กลุ่มธุรกิจประกันภัย
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
กลุ่มธุรกิจประกันภัย
โพสต์ที่ 1
การเมืองวิบัติ-เศรษฐกิจวิกฤติคนแห่ซื้อประกัน 4เดือน5.8หมื่นล. [ ฉบับที่ 800 ประจำวันที่ 9-6-2007 ถึง 12-6-2007]
ประกันชีวิตโตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ แม้เดือนเม.ย.ช่วงขาลงของทุกปี ยังทำสถิติเบี้ยพุ่งไม่หยุดต่างจากปีก่อนสิ้นเชิง โชว์ตัวเลข 4 เดือน โกยเบี้ยปีแรก 12,951 ล้านบาท โต 37% เบี้ยรวมแตะ 58,439.9 ล้านบาท เผยเฉพาะเม.ย.2550 กวาดเบี้ยใหม่เฉียด 3,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน ได้แค่ 2,234 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับยอดคนซื้อแค่เม.ย.เดือนเดียว 327,736 กรมธรรม์ ปีก่อนขายได้แค่ 284,207 กรมธรรม์ สะท้อนภาพคนไทยกังวลสารพัดปัญหาความไม่แน่นอน เศรษฐกิจ-การเมือง รุมเร้า แต่ยังเลือก ซื้อประกันป้องกันความเสี่ยง หนุนประกันชีวิตปีนี้ไปโลด
ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ของทุกปี ถือเป็นช่วงที่ธุรกิจประกันชีวิตต้องทำใจ เพราะเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวติดต่อกัน และยังเป็นช่วงเปิดเทอมที่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองต่างมุ่งการจับจ่ายใช้สอยไปที่ชุดนักเรียน และอุปกรณ์การเรียน รวมถึงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นหลัก จึงเป็นเสมือนวัฎจักรทุกปีที่ช่วงนี้ผลงานของธุรกิจประกันชีวิตจะต่ำกว่าช่วงอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
แต่กระนั้นเม.ย.2550 ปีนี้กลับต่างจากปีก่อน ยอดขายประกันชีวิตกลับยังสวนกระแสเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นไม่ลดละ แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมในเดือนเมษายนยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเม.ย.2550 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 77.6 จากเดือนมี.ค.ก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 78.5 เนื่องจากการที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวังต่อปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่มีการทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีความกังวลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ รวมทั้งการที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคเดือนเม.ย.2550 ยังคงมีการหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 0.4%
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4011
ประกันชีวิตโตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ แม้เดือนเม.ย.ช่วงขาลงของทุกปี ยังทำสถิติเบี้ยพุ่งไม่หยุดต่างจากปีก่อนสิ้นเชิง โชว์ตัวเลข 4 เดือน โกยเบี้ยปีแรก 12,951 ล้านบาท โต 37% เบี้ยรวมแตะ 58,439.9 ล้านบาท เผยเฉพาะเม.ย.2550 กวาดเบี้ยใหม่เฉียด 3,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน ได้แค่ 2,234 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับยอดคนซื้อแค่เม.ย.เดือนเดียว 327,736 กรมธรรม์ ปีก่อนขายได้แค่ 284,207 กรมธรรม์ สะท้อนภาพคนไทยกังวลสารพัดปัญหาความไม่แน่นอน เศรษฐกิจ-การเมือง รุมเร้า แต่ยังเลือก ซื้อประกันป้องกันความเสี่ยง หนุนประกันชีวิตปีนี้ไปโลด
ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ของทุกปี ถือเป็นช่วงที่ธุรกิจประกันชีวิตต้องทำใจ เพราะเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวติดต่อกัน และยังเป็นช่วงเปิดเทอมที่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองต่างมุ่งการจับจ่ายใช้สอยไปที่ชุดนักเรียน และอุปกรณ์การเรียน รวมถึงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นหลัก จึงเป็นเสมือนวัฎจักรทุกปีที่ช่วงนี้ผลงานของธุรกิจประกันชีวิตจะต่ำกว่าช่วงอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
แต่กระนั้นเม.ย.2550 ปีนี้กลับต่างจากปีก่อน ยอดขายประกันชีวิตกลับยังสวนกระแสเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นไม่ลดละ แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมในเดือนเมษายนยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเม.ย.2550 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 77.6 จากเดือนมี.ค.ก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 78.5 เนื่องจากการที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวังต่อปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่มีการทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีความกังวลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ รวมทั้งการที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคเดือนเม.ย.2550 ยังคงมีการหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 0.4%
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4011
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/06/07
โพสต์ที่ 2
ครม.น็อกAIAยันตัองเป็นบมจ.พาณิชย์ซุ่มอุ้มยื้อกฎเหล็กแท้ง [ ฉบับที่ 800 ประจำวันที่ 9-6-2007 ถึง 12-6-2007]
เอไอเอมึน! ครม.ยืนยันรอบ 2 ให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งรวมสาขาบริษัทต่างประเทศเปลี่ยนเป็นบมจ. แต่ให้รื้อเวลาใหม่จากเดิมล็อกไว้ 5 ปีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ กรมฯ ถกเอกชนขยาย เวลาใหม่ 7 หรือ 10 ปี งานนี้กฤษฎีกาชี้ขาดอีกยก วงในแฉมติ ครม.ตบหน้าพาณิชย์อย่างแรงเหตุก่อนหน้านี้ออกโรงอุ้มเอไอเออยู่เหนือกฎหมายไม่ต้องเป็นบมจ. จับตาพาณิชย์ยื้อสุดฤทธิ์ไม่ให้กฎเหล็กคลอดทันรัฐบาลคมช. รอลุ้นสมัยหน้า ด้านเอกชนยัน 5 ปีเหมาะสมแล้ว
หลังจากที่ประชุมคณะรัฐ มนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประ กันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ...และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ...ที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอขอแก้ไขใหม่มีมติยืนยันหลัก การเดิมกำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นหลักการที่มีความเหมาะสมอยู่แล้วเนื่องจากบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัย มีความสำคัญต่อประ ชาชนและระบบเศรษฐกิจของประ เทศ โดยให้กระทรวงพาณิชย์หา รือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรอบเวลาที่เหมาะสมที่จะกำหนด ให้บริษัทที่ประกอบธุรกิจอยู่เดิมต้องแปรสภาพเป็นบมจ. แล้วแจ้ง ผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประ กอบการตรวจพิจารณาร่างกฎ หมายทั้ง 2 ฉบับที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไป
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4020
เอไอเอมึน! ครม.ยืนยันรอบ 2 ให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งรวมสาขาบริษัทต่างประเทศเปลี่ยนเป็นบมจ. แต่ให้รื้อเวลาใหม่จากเดิมล็อกไว้ 5 ปีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ กรมฯ ถกเอกชนขยาย เวลาใหม่ 7 หรือ 10 ปี งานนี้กฤษฎีกาชี้ขาดอีกยก วงในแฉมติ ครม.ตบหน้าพาณิชย์อย่างแรงเหตุก่อนหน้านี้ออกโรงอุ้มเอไอเออยู่เหนือกฎหมายไม่ต้องเป็นบมจ. จับตาพาณิชย์ยื้อสุดฤทธิ์ไม่ให้กฎเหล็กคลอดทันรัฐบาลคมช. รอลุ้นสมัยหน้า ด้านเอกชนยัน 5 ปีเหมาะสมแล้ว
หลังจากที่ประชุมคณะรัฐ มนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประ กันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ...และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ...ที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอขอแก้ไขใหม่มีมติยืนยันหลัก การเดิมกำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นหลักการที่มีความเหมาะสมอยู่แล้วเนื่องจากบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัย มีความสำคัญต่อประ ชาชนและระบบเศรษฐกิจของประ เทศ โดยให้กระทรวงพาณิชย์หา รือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรอบเวลาที่เหมาะสมที่จะกำหนด ให้บริษัทที่ประกอบธุรกิจอยู่เดิมต้องแปรสภาพเป็นบมจ. แล้วแจ้ง ผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประ กอบการตรวจพิจารณาร่างกฎ หมายทั้ง 2 ฉบับที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไป
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4020
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/06/07
โพสต์ที่ 5
กรมประกันจัดวันนัดประกันทอง เบี้ยประกัน0.90-1.10%
8 มิถุนายน พ.ศ. 2550 16:38:00
นางจันทรา บูรณฤกษ์
กรมการประกันภัย จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 0.90-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย พร้อมจัดงาน วันนัดประกันทอง เพื่อพบปะระหว่างภาคธุรกิจประกันภัยกับผู้ประกอบการร้านค้าทอง วันที่ 15 มิ.ย.นี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ร้านค้าทองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นำมาซึ่งความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิตของเจ้าของร้าน ลูกจ้าง และผู้ประสบเหตุ จนทำให้ผู้ประกอบการร้านทองต้องหันมาให้วิธีการต่าง ๆ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเองนั้น กรมการประกันภัยได้ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย พิจารณาหาแนวทางในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการร้านทอง โดยนำรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยพิทักษ์ร้านทอง และอัตราเบี้ยประกันภัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ให้ความคุ้มครองแบบรวม (Package) ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทองคำ ความเสียหายต่อทรัพย์สินอื่น ๆ และค่ารักษาพยาบาลและเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย มาเป็นต้นแบบ
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายต่อทองคำที่มีไว้เพื่อจำหน่าย อันเกิดจากการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ภายในสถานที่เอาประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง0.90-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยมีวงเงินคุ้มครองที่ 1-3 ล้านบาท ของการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวอาคาร ตู้นิรภัย กระจก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ตู้แสดงสินค้าทองคำ เครื่องชั่ง และโทรทัศน์วงจรปิด อันเกิดจากการชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ ภายในสถานที่เอาประกันภัย และกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง 0.05-3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยคิดเป็นวงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 100,000-300,000 บาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/0 ... wsid=77974
8 มิถุนายน พ.ศ. 2550 16:38:00
นางจันทรา บูรณฤกษ์
กรมการประกันภัย จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 0.90-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย พร้อมจัดงาน วันนัดประกันทอง เพื่อพบปะระหว่างภาคธุรกิจประกันภัยกับผู้ประกอบการร้านค้าทอง วันที่ 15 มิ.ย.นี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ร้านค้าทองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นำมาซึ่งความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิตของเจ้าของร้าน ลูกจ้าง และผู้ประสบเหตุ จนทำให้ผู้ประกอบการร้านทองต้องหันมาให้วิธีการต่าง ๆ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเองนั้น กรมการประกันภัยได้ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย พิจารณาหาแนวทางในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการร้านทอง โดยนำรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยพิทักษ์ร้านทอง และอัตราเบี้ยประกันภัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ให้ความคุ้มครองแบบรวม (Package) ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทองคำ ความเสียหายต่อทรัพย์สินอื่น ๆ และค่ารักษาพยาบาลและเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย มาเป็นต้นแบบ
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายต่อทองคำที่มีไว้เพื่อจำหน่าย อันเกิดจากการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ภายในสถานที่เอาประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง0.90-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยมีวงเงินคุ้มครองที่ 1-3 ล้านบาท ของการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวอาคาร ตู้นิรภัย กระจก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ตู้แสดงสินค้าทองคำ เครื่องชั่ง และโทรทัศน์วงจรปิด อันเกิดจากการชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ ภายในสถานที่เอาประกันภัย และกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง 0.05-3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยคิดเป็นวงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 100,000-300,000 บาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/0 ... wsid=77974
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/06/07
โพสต์ที่ 6
ส่งบริษัทประกันเน่าหยุดขายกรมธรรม์
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า เตรียมเสนอรมว.พาณิชย์ เห็นชอบให้ออกประกาศนายทะเบียนบริษัทหยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราว สำหรับบริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยที่มีปัญหา เพื่อไม่ให้ ผู้เอาประกันได้รับความเดือดร้อน ซึ่งหาก รมว. พาณิชย์เห็นชอบแล้ว จะเร่งออกประกาศในทันที เพื่อให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้กรมฯจะสั่งให้บริษัทประกันภัยที่มีเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามกำหนด หรือเงินกองทุนต่ำกว่า 30 ล้านบาท ต้องหยุดขายกรมธรรม์ ชั่วคราว 6 เดือน หรือบริษัทประกันภัยที่ไม่ยื่นฐานะทางการเงินต่อกรมการประกันภัย 3 เดือนติดต่อกัน ต้องหยุดขายกรมธรรม์ชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน หรือบริษัทประกันภัยที่ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกัน ต้องหยุดขายกรมธรรม์ชั่วคราวเป็นเวลา 10 วัน หากไม่สามารถแก้ไขฐานะทางการเงินได้ นายทะเบียน (อธิบดีกรมการประกันภัย) จะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ถอนใบอนุญาตการดำเนินกิจการทันที
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า เตรียมเสนอรมว.พาณิชย์ เห็นชอบให้ออกประกาศนายทะเบียนบริษัทหยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราว สำหรับบริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยที่มีปัญหา เพื่อไม่ให้ ผู้เอาประกันได้รับความเดือดร้อน ซึ่งหาก รมว. พาณิชย์เห็นชอบแล้ว จะเร่งออกประกาศในทันที เพื่อให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้กรมฯจะสั่งให้บริษัทประกันภัยที่มีเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามกำหนด หรือเงินกองทุนต่ำกว่า 30 ล้านบาท ต้องหยุดขายกรมธรรม์ ชั่วคราว 6 เดือน หรือบริษัทประกันภัยที่ไม่ยื่นฐานะทางการเงินต่อกรมการประกันภัย 3 เดือนติดต่อกัน ต้องหยุดขายกรมธรรม์ชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน หรือบริษัทประกันภัยที่ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกัน ต้องหยุดขายกรมธรรม์ชั่วคราวเป็นเวลา 10 วัน หากไม่สามารถแก้ไขฐานะทางการเงินได้ นายทะเบียน (อธิบดีกรมการประกันภัย) จะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ถอนใบอนุญาตการดำเนินกิจการทันที
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/06/07
โพสต์ที่ 7
ยืดให้ 13 ปีประกันเป็นบมจ. - 19/6/2550
ยืดให้ 13 ปีประกันเป็นบมจ.
++ รัฐไม่สนกม.แท้ง/ลั่นเดินหน้าตั้งองค์กรอิสระ
กรมประกันภัยลุยหน้าผลักดันโครงสร้างจัดตั้งองค์กรอิสระ ลุ้นเข้าครม.วันนี้ แม้เสนอร่างกม.ไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ ยังไงก็ต้องแจ้งเกิด อ้างเหตุเวิลด์แบงก์-ไอเอ็มเอฟจี้ก้น ขณะที่บริษัทประกันฯเป็นมหาชนจ่อได้ข้อสรุป ขยายเวลายืดออกไปให้อีก 13 ปีอุ้มบริษัทเล็ก
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการผลักดันกรมประกันภัยเป็นองค์กรอิสระว่า ตนยังมีความเชื่อมั่นว่า การคลอดร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระหรือคปภ.คงจะทันในรัฐบาลชุดนี้ หากนำเข้าเสนอให้คณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ได้ทัน และครม.พิจารณาผ่านความเห็นชอบแล้วก็คงจะนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมของสภานิติบัญญัติได้ทันที แต่หากแม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสนอไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้หรือว่าตนเองจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งอธิบดีกรมการประกันภัยนี้แล้ว การจัดตั้งองค์กรอิสระดังกล่าวคงจะเดินหน้าต่อไปในรัฐบาลถัดไป
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=176230
ยืดให้ 13 ปีประกันเป็นบมจ.
