ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งของ "กรุงเทพ ประกันภัย", "กรุงเทพประกันชีวิต" และ "วิธสิน ประกันภัย" "ฐาน-เศรษฐกิจ" จึงถือโอกาสนี้ สัมภาษณ์หัวเรือใหญ่ "ชัย โสภณพนิช" ที่มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพประกันภัยฯ ถึงแผนการบริหารของบริษัทเองในปีนี้ ตลอดจนแผนการลงทุน และการโฟกัสวางอนาคตให้กับบริษัทในเครือ ...
นโยบายของกรุงเทพประกันภัยปี 47 ปีนี้เราพยายามเน้นรับงานเฉพาะที่ยังทำกำไร ถ้าได้ในอัตราต่ำเกินไป จนทำให้ขาดทุนก็พยายามไม่รับประกัน โดยได้ตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจไว้ที่ 11% ซึ่งหวังว่าจะมีกำไรเพิ่ม ขึ้น เพราะปีนี้เป็นปีแห่งการคัดเลือกลูกค้า และบริษัทยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ มีข้อมูลเพิ่มขึ้น รู้ว่าลูกค้าประเภทไหนที่มีความเสี่ยงมาก-น้อย
ในปี 46 ที่ผ่านมาเราตั้งเป้าเบี้ยไว้เพิ่ม ขึ้น 8% หรือ 6,600 ล้าน แต่ได้รับจริงประมาณ 5,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้น 20% มาในสิ้นปีมีกำไรจากการลงทุนในหุ้น 4,200 ล้านบาท เพิ่มจากสิ้นปี 45 ที่มีประมาณ 900 ล้านบาท หรือเพิ่มมา 3,300 ล้านบาท โดยเงินลงทุนทั้งหมด 5,000 ล้าน บาท จะเป็นการลงทุนในหุ้น 2,500 ล้านบาท คิดเป็น 48-52% แต่ปีนี้คงไม่ได้เพิ่มเงินลงทุนในหุ้น หรือย้ายจากการฝากแบงก์มาลงทุนเพราะเรามีเงินกองทุนส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวนมาก ฉะนั้นสามารถไปลงทุนได้มากกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 20% ของทรัพย์สินลงทุนของบริษัท
ขณะที่เบี้ยประกันภัยทั้งระบบเพิ่มขึ้น 17% ในขณะที่เบี้ยประกันทั้งประกันรถยนต์และประกันภัยเบ็ดเตล็ดกลับเติบโตในอัตราลดลงหรือขยายเพียง 7-8% เนื่องจากมีการคัดสรรงานมากขึ้น โดยเฉพาะรถใหม่ป้ายแดง ที่มีการแข่งขันตัดราคากันมาก ถ้ามองแล้วไม่คุ้มก็หยุดรับประกัน จึงทำให้เบี้ยประกันรถยนต์ ลดลง ด้านประกันภัยเครื่องบินรับประกันไว้ 30% ของสายการบินไทยอินเตอร์ และบางกอก แอร์เวย์ส แต่เนื่องจากสถานการณ์ วินาศกรรมในสหรัฐ เบี้ยประกันเครื่องบินทั่วโลกเพิ่ม ขึ้น 70-80% หลังจากนั้น 2 ปี ไม่มีเหตุการณ์อะไรเบี้ยประกันก็ลดลงมา 30% เดิมเป็นเบี้ยประกันก้อนใหญ่ของเราประมาณ 800-900 ล้านบาท ที่มาจากการบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส เมื่อเบี้ยลดทำให้เบี้ยประกันเราหายไป 200 ล้าน
ด้านกรุงเทพประกันชีวิตที่เปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่
บริษัทแรกคือ นิปปอนไลฟ์ จากถืออยู่ 9% ก็เพิ่มขึ้นเป็น 15% และมิตซุย สุมิโตโม มาขอซื้ออีก 10% จากผู้ถือหุ้นรายย่อยราคาหุ้นละ 60 บาท เพราะเขาต้องการให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คงอยู่ไว้ร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ ซึ่งทำให้นิปปอนไลฟ์ กับมิตซุย สุมิโตโมรวมกันประ- มาณ 25% โดยทางนิปปอนไลฟ์จะส่งคนเข้ามาร่วมบริหาร ส่วนมิตซุย สุมิโตโม เพียงแต่เข้ามาลงทุนอย่างเดียว คาดว่าคงจะได้รับเบี้ยประกันจากทั้ง 2 กลุ่มเข้ามาช่วยเสริมได้บ้าง เพราะเดี๋ยวนี้เวลาที่เขาไปติดต่องานประกันภัยมัก จะมีบริการประกันชีวิตรวมเป็นแพ็กเกจไปด้วย ถ้าไม่มีเกรงว่าจะมีบริษัทอื่นเข้ามาเจาะตลาดประกันชีวิตไปและจะถูกแย่งงานในส่วนประ กันภัยไปด้วย ฉะนั้นเขาจึงพยายามปิดประตูคนอื่น
สำหรับลูกค้าแบงก์กรุงเทพฯ ก็ยังส่งงานให้ต่อเนื่อง 45-50% ขณะนี้กำลังเจรจาเรื่องแบงก์แอสชัวรันส์อยู่ ซึ่งพนักงานก็ขายประ กันอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าจะบังคับให้เขาขายเฉพาะของกรุงเทพประกันชีวิตก็ลำบาก แต่แบงก์ ไม่ได้รับค่านายหน้า ขณะนี้แบงก์ก็ได้รับใบอนุญาตขายประกันจากกรมการประกันภัยแล้ว และมีเจ้าหน้าที่ครบแล้ว แต่ไม่ได้รีบร้อนจึง หันไปเน้นเรื่องอื่นที่คิดว่ามีความสำคัญมากกว่า กอปรกับทางแบงก์ยังไม่มีเวลาไปดูรายละเอียด
