
มุขระกอบรูป: ไม่สงสัยเลยว่าทำไมแถบตะวันออกกลางถึงผลิตก๊าซได้เยอะกว่าชาวบ้าน
เรื่องประกอบรูป:
วิทยาศาสตร์กับกลิ่นตด
พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์
การผายลมหรือการตดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตด เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นในลำไส้จากหลายแหล่งหลายสาเหตุ การตดนี้ควรจะจัดไว้ในวิชาสรีรวิทยา แต่เอาเข้าจริงปรากฏว่าในตำรามีการเขียนถึงน้อย เนื่องจากมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องตดน้อยมาก รายงานดีๆ ที่ทำการทดลองแบบวิทยาศาสตร์จ๋าหาไม่ได้นอกจากที่ทำโดยหมอ Michael D. Levitt ศาสตราจารย์ทางด้านอายุรกรรม แห่งมหาวิทยาลัยมินิโซตาเมดิคัลสกูล มินีอาโปลิส สหรัฐอเมริกา ที่นำออกเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้
ก่อนจะลงลึกถึงเรื่องกลิ่นตดเรามาทำความเข้าใจในเรื่องการดมกลิ่นกันสักหน่อย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีงานวิจัยเรื่องการดมกลิ่นมาก ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นมาก
ปกติคนเราดมกลิ่นโดยใช้จมูก โดยที่บริเวณยอดหลังคาจมูกมีบริเวณที่ฆานประสาทมาเลี้ยง บริเวณนี้มีเซลล์ที่ทำหน้าที่รับกลิ่นมากมายเป็นล้าน แต่ละเซลล์มีขน (cilia) หลายเส้น แต่ละเส้นขนมีตัวรับรู้กลิ่น (receptor) ซึ่งมีความจำเพาะต่อสารเคมีที่ทำให้เกิดกลิ่น บริเวณรับกลิ่นที่มีขนนี้มีน้ำเมือกเคลือบอยู่ด้วย การได้กลิ่นของคนเราต้องมีอนุภาคของสารที่เกิดกลิ่นลอยมาแตะตัวรับรู้กลิ่น เมื่อมาแตะแล้วจะเกิดการกระตุ้นให้เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าส่งไปสู่สมองส่วนที่รับรู้นี้ การรับรู้กลิ่นนี้ถูกควบคุมด้วยยีนจำเพาะของแต่ละกลิ่นที่มีอยู่เป็นพันชนิด ซึ่งสามารถแยกแยะกลิ่นได้เป็นพันกลิ่นเช่นกัน เวลาเราหายใจเข้าจะได้กลิ่นมากกว่าเวลาเราหายใจออก เนื่องจากเวลาหายใจเข้าอากาศจะมีการผันผวน (turbulence) มากกว่าเวลาหายใจออก ความผันผวนของอากาศนี้เป็นตัวกระตุ้นเส้นขนรับรู้กลิ่นที่ดี
จะเห็นว่าเวลาเราจะดมกลิ่นอะไรเราต้องสูดลมเข้าแรงๆ และเวลาหายใจออกเราจะไม่ได้กลิ่นของตัวเราเอง (เช่น กลิ่นปาก) เวลา ลมโชยโรยกลิ่นน้อง เรื่อยๆ ต้องคลองนาสา ผู้ชายนะครับทั้งหลายมักจะต้องสูดหายใจเข้าแรงๆ สัญชาติญาณการดมกลิ่นอาจจะมีความหมายถึงการอยู่รอดของคนหรือสัตว์ เช่น ในหนู เขาทดลองพบว่า ในหนูแรกเกิดซึ่งตายังไม่เปิด มียีนกำหนดให้มันสามารถดมกลิ่นหานมแม่กินได้

การทดลองทางวิทยาศาสตร์เรื่องกลิ่นตดมีน้อย รายงานของหมอ ไมเคิล ดี. เลวิทท์นับว่าเป็นรายงานเรื่องกลิ่นตดแบบวิทยาศาสตร์ชิ้นสำคัญมากเรื่องหนึ่งที่ทำให้ความเข้าใจผิดหรือมิจฉาทิฐิเรื่องตดหลายอย่างถูกลบล้างหายไป เช่น เคยมีคำกล่าวว่าผู้หญิงตดเหม็นกว่าชาย ได้รับคำตอบในรายงานนี้ว่าจริงหรือไม่