++ รัฐไม่สนกม.แท้ง/ลั่นเดินหน้าตั้งองค์กรอิสระ
กรมประกันภัยลุยหน้าผลักดันโครงสร้างจัดตั้งองค์กรอิสระ ลุ้นเข้าครม.วันนี้ แม้เสนอร่างกม.ไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ ยังไงก็ต้องแจ้งเกิด อ้างเหตุเวิลด์แบงก์-ไอเอ็มเอฟจี้ก้น ขณะที่บริษัทประกันฯเป็นมหาชนจ่อได้ข้อสรุป ขยายเวลายืดออกไปให้อีก 13 ปีอุ้มบริษัทเล็ก
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการผลักดันกรมประกันภัยเป็นองค์กรอิสระว่า ตนยังมีความเชื่อมั่นว่า การคลอดร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระหรือคปภ.คงจะทันในรัฐบาลชุดนี้ หากนำเข้าเสนอให้คณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ได้ทัน และครม.พิจารณาผ่านความเห็นชอบแล้วก็คงจะนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมของสภานิติบัญญัติได้ทันที แต่หากแม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสนอไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้หรือว่าตนเองจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งอธิบดีกรมการประกันภัยนี้แล้ว การจัดตั้งองค์กรอิสระดังกล่าวคงจะเดินหน้าต่อไปในรัฐบาลถัดไป
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=176230
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/06/07
โพสต์ที่ 8
เปิดไฟเขียวประกันชั้น5รับยุคเงินฝืด
โพสต์ทูเดย์ กรมประกันอนุมัติ ประกันชั้น 5 คาดสัปดาห์หน้าได้ฤกษ์ประกาศใช้ได้
แหล่งข่าวจากกรมการประกันภัยเปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการประกันภัยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดขั้น สุดท้ายของแบบประกันภัยรถยนต์ ชั้น 5 ที่ทางสมาคมประกันวินาศภัยเสนอมา โดยคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าคงประกาศให้ใช้เป็นแบบประกันกึ่งมาตรฐาน และให้แต่ละบริษัทที่เป็นสมาชิกของสมาคมนำไปใช้เป็นแบบประกันใหม่ได้
ประกันชั้น 5 นี้สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการคุ้มครองได้ จึงถือว่าเป็นประกันกึ่งมาตรฐาน ขณะที่ชั้น 1, 2 และ 3 นั้นถือเป็นประกันมาตรฐาน ซึ่งชั้น 1 นั้นก็เหมือนกับเป็นสินค้าขายส่ง ต้องซื้อของจำนวนมากและมีราคาสูง แต่ประกันชั้น 5 นี้ก็เหมือนสินค้าขายปลีก และมีการคิดราคาที่เหมาะสม ถือว่าเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้รถอีกทางหนึ่ง แหล่งข่าวเปิดเผย
นายสมบัติ ปัญญามิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการตลาดและตัวแทน บริษัท อาคเนย์ประกันภัย กล่าวว่า บริษัทได้ออกประกันชั้น 3 แบบพิเศษใหม่ ในชื่อ แคมเปญแพลทตินั่ม 3 พลัส เพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและลูกค้ามีความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173450
โพสต์ทูเดย์ กรมประกันอนุมัติ ประกันชั้น 5 คาดสัปดาห์หน้าได้ฤกษ์ประกาศใช้ได้
แหล่งข่าวจากกรมการประกันภัยเปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการประกันภัยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดขั้น สุดท้ายของแบบประกันภัยรถยนต์ ชั้น 5 ที่ทางสมาคมประกันวินาศภัยเสนอมา โดยคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าคงประกาศให้ใช้เป็นแบบประกันกึ่งมาตรฐาน และให้แต่ละบริษัทที่เป็นสมาชิกของสมาคมนำไปใช้เป็นแบบประกันใหม่ได้
ประกันชั้น 5 นี้สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการคุ้มครองได้ จึงถือว่าเป็นประกันกึ่งมาตรฐาน ขณะที่ชั้น 1, 2 และ 3 นั้นถือเป็นประกันมาตรฐาน ซึ่งชั้น 1 นั้นก็เหมือนกับเป็นสินค้าขายส่ง ต้องซื้อของจำนวนมากและมีราคาสูง แต่ประกันชั้น 5 นี้ก็เหมือนสินค้าขายปลีก และมีการคิดราคาที่เหมาะสม ถือว่าเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้รถอีกทางหนึ่ง แหล่งข่าวเปิดเผย
นายสมบัติ ปัญญามิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการตลาดและตัวแทน บริษัท อาคเนย์ประกันภัย กล่าวว่า บริษัทได้ออกประกันชั้น 3 แบบพิเศษใหม่ ในชื่อ แคมเปญแพลทตินั่ม 3 พลัส เพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและลูกค้ามีความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173450
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/06/07
โพสต์ที่ 9
เอไอเอทำเก๋ ระดมโฆษณา เพิ่มตัวแทน
โพสต์ทูเดย์ เอไอเอปล่อยสื่อโฆษณากลางแจ้งทั่ว กทม. ดึงคนรุ่นใหม่เสริมทัพนักขาย
นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ (เอไอเอ) สาขาประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทจะทำโฆษณาผ่านสื่อกลางแจ้งทั่ว กทม. รับสมัครตัวแทนใหม่ เพื่อเพิ่มจำนวนตัวแทนใหม่ใน ปี 2550 ให้ได้ 35,500 คน ตั้งเป้า ว่าจะทำให้เบี้ยประกันลูกค้ารายใหม่ ของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบัน ที่มีตัวแทนใหม่สมัครเข้ามาเดือนละ 3 พันคน
ทั้งนี้ การโฆษณาหาตัวแทนประกันนี้ จะทำที่ขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส ห้องลองเสื้อในห้างสรรพสินค้า และสื่อสิ่งพิมพ์ จากเดิมที่เน้นโฆษณาให้ลูกค้ารู้จักผลิตภัณฑ์ และบริการตรวจสุขภาพทางการเงิน
ตัวแทนที่เราต้องการจะเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนที่ ต้องการมีรายได้พิเศษใน กทม. ที่มีอายุ 25-45 ปี นายไวท์ กล่าว
นายไวท์ กล่าวว่า ตัวแทนใหม่ที่สามารถขายประกันชีวิตได้ 3 รายและได้รับค่านายหน้า 1.5 หมื่นบาทขึ้นไปภายใน 3 เดือนแรก จะได้รับเงินโบนัส 4 พันบาท และหากในเดือนที่ 4-6 สามารถผลิตผลงานใหม่ได้ 5 ราย และได้รับค่านายหน้า 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้รับโบนัส 6 พันบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173888
โพสต์ทูเดย์ เอไอเอปล่อยสื่อโฆษณากลางแจ้งทั่ว กทม. ดึงคนรุ่นใหม่เสริมทัพนักขาย
นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ (เอไอเอ) สาขาประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทจะทำโฆษณาผ่านสื่อกลางแจ้งทั่ว กทม. รับสมัครตัวแทนใหม่ เพื่อเพิ่มจำนวนตัวแทนใหม่ใน ปี 2550 ให้ได้ 35,500 คน ตั้งเป้า ว่าจะทำให้เบี้ยประกันลูกค้ารายใหม่ ของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบัน ที่มีตัวแทนใหม่สมัครเข้ามาเดือนละ 3 พันคน
ทั้งนี้ การโฆษณาหาตัวแทนประกันนี้ จะทำที่ขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส ห้องลองเสื้อในห้างสรรพสินค้า และสื่อสิ่งพิมพ์ จากเดิมที่เน้นโฆษณาให้ลูกค้ารู้จักผลิตภัณฑ์ และบริการตรวจสุขภาพทางการเงิน
ตัวแทนที่เราต้องการจะเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนที่ ต้องการมีรายได้พิเศษใน กทม. ที่มีอายุ 25-45 ปี นายไวท์ กล่าว
นายไวท์ กล่าวว่า ตัวแทนใหม่ที่สามารถขายประกันชีวิตได้ 3 รายและได้รับค่านายหน้า 1.5 หมื่นบาทขึ้นไปภายใน 3 เดือนแรก จะได้รับเงินโบนัส 4 พันบาท และหากในเดือนที่ 4-6 สามารถผลิตผลงานใหม่ได้ 5 ราย และได้รับค่านายหน้า 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้รับโบนัส 6 พันบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173888
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/06/07
โพสต์ที่ 10
ประกันภัยไซส์เล็กแห่เพิ่มทุน [ ฉบับที่ 805 ประจำวันที่ 27-6-2007 ถึง 29-6-2007]
>> หนีกฎเหล็ก 1 กันยา ตะลึง!เดือนเดียวเพิ่มถึง 5 บริษัท
วินาศภัยไซส์เล็ก ผวากฎเหล็ก จันทรา 1 กันยา บริษัท ใดเงินกองทุนขาดสั่งหยุดรับประกันชั่วคราวทันที แห่เพิ่มทุนจ้าละหวั่น ตะลึง! พฤษภาเดือนเดียวเพิ่มทุนถึง 5 ค่ายเท่ากับสถิติทั้ง 4 เดือน ไล่มาตั้งแต่ กมล-กรุงไทยพาณิชย์-ส่งเสริม-สหมงคล-สินทรัพย์ เผย ส่งเสริมประกันภัย เพิ่มทุนเยอะสุดอีก 100 ล้านบาท ชำระแล้วทั้งหมด รวมเป็น 400 ล้านบาท เชื่อชิงเพิ่มทุนรองรับเบี้ยประ กันพ.ร.บ.หลัง ผูกขาด ตลาดตามใบสั่งกรมการขนส่งทางบก หากไม่เพิ่มทุนมีสิทธิ์เงินกองทุนขาดเหตุเบี้ยโตกระโดด
ฉับพลันที่นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดปฏิบัติการ เชือด บริษัทประกันภัยขาดสภาพคล่อง ด้วยการนำกฎเกณฑ์ใหม่ในการกำกับ ดูแลฐานะการเงินบริษัทประกันภัยที่ปรับ ปรุงให้เข้มข้นกว่ากติกาเดิมภายใต้หลักปฏิบัติของข้อกฎหมายมาใช้ กำราบ บริษัทประกันภัยเงินกองทุนติดลบ โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป หากบริษัทประกันภัยแห่งใดเงินกองทุนต่ำกว่า กฎหมายกำหนดหากเป็นประกันวินาศภัยเกณฑ์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10% ของเบี้ย รับสุทธิในปีที่ผ่านมาหรือไม่ต่ำกว่า 30 ล้าน บาท ประกันชีวิตไม่น้อยกว่า 2% ของเงิน สำรองหรือไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ถ้าต่ำ กว่า 2 เกณฑ์นี้ประกันวินาศภัยสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวทันที ประกันชีวิตส่งคนเข้าควบคุมบริหารแทน
โดยกติกาดังกล่าวภาครัฐจะใช้ควบ คู่กับระบบเตือนภัยแต่เนิ่นที่จะมีการส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทประกันภัยให้รีบแก้ไขฐานะการเงินทันที หากระดับเงินกองทุนรูดลงมาถึงระดับที่ต้องเตือนภัยหากเป็นบริษัทประกันวินาศภัยระดับเตือนภัยยึดเกณฑ์เงินกองทุนประมาณ 45 ล้านบาท ประกันชีวิตประมาณ 75 ล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4370
>> หนีกฎเหล็ก 1 กันยา ตะลึง!เดือนเดียวเพิ่มถึง 5 บริษัท
วินาศภัยไซส์เล็ก ผวากฎเหล็ก จันทรา 1 กันยา บริษัท ใดเงินกองทุนขาดสั่งหยุดรับประกันชั่วคราวทันที แห่เพิ่มทุนจ้าละหวั่น ตะลึง! พฤษภาเดือนเดียวเพิ่มทุนถึง 5 ค่ายเท่ากับสถิติทั้ง 4 เดือน ไล่มาตั้งแต่ กมล-กรุงไทยพาณิชย์-ส่งเสริม-สหมงคล-สินทรัพย์ เผย ส่งเสริมประกันภัย เพิ่มทุนเยอะสุดอีก 100 ล้านบาท ชำระแล้วทั้งหมด รวมเป็น 400 ล้านบาท เชื่อชิงเพิ่มทุนรองรับเบี้ยประ กันพ.ร.บ.หลัง ผูกขาด ตลาดตามใบสั่งกรมการขนส่งทางบก หากไม่เพิ่มทุนมีสิทธิ์เงินกองทุนขาดเหตุเบี้ยโตกระโดด
ฉับพลันที่นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดปฏิบัติการ เชือด บริษัทประกันภัยขาดสภาพคล่อง ด้วยการนำกฎเกณฑ์ใหม่ในการกำกับ ดูแลฐานะการเงินบริษัทประกันภัยที่ปรับ ปรุงให้เข้มข้นกว่ากติกาเดิมภายใต้หลักปฏิบัติของข้อกฎหมายมาใช้ กำราบ บริษัทประกันภัยเงินกองทุนติดลบ โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป หากบริษัทประกันภัยแห่งใดเงินกองทุนต่ำกว่า กฎหมายกำหนดหากเป็นประกันวินาศภัยเกณฑ์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10% ของเบี้ย รับสุทธิในปีที่ผ่านมาหรือไม่ต่ำกว่า 30 ล้าน บาท ประกันชีวิตไม่น้อยกว่า 2% ของเงิน สำรองหรือไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ถ้าต่ำ กว่า 2 เกณฑ์นี้ประกันวินาศภัยสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวทันที ประกันชีวิตส่งคนเข้าควบคุมบริหารแทน
โดยกติกาดังกล่าวภาครัฐจะใช้ควบ คู่กับระบบเตือนภัยแต่เนิ่นที่จะมีการส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทประกันภัยให้รีบแก้ไขฐานะการเงินทันที หากระดับเงินกองทุนรูดลงมาถึงระดับที่ต้องเตือนภัยหากเป็นบริษัทประกันวินาศภัยระดับเตือนภัยยึดเกณฑ์เงินกองทุนประมาณ 45 ล้านบาท ประกันชีวิตประมาณ 75 ล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4370
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/06/07
โพสต์ที่ 11
ทุนออสซี่โผล่กลางแดดซุ่มเปิดเจรจาซื้อสัมพันธ์ [ ฉบับที่ 806 ประจำวันที่ 30-6-2007 ถึง 3-7-2007]
วงการประกัน - ทุนต่างชาติเปิดศึกแย่ง สัมพันธ์ประกันภัย ล่าสุด ไอเอจี ยักษ์ประกันออส เตรเลียซุ่มเงียบดอดเจรจาซื้อ หวังจิ๊กซอว์ขึ้น ผู้นำ ประกัน รถยนต์เมืองไทย เหตุสัมพันธ์ฯ มีเบี้ยรถยนต์มากเป็นอันดับ 2 ของ อุตสาหกรรม ด้าน จันทรา เผย สัมพันธ์ฯ มีสัญญาณบวกทุนนอกรุมตอม ล่าสุด กาตาร์ เคาะราคา ซื้อแล้วหุ้นละ 60 สตางค์ กางงบ ดุลปี 48 สัมพันธ์มียอดขาดทุนสะสมกว่า 455 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท สัมพันธ์ประ กันภัย จำกัด ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บริษัท ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรงเงินกองทุนติดลบจำนวนมากไม่น่าต่ำกว่าระดับพันล้านบาท และเริ่มมีข้อพิพาทกับอู่โดยเฉพาะ อู่กลางการประกันภัยเนื่องจากติดหนี้ค่าซ่อมอู่มโหฬารเฉพาะอู่กลางไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท กำลังดิ้นรนแก้ไขวิกฤติฐานะการเงินอย่างเร่งด่วนเนื่องจาก ใกล้กำหนดเวลาแก้ไขฐานะการเงินเพิ่มเงินกองทุนที่ขอขยายไว้กับนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้เนื่อง จากมีความเป็นไปได้สูงว่าหากภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ยังสะสางฐานะการเงินไม่ได้อาจจะถูกสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวเหมือนกรณีบริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด(มหาชน) เพื่อสกัดปัญหาไม่ให้ลุกลาม ลดจำนวนลูกค้ารายใหม่ที่จะหลงเข้ามาติดกับ
โดยก่อนหน้านี้อธิบดีกรมการประกันภัยกล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของสัมพันธ์ประกันภัยว่า มีสัญญาณเป็นบวกค่อนข้างมากเพราะมีกลุ่มทุนสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนและมีการเจรจากันอยู่ 3-4 รายส่วนใหญ่เป็นทุนจากต่างประเทศซึ่งการเจรจาคืบหน้าไปมากน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี กลุ่มทุนต่างชาติที่สนใจซื้อสัมพันธ์ประกันภัยนอกจากทุนจากประเทศกาตาร์ที่มีฐานะการเงินมั่งคั่งระดับผู้ครองนครแล้ว ยังมีนายทุนยักษ์ใหญ่จากวงการประกันวินาศภัยประเทศออสเตรเลียที่วงการประกันภัยเมืองไทยรู้จักกันดีคือบริษัท อินชัวรันส์ ออสเตรเลีย กรุ๊ปหรือเอไอจี และเป็นเจ้าของบริษัท ไอเอจี ประกันภัย(ประเทศไทย) จำกัดหรือชื่อเดิมบริษัท โรยัลแอนด์ซันอัลลายแอนซ์ประกันภัย จำกัดที่ไอเอจีขอซื้อมาจากอังกฤษและยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด(มหาชน) ซุ่มเจรจากับสัมพันธ์ประกันภัยอยู่ด้วยเช่นกัน