นโยบายการดำเนินงานปีที่แล้วลดซิง เกิลพรีเมียมลงมาเยอะ ปัจจุบันทุนชำระแล้วของกรุงเทพประกันชีวิต 1,000 ล้านบาท ยังมีเพียงพอในการขยายงานในอนาคต เนื่องจาก มีงานเก่าต่ออายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องเพิ่มทุน
ปีที่ผ่านมามีกำไรหรือยัง คิดว่าปี 46 จะเป็นปีแรกที่จ่ายเงินปันผล ซึ่งปี 45 ขาดทุนสะสมมาเล็กน้อย ปี 46 คงจะหมดแล้วและมีเงินเหลืออยู่บ้าง ฉะนั้นเราคาดคะเนไว้ว่าจากผลการดำเนินงานปี 46 จะจ่ายปันผลได้ เราเคยจ่ายเงินปันผลประมาณ 10 ปีที่แล้ว เพราะธุรกิจประกันชีวิตยิ่งขยายตัวเร็ว ยิ่งขาดทุนมาก ถ้าเรารับเบี้ยประกันประมาณ 10-15% มันจะไม่กระทบกับเงินสำรอง แต่ถ้าเพิ่มร้อยละ 20-30% จะทำให้เราต้องตั้งเงินสำรองมาก แต่เดี๋ยวนี้ฐานเราใหญ่ขึ้นงานใหม่ที่เข้ามาจะไม่กระทบเรื่องกำไรเท่าไร
กรุงเทพประกันภัยสนใจจะซื้อประกันภัยอื่นหรือเปล่า ถ้ามีบริษัทไหนที่มาติดต่อเราก็สนใจ เท่าไหร่ก็ได้ถ้าเขาอยากจะให้เราซื้อเฉพาะงานของเขา ปัจจุบันเราถือว่ามีส่วนแบ่งตลาด 7% ก็ใหญ่พอที่จะอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องขยับขยาย และเรามีปัญหาว่าถ้าจะไปซื้อบริษัทอื่นเราจะทำอย่างไรกับพนักงานของเขา สำหรับทางบริษัทวิธสินประกันภัยฯ ที่กลุ่มโสภณพนิชถือหุ้นอยู่ 40% นั้น กำลังเจรจาหาพาร์ตเนอร์ต่างประเทศอยู่ ถ้าเจรจาไม่ได้ทางกรุงเทพประกันภัยอาจจะซื้อเข้ามาควบรวมกิจการ ซึ่งก็มี วิธสินบริษัทเดียวที่เราจะซื้อเข้ามาพร้อมกับ รับพนักงานประมาณ 70 คน ซึ่งงานมีปีละ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ถือหุ้นญี่ปุ่น สุมิโตโมถืออยู่ 20% เอเชีย ฮ่องกง ถือ 5% ที่เหลือเป็นรายย่อย ซึ่งสุมิโตโมเข้าไปซื้อ อยุธยาประกันภัยแล้ว เราก็คงจะเจรจาซื้อหุ้นคืนมาทั้ง หมด เพราะถือว่าเขาเป็นคู่แข่งของเราแล้ว ถ้าเราหาพาร์ตเนอร์ได้ในระยะยาวเราต้องเพิ่ม ทุน และต้องรอกฎหมายอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% จากนั้นต้องเพิ่มทุนเป็น 300 ล้านบาท ปัจจุบันวิธสินมีประมาณ 200 ล้านบาท และมอบให้พาร์ตเนอร์เป็นคนบริหาร
การลงทุนต่างประเทศ ในประเทศจีนเพิ่งไปลงทุนปีที่แล้วยังเร็วเกินไปที่จะทราบถึงผลงาน ส่วนที่เซี่ยงไฮ้เป็น บริษัทลูกของบริษัทประกันภัยของรัฐบาล เราเข้าไปถือ 1% หรือ 50 ล้านบาท ชื่อบริษัทคอนเตอร์เนนโต พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ แคชชัวตี้ฯ ส่วนด้านเวียดนามเพิ่งไปเปิด 1 ปีกว่า ก็ยังไม่ทราบผล โดยร่วมกัน 4 ประเทศเข้าไปถือหุ้นได้แก่ เอเชีย ฮ่องกง, เอเชีย สิงคโปร์, เซ็นทรัลเอเชีย อินชัวรันส์ ที่จาการ์ตา กับ กรุงเทพประกันภัย เข้าไปถือหุ้นร่วมกับแบงก์ ชื่อเวียดนาม คอมเมอร์เชียล แอนด์ อินดัสเตรียลแบงก์ ก็คงไปได้เรื่อยๆ ทั้งนี้บริษัทประกันภัยจะเห็นผลก็ต้องรอประมาณ 3-4 ปี
ขณะที่ทางกัมพูชา ก็เพิ่มทุนไปเรื่อยๆ เพราะตามกฎของเขาเรื่องเงินกองทุน ต้องให้ ถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 300 ล้านบาท เราไปร่วมทุนกับคนท้องถิ่น ชื่อบริษัทคัมโบเดีย อินชัวรันส์ฯ เอกชนของเขากับเรา ไม่มีรัฐบาลเข้ามาร่วม เราถืออยู่ประมาณ 15% เพราะมี 4 บริษัท ข้างต้น รวมกัน 60% เราเป็นฝ่ายส่งเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนเวียดนามเอเชีย อินชัวรันส์ ทางสิงคโปร์ จะเป็นคนดูแล ซึ่งเพิ่มทุนในเขมร ปีที่ผ่านมา 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ปีนี้เพิ่มอีก 1.5 ล้าน เป็น 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มตามลำดับ 5 ปี ก็จะครบ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ
.