เขาทำการทดลองโดยใช้อาสาสมัคร (ซึ่งได้รับการจ่ายเงินที่มากพอดู) ซึ่งเป็นหญิง 6 คน ชาย 10 คน แต่ละคนได้รับการสอดใส่ท่อเข้าทางทวารหนักแล้วอีกปลายหนึ่งต่อเข้าถุงที่ทำด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์เพื่อทำการเก็บตดเอามาวิเคราะห์ศึกษา
ปกติก๊าซที่อยู่ในลำไส้คนเราเป็นอากาศที่กลืนเข้าไปเป็นส่วนมาก ที่เหลือเป็นก๊าซที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ ในการศึกษานี้เพื่อให้มีตดเกิดขึ้นแน่นอน เขาให้อาสาสมัครกินถั่ว Pinto bean และ Lactulose ซึ่งลำไส้คนไม่ค่อยย่อย ทำให้เกิดก๊าซในลำไส้มาก
จากการทดลองเขาพบว่าโดยเฉลี่ยผู้ชายตด 119 มิลลิลิตรต่อวัน ส่วนหญิงตด 88 มิลลิลิตรต่อวัน
สารที่ก่อกลิ่นตดมีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ก๊าซที่เกิดจากกำมะถัน ซึ่งมีอยู่ 3 ตัวคือ Hydrogen sulfide, Methane sulfide และ Dimethyl sulfide สารพวกนี้เกิดขึ้นน้อยมาก แต่มีกลิ่นรุนแรง แต่ละวันที่ตดมีสารพวกนี้ออกมาน้อยมากๆ คือประมาณ 4 ไมโครลิตร หรือ 0.001% ของตดเท่านั้น
การตรวจความเหม็นของสารก่อกลิ่นตดที่ว่านี้เขาไม่สามารถสร้างเครื่องมือขึ้นมาวัดได้ แม้จะเป็นยุคดิจิตัลหรือยุคนาโนแล้วก็ตาม ยังต้องใช้จมูกของอาสาสมัคร (ซึ่งได้รับค่าจ้างแพง เพราะว่านักดมตดนี้เคยได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฉบับหนึ่งให้อยู่ในอาชีพยอดแย่อันดับต้นๆ) นักดมที่ว่านี้จะทำการทดสอบโดยไม่รู้ว่าก๊าซที่เขาดมนั้นมาจากไหน เขาจะเป็นคนประเมินว่ามีความเหม็นรุนแรงมากแค่ไหน จากการประเมินแบบนี้ทำให้เขาทราบว่าความรุนแรงของกลิ่นตดมันมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเข้มข้นของสารก่อกลิ่นตดดังกล่าวข้างต้น
มีคนเคยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้หญิงตดเหม็นกว่าชาย เขาจึงลงมือทำการศึกษาเปรียบเทียบความเหม็นของตดหญิงและตดชายโดยนักดมตด แต่พบว่า ตดผู้ชายเหม็นกว่าตดหญิง (ทั้งๆ ที่นักตลกทีวีไทยเคยกล่าวว่า ห้องน้ำหญิงเหม็นกว่าห้องน้ำชาย เพราะห้องน้ำหญิงอ่านออกเสียงว่า วู่เหม็น (women))

ในทำนองเดียวกัน ที่เขาตั้งข้อสังเกตว่าตดที่มีจำนวนมาก (หรือตดดังยาว) มีกลิ่นน้อยกว่าตดที่มีจำนวนก๊าซน้อย ซึ่งก็ไม่จริงเช่นกัน
นอกจากนี้เขายังใช้นักดมตดประเมินดูว่ายาที่เขาใช้ระงับกลิ่นตดนั้นได้ผลมากน้อย เช่น เขาทดลองใช้สังกะสี (Zinc) แล้วพบว่ามันสามารถทำปฏิกิริยากับก๊าซซัลไฟด์ทำให้กลิ่นตดลดความเหม็นลงมาก แต่การกินสังกะสีทำได้ไม่ดีในทางปฏิบัติ