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4427
วงการประกัน - ทุนต่างชาติเปิดศึกแย่ง สัมพันธ์ประกันภัย ล่าสุด ไอเอจี ยักษ์ประกันออส เตรเลียซุ่มเงียบดอดเจรจาซื้อ หวังจิ๊กซอว์ขึ้น ผู้นำ ประกัน รถยนต์เมืองไทย เหตุสัมพันธ์ฯ มีเบี้ยรถยนต์มากเป็นอันดับ 2 ของ อุตสาหกรรม ด้าน จันทรา เผย สัมพันธ์ฯ มีสัญญาณบวกทุนนอกรุมตอม ล่าสุด กาตาร์ เคาะราคา ซื้อแล้วหุ้นละ 60 สตางค์ กางงบ ดุลปี 48 สัมพันธ์มียอดขาดทุนสะสมกว่า 455 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท สัมพันธ์ประ กันภัย จำกัด ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บริษัท ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรงเงินกองทุนติดลบจำนวนมากไม่น่าต่ำกว่าระดับพันล้านบาท และเริ่มมีข้อพิพาทกับอู่โดยเฉพาะ อู่กลางการประกันภัยเนื่องจากติดหนี้ค่าซ่อมอู่มโหฬารเฉพาะอู่กลางไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท กำลังดิ้นรนแก้ไขวิกฤติฐานะการเงินอย่างเร่งด่วนเนื่องจาก ใกล้กำหนดเวลาแก้ไขฐานะการเงินเพิ่มเงินกองทุนที่ขอขยายไว้กับนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้เนื่อง จากมีความเป็นไปได้สูงว่าหากภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ยังสะสางฐานะการเงินไม่ได้อาจจะถูกสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวเหมือนกรณีบริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด(มหาชน) เพื่อสกัดปัญหาไม่ให้ลุกลาม ลดจำนวนลูกค้ารายใหม่ที่จะหลงเข้ามาติดกับ
โดยก่อนหน้านี้อธิบดีกรมการประกันภัยกล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของสัมพันธ์ประกันภัยว่า มีสัญญาณเป็นบวกค่อนข้างมากเพราะมีกลุ่มทุนสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนและมีการเจรจากันอยู่ 3-4 รายส่วนใหญ่เป็นทุนจากต่างประเทศซึ่งการเจรจาคืบหน้าไปมากน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี กลุ่มทุนต่างชาติที่สนใจซื้อสัมพันธ์ประกันภัยนอกจากทุนจากประเทศกาตาร์ที่มีฐานะการเงินมั่งคั่งระดับผู้ครองนครแล้ว ยังมีนายทุนยักษ์ใหญ่จากวงการประกันวินาศภัยประเทศออสเตรเลียที่วงการประกันภัยเมืองไทยรู้จักกันดีคือบริษัท อินชัวรันส์ ออสเตรเลีย กรุ๊ปหรือเอไอจี และเป็นเจ้าของบริษัท ไอเอจี ประกันภัย(ประเทศไทย) จำกัดหรือชื่อเดิมบริษัท โรยัลแอนด์ซันอัลลายแอนซ์ประกันภัย จำกัดที่ไอเอจีขอซื้อมาจากอังกฤษและยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด(มหาชน) ซุ่มเจรจากับสัมพันธ์ประกันภัยอยู่ด้วยเช่นกัน
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4427
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/06/07
โพสต์ที่ 12
KT AXA เล็ง2ปีขึ้นแท่นเบี้ยปีแรกติด1ใน5 'ไมค์'ลั่นปั้นซีอีโอคนไทยรับช่วงต่อ
เปิดตัวซีอีโอ กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต เผยแผนธุรกิจ ตั้งเป้าหมายภายในปี 2552 ขยับขึ้นเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยรับปีแรกติดอันดับ 1 ใน 5 ของทั้งระบบ และภายใน 5 ปีเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายจาก 5,000 ราย เป็น 10,000 ราย ลั่นพร้อมผลักดันบุคลากรคนไทยนั่งตำแหน่งซีอีโอต่อ คาดอีก 2-3 ปีข้างหน้าจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้หลังล้างขาดทุนสะสมพันล้านบาทหมดในปี 2551
นายไมค์ แพล็กตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เปิดเผยถึง เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ภายใน 2ปีต่อจากนี้ (พ.ศ. 2552) จะต้องมีเบี้ยรับปีแรกติดอันดับ 1ใน 5 ของอุตสาหกรรมบริษัทประกันชีวิต จากเป้าหมายในปีนี้ที่คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 2,300 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 4,500 ล้านบาท และในปี 2551 คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวน 3,000 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับ 7,000 ล้านบาท
เป้าหมายในด้านของการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายนั้น คาดว่าภายใน 5 ปี บริษัทจะมีตัวแทนทั้งหมดจำนวน 10,000 ราย จากปัจจุบันที่มีจำนวนตัวแทน 5,000 ราย โดยเป้าหมายการเพิ่มจำนวนตัวแทนเพื่อประจำสาขาของธนาคารในระยะอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้น จะเพิ่มเป็น 1,000 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ 400 ราย ซึ่งบริษัทคาดหวังที่จะก้าวเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ในใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พนักงาน และผู้ถือหุ้น โดยล่าสุดได้เริ่มโครงการเปิดอบรมคณะผู้บริหารบริษัท ซึ่งภายในระยะเวลา 3ปี มีงบประมาณที่จะดำเนินการจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ความสามารถของบุคลากรให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการทำวิจัยความคิดเห็นและความพึงพอใจของกลุ่มลูกค้าเฉลี่ย 1 ครั้ง / ปี เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2230
เปิดตัวซีอีโอ กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต เผยแผนธุรกิจ ตั้งเป้าหมายภายในปี 2552 ขยับขึ้นเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยรับปีแรกติดอันดับ 1 ใน 5 ของทั้งระบบ และภายใน 5 ปีเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายจาก 5,000 ราย เป็น 10,000 ราย ลั่นพร้อมผลักดันบุคลากรคนไทยนั่งตำแหน่งซีอีโอต่อ คาดอีก 2-3 ปีข้างหน้าจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้หลังล้างขาดทุนสะสมพันล้านบาทหมดในปี 2551
นายไมค์ แพล็กตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เปิดเผยถึง เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ภายใน 2ปีต่อจากนี้ (พ.ศ. 2552) จะต้องมีเบี้ยรับปีแรกติดอันดับ 1ใน 5 ของอุตสาหกรรมบริษัทประกันชีวิต จากเป้าหมายในปีนี้ที่คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 2,300 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 4,500 ล้านบาท และในปี 2551 คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวน 3,000 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับ 7,000 ล้านบาท
เป้าหมายในด้านของการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายนั้น คาดว่าภายใน 5 ปี บริษัทจะมีตัวแทนทั้งหมดจำนวน 10,000 ราย จากปัจจุบันที่มีจำนวนตัวแทน 5,000 ราย โดยเป้าหมายการเพิ่มจำนวนตัวแทนเพื่อประจำสาขาของธนาคารในระยะอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้น จะเพิ่มเป็น 1,000 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ 400 ราย ซึ่งบริษัทคาดหวังที่จะก้าวเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ในใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พนักงาน และผู้ถือหุ้น โดยล่าสุดได้เริ่มโครงการเปิดอบรมคณะผู้บริหารบริษัท ซึ่งภายในระยะเวลา 3ปี มีงบประมาณที่จะดำเนินการจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ความสามารถของบุคลากรให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการทำวิจัยความคิดเห็นและความพึงพอใจของกลุ่มลูกค้าเฉลี่ย 1 ครั้ง / ปี เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2230
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/07/07
โพสต์ที่ 13
เลห์แมนฯซื้อฟินันซ่า
โพสต์ทูเดย์ เลห์แมนฯ โผล่เข้าถือหุ้นฟินันซ่าประกันชีวิต นัดถกรายละเอียด 9 ก.ค. นี้
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ว่า สามารถหาผู้สนใจร่วมลงทุนได้แล้ว คือบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ วาณิชธนกิจระดับโลก โดยจะเข้าพบหารือเรื่องแผนเพิ่มทุนในวันจันทร์ที่ 9 ก.ค. นี้
กฤษฎา
ตอนนี้ผู้บริหารของฟินันซ่าฯ ยังไม่แจ้งว่าเลห์แมน บราเธอร์ จะซื้อหุ้นในสัดส่วนเท่าไหร่ และจะต้องเพิ่มทุนเข้ามาเท่าไหร่นั้นจะมีการคุยกันอีกทีในวันจันทร์นี้ นางจันทรา กล่าว
นายกฤษฎา หุตะเศรณี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต เปิดเผยว่า ขณะนี้เลห์แมน บราเธอร์ อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สิน ในเบื้องต้นทางเลห์แมน บราเธอร์ แสดงความจำนงจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทั้งจำนวน 500 ล้านบาท
การเพิ่มทุนจะทำอย่างไรต้องรอฟังทางเลห์แมน บราเธอร์ ซึ่งจริงๆ แล้วเขายังไม่อยากเป็นข่าว เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำประเมินราคาสินทรัพย์และหนี้สิน นายกฤษฎา กล่าว
สำหรับบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ เป็นบริษัทวาณิชธนกิจชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจด้านการให้บริการด้านการเงินแก่บริษัทเอกชนรัฐบาลและองค์กรของรัฐ ตลอดจนกลุ่มลูกค้าประเภทสถาบันและประเภทบุคคลชั้นนำทั่วโลก และเป็นผู้นำในด้านการขายหุ้นทุนและตราสารหนี้ การซื้อขายและวิเคราะห์หลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน การลงทุนส่วนบุคคล การบริหารสินทรัพย์ และการให้บริการลูกค้าส่วนบุคคล
นางจันทรา กล่าวว่า สำหรับกรณีของ บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย นั้น ทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหารบริษัทแจ้งว่า บริษัท DAICEL ดำเนินธุรกิจก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหล็กจากประเทศกาตาร์สนใจจะเข้าร่วมลงทุน แต่ไม่ได้แจ้งว่าจะเข้าลงทุนในสัดส่วนประมาณเท่าไหร่ แต่จะรับทราบแผนการเพิ่มทุนและแผนฟื้นฟูธุรกิจในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. นี้ เพื่อให้บริษัทเร่งดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้า ซึ่งร้องเรียนเข้ามาแล้วกว่า 400 ราย และไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นมูลค่าค่าสินไหมทดแทนเท่าไหร่
นางจันทราไม่เปิดเผยถึงปริมาณ เงินกองทุนของทั้ง 2 บริษัท ว่าต่ำกว่ากฎหมายกำหนดจำนวนเท่าใด และต้องเพิ่มทุนเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้นางจันทราชี้แจงว่า บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ต้องนำเงินเข้ามาประมาณ 1 พันล้านบาท จึงจะทำให้เงินกองทุนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และทำให้สภาพคล่องของบริษัทดีขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176656
โพสต์ทูเดย์ เลห์แมนฯ โผล่เข้าถือหุ้นฟินันซ่าประกันชีวิต นัดถกรายละเอียด 9 ก.ค. นี้
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ว่า สามารถหาผู้สนใจร่วมลงทุนได้แล้ว คือบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ วาณิชธนกิจระดับโลก โดยจะเข้าพบหารือเรื่องแผนเพิ่มทุนในวันจันทร์ที่ 9 ก.ค. นี้
กฤษฎา
ตอนนี้ผู้บริหารของฟินันซ่าฯ ยังไม่แจ้งว่าเลห์แมน บราเธอร์ จะซื้อหุ้นในสัดส่วนเท่าไหร่ และจะต้องเพิ่มทุนเข้ามาเท่าไหร่นั้นจะมีการคุยกันอีกทีในวันจันทร์นี้ นางจันทรา กล่าว
นายกฤษฎา หุตะเศรณี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต เปิดเผยว่า ขณะนี้เลห์แมน บราเธอร์ อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สิน ในเบื้องต้นทางเลห์แมน บราเธอร์ แสดงความจำนงจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทั้งจำนวน 500 ล้านบาท
การเพิ่มทุนจะทำอย่างไรต้องรอฟังทางเลห์แมน บราเธอร์ ซึ่งจริงๆ แล้วเขายังไม่อยากเป็นข่าว เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำประเมินราคาสินทรัพย์และหนี้สิน นายกฤษฎา กล่าว
สำหรับบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ เป็นบริษัทวาณิชธนกิจชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจด้านการให้บริการด้านการเงินแก่บริษัทเอกชนรัฐบาลและองค์กรของรัฐ ตลอดจนกลุ่มลูกค้าประเภทสถาบันและประเภทบุคคลชั้นนำทั่วโลก และเป็นผู้นำในด้านการขายหุ้นทุนและตราสารหนี้ การซื้อขายและวิเคราะห์หลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน การลงทุนส่วนบุคคล การบริหารสินทรัพย์ และการให้บริการลูกค้าส่วนบุคคล
นางจันทรา กล่าวว่า สำหรับกรณีของ บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย นั้น ทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหารบริษัทแจ้งว่า บริษัท DAICEL ดำเนินธุรกิจก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหล็กจากประเทศกาตาร์สนใจจะเข้าร่วมลงทุน แต่ไม่ได้แจ้งว่าจะเข้าลงทุนในสัดส่วนประมาณเท่าไหร่ แต่จะรับทราบแผนการเพิ่มทุนและแผนฟื้นฟูธุรกิจในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. นี้ เพื่อให้บริษัทเร่งดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้า ซึ่งร้องเรียนเข้ามาแล้วกว่า 400 ราย และไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นมูลค่าค่าสินไหมทดแทนเท่าไหร่
นางจันทราไม่เปิดเผยถึงปริมาณ เงินกองทุนของทั้ง 2 บริษัท ว่าต่ำกว่ากฎหมายกำหนดจำนวนเท่าใด และต้องเพิ่มทุนเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้นางจันทราชี้แจงว่า บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ต้องนำเงินเข้ามาประมาณ 1 พันล้านบาท จึงจะทำให้เงินกองทุนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และทำให้สภาพคล่องของบริษัทดีขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176656
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/07/07
โพสต์ที่ 14
ให้โอกาส6บริษัทแก้สภาพคล่อง
โดย เดลินิวส์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 11:54 น.
