 บริษัท โดยมีมาร์เก็ตแคปล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2550 อยู่ที่37,672.16 ล้านบาท โดยมีมูลค่าการซื้อขายต่อวัน 337.22 ล้านบาท ขณะที่P/E Ratio อยู่ที่ 12.15 เท่า ทั้งนี้หากย้อนกลับในช่วงปี2546 จะเห็นได้ว่าในขณะนั้นมูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ระดับ 122.23 ล้านบาท ขณะที่มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 13,691.17 ล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่าตลาด mai ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุน รวมถึงบริษัทผู้ประกอบการมากนัก เนื่องจากยังไม่มีความเข้าใจในการเข้ามาระดมทุน ประกอบกับไม่มีข้อมูลมาอ้างอิงการลงทุนในmai อย่างเพียงพอ
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอได้มีการ ประสานความร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์จัดทำข้อมูล บทวิเคราะห์บริษัทที่มีความโดดเด่นใน mai ขึ้นมา รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นเริ่มมีการผันผวนทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น และmai ก็เป็นอีก1ตลาดที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในปี2250 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ทั้งหมด 6 บริษัท ซึ่งต่ำกว่าต่ำเป้าที่ mai เคยประกาศไว้ที่ 24 บริษัท ขณะที่เม็ดเงินที่เข้าระดมทุนใน mai ในปีนี้ทั้ง IPO , PP ,PO คิดเป็นมูลค่า2,295 ล้านบาท โดยบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในmai ในปีนี้ประกอบด้วย บริษัท MILL , TNDT , UBIS , MBAX , SIMAT และ BGT
หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 ก.พ.2549 ในช่วงที่นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai ใหม่ๆ ซึ่งขณะนั้น mai มีมาร์เก็ตแคปเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดmai อยู่ที่ 162 จุด ดังนั้นหากเทียบระหว่างดัชนีตลาดmai ในขณะนั้นจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตกว่า 40%
และจากจำนวนหุ้นที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์mai ในขณะนี้จำนวน 48 บริษัท หุ้น โดยบริษัทที่ติด 5 อันดับที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุดโดยอิง ณ วันที่ 26 ธ.ค.2550 ได้แก่ บริษัท UEC โดยมีมาร์เก็ตแคป 4.8 พันล้านบาท , บริษัทUMS มีมาร์เก็ตแคปที่ 3.8 พันล้านบาท , บริษัทADAM มีมาร์เก็ตแคปกว่า 2 พันล้านบาท , MILL มีมาร์เก็ตแคป 2 พันล้านบาท และTRC มีมาร์เก็ตแคป 1.4 พันล้านบาท
การที่ mai มีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ mai เนื่องจากเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการใหม่ ที่เตรียมเข้ามาระดมทุนในตลาดmai เพราะในช่วงที่ผ่าน บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในmai มีมาร์เก็ตแคปที่เกิน มูลค่าพันล้านบาทเพียง 2-3 บริษัทเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีบริษัทกว่า 10 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปแตะระดับ 1 พันล้านบาทขึ้นไป