เขาทดลองใช้สารบิสมัธ (Bismuth) แล้วพบว่าสารตัวนี้สามารถจับกับสารกำมะถัน ทำให้มันหมดกลิ่น ยาลดกรด Pepto Bismal ซึ่งมีส่วนผสมของบิสมัธ ที่มีขายตามเคาน์เตอร์ในต่างประเทศสามารถระงับกลิ่นตดได้ แต่หลังจากกินแล้วอุจจาระจะเปลี่ยนเป็นสีดำ และเขาไม่แนะนำให้กินเป็นเวลานานเพราะจะมีผลข้างเคียงจากยาได้
ถ่าน Charcoal เป็นสารที่สามารถดูดซึมก๊าซเกือบทุกชนิด แต่การกินถ่านบดเข้าไปลดกลิ่นตดไม่ได้ผลดีเนื่องจากมันดูดซับก๊าซมากชนิด ทำให้ต้องกินถ่านเข้าไปมากซึ่งปฏิบัติยาก แต่เขาสามารถเอาผงถ่านมาประกอบเป็นส่วนของเครื่องดูดซับกลิ่นตด เช่น แผ่นรองนั่งเข้าผงถ่าน(cushion) แผ่นซับก้นเข้าผงถ่าน (pad) กางเกงในเข้าผงถ่าน (spun-charcoal underpants) หลักการคือ ถ้าก๊าซที่ออกมาจากก้นได้สัมผัสกับผงถ่านจะทำให้กลิ่นตดลดลง เขาได้ทำการทดลองแล้วพบว่า
แผ่นรองนั่งเข้าผงถ่านลดกลิ่นตดได้ 20%
แผ่นซับก้นเข้าผงถ่านลดได้ 60-80%
กางเกงในเข้าผงถ่านลดได้ 100%
เครื่องมือที่กล่าวมานี้คงจะยังไม่มีขายตามห้างสะดวกซื้อบ้านเรา คนไทยเราเห็นจะต้องร้องเพลงรอต่อไปก่อน
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าคนเราบางคนตดมาก บางคนตดน้อย การตดมากตดน้อยขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างคือ การกลืนน้ำลายมากจะทำให้ตดมาก เพราะทุกครั้งที่เรากลืนน้ำลายเราจะกลืนอากาศเข้าไปด้วย อากาศมีส่วนผสมของก๊าซไนโตรเจนมาก ก๊าซตัวนี้ไม่ถูกดูดซึมจึงไม่ถูกกำจัดออกทางลมหายใจ (ไม่เหมือนคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลม) คนพูดมากจึงมีสิทธิ์ตดมากกว่าเพราะคอแห้งกลืนน้ำลายมากกว่าคนพูดน้อย
อาหารที่กินแล้วไม่ย่อย ทำให้เกิดก๊าซจากการย่อยของแบคทีเรียมาก อาหารพวกนมวัวมีน้ำตาลแลคโตสซึ่งคนไทยจำนวนมากไม่มีเอ็นไซม์ย่อย กินแล้วจึงทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อเรอหรือตดมาก คนเราแต่ละคนจะแพ้อาหารคืออาหารไม่ย่อยไม่เหมือนกัน บางคนกินกะหล่ำปลีแล้วท้องอืดตดมาก บางคนกินถั่วลิสงแล้วตดมาก แต่ถ้ากินถั่วต้มแล้วไม่เป็นไร การกินอาหารมังสวิรัติทำให้มีกลิ่นตดน้อยกว่า ทั้งนี้คงเป็นเพราะในเนื้อสัตว์มีสารกำมะถันมากกว่าในพืช ดังนั้นใครที่ไม่อยากผายลมมากจึงจำเป็นต้องสำเหนียกเรียนรู้จดจำอาหารที่ตัวเองไม่ย่อยเอาไว้ให้ดี ก่อนจะไปงานไฮโซคอนเสิร์ตซิมโฟนีออร์เคสตรา หรือไปดูโอเปราก็จำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกินล่วงหน้าอย่าไปปล่อยลมเหม็นให้เสียงดังเสียหน้าวงแตก แต่ถ้าไปงานร็อคคอนเสิร์ตหรือคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดๆ ที่แต่ละคนต่างออกแรงเต้นจนเหงื่อออกกลิ่นเต่ากลบกลิ่นตดได้ก็อาจจะไม่ต้องพิถีพิถันมาก
เท่าที่ว่ามานี้ก็คงทำให้ท่านมีความรู้เอาไปใช้ประกอบการตัดสินใจดำเนินชีวิตแบบครีเอทีฟหรือมีศิลปะในการดำรงชีวิตได้บ้างเป็นแน่
ที่มา : http://www.healthtoday.net/thailand/scoop/scoop_67.html