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กำลังติดตามการแก้ไขปัญ หาขาดสภาพคล่องของบริษัทประกันภัย 5-6 ราย ซึ่งไม่ได้สร้างความกังวลต่อกรมมากนัก เพราะเชื่อว่าทุกบริษัทสามารถแก้ไขได้ และเกือบทุก บริษัทมีนักลงทุนต่างชาติแสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุน หรือเข้าถือหุ้น ทั้งบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด บริษัท ฟินันซ่า จำกัด เป็นต้น ซึ่งจำนวน 5-6 รายที่มีปัญหานั้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ของจำนวนบริษัทประกันภัยทั้งหมด และทุกบริษัทต้องแก้ไขเงินกองทุนขาดสภาพคล่อง ให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ประกาศ คำสั่งนายทะเบียนให้บริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยหยุดรับประกันภัยชั่วคราว จากปัญหาขาดสภาพคล่อง จะมีผลบังคับใช้
ใครมีปัญหาบริษัทประกันภัยไม่จ่ายสินไหม ขอให้ส่งเรื่องโดยตรงถึงอธิบดี หรือร้องเรียนผ่านสายด่วน 1186 ซึ่งได้มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก และได้สั่งการให้แก้ไขโดยเร็ว
ส่วนการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องบริษัท สัมพันธ์ประกันภัยนั้น นางจันทรา กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัทจะนำตัวแทนผู้ถือหุ้นใหม่จากบริษัท อัล- ไดเซล ซึ่งเป็นผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ในประเทศกาตาร์เข้าพบ พร้อมยื่นแผนทางธุรกิจวันที่ 6 ก.ค.นี้
http://news.sanook.com/economic/economic_152665.php
โดย เดลินิวส์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 11:54 น.
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กำลังติดตามการแก้ไขปัญ หาขาดสภาพคล่องของบริษัทประกันภัย 5-6 ราย ซึ่งไม่ได้สร้างความกังวลต่อกรมมากนัก เพราะเชื่อว่าทุกบริษัทสามารถแก้ไขได้ และเกือบทุก บริษัทมีนักลงทุนต่างชาติแสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุน หรือเข้าถือหุ้น ทั้งบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด บริษัท ฟินันซ่า จำกัด เป็นต้น ซึ่งจำนวน 5-6 รายที่มีปัญหานั้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ของจำนวนบริษัทประกันภัยทั้งหมด และทุกบริษัทต้องแก้ไขเงินกองทุนขาดสภาพคล่อง ให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ประกาศ คำสั่งนายทะเบียนให้บริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยหยุดรับประกันภัยชั่วคราว จากปัญหาขาดสภาพคล่อง จะมีผลบังคับใช้
ใครมีปัญหาบริษัทประกันภัยไม่จ่ายสินไหม ขอให้ส่งเรื่องโดยตรงถึงอธิบดี หรือร้องเรียนผ่านสายด่วน 1186 ซึ่งได้มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก และได้สั่งการให้แก้ไขโดยเร็ว
ส่วนการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องบริษัท สัมพันธ์ประกันภัยนั้น นางจันทรา กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัทจะนำตัวแทนผู้ถือหุ้นใหม่จากบริษัท อัล- ไดเซล ซึ่งเป็นผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ในประเทศกาตาร์เข้าพบ พร้อมยื่นแผนทางธุรกิจวันที่ 6 ก.ค.นี้
http://news.sanook.com/economic/economic_152665.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/07/07
โพสต์ที่ 15
บิ๊กประกันชีวิตเปิดเกมโกยเบี้ย "AACP"ท้าชน"เอไอเอ"ชิงลูกค้า
2 ค่ายประกันยักษ์ใหญ่แข่งแหลก "เอเอซีพี" ส่งกรมธรรม์เอเอซีพี แคช แบค 15/15 คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุ วงเงินสูงสุด 200% ของทุนประกัน ชี้จุดเด่นจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระแล้วทั้งหมด คุยตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงจุด และเป็นครั้งแรกของวงการประกันชีวิตไทย ด้าน "เอไอเอ" ออกกรมธรรม์ใหม่ 5Pay10 สะสมทรัพย์ 10 ปี ชำระเบี้ย 5 ปี ไม่ต้องตรวจสุขภาพ แถมให้ผลประโยชน์รวมสูงถึง 500% ของทุนประกัน ขายผ่านแบงก์ยูโอบี
นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต (เอเอซีพี) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาแบบประกันชีวิตที่สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครองอุบัติเหตุแต่ไม่ต้องการสูญเสียเงินที่จ่ายไป ได้แก่ กรมธรรม์เอเอซีพี แคช แบค 15/15 ซึ่งเป็นแบบประกันที่มอบความคุ้มครองอุบัติเหตุสุงสุดถึง 200% ของทุนประกัน พร้อมจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระแล้วทั้งหมดในทุกกรณี ไม่ว่าจะทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย หรือเมื่อครบกำหนดสัญญา 15 ปี นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัยสูงสุดปีละ 50,000 บาทอีกด้วย
"การออกแบบประกันชีวิต เอเอซีพี แคช แบค 15/15 ในครั้งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผลการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครองอุบัติเหตุแต่ไม่ต้องการสูญเสียเงินที่จ่ายไป ซึ่งถือว่าเอเอซีพีเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของไทยที่ออกผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ และตอก ย้ำถึงความเป็นผู้นำตลาดของเอเอซีพีในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เน้นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเอเอซีพีที่จะเป็นปัจจัยหลักแห่งความมั่นคง คุ้มครองทุกครอบครัวไทย"
นางสาวพัชรากล่าวต่อว่า นอกจากนี้เอเอซีพียังได้ออกแบบกรมธรรม์แผนความคุ้มครองอยุธยาคุ้มครองวัยทำงาน ซึ่งเป็นแบบประกันภัยสำเร็จรูปที่ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 65 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง 20 ปี ประกอบด้วยสัญญาหลักอยุธยาคุ้มครองวัยทำงาน A65/20 และสัญญาเพิ่มเติมแบบเสริมทรัพย์ A65/20 มีจุดเด่นคือจ่ายเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเฉลี่ยเพียงวันละ 17 บาท โดยมีแผนความคุ้มครองให้เลือก 4 แผน รับความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 200% ของทุนประกัน อีกทั้งคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูญเสียอวัยวะและสายตา การเจ็บป่วยด้วย 36 โรคร้ายแรง และในกรณีครบกำหนดสัญญา จะได้รับเงินครบกำหนดสัญญาพร้อมเงินโบนัสที่คาดว่าจะจ่ายจากสัญญาเพิ่มเติมแบบเสริมทรัพย์ A65/20 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท นอกจากนี้ยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึงปีละ 50,000 บาทอีกด้วย
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
2 ค่ายประกันยักษ์ใหญ่แข่งแหลก "เอเอซีพี" ส่งกรมธรรม์เอเอซีพี แคช แบค 15/15 คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุ วงเงินสูงสุด 200% ของทุนประกัน ชี้จุดเด่นจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระแล้วทั้งหมด คุยตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงจุด และเป็นครั้งแรกของวงการประกันชีวิตไทย ด้าน "เอไอเอ" ออกกรมธรรม์ใหม่ 5Pay10 สะสมทรัพย์ 10 ปี ชำระเบี้ย 5 ปี ไม่ต้องตรวจสุขภาพ แถมให้ผลประโยชน์รวมสูงถึง 500% ของทุนประกัน ขายผ่านแบงก์ยูโอบี
นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต (เอเอซีพี) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาแบบประกันชีวิตที่สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครองอุบัติเหตุแต่ไม่ต้องการสูญเสียเงินที่จ่ายไป ได้แก่ กรมธรรม์เอเอซีพี แคช แบค 15/15 ซึ่งเป็นแบบประกันที่มอบความคุ้มครองอุบัติเหตุสุงสุดถึง 200% ของทุนประกัน พร้อมจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระแล้วทั้งหมดในทุกกรณี ไม่ว่าจะทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย หรือเมื่อครบกำหนดสัญญา 15 ปี นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัยสูงสุดปีละ 50,000 บาทอีกด้วย
"การออกแบบประกันชีวิต เอเอซีพี แคช แบค 15/15 ในครั้งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผลการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครองอุบัติเหตุแต่ไม่ต้องการสูญเสียเงินที่จ่ายไป ซึ่งถือว่าเอเอซีพีเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของไทยที่ออกผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ และตอก ย้ำถึงความเป็นผู้นำตลาดของเอเอซีพีในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เน้นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเอเอซีพีที่จะเป็นปัจจัยหลักแห่งความมั่นคง คุ้มครองทุกครอบครัวไทย"
นางสาวพัชรากล่าวต่อว่า นอกจากนี้เอเอซีพียังได้ออกแบบกรมธรรม์แผนความคุ้มครองอยุธยาคุ้มครองวัยทำงาน ซึ่งเป็นแบบประกันภัยสำเร็จรูปที่ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 65 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง 20 ปี ประกอบด้วยสัญญาหลักอยุธยาคุ้มครองวัยทำงาน A65/20 และสัญญาเพิ่มเติมแบบเสริมทรัพย์ A65/20 มีจุดเด่นคือจ่ายเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเฉลี่ยเพียงวันละ 17 บาท โดยมีแผนความคุ้มครองให้เลือก 4 แผน รับความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 200% ของทุนประกัน อีกทั้งคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูญเสียอวัยวะและสายตา การเจ็บป่วยด้วย 36 โรคร้ายแรง และในกรณีครบกำหนดสัญญา จะได้รับเงินครบกำหนดสัญญาพร้อมเงินโบนัสที่คาดว่าจะจ่ายจากสัญญาเพิ่มเติมแบบเสริมทรัพย์ A65/20 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท นอกจากนี้ยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึงปีละ 50,000 บาทอีกด้วย
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/07/07
โพสต์ที่ 16
กาตาร์ควัก1.2พันล.อุ้มสัมพันธ์ประกันภัย
โพสต์ทูเดย์ จันทรา เผย สัมพันธ์ประกันภัย แจ้งกาตาร์ผู้ร่วมทุนใหม่ พร้อมซื้อหุ้น 36 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดลงนามข้อตกลงซื้อขายหุ้นภายในสัปดาห์หน้า
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า ได้เข้าร่วมรับฟังแผนเพิ่มทุนของบริษัทสัมพันธ์ประกันภัยกับตัวแทนกลุ่มผู้ที่สนใจจะเข้ามาร่วมทุนเมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. 2550 แล้ว
นางจันทรา กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ได้รายงานว่ามีผู้สนใจเข้ามาร่วมทุน 2 ราย จากประเทศกาตาร์ โดยหนึ่งในสองรายนั้น คือ บริษัท ไดเซล บริษัทผู้ผลิตเหล็กและธุรกิจก่อสร้าง ที่แสดงความจำนง จะร่วมลงทุนจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีกหนึ่งรายเป็นบริษัทประกันภัย สนใจจะร่วมลงทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงิน 36 ล้านเหรียญสหรัฐ
ยอดเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนถ้าหากคิดที่ค่าเงินบาท 34 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ จะเป็นเงินประมาณ 1,224 ล้านบาท จะทำให้บริษัทสามารถแก้ปัญหาฐานะการเงินได้ และเริ่มจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้าได้
ดิฉันได้ให้ทางผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ไปดำเนินการเขียนแผนเพิ่มทุนและการร่วมลงทุนให้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงการเขียนแผนการฟื้นฟูกิจการ และแผนการลงทุนใหม่ เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ซึ่งทางผู้บริหารและผู้สนใจร่วมทุนแจ้งว่าจะสามารถดำเนินการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนกันได้ภายในวันที่ 9-16 ก.ค. 2550 และในวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. นี้ ทางผู้บริหารจะเรียกประชุมตัวแทน อู่ในเครือทั่วประเทศเพื่อชี้แจงความคืบหน้าการแก้ปัญหาฐานะการเงิน นางจันทรา กล่าว
ในวันเดียวกันนี้ นายสุชาติ มิตรเจริญพันธ์ ประธานชมรม อู่รถใช้ระหว่างซ่อมภาคอีสาน ได้รวมตัวกับผู้ประกอบการ อู่ซ่อมรถในเครือบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ทั่วภาคอีสาน ลูกจ้าง และลูกค้าที่มาใช้บริการประกันภัยกว่า 100 คน ประท้วงหน้าบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย สาขา จ.ข่อนแก่น เรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ค้างจ่ายประมาณ 104 ล้านบาท ซึ่งตลอด 3-5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทไม่ยอมจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่ซ่อมรถ ทำให้ลูกค้าไม่สามารถนำรถออกมาใช้ได้ โดยเรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมภายใน 3-15 วัน
แหล่งข่าวจากบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย กล่าวว่า ในเช้าวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. นี้ จะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกขึ้นไปจากทั่วประเทศมารับฟังแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ และในภาคบ่าย เรียกประชุมตัวแทนทั่วประเทศ เพื่อรับฟังความคืบหน้าการแก้ปัญหาฐานะการเงินของบริษัทและการทำตลาดในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับเรื่องที่อู่ทำการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้บริษัทชำระค่าสินไหม ยังดำเนินการใดๆ ไม่ได้ นอกจากแจ้งความคืบหน้าใน การแก้ปัญหาของบริษัทและให้รอเวลาไปอีก ระยะหนึ่ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177167
โพสต์ทูเดย์ จันทรา เผย สัมพันธ์ประกันภัย แจ้งกาตาร์ผู้ร่วมทุนใหม่ พร้อมซื้อหุ้น 36 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดลงนามข้อตกลงซื้อขายหุ้นภายในสัปดาห์หน้า
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า ได้เข้าร่วมรับฟังแผนเพิ่มทุนของบริษัทสัมพันธ์ประกันภัยกับตัวแทนกลุ่มผู้ที่สนใจจะเข้ามาร่วมทุนเมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. 2550 แล้ว
นางจันทรา กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ได้รายงานว่ามีผู้สนใจเข้ามาร่วมทุน 2 ราย จากประเทศกาตาร์ โดยหนึ่งในสองรายนั้น คือ บริษัท ไดเซล บริษัทผู้ผลิตเหล็กและธุรกิจก่อสร้าง ที่แสดงความจำนง จะร่วมลงทุนจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีกหนึ่งรายเป็นบริษัทประกันภัย สนใจจะร่วมลงทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงิน 36 ล้านเหรียญสหรัฐ
ยอดเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนถ้าหากคิดที่ค่าเงินบาท 34 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ จะเป็นเงินประมาณ 1,224 ล้านบาท จะทำให้บริษัทสามารถแก้ปัญหาฐานะการเงินได้ และเริ่มจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้าได้
ดิฉันได้ให้ทางผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ไปดำเนินการเขียนแผนเพิ่มทุนและการร่วมลงทุนให้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงการเขียนแผนการฟื้นฟูกิจการ และแผนการลงทุนใหม่ เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ซึ่งทางผู้บริหารและผู้สนใจร่วมทุนแจ้งว่าจะสามารถดำเนินการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนกันได้ภายในวันที่ 9-16 ก.ค. 2550 และในวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. นี้ ทางผู้บริหารจะเรียกประชุมตัวแทน อู่ในเครือทั่วประเทศเพื่อชี้แจงความคืบหน้าการแก้ปัญหาฐานะการเงิน นางจันทรา กล่าว
ในวันเดียวกันนี้ นายสุชาติ มิตรเจริญพันธ์ ประธานชมรม อู่รถใช้ระหว่างซ่อมภาคอีสาน ได้รวมตัวกับผู้ประกอบการ อู่ซ่อมรถในเครือบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ทั่วภาคอีสาน ลูกจ้าง และลูกค้าที่มาใช้บริการประกันภัยกว่า 100 คน ประท้วงหน้าบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย สาขา จ.ข่อนแก่น เรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ค้างจ่ายประมาณ 104 ล้านบาท ซึ่งตลอด 3-5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทไม่ยอมจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่ซ่อมรถ ทำให้ลูกค้าไม่สามารถนำรถออกมาใช้ได้ โดยเรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมภายใน 3-15 วัน
แหล่งข่าวจากบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย กล่าวว่า ในเช้าวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. นี้ จะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกขึ้นไปจากทั่วประเทศมารับฟังแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ และในภาคบ่าย เรียกประชุมตัวแทนทั่วประเทศ เพื่อรับฟังความคืบหน้าการแก้ปัญหาฐานะการเงินของบริษัทและการทำตลาดในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับเรื่องที่อู่ทำการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้บริษัทชำระค่าสินไหม ยังดำเนินการใดๆ ไม่ได้ นอกจากแจ้งความคืบหน้าใน การแก้ปัญหาของบริษัทและให้รอเวลาไปอีก ระยะหนึ่ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177167
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/07/07
โพสต์ที่ 17
ไฟไหม้ใหญ่โรงงานยางบีไลท์รับเบอร์ [ ฉบับที่ 808 ประจำวันที่ 7-7-2007 ถึง 10-7-2007]
>> 4 บริษัทวินาศภัยจ่ายอ่วม 662.89 ล้าน
ไฟไหม้ใหญ่ โรงงานยางแผ่น บีไลท์รับเบอร์ จ.สงขลา 4 บริษัทประกันวินาศภัยรับจ่ายร่วม 662.89 ล้านบาท เทเวศประกันภัยหนักสุดรับเสี่ยงไว้ 40% รองลงมาไทยพาณิชย์สามัคคีรับไว้ 25% แอกซ่าประกันภัย 20% ศรีอยุธยาอีก 15%
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเพลิงไหม้โรงงานยางแผ่นรมควันของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านห้วยโอน ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 เวลาประมาณ 13.00 น. นั้น ได้สั่งการให้ตรวจสอบการทำประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าว ในเบื้องต้นทราบว่า บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด มีการทำประกันภัยทรัพย์สินรวม 662.89 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่รับประกันภัยร่วมกัน 4 บริษัท ดังนี้คือ บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 40% บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 25% บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 20% และบริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหา ชน) รับเสี่ยงภัย 15%
สำหรับทรัพย์สินที่เกิดไฟไหม้เป็นอาคารโกดังเก็บสต็อกสินค้า ซึ่งได้รับรายงาน ว่าเสียหายสิ้นเชิงจำนวน 1 หลัง โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองโกดังที่เกิดเหตุ ดังนี้ อาคารโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 15 ล้านบาท สต็อกสินค้าในโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 150 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กรมการประกันภัยได้ประสานงานให้บริษัทที่ร่วมรับประกันภัยเร่งรัดสำรวจและประเมิน ค่าเสียหายเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อไป ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
นางจันทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่การที่บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ได้มีการเอาประกันอัคคีภัยไว้จะทำให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยทรัพย์สินนั้น อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยได้
ดังนั้น หากประชาชนหรือผู้ประกอบการจะทำประกันภัยแล้วขอได้โปรดพิจารณา ทำประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงภัยที่มี เช่น กรณีเหตุที่เกิดขึ้นกับสต็อกสินค้าของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ซึ่งหากเป็น สต็อกของสินค้าที่รอการส่งออกแล้ว นอก จากจะทำประกันอัคคีภัยแล้วควรคำนึงถึงความเสี่ยงภัยกรณีที่จะถูกผู้ซื้อสินค้าเรียกเงินค่าเสียหายจากการผิดนัดส่งสินค้าด้วย เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ศึกษา ถึงประโยชน์ของการประกันภัยและสามารถ เลือกความคุ้มครองของการประกันภัยแต่ละ ประเภทให้เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่มี อันจะเป็นการนำการประกันภัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเอง
http://www.siamturakij.com/home/index.html
>> 4 บริษัทวินาศภัยจ่ายอ่วม 662.89 ล้าน
ไฟไหม้ใหญ่ โรงงานยางแผ่น บีไลท์รับเบอร์ จ.สงขลา 4 บริษัทประกันวินาศภัยรับจ่ายร่วม 662.89 ล้านบาท เทเวศประกันภัยหนักสุดรับเสี่ยงไว้ 40% รองลงมาไทยพาณิชย์สามัคคีรับไว้ 25% แอกซ่าประกันภัย 20% ศรีอยุธยาอีก 15%
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเพลิงไหม้โรงงานยางแผ่นรมควันของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านห้วยโอน ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 เวลาประมาณ 13.00 น. นั้น ได้สั่งการให้ตรวจสอบการทำประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าว ในเบื้องต้นทราบว่า บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด มีการทำประกันภัยทรัพย์สินรวม 662.89 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่รับประกันภัยร่วมกัน 4 บริษัท ดังนี้คือ บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 40% บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 25% บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 20% และบริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหา ชน) รับเสี่ยงภัย 15%
สำหรับทรัพย์สินที่เกิดไฟไหม้เป็นอาคารโกดังเก็บสต็อกสินค้า ซึ่งได้รับรายงาน ว่าเสียหายสิ้นเชิงจำนวน 1 หลัง โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองโกดังที่เกิดเหตุ ดังนี้ อาคารโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 15 ล้านบาท สต็อกสินค้าในโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 150 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กรมการประกันภัยได้ประสานงานให้บริษัทที่ร่วมรับประกันภัยเร่งรัดสำรวจและประเมิน ค่าเสียหายเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อไป ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
นางจันทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่การที่บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ได้มีการเอาประกันอัคคีภัยไว้จะทำให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยทรัพย์สินนั้น อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยได้
ดังนั้น หากประชาชนหรือผู้ประกอบการจะทำประกันภัยแล้วขอได้โปรดพิจารณา ทำประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงภัยที่มี เช่น กรณีเหตุที่เกิดขึ้นกับสต็อกสินค้าของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ซึ่งหากเป็น สต็อกของสินค้าที่รอการส่งออกแล้ว นอก จากจะทำประกันอัคคีภัยแล้วควรคำนึงถึงความเสี่ยงภัยกรณีที่จะถูกผู้ซื้อสินค้าเรียกเงินค่าเสียหายจากการผิดนัดส่งสินค้าด้วย เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ศึกษา ถึงประโยชน์ของการประกันภัยและสามารถ เลือกความคุ้มครองของการประกันภัยแต่ละ ประเภทให้เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่มี อันจะเป็นการนำการประกันภัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเอง
http://www.siamturakij.com/home/index.html
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/07/07
โพสต์ที่ 18
ไตรมาสแรกวินาศภัยหายใจโล่งบวก11.53% [ ฉบับที่ 808 ประจำวันที่ 7-7-2007 ถึง 10-7-2007]
ประกันรถโตสุด14%/เบ็ดเตล็ดได้พีเอ-สุขภาพดันเบี้ย
จากรายงานผลการดำเนินงานธุรกิจประกันวินาศภัยในช่วง 3 เดือนแรกปี 2550 (ม.ค.-มี.ค.2550) โดยกรมการประกันภัย ระบุว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 27,142.207 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11.53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีจำนวนกรมธรรม์รวม 7,801,319 กรมธรรม์ ขยาย ตัวเพิ่มขึ้นถึง 9.79% มีค่าสินไหมทดแทนรวม 14,443.770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) 54.84%
ทั้งนี้ นับว่าธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถขยายตัวได้ตามคาด คือ ยังไต่ระดับ 10% ขึ้นไป โดยประเภทการรับประกันที่สามารถขยายตัวได้มากที่สุด กลับเป็นการประกันภัยรถ อันเป็นพอร์ตการรับประกันที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจ ซึ่งแม้ว่าจะยังคงชะลอการขยายตัวตามยอดขายรถใหม่ แต่ยังเติบโตได้ถึง 14.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 16,676.823 ล้าน บาท โดยการประกันภัยรถภาคสมัครใจเติบโตได้ 13.53% ด้วยเบี้ย จำนวน 13,573.852 ล้านบาท ซึ่งบ. วิริยะประกันภัย จก. ครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในตลาดนี้ถึง 20.75% ด้วยเบี้ยจำนวน 2,817.229 ล้านบาท ตามด้วย บ. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จก. ครองส่วนแบ่งตลาด 9.46% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,284.381 ล้านบาท และบมจ.กรุงเทพประกันภัย 6.57% ด้วยเบี้ยจำนวน 891.697 ล้านบาท ตามลำดับอันเป็นผลมาจาก บ. สัมพันธ์ประกันภัย จก. ยังอยู่ในช่วงของการสะสางปัญหาฐานะการเงิน จึงทำให้ค่ายอื่นได้โอกาสแย่งชิงตลาด
ส่วนการประกันภัยรถภาคบังคับตามกฎหมาย หรือพ.ร.บ. ขยายตัวได้ถึง 16.30% ด้วยเบี้ยจำนวน 3,102.971 ล้านบาท โดยวิริยะประกันภัยครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุด 17.17% ด้วยเบี้ยจำนวน 532.900 ล้านบาท ตามด้วย บ. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จก. ครองส่วน แบ่งถึง 11.08% ด้วยเบี้ยจำนวน 343.663 ล้านบาท และบ. กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จก. 9.20% ด้วยเบี้ยจำนวน 285.366 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่การประกันภัยเบ็ดเตล็ด ขยายตัวได้ 10.04% ด้วยเบี้ย รับตรงทั้งสิ้น 7,557.668 ล้านบาท โดยการประกันสุขภาพขยายตัวได้ดีที่สุดถึง 41.17% ด้วยเบี้ยจำนวน 655.842 ล้านบาท รองลง มาเป็นการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ขยายตัวได้ 29.87% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,660.834 ล้านบาท, การประกันภัยวิศวกรรมขยาย ตัวได้ 12.88% ด้วยเบี้ยจำนวน 860.230 ล้านบาท, การประกันความเสี่ยงภัยต่อทรัพย์สิน ขยายตัวได้ 5.25% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,278.065 ล้านบาท, การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ขยายตัวได้ 4.71% ด้วยเบี้ยจำนวน 143.567 ล้านบาท และการประกันภัยอื่นๆ ขยายตัวได้ 1.29% ด้วยเบี้ยจำนวน 2,832.877 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ โดยภาพรวมของตลาดประกันภัยเบ็ดเตล็ด ตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในมือบริษัทใหญ่อย่าง บมจ.ทิพยประกันภัย ที่ครองมาร์เก็ต แชร์สูงสุดถึง 19.77% ด้วยเบี้ยในตลาดนี้รวมจำนวน 1,494.038 ล้านบาท โดยทิพยฯ ครองแชมป์ในการรับประกันเกือบทุกประเภท ทั้งการประกันภัยวิศวกรรม และการประกันภัยอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการประกันสรรพภัย (IAR : Industrial All Risk) เช่นเดียวกับกรุงเทพ ประกันภัย ที่ตามติดด้วยส่วนแบ่งตลาด 8.72% ด้วยเบี้ยจำนวน 658.776 ล้านบาท โดยครองแชมป์ในตลาดประกันภัยทรัพย์สิน และประกันภัยอากาศยาน
ด้านการประกันภัยทางทะเล และขนส่ง หรือการประกันภัยมารีน โดยภาพรวมขยายตัวติดลบ 2.55% ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 943.214 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของการรับประกันภัยตัวเรือ ขยายตัว ติดลบถึง 30.50% ด้วยเบี้ยจำนวน 74.974 ล้านบาท ขณะที่การประกันภัยสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.96% เท่านั้น ด้วยเบี้ยจำนวน 868.240 ล้านบาท โดยในตลาดประกันมารีนยังคงอยู่ในมือ 3-4 บริษัทใหญ่เช่นเดิม คือ บ. ประกันภัยศรีเมือง จก. ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 16% รองลงมาได้แก่ บ. มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จก. 12.75% กรุงเทพประกันภัย 8.67% และทิพยประกัน ภัย 8.07% ตามลำดับ
