KEST ยังเหนียวรั้งแชมป์แชร์สูงสุดปี 50

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

KEST ยังเหนียวรั้งแชมป์แชร์สูงสุดปี 50

โพสต์ที่ 1

โพสต์

KEST ยังเหนียวรั้งแชมป์แชร์สูงสุดปี 50
    ASP-PHATRA ไล่แบบหายใจรดต้นคอ

- BSEC รั้งแชมป์อินเทอร์เน็ตเทรดดิ้งติดต่อ 6 ด.



           ตลท.เผยการอันดับการซื้อขายของโบรกเกอร์ ในรอบปีที่ผ่านมา นับจากวันที่ 3 มกราคม 2550 - 26 ธันวาคม 2550 พบ KEST ยังครองแชมป์เป็นอันดับ 1 ที่ 8.01% ตามมาด้วย ASP ที่ส่วนแบ่ง 5.74% และอันดับ 3 เป็นของ PHATRA ที่ 5.72% ขณะที่การซื้อขายผ่านอินเทอรเน็ต ณ 31 ต.ค.50 พบ BSEC ยังรั้งแชมป์ที่ส่วนแบ่ง 16.67 % ด้านเซียนหุ้นฟันธง ปีหน้าการเมืองชัดวอลุ่มหนุน หุ้นหลักทรัพย์มาแน่ มอง BLSเด่นสุด เหตุปัจจัยพื้นฐานแจ่มได้มอร์แกนฯหนุน ส่วน KEST -ASP- KGI ยังเหมาะแค่เก็งกำไร
            รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงอันดับการซื้อขายของโบรกเกอร์ ในรอบปีที่ผ่านมา นับจากวันที่ 3 มกราคม 2550 - 26 ธันวาคม 2550 พบว่า บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย )จำกัด (มหาชน) หรือ KEST มีส่วนแบ่งทางการตลาดฯ มากที่สุด สัดส่วน 8.01% ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP มีส่วนแบ่งทางการตลาดฯรองลงมาเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 5.74% ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA มีส่วนแบ่งทางการตลาดฯอันดับ 3 ด้วยสัดส่วน 5.72% สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CS มีส่วนแบ่งทางการตลาดฯเป็นอันดับที่ 4 ด้วยสัดส่วน 5.36% และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBS มีส่วนแบ่งทางการตลาดฯเป็นอันดับที่ 5 ด้วยสัดส่วน 5.11%

หลักทรัพย์      ส่วนแบ่งการตลาดฯ(%)
1.KEST                  8.01
2.ASP                    5.74
3.PHATRA              5.72
4.CS                     5.36
5.SCBS                 5.11

ในขณะที่วานนี้ (27 ธ.ค.50) พบว่าโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดคือ KEST ที่ 10.29% ตามมาด้วย PHATRA ที่ระดับ 6.12% ส่วนอันดับ 3 เป็นของ ASP ที่ 5.82% และอันดับที่ 4 เป็นของ BSEC ที่ 5.19%

หลักทรัพย์      ส่วนแบ่งการตลาดฯ(%)
1. KEST               10.29
2 .PHATRA            6.12
3. ASP                  5.82
4. BSEC                5.19