ส่วนการประกันอัคคีภัย ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวได้ 4.70% ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 1,964.502 ล้านบาท โดยเบี้ยส่วนใหญ่อยู่ในมือของ 4 บริษัทใหญ่เช่นกัน คือ กรุงเทพประกันภัย ครอง ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 12.41% ตามด้วย บ. นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ จก. 9.12% บมจ.ภัทรประกันภัย 7.86% และทิพยประกันภัย 7.01% ตามลำดับ
สำหรับตลาดประกันวินาศภัยรวมในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็น วิริยะประกันภัย 13.05% ด้วยเบี้ยรวม 3,541.244 ล้านบาท อันดับ 2 เป็นของทิพยประกันภัย ครองส่วนแบ่งไป 7.77% ด้วยเบี้ยรวม 2,109.226 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นของกรุงเทพประกันภัย ครองส่วนแบ่งไป 7.09% ด้วยเบี้ยรวม 1,923.642 ล้านบาท ตามลำดับ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4610
ประกันรถโตสุด14%/เบ็ดเตล็ดได้พีเอ-สุขภาพดันเบี้ย
จากรายงานผลการดำเนินงานธุรกิจประกันวินาศภัยในช่วง 3 เดือนแรกปี 2550 (ม.ค.-มี.ค.2550) โดยกรมการประกันภัย ระบุว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 27,142.207 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11.53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีจำนวนกรมธรรม์รวม 7,801,319 กรมธรรม์ ขยาย ตัวเพิ่มขึ้นถึง 9.79% มีค่าสินไหมทดแทนรวม 14,443.770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) 54.84%
ทั้งนี้ นับว่าธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถขยายตัวได้ตามคาด คือ ยังไต่ระดับ 10% ขึ้นไป โดยประเภทการรับประกันที่สามารถขยายตัวได้มากที่สุด กลับเป็นการประกันภัยรถ อันเป็นพอร์ตการรับประกันที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจ ซึ่งแม้ว่าจะยังคงชะลอการขยายตัวตามยอดขายรถใหม่ แต่ยังเติบโตได้ถึง 14.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 16,676.823 ล้าน บาท โดยการประกันภัยรถภาคสมัครใจเติบโตได้ 13.53% ด้วยเบี้ย จำนวน 13,573.852 ล้านบาท ซึ่งบ. วิริยะประกันภัย จก. ครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในตลาดนี้ถึง 20.75% ด้วยเบี้ยจำนวน 2,817.229 ล้านบาท ตามด้วย บ. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จก. ครองส่วนแบ่งตลาด 9.46% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,284.381 ล้านบาท และบมจ.กรุงเทพประกันภัย 6.57% ด้วยเบี้ยจำนวน 891.697 ล้านบาท ตามลำดับอันเป็นผลมาจาก บ. สัมพันธ์ประกันภัย จก. ยังอยู่ในช่วงของการสะสางปัญหาฐานะการเงิน จึงทำให้ค่ายอื่นได้โอกาสแย่งชิงตลาด
ส่วนการประกันภัยรถภาคบังคับตามกฎหมาย หรือพ.ร.บ. ขยายตัวได้ถึง 16.30% ด้วยเบี้ยจำนวน 3,102.971 ล้านบาท โดยวิริยะประกันภัยครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุด 17.17% ด้วยเบี้ยจำนวน 532.900 ล้านบาท ตามด้วย บ. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จก. ครองส่วน แบ่งถึง 11.08% ด้วยเบี้ยจำนวน 343.663 ล้านบาท และบ. กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จก. 9.20% ด้วยเบี้ยจำนวน 285.366 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่การประกันภัยเบ็ดเตล็ด ขยายตัวได้ 10.04% ด้วยเบี้ย รับตรงทั้งสิ้น 7,557.668 ล้านบาท โดยการประกันสุขภาพขยายตัวได้ดีที่สุดถึง 41.17% ด้วยเบี้ยจำนวน 655.842 ล้านบาท รองลง มาเป็นการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ขยายตัวได้ 29.87% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,660.834 ล้านบาท, การประกันภัยวิศวกรรมขยาย ตัวได้ 12.88% ด้วยเบี้ยจำนวน 860.230 ล้านบาท, การประกันความเสี่ยงภัยต่อทรัพย์สิน ขยายตัวได้ 5.25% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,278.065 ล้านบาท, การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ขยายตัวได้ 4.71% ด้วยเบี้ยจำนวน 143.567 ล้านบาท และการประกันภัยอื่นๆ ขยายตัวได้ 1.29% ด้วยเบี้ยจำนวน 2,832.877 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ โดยภาพรวมของตลาดประกันภัยเบ็ดเตล็ด ตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในมือบริษัทใหญ่อย่าง บมจ.ทิพยประกันภัย ที่ครองมาร์เก็ต แชร์สูงสุดถึง 19.77% ด้วยเบี้ยในตลาดนี้รวมจำนวน 1,494.038 ล้านบาท โดยทิพยฯ ครองแชมป์ในการรับประกันเกือบทุกประเภท ทั้งการประกันภัยวิศวกรรม และการประกันภัยอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการประกันสรรพภัย (IAR : Industrial All Risk) เช่นเดียวกับกรุงเทพ ประกันภัย ที่ตามติดด้วยส่วนแบ่งตลาด 8.72% ด้วยเบี้ยจำนวน 658.776 ล้านบาท โดยครองแชมป์ในตลาดประกันภัยทรัพย์สิน และประกันภัยอากาศยาน
ด้านการประกันภัยทางทะเล และขนส่ง หรือการประกันภัยมารีน โดยภาพรวมขยายตัวติดลบ 2.55% ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 943.214 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของการรับประกันภัยตัวเรือ ขยายตัว ติดลบถึง 30.50% ด้วยเบี้ยจำนวน 74.974 ล้านบาท ขณะที่การประกันภัยสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.96% เท่านั้น ด้วยเบี้ยจำนวน 868.240 ล้านบาท โดยในตลาดประกันมารีนยังคงอยู่ในมือ 3-4 บริษัทใหญ่เช่นเดิม คือ บ. ประกันภัยศรีเมือง จก. ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 16% รองลงมาได้แก่ บ. มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จก. 12.75% กรุงเทพประกันภัย 8.67% และทิพยประกัน ภัย 8.07% ตามลำดับ
ส่วนการประกันอัคคีภัย ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวได้ 4.70% ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 1,964.502 ล้านบาท โดยเบี้ยส่วนใหญ่อยู่ในมือของ 4 บริษัทใหญ่เช่นกัน คือ กรุงเทพประกันภัย ครอง ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 12.41% ตามด้วย บ. นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ จก. 9.12% บมจ.ภัทรประกันภัย 7.86% และทิพยประกันภัย 7.01% ตามลำดับ
สำหรับตลาดประกันวินาศภัยรวมในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็น วิริยะประกันภัย 13.05% ด้วยเบี้ยรวม 3,541.244 ล้านบาท อันดับ 2 เป็นของทิพยประกันภัย ครองส่วนแบ่งไป 7.77% ด้วยเบี้ยรวม 2,109.226 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นของกรุงเทพประกันภัย ครองส่วนแบ่งไป 7.09% ด้วยเบี้ยรวม 1,923.642 ล้านบาท ตามลำดับ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4610
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/07/07
โพสต์ที่ 19
ผ่ายุทธศาสตร์ไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ พร้อมประมือทุนข้ามชาติ
โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.
กระแสการเข้ามาลงทุนของบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะทุนญี่ปุ่น และทุนตะวันตก ที่เข้ามาในธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในประเทศไทย ยังเป็นที่ถูกจับตามองว่าท้ายที่สุดแล้วจะยังเหลือบริษัทประกันที่ยังเป็นพันธุ์ไทยแท้อยู่ในระบบสักกี่แห่ง และบริษัทไทยที่เหลืออยู่จะมีแรงพอที่จะสู้รับปรบมือกับทุนต่างชาติหรือไม่
แต่สำหรับ ไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่ง ณ วันนี้ นอกจากจะเป็นบริษัทประกันชีวิตไทยแท้ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 ของระบบแล้ว เขาประกาศว่า บ.ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล และพร้อมที่จะแข่งขันกับทุนข้ามชาติ อะไรคือจุดได้เปรียบและเสียเปรียบของบริษัทประกันชีวิตไทย และทางออกในการปรับตัวจะเป็นอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสไขข้อข้องใจดังกล่าวจากแม่ทัพกลุ่มไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ
****CEOมองข้อได้เปรียบทุนไทยกับทุนต่างชาติ
ความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันของบริษัทประกันไทยกับทุนต่างชาติ คิดว่าทุนต่างชาติมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ( Competitive Advantages) มากกว่าทุนไทย ทั้งในแง่ของค่าของเงินที่แข็งแกร่งกว่า และเงินทุนยาวกว่า รวมถึงความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในตลาดโลกและเทคโนโลยี
แต่ถ้าถามว่าทุนไทยแข่งขันได้หรือไม่ เชื่อว่าได้ แต่ต้องมองหาสิ่งที่ต่างชาติไม่มี เพื่อนำมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สิ่งที่ผมมองเห็นคือ 1.ต้องมีทุนวัฒนธรรม 2.การบริหารแบบรอบคอบและรัดกุม 3. การซื้อเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ 4. พนักงานต้องรอบรู้ และ5. การพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทไทยประกันชีวิตอยู่ในทุกจุดที่ได้พูดถึงเพราะมีการปรับตัวมาแล้วมากกว่า 10 ปี
หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ไทยประกันชีวิตอยู่รอด เพราะไม่ได้แค่เกิดวิกฤติการณ์แล้วมาแก้ไข แต่ได้ฝังรากทุนวัฒนธรรม และระบบงานแบบตะวันตกมาเป็นเวลานาน อีกประการหนึ่งคือไทยประกันชีวิตมีการทำแบรนดิ้งมาตั้งแต่ปี 2523 เพราะเราเสียเปรียบในแง่ที่เป็นบริษัทคน ซึ่งจนถึงปัจุบันทำแบรนดิ้งมาแล้ว 27-28 ปี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ของไทยประกันชีวิตค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้แต่ในสายตาต่างชาติ
***จุดขายของบ.ไทยคือ ทุนวัฒนธรรม
ไชย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบระหว่างทุนไทยกับทุนข้ามชาติ และเป็นสิ่งที่บริษัทไทยประกันชีวิตทำอยู่ คือ การสร้างทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง ความคิด ความเชื่อ น้ำใจ ความเอื้ออาทร โดยหากสร้างทุนวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร และถ่ายทอดสู่ผู้บริโภคหรือผู้ที่มุ่งหวัง ก็สามารถทำให้ผู้บริโภคที่เป็นคนไทย มองเห็นว่าบริษัทคนไทยก็มีมาตรฐานในการบริหารจัดการ หรือเรียกว่าเป็นการสร้าง Corperate Culture
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเงินทุนเราสู้ต่างชาติไม่ได้ บริษัทไทยประกันชีวิตจึงพยายามบริหารจัดการแบบรอบคอบและรัดกุม ไม่บริหารแบบรุก (Aggressive) เพราะถ้าพลาดไปแล้วเรียกกลับมายาก แต่จะบริหารในรูปแบบของการก้าวไปข้างหน้า (Dynamic) มากกว่า ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมา พยายามบอกให้พนักงานให้เรียนรู้อย่างรู้รอบไม่ใช่รอบรู้ คือ รู้ทุกอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่รู้อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมทางความคิดและปัญญาจากสิ่งที่พบเห็นและมาลอกเลียนแบบและปรับปรุง ( Copy and Development หรือ C&D) ให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเป็นการพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ
ในส่วนของเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากต่างชาตินั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทุนไทยสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งด้วยขนาดของบริษัทไทยประกันชีวิต จึงมีโอกาสซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ และสามารถซื้อความเชี่ยวชาญจากต่างชาติได้ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติที่สามารถมาทำงานกับองค์กรอย่างไทยประกันชีวิตได้ ซึ่งมีทั้งคนเอเชียที่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมเอเชียด้วยกัน และมีความรู้ในระดับนานาชาติ
*****รักษาเป้าหมายบ.ไทยมาตรฐานสากล
วิกฤติเศรษฐกิจ 10 ปีที่แล้ว ผมประกาศว่าจะทำให้บริษัทไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทคนไทยในระดับสากล จะยืนต่อสู้กับบริษัทข้ามชาติ ไม่ยอมให้ข้ามชาติเข้ามาซื้อกิจการ ตอนนี้วิสัยทัศน์(Vision) นั้นเป็นจริงแล้ว ต่อจากนี้จะมีความท้าทาย คือ รักษามาตรฐานให้ดีกว่าเดิมได้หรือไม่ เพราะการรักษายากกว่าการสร้าง
รุ่นคุณพ่อ (วานิช ไชยวรรณ) สร้างมาก็ยากแล้ว แต่การรักษายากกว่า เพราะการรักษาให้อยู่เป็นเบอร์ 2 หรือจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่การแข่งขันเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมมักพูดตลอดเวลาคือ ในอนาคตไม่สำคัญว่าครอบครัวจะต้องเป็นคนที่บริหารตลอดไป ถ้ามีคนดีๆหรือคนนอกที่เข้ามาร่วมงานและบริหารงานกับเรา ผมจึงมักจะใช้คำว่า อยากให้ทุกคนในบริษัทไทยประกันชีวิตสร้างมรดกงาน คือ สืบทอดสิ่งที่เขามีให้กับคนรุ่นหลังที่เข้ามาทำงาน
ส่วนเป้าหมายของการเป็นบริษัทมหาชนนั้น ถ้าถามผมผมก็มักจะตอบว่าเมื่อไรมีความจำเป็น เราก็เป็นมหาชน เมื่อไรไม่มีความจำเป็น ทำไมเราต้องรีบไปเป็นมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบของไทยประกันชีวิตวันนี้ เป็น Pravate Company เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่บริษัทมหาชนเมื่อไรก็ได้
*****ธุรกิจเจ้าสัวในไทยยังอยู่แต่เปลี่ยนโฉม
ถามว่ายังเป็นธุรกิจเจ้าสัวอยู่หรือไม่ ก็ยังเป็นเจ้าสัวอยู่ เพราะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ถอยออกมา ไม่ต้องบริหารเอง เดี๋ยวนี้เจ้าสัวเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เจ้าสัวในสภาพเสื่อผืนหมอนใบและต้องทำงานหนัก 24 ชั่วโมง ต้องเป็นทุกอย่าง แต่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกำหนดนโยบาย
สิ่งเหล่านั้นผมเชื่อว่าเกิดขึ้นกับบริษัทหลายบริษัทที่เป็นบริษัทครอบครัวในประเทศไทย เพราะหนีกระแสโลกาภิวัตน์ไม่ได้ แต่คำว่าเจ้าสัวไม่ได้หายไป เพียงแต่เจ้าสัวเปลี่ยนโฉม
*****ความจำเป็นต้องเปิดรับพันธมิตรต่างชาติ
วันนี้คำตอบที่ชัดเจน คือ ไม่จำเป็น เพราะถ้าเราต้องการทำธุรกิจอื่นที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็ไปร่วมพันธมิตรอื่น เช่น ที่ผ่านมาเราไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านแบงก์แอสชัวรันส์ เราก็ร่วมทำธุรกิจกับบริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญ ไปเทคโอเวอร์บริษัทหนึ่งแล้วมาทำด้วยกัน โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นของไทยประกันชีวิตก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ เพราะต่างชาติเขาก็ยังมองว่าบริษัท ไทยประกันชีวิตยังมีความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่น ตำราของฝรั่งบอกว่า Think Global Act Local เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ความคิดต่างๆอาจะเป็นมาตรฐานสากล แต่วิธีการทำการตลาดก็ยังอาศัยผู้ชำนาญการที่เป็นคนท้องถิ่น ดังนั้น แนวคิด Think Global Act Local ก็สามารถนำมาใช้กับไทยประกันชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ถือหุ้นต่างชาติ
****เป้าหมายของธุรกิจในกลุ่มไทยประกันชีวิต
ผมว่าการทำธุรกิจ อย่ามองว่าเราจะเป็นเบอร์ 1 แต่การเป็นเบอร์ 1 เหมือนเป็นความฝัน และเราต้องพยายามสร้างความฝันให้เป็นจริง ซึ่งจะเป็นแรงขับให้ผู้บริหาร แต่การบอกว่าจะเป็นเบอร์ 1 นั้นพูดได้เยอะว่าจะเป็นแบบไหน ยกตัวอย่าง ธุรกิจเบียร์ไฮเนก้น วันนี้เป็นเบอร์ 1 ในตลาดพรีเมี่ยม แต่ตลาดรวมเรายังเล็กที่สุด แต่อย่างน้อยตัวธุรกิจก็ไปรอด และกำไรได้พอควร กรณีบริษัทไทยประกันชีวิต ยังเป็นเบอร์ 2 ของอุตสาหกรรม แต่เป็นเบอร์ 1 ที่เป็นบริษัทคนไทย ส่วนธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย เรายังไม่พูดถึงความเป็นเบอร์ 1 แต่ควรจะต้องสร้างความแตกต่าง เพราะเป็นแบงก์น้องใหม่ ยังไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์อื่นที่เกิดก่อนเราได้ จึงต้องหาความแตกต่างในเรื่องโปรดักส์ ช่องทางการจำหน่าย การสร้างนวัตกรรมต่างๆในการให้บริการกับผู้ฝากเงิน
และถ้ามีโอกาสเป็นไปได้ก็จะพยายามให้ธุรกิจที่มีอยู่ในกลุ่ม คือทั้งธนาคารและประกันชีวิตเอื้อประโยชน์กัน ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนการขยายการลงทุนในยังธุรกิจอื่นนั้น ผมเชื่อว่าการจะธุรกิจใหม่หรือไม่ ต้องพิจารณา 2-3 ประเด็น คือ หนึ่ง มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจนั้นพอหรือไม่ เพราะถ้ามีความรู้ไม่พอถึงมีเงินก็ไม่ประสบความสำเร็จ
สอง มีหลงจู๊หรือมีคนที่จะเข้าไปบริหารจัดการแทนหรือไม่ และไว้ใจได้แค่ไหน และ สาม มองธุรกิจดังกล่าว เป็นโอกาสหรือไม่
****ยุทธศาสตร์สร้างคนยังเป็นกุญแจหลัก
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ไทยประกันชีวิต กล่าวถึง ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบ.ไทยประกันชีวิตว่า
เป็นการมองระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างคนที่ยังกุญแจหรือหัวใจสำคัญในธุรกิจประกันชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกๆปี และในปีนี้มีแผนที่เพิ่มตัวแทนระดับหน่วย 16,000 คน และต้องเป็นตัวแทนที่มีใบอนุญาตครบถ้วน เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ แต่อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในเชิงการแข่งขันในปัจจุบันการสร้างคนยากกว่าอดีต เพราะมีการแย่งคนกันมากขึ้น การสร้างคนจึงต้องขยายมุมกว้างขึ้น และไม่ได้แข่งขันกับแค่บริษัทประกันชีวิต เพราะคนสามารถเลือกทำธุรกิจขายตรงต่างๆได้
*****ใช้สาขาเป็นจุดขายเจาะตลาดชุมชน
ปัจจุบัน ในธุรกิจประกันชีวิต ไม่ว่าบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กเริ่มลงมาในตลาดที่เล็กลง ทุนประกันต่ำ เช่น ตลาดชุมชน ตลาดชนบท แต่ไทยประกันชีวิตมีจุดแข็ง คือ 1.เป็นเจ้าของพื้นที่ตลาดชุมชนมานาน เพราะเราเริ่มธุรกิจประกันชีวิตที่ตลาดชนบทจากการประกันรายเดือน 2. มีสาขาที่มีอยู่ทั้งหมด 255 สาขาทั่วประเทศหรือเกือบทุกอำเภอ ซึ่งสาขาถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำตลาดชุมชน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น Sales Office ของตัวแทนประกันชีวิต
****มองสถานการณ์ศก.ต่อธุรกิจประกัน
สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองครึ่งปีแรก กระทบธุรกิจประกันชีวิตบ้าง แต่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทย เพราะตลาดโลกเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย เหตุผลของประเทศไทยส่วนหนึ่งคือเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราว ซึ่งในธุรกิจประกันชีวิตยิ่งคนมีความรู้สึกว่าไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยิ่งต้องออมเงินและสร้างหลักประกันให้ครอบครัว น่าจะเป็นโอกาสที่ทำตลาดได้ดี เพียงแต่ว่าคนในองค์กรเราเข้าใจที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปเสนอต่อผู้บริโภคหรือไม่
ครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจากประสบการณ์ 20 ปีที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิต มีความรู้สึกว่าไม่ว่าจะเศรษฐกิจดีมากหรือเศรษฐกิจแย่มาก ประกันชีวิตโดนหางเลขน้อยมาก มันอยู่ของมันไป เพราะความเชื่อของคนไทยไม่ได้ซื้อประกันชีวิตเป็นสิ่งแรก ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ถือว่าเป็นธุรกิจที่แปลก และผลกระทบจากเศรษฐกิจต่อธุรกิจประกันชีวิตไม่เหมือนกับผลกระทบต่อภาคส่งออกหรือการอุปโภคบริโภคสินค้า
*****ภาพรวมของพัฒนาการธุรกิจประกัน
การที่บริษัทขนาดใหญ่อันดับที่ 1 และ 2 ของระบบ คือเอไอเอ และไทยประกันชีวิต ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์สูง
ทำให้เป็นเหมือนตัวชี้นำบริษัทอื่นให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน จะเห็นได้ว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่ดี คือ 1. ทุกบริษัทพยายามสร้างตัวแทนที่มีคุณภาพ 2. ทุกบริษัทให้ความสนใจในการทำ CSR (Corperate Social Responsibility )ให้กับสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ หรือบริษัทคนไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะธุรกิจประกันชีวิตควรจะอยู่บนพื้นฐานของคำว่าให้ 3. ทุกบริษัททำแบรนดิ้ง
http://news.sanook.com/economic/economic_153227.php
โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.
กระแสการเข้ามาลงทุนของบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะทุนญี่ปุ่น และทุนตะวันตก ที่เข้ามาในธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในประเทศไทย ยังเป็นที่ถูกจับตามองว่าท้ายที่สุดแล้วจะยังเหลือบริษัทประกันที่ยังเป็นพันธุ์ไทยแท้อยู่ในระบบสักกี่แห่ง และบริษัทไทยที่เหลืออยู่จะมีแรงพอที่จะสู้รับปรบมือกับทุนต่างชาติหรือไม่
แต่สำหรับ ไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่ง ณ วันนี้ นอกจากจะเป็นบริษัทประกันชีวิตไทยแท้ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 ของระบบแล้ว เขาประกาศว่า บ.ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล และพร้อมที่จะแข่งขันกับทุนข้ามชาติ อะไรคือจุดได้เปรียบและเสียเปรียบของบริษัทประกันชีวิตไทย และทางออกในการปรับตัวจะเป็นอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสไขข้อข้องใจดังกล่าวจากแม่ทัพกลุ่มไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ
****CEOมองข้อได้เปรียบทุนไทยกับทุนต่างชาติ
ความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันของบริษัทประกันไทยกับทุนต่างชาติ คิดว่าทุนต่างชาติมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ( Competitive Advantages) มากกว่าทุนไทย ทั้งในแง่ของค่าของเงินที่แข็งแกร่งกว่า และเงินทุนยาวกว่า รวมถึงความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในตลาดโลกและเทคโนโลยี
แต่ถ้าถามว่าทุนไทยแข่งขันได้หรือไม่ เชื่อว่าได้ แต่ต้องมองหาสิ่งที่ต่างชาติไม่มี เพื่อนำมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สิ่งที่ผมมองเห็นคือ 1.ต้องมีทุนวัฒนธรรม 2.การบริหารแบบรอบคอบและรัดกุม 3. การซื้อเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ 4. พนักงานต้องรอบรู้ และ5. การพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทไทยประกันชีวิตอยู่ในทุกจุดที่ได้พูดถึงเพราะมีการปรับตัวมาแล้วมากกว่า 10 ปี
หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ไทยประกันชีวิตอยู่รอด เพราะไม่ได้แค่เกิดวิกฤติการณ์แล้วมาแก้ไข แต่ได้ฝังรากทุนวัฒนธรรม และระบบงานแบบตะวันตกมาเป็นเวลานาน อีกประการหนึ่งคือไทยประกันชีวิตมีการทำแบรนดิ้งมาตั้งแต่ปี 2523 เพราะเราเสียเปรียบในแง่ที่เป็นบริษัทคน ซึ่งจนถึงปัจุบันทำแบรนดิ้งมาแล้ว 27-28 ปี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ของไทยประกันชีวิตค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้แต่ในสายตาต่างชาติ
***จุดขายของบ.ไทยคือ ทุนวัฒนธรรม
ไชย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบระหว่างทุนไทยกับทุนข้ามชาติ และเป็นสิ่งที่บริษัทไทยประกันชีวิตทำอยู่ คือ การสร้างทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง ความคิด ความเชื่อ น้ำใจ ความเอื้ออาทร โดยหากสร้างทุนวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร และถ่ายทอดสู่ผู้บริโภคหรือผู้ที่มุ่งหวัง ก็สามารถทำให้ผู้บริโภคที่เป็นคนไทย มองเห็นว่าบริษัทคนไทยก็มีมาตรฐานในการบริหารจัดการ หรือเรียกว่าเป็นการสร้าง Corperate Culture
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเงินทุนเราสู้ต่างชาติไม่ได้ บริษัทไทยประกันชีวิตจึงพยายามบริหารจัดการแบบรอบคอบและรัดกุม ไม่บริหารแบบรุก (Aggressive) เพราะถ้าพลาดไปแล้วเรียกกลับมายาก แต่จะบริหารในรูปแบบของการก้าวไปข้างหน้า (Dynamic) มากกว่า ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมา พยายามบอกให้พนักงานให้เรียนรู้อย่างรู้รอบไม่ใช่รอบรู้ คือ รู้ทุกอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่รู้อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมทางความคิดและปัญญาจากสิ่งที่พบเห็นและมาลอกเลียนแบบและปรับปรุง ( Copy and Development หรือ C&D) ให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเป็นการพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ
ในส่วนของเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากต่างชาตินั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทุนไทยสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งด้วยขนาดของบริษัทไทยประกันชีวิต จึงมีโอกาสซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ และสามารถซื้อความเชี่ยวชาญจากต่างชาติได้ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติที่สามารถมาทำงานกับองค์กรอย่างไทยประกันชีวิตได้ ซึ่งมีทั้งคนเอเชียที่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมเอเชียด้วยกัน และมีความรู้ในระดับนานาชาติ
*****รักษาเป้าหมายบ.ไทยมาตรฐานสากล
วิกฤติเศรษฐกิจ 10 ปีที่แล้ว ผมประกาศว่าจะทำให้บริษัทไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทคนไทยในระดับสากล จะยืนต่อสู้กับบริษัทข้ามชาติ ไม่ยอมให้ข้ามชาติเข้ามาซื้อกิจการ ตอนนี้วิสัยทัศน์(Vision) นั้นเป็นจริงแล้ว ต่อจากนี้จะมีความท้าทาย คือ รักษามาตรฐานให้ดีกว่าเดิมได้หรือไม่ เพราะการรักษายากกว่าการสร้าง
รุ่นคุณพ่อ (วานิช ไชยวรรณ) สร้างมาก็ยากแล้ว แต่การรักษายากกว่า เพราะการรักษาให้อยู่เป็นเบอร์ 2 หรือจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่การแข่งขันเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมมักพูดตลอดเวลาคือ ในอนาคตไม่สำคัญว่าครอบครัวจะต้องเป็นคนที่บริหารตลอดไป ถ้ามีคนดีๆหรือคนนอกที่เข้ามาร่วมงานและบริหารงานกับเรา ผมจึงมักจะใช้คำว่า อยากให้ทุกคนในบริษัทไทยประกันชีวิตสร้างมรดกงาน คือ สืบทอดสิ่งที่เขามีให้กับคนรุ่นหลังที่เข้ามาทำงาน
ส่วนเป้าหมายของการเป็นบริษัทมหาชนนั้น ถ้าถามผมผมก็มักจะตอบว่าเมื่อไรมีความจำเป็น เราก็เป็นมหาชน เมื่อไรไม่มีความจำเป็น ทำไมเราต้องรีบไปเป็นมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบของไทยประกันชีวิตวันนี้ เป็น Pravate Company เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่บริษัทมหาชนเมื่อไรก็ได้
*****ธุรกิจเจ้าสัวในไทยยังอยู่แต่เปลี่ยนโฉม
ถามว่ายังเป็นธุรกิจเจ้าสัวอยู่หรือไม่ ก็ยังเป็นเจ้าสัวอยู่ เพราะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ถอยออกมา ไม่ต้องบริหารเอง เดี๋ยวนี้เจ้าสัวเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เจ้าสัวในสภาพเสื่อผืนหมอนใบและต้องทำงานหนัก 24 ชั่วโมง ต้องเป็นทุกอย่าง แต่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกำหนดนโยบาย
สิ่งเหล่านั้นผมเชื่อว่าเกิดขึ้นกับบริษัทหลายบริษัทที่เป็นบริษัทครอบครัวในประเทศไทย เพราะหนีกระแสโลกาภิวัตน์ไม่ได้ แต่คำว่าเจ้าสัวไม่ได้หายไป เพียงแต่เจ้าสัวเปลี่ยนโฉม
*****ความจำเป็นต้องเปิดรับพันธมิตรต่างชาติ
วันนี้คำตอบที่ชัดเจน คือ ไม่จำเป็น เพราะถ้าเราต้องการทำธุรกิจอื่นที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็ไปร่วมพันธมิตรอื่น เช่น ที่ผ่านมาเราไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านแบงก์แอสชัวรันส์ เราก็ร่วมทำธุรกิจกับบริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญ ไปเทคโอเวอร์บริษัทหนึ่งแล้วมาทำด้วยกัน โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นของไทยประกันชีวิตก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ เพราะต่างชาติเขาก็ยังมองว่าบริษัท ไทยประกันชีวิตยังมีความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่น ตำราของฝรั่งบอกว่า Think Global Act Local เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ความคิดต่างๆอาจะเป็นมาตรฐานสากล แต่วิธีการทำการตลาดก็ยังอาศัยผู้ชำนาญการที่เป็นคนท้องถิ่น ดังนั้น แนวคิด Think Global Act Local ก็สามารถนำมาใช้กับไทยประกันชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ถือหุ้นต่างชาติ