- BSEC รั้งแชมป์อินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง ต่อเนื่อง 6 เดือน
              ด้าน บล.บีฟิท ระบุผลงานด้านอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง ขยับขึ้นครองแชมป์ส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง นาน 6 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2550 โดยล่าสุดสิ้นเดือนตุลาคม มีมาร์เก็ตแชร์ 16.67% ส่วนอันดับ 2 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) 11.07% และอันดับ 3 บล.เอเซียพลัส 9.65% ด้านผู้บริหารเผยเคล็ดลับอยู่ที่ฟังก์ชั่นการใช้งานที่เข้าใจง่าย อีกทั้งมีการอบรมเสริมความรู้ให้กับลูกค้าและพนักงานต่อเนื่องทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
            นายประสิทธิ์ ศรีสุวรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน)(BSEC) เปิดเผยขณะนี้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในส่วนของลูกค้าที่ซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง นานติดต่อกันถึง 6 เดือน โดยก่อนหน้านี้ในช่วงระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน 2550 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงขณะนี้ปรากฎว่า บล.บีฟิท ได้ขยับขึ้นมาครองแชมป์และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดแล้ว
           โดยล่าสุดสิ้นเดือนตุลาคม 2550 โบรกเกอร์ 5 อันดับแรกที่มีส่วนแบ่งการตลาดของอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้งสูงสุดคือ 1. บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) 16.67% 2.บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 11.07% 3.บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) 9.65% 4.บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 5.95% และ 5.บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) 5.09%
          สำหรับสาเหตุที่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลูกค้าอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง ของ บล.บีฟิท ขยายตัวขึ้นมาจนครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 เนื่องจากมีระบบที่ทันสมัยมีกลไกสารสนเทศควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ด้านนี้จำนวนมาก และที่สำคัญคือฟังก์ชั่นการใช้งานของ บล.บีฟิท สามารถไช้งานได้ง่ายเพราะมีลักษณะการใช้งานที่ใกล้เคียงกับโปรแกรมการซื้อขายภายในโบรกเกอร์ ขณะเดียวกันในเรื่องของความรวดเร็วก็อยู่ในระดับที่พอใจสำหรับลูกค้า อีกทั้งการทำงานของระบบที่ดี จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ระบบอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้งของ บล.บีฟิท ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจำนวนมาก
            'นอกจากเรื่องของ ฟังก์ชั่นที่ง่ายต่อการใช้งานสำหรับลูกค้าแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทยังมีการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและง่ายในการใช้งาน ประกอบกับมีการจัดอบรมเพื่อพัฒนา และให้ความรู้กับพนักงานและลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าใจระบบอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง อีกด้วย ส่วนแผนงานในอนาคตบริษัทฯมีนโยบายที่จะขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้กว้างยิ่งขึ้นเนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนได้ ซึ่งสะดวกต่อการขยายฐานลูกค้า และที่สำคัญการซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต จะให้ประโยชน์กับลูกค้าในเชิงค่าคอมมิสชั่นที่ถูกกว่าด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต ประมาณ 5,000 บัญชี '
           ในช่วงท้าย นายประสิทธิ์กล่าวถึงเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมในปี 2550 ว่า บล.บีฟิท ยังคงไว้ที่ระดับเดิมคือ 4% ซึ่งเชื่อว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ จากสภาพการซื้อขายของตลาดหุ้นที่กลับมาคึกคักอีกครั้งและจากการที่บริษัทฯ มีฐานลูกค้าซึ่งเป็นรายย่อยกลับมาเทรดมากขึ้น

ลำดับการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 3 อันดับแรกใน
ช่วง ม.ค. ต.ค. 50

ลำดับที่ 1     2     3
ม.ค. KEST ASP ASL
% 14.66 9.98 7.80
ก.พ. KEST BSEC ASP
% 12.76 10.82 9.66
มี.ค. KEST ASP BSEC
% 13.93 10.18 7.74
เม.ย. KEST ASP BSEC
% 13.20 10.76 8.68
พ.ค. BSEC KEST ASP
% 15.17 11.84 9.03
มิ.ย. BSEC KEST ASP
% 14.83 10.74 8.79
ก.ค. BSEC KEST ASP
% 15.83 11.12 8.32
ส.ค. BSEC KEST ASP
% 15.06 12.89 7.98
ก.ย. BSEC KEST ASP
% 14.19 10.71 8.68
ต.ค. BSEC KEST ASP
% 16.67 11.07 9.65

- เซียนหุ้นชี้ ปีหน้าการจัดตั้งรัฐบาลชัด-ฝรั่งกลับหนุนวอลุ่มคึก หุ้นหลักทรัพย์มาแน่
          นักวิเคราะห์ จากหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าวว่า เชื่อว่าในปีหน้า หากการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย จะเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กลับคืนมา โดยเฉพาะหลังจากที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง เชื่อว่าจะทำให้มูลค่าการซื้อขาย ของตลาดหลักทรัพย์หนาแน่นขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
          โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุนระยะยาวมากที่สุดได้แก่บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (BLS) เนื่องจากในปีนี้ได้เซ็นสัญญารับการสนับสนุนทางด้านงานวิจัยจากมอร์แกน แสตนเลย์ ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินชั้นนำของโลก ประกอบกับในปีหน้า BLS จะมีการขยายสาขา Syber Branch ตามธนาคารกรุงเทพสาขาต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัวเสริมรายได้อีกทางหนึ่ง โดยคาดว่า BLS จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเกิน 4% จากปีนี้มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 3%
         ส่วนกำไรสุทธิของ BLS ในปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 258 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.44 บาท และในปีหน้าคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 343 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.90 บาท ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 30.45 บาท แนะซื้อลงทุนระยะยาว สำหรับนักลงทุนที่สนใจเก็งกำไรระยะสั้นแนะนำให้ดูหุ้นหลักทรัพย์ที่ติดอันดับ Top 5 อาทิ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)(KEST) บล. เอเซีย พลัส (ASP) และบล.เคจีไอ (KGI)

- บล.ซีมิโก้ แนะนำ กลุ่มหลักทรัพย์น้ำหนักเท่าตลาด
          บล.ซีมิโก้ ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ว่า คาดวอลุ่มปี 50 เพิ่ม 6.3% จากปีก่อน... และเพิ่มต่อเนื่องอีก 4% ในปีหน้า ดังนั้นจึงคาดว่าปริมาณการซื้อขายในปี 50 จะเฉลี่ยต่อวันที่ระดับ 1.73 หมื่นล้านบาท(YTD 1.74 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 6.3% จากปีก่อน และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 4% มาอยู่ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท ในปี 51 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใต้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ซึ่งน่าจะส่งผลต่อเนื่องมายังภาวะการลงทุนในตลาดหุ้น
         คาดกำไรธุรกิจหลักทรัพย์โดยรวมปี 50 เพิ่ม 55% จากปีก่อน แม้คาดว่าส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมของ 7 บริษัทหลักทรัพย์ที่ ZMICOs coverage โดยรวมจะปรับลดลง 1.3% แต่ปริมาณการซื้อขายในปี 50 ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 6.3% จากปีก่อน รวมถึงรายได้จากเงินลงทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้กำไรสุทธิโดยรวมในปี 50 ปรับเพิ่มขึ้น 55% จากปี 49
แต่กำไรโดยรวมปี 51 ลดลง 9% โดยระบุว่า แม้ประมาณการวอลุ่มปี 51 เพิ่มขึ้น 4% และส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมไม่ต่างจากปี 50 มากนัก แต่คาดว่ากำไรโดยรวมปี 51 ลดลง 9% จากปี 50 เนื่องจาก ASL รับรู้กำไรพิเศษจากการขายไลเซนส์ APEX และ KGI มีกำไรจาก Investment สูงกว่าคาดในปี 50 นี้ อย่างไรก็ตามหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว คาดกำไรสุทธิโดยรวมปี 51 จะใกล้เคียงกับปี 50
         ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ ASP, BLS, KEST และ PHATRA โดยเลือก BLS และ KEST เป็น top pick เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทคาดว่าจะยังคงรักษาส่วนแบ่งการ
ตลาดไว้ได้ในปี 51 ส่วน PHATRA ถึงแม้จะมี Upside สูงสุด แต่นักลงทุนยังคงกังวลประเด็นการซื้อไลเซนส์ธุรกิจหลักทรัพย์ของ ML แม้คาดว่าความเป็นไปได้ที่ ML จะประกอบธุรกิจ
หลักทรัพย์เองจะมีน้อยมากก็ตาม

- CLSA เลือก KEST ขึ้นแท่นหุ้น Top Pick กลุ่มหลักทรัพย์
        บทวิเคราะห์การลงทุนโดย CLSA ระบุ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST เป็นหุ้น Top Pick กลุ่มหลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดช่วงมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงหลังการเลือกตั้ง
         โดย CLSA ระบุว่า แม้ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยโดยภาพรวมจะยังคงไม่สดใสเท่าที่ควร แต่ประมาณการซื้อขายยังคงหนาแน่นมากกว่าที่คาดการณ์ โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 18 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยช่วงต้นปีอยู่ที่ระดับเพียง 12 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน CLSA คาดว่า ภาวะการลงทุนที่ของตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคึกคักมากขึ้นในปีหน้า จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนที่จะฟื้นตัว หลังได้รัฐบาลใหม่และเกิดความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น
         นอกจากนี้ CLSA มองว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2005 นักลงทุนรายย่อยยังคงเป็นฝ่ายขายสุทธิจนถึงวันนี้ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายซื้อสุทธิและครอบครองหลักทรัพย์คิดเป็น 30% ของฟรีโฟรทใน Q3/50 จาก 23% ใน Q1/50 แต่จากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจมหภาคที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า จะทำให้นักลงทุนรายย่อยกลับมาเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ และเป็นกลุ่มที่จะเริ่มมีบทบาทต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
         ทั้งนี้ KEST มีลูกค้าที่เป็นนักลงทุนรายย่อยมากที่สุด การกลับเป็นฝ่ายซื้อและมีบทบาทต่อทิศทางของตลาดหุ้นรอบนี้จึงเป็นปัจจัยบวกต่อ KEST อย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะทำ
ให้ KEST กลับมาครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ได้อีกครั้ง
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

KEST ยังเหนียวรั้งแชมป์แชร์สูงสุดปี 50

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อืมม์.... เหตุของการฟอร์มตัวสวยกว่า'แนนท์ อื่นๆ          :shock:
โพสต์โพสต์