****เป้าหมายของธุรกิจในกลุ่มไทยประกันชีวิต
ผมว่าการทำธุรกิจ อย่ามองว่าเราจะเป็นเบอร์ 1 แต่การเป็นเบอร์ 1 เหมือนเป็นความฝัน และเราต้องพยายามสร้างความฝันให้เป็นจริง ซึ่งจะเป็นแรงขับให้ผู้บริหาร แต่การบอกว่าจะเป็นเบอร์ 1 นั้นพูดได้เยอะว่าจะเป็นแบบไหน ยกตัวอย่าง ธุรกิจเบียร์ไฮเนก้น วันนี้เป็นเบอร์ 1 ในตลาดพรีเมี่ยม แต่ตลาดรวมเรายังเล็กที่สุด แต่อย่างน้อยตัวธุรกิจก็ไปรอด และกำไรได้พอควร กรณีบริษัทไทยประกันชีวิต ยังเป็นเบอร์ 2 ของอุตสาหกรรม แต่เป็นเบอร์ 1 ที่เป็นบริษัทคนไทย ส่วนธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย เรายังไม่พูดถึงความเป็นเบอร์ 1 แต่ควรจะต้องสร้างความแตกต่าง เพราะเป็นแบงก์น้องใหม่ ยังไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์อื่นที่เกิดก่อนเราได้ จึงต้องหาความแตกต่างในเรื่องโปรดักส์ ช่องทางการจำหน่าย การสร้างนวัตกรรมต่างๆในการให้บริการกับผู้ฝากเงิน
และถ้ามีโอกาสเป็นไปได้ก็จะพยายามให้ธุรกิจที่มีอยู่ในกลุ่ม คือทั้งธนาคารและประกันชีวิตเอื้อประโยชน์กัน ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนการขยายการลงทุนในยังธุรกิจอื่นนั้น ผมเชื่อว่าการจะธุรกิจใหม่หรือไม่ ต้องพิจารณา 2-3 ประเด็น คือ หนึ่ง มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจนั้นพอหรือไม่ เพราะถ้ามีความรู้ไม่พอถึงมีเงินก็ไม่ประสบความสำเร็จ
สอง มีหลงจู๊หรือมีคนที่จะเข้าไปบริหารจัดการแทนหรือไม่ และไว้ใจได้แค่ไหน และ สาม มองธุรกิจดังกล่าว เป็นโอกาสหรือไม่
****ยุทธศาสตร์สร้างคนยังเป็นกุญแจหลัก
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ไทยประกันชีวิต กล่าวถึง ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบ.ไทยประกันชีวิตว่า
เป็นการมองระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างคนที่ยังกุญแจหรือหัวใจสำคัญในธุรกิจประกันชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกๆปี และในปีนี้มีแผนที่เพิ่มตัวแทนระดับหน่วย 16,000 คน และต้องเป็นตัวแทนที่มีใบอนุญาตครบถ้วน เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ แต่อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในเชิงการแข่งขันในปัจจุบันการสร้างคนยากกว่าอดีต เพราะมีการแย่งคนกันมากขึ้น การสร้างคนจึงต้องขยายมุมกว้างขึ้น และไม่ได้แข่งขันกับแค่บริษัทประกันชีวิต เพราะคนสามารถเลือกทำธุรกิจขายตรงต่างๆได้
*****ใช้สาขาเป็นจุดขายเจาะตลาดชุมชน
ปัจจุบัน ในธุรกิจประกันชีวิต ไม่ว่าบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กเริ่มลงมาในตลาดที่เล็กลง ทุนประกันต่ำ เช่น ตลาดชุมชน ตลาดชนบท แต่ไทยประกันชีวิตมีจุดแข็ง คือ 1.เป็นเจ้าของพื้นที่ตลาดชุมชนมานาน เพราะเราเริ่มธุรกิจประกันชีวิตที่ตลาดชนบทจากการประกันรายเดือน 2. มีสาขาที่มีอยู่ทั้งหมด 255 สาขาทั่วประเทศหรือเกือบทุกอำเภอ ซึ่งสาขาถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำตลาดชุมชน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น Sales Office ของตัวแทนประกันชีวิต
****มองสถานการณ์ศก.ต่อธุรกิจประกัน
สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองครึ่งปีแรก กระทบธุรกิจประกันชีวิตบ้าง แต่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทย เพราะตลาดโลกเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย เหตุผลของประเทศไทยส่วนหนึ่งคือเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราว ซึ่งในธุรกิจประกันชีวิตยิ่งคนมีความรู้สึกว่าไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยิ่งต้องออมเงินและสร้างหลักประกันให้ครอบครัว น่าจะเป็นโอกาสที่ทำตลาดได้ดี เพียงแต่ว่าคนในองค์กรเราเข้าใจที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปเสนอต่อผู้บริโภคหรือไม่
ครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจากประสบการณ์ 20 ปีที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิต มีความรู้สึกว่าไม่ว่าจะเศรษฐกิจดีมากหรือเศรษฐกิจแย่มาก ประกันชีวิตโดนหางเลขน้อยมาก มันอยู่ของมันไป เพราะความเชื่อของคนไทยไม่ได้ซื้อประกันชีวิตเป็นสิ่งแรก ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ถือว่าเป็นธุรกิจที่แปลก และผลกระทบจากเศรษฐกิจต่อธุรกิจประกันชีวิตไม่เหมือนกับผลกระทบต่อภาคส่งออกหรือการอุปโภคบริโภคสินค้า
*****ภาพรวมของพัฒนาการธุรกิจประกัน
การที่บริษัทขนาดใหญ่อันดับที่ 1 และ 2 ของระบบ คือเอไอเอ และไทยประกันชีวิต ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์สูง
ทำให้เป็นเหมือนตัวชี้นำบริษัทอื่นให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน จะเห็นได้ว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่ดี คือ 1. ทุกบริษัทพยายามสร้างตัวแทนที่มีคุณภาพ 2. ทุกบริษัทให้ความสนใจในการทำ CSR (Corperate Social Responsibility )ให้กับสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ หรือบริษัทคนไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะธุรกิจประกันชีวิตควรจะอยู่บนพื้นฐานของคำว่าให้ 3. ทุกบริษัททำแบรนดิ้ง
http://news.sanook.com/economic/economic_153227.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/07/07
โพสต์ที่ 20
คลอดประกันรถชั้น5แล้วเรียกกธ.คุ้มครองเฉพาะภัย - 9/7/2550
คลอดประกันรถชั้น5แล้วเรียกกธ.คุ้มครองเฉพาะภัย
อธิบดีกรมประกันภัยลงนามอนุมัติแล้ว ดีไซน์แบบกรมธรรม์ประกันรถชั้น 5 พร้อมพิกัดอัตราเบี้ยประกันใหม่ ใช้ชื่อหรู"กรมธรรม์คุ้มครองเฉพาะภัย" ดีเดย์ให้ 53 บริษัทประกันภัยนำออกประเดิมขายอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวจากกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัยได้ลงนามเห็นชอบในประกาศนายทะเบียนลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 ให้ออกแบบข้อความกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารแนบท้าย และอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์รถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัยของบริษัทประกันวินาศภัยทั้ง 53 บริษัทที่จะขายกรมธรรม์ประกันรถยนต์ชั้น 5 ออกมาเป็นทางการแล้ว โดยใช้ชื่อว่า"กรมธรรม์ประกันรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย"
โดยเนื้อหาบริษัทจะต้องออกกรมธรรม์ความคุ้มครองหลักคือ 1.คุ้มครองรับผิดชอบต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก และความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 1 แสนบาทต่อหนึ่งคน และ 10 ล้านบาทต่อหนึ่งครั้ง ทั้งนี้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดนี้ถือเป็นส่วนเกินจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ 2.คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกโดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัย 2 แสนบาทต่อหนึ่งครั้ง
สำหรับความคุ้มครองเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยที่ถูกไฟไหม้และการสูญหายรวมถึงอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์เกิดไฟไหม้หรือสูญหายไปนั้นจะมีหรือไม่มีความคุ้มครองก็ได้ โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 5 หมื่นบาท ทั้งนี้ความคุ้มครองทั้งหมดข้างต้นสามารถเพิ่มให้สูงกว่าพื้นฐานได้ โดยการเพิ่มเบี้ยฯตามอัตราเพิ่มตามความเสี่ยงภัย และอัตราเบี้ยฯเพิ่มความคุ้มครองตามที่ได้ระบุไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันรถยนต์ปี 48 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ยังได้กำหนดเก็บความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองแบ่งเป็น ความเสียหายส่วนแรกสำหรับความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกคือ1.ที่เกิดจากความตกลงระหว่างบริษัทกับผู้เอาประกันภัย 5,000 บาทแรกลดเบี้ยประกัน 10% ของจำนวนเงินความเสียหายสว่นแรก ส่วนเกิน 5,000 บาทแรกลดเบี้ยประกัน 1% ของจำนวนเงินเสียหายส่วนแรก สำหรับความเสียหายส่วนแรกเนื่องจากผู้เอาประกันผิดสัญญาเช่น รถยนต์คันเอาประกันภัยไปเกิดความเสียหาย ในขณะที่มีบุคคลอื่น มิใช่บุคคลที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยเป็นผู้ขับขี่ และความรับผิดชอบส่วนแรกสำหรับความเสียหายเนื่องจากชนกับรถคันอื่น โดยผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งคือ 2 พันบาท ของความเสียหายจากการชน ในกรณี่ผู้ขับขี่หรือผู้เอาประกันเป็นฝ่ายต้องรับผิดตามกฎหมาย
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177015
คลอดประกันรถชั้น5แล้วเรียกกธ.คุ้มครองเฉพาะภัย
อธิบดีกรมประกันภัยลงนามอนุมัติแล้ว ดีไซน์แบบกรมธรรม์ประกันรถชั้น 5 พร้อมพิกัดอัตราเบี้ยประกันใหม่ ใช้ชื่อหรู"กรมธรรม์คุ้มครองเฉพาะภัย" ดีเดย์ให้ 53 บริษัทประกันภัยนำออกประเดิมขายอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวจากกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัยได้ลงนามเห็นชอบในประกาศนายทะเบียนลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 ให้ออกแบบข้อความกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารแนบท้าย และอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์รถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัยของบริษัทประกันวินาศภัยทั้ง 53 บริษัทที่จะขายกรมธรรม์ประกันรถยนต์ชั้น 5 ออกมาเป็นทางการแล้ว โดยใช้ชื่อว่า"กรมธรรม์ประกันรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย"
โดยเนื้อหาบริษัทจะต้องออกกรมธรรม์ความคุ้มครองหลักคือ 1.คุ้มครองรับผิดชอบต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก และความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 1 แสนบาทต่อหนึ่งคน และ 10 ล้านบาทต่อหนึ่งครั้ง ทั้งนี้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดนี้ถือเป็นส่วนเกินจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ 2.คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกโดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัย 2 แสนบาทต่อหนึ่งครั้ง
สำหรับความคุ้มครองเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยที่ถูกไฟไหม้และการสูญหายรวมถึงอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์เกิดไฟไหม้หรือสูญหายไปนั้นจะมีหรือไม่มีความคุ้มครองก็ได้ โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 5 หมื่นบาท ทั้งนี้ความคุ้มครองทั้งหมดข้างต้นสามารถเพิ่มให้สูงกว่าพื้นฐานได้ โดยการเพิ่มเบี้ยฯตามอัตราเพิ่มตามความเสี่ยงภัย และอัตราเบี้ยฯเพิ่มความคุ้มครองตามที่ได้ระบุไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันรถยนต์ปี 48 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ยังได้กำหนดเก็บความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองแบ่งเป็น ความเสียหายส่วนแรกสำหรับความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกคือ1.ที่เกิดจากความตกลงระหว่างบริษัทกับผู้เอาประกันภัย 5,000 บาทแรกลดเบี้ยประกัน 10% ของจำนวนเงินความเสียหายสว่นแรก ส่วนเกิน 5,000 บาทแรกลดเบี้ยประกัน 1% ของจำนวนเงินเสียหายส่วนแรก สำหรับความเสียหายส่วนแรกเนื่องจากผู้เอาประกันผิดสัญญาเช่น รถยนต์คันเอาประกันภัยไปเกิดความเสียหาย ในขณะที่มีบุคคลอื่น มิใช่บุคคลที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยเป็นผู้ขับขี่ และความรับผิดชอบส่วนแรกสำหรับความเสียหายเนื่องจากชนกับรถคันอื่น โดยผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งคือ 2 พันบาท ของความเสียหายจากการชน ในกรณี่ผู้ขับขี่หรือผู้เอาประกันเป็นฝ่ายต้องรับผิดตามกฎหมาย
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177015
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/07/07
โพสต์ที่ 21
แห่ซื้อประกัน รถชั้น3พิเศษช่วงศก.ซบเซา
โพสต์ทูเดย์ ประกันชั้น 3 พิเศษ ช่วยสินมั่นคงรอด ทำยอดได้ถึงเป้า หลังลูกค้าแห่ซื้อรับภาวะเงินฝืด
นายเรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย กล่าวว่า ผลจากการที่บริษัทได้ออกแบบประกันรถยนต์ชั้น 3 พิเศษที่ซ่อมรถผู้เอาประกันด้วย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถทำเบี้ยประกันได้ตามเป้าประมาณ 1.9 พันล้านบาท จาก เป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 3.8 พันล้านบาท
ตัวประกันชั้น 3 พิเศษ 3 คุ้มนี้ มีส่วนอย่างมากที่ทำให้บริษัทถึงเป้าได้ ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วบริษัทก็คาดการณ์แล้วว่าเศรษฐกิจปีนี้คงยังไม่ดีแน่ จึงต้องมีสินค้าราคาประหยัดมารองรับเพิ่ม ขณะเดียวกันเบี้ยหลักอย่างรถป้ายแดงก็ขายไม่ค่อยออกด้วย ซึ่งเป็นตามยอดขายรถป้ายแดงที่ลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นายเรืองเดช กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังนี้จะดีขึ้น แต่บริษัทก็ยังไม่ปรับเป้าในขณะนี้ โดยจะให้ความสำคัญเรื่องการ สร้างสมดุลของกำไรกับเบี้ยประกัน มากกว่าที่จะมุ่งสร้างเบี้ยให้ได้มากๆ โดยใช้วิธีตัดราคาแข่งขัน ซึ่งในส่วนของประกันภัยชั้น 1 นั้น ขณะนี้บริษัทก็พยายามรักษาอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยไว้ให้อยู่ที่ 61-62% ส่วนเบี้ยประกันชั้น 3 พิเศษนั้น ก็คาดว่าอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยก็จะอยู่ประมาณ 60% ทำให้บริษัทรักษาระดับกำไรได้ดี
นายนิค จันทรวิทุร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 กล่าวว่า สำหรับแบบประกันชั้น 3 พิเศษ หรือ เอเชีย 3 พลัส ของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 45-50% แต่ถ้าเป็นประกันชั้น 1 อัตราค่าเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยยังสูงอยู่คือไม่ต่ำกว่า 65% แต่ด้วยความที่บริษัทขายแบบประกันเอเชีย 3 พลัส เป็นหลัก เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ก็ยังมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% และการที่ตลาดประกันภัยหันมาออกสินค้าประกันชั้น 3 พิเศษนี้เพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี และจะมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177527
โพสต์ทูเดย์ ประกันชั้น 3 พิเศษ ช่วยสินมั่นคงรอด ทำยอดได้ถึงเป้า หลังลูกค้าแห่ซื้อรับภาวะเงินฝืด
นายเรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย กล่าวว่า ผลจากการที่บริษัทได้ออกแบบประกันรถยนต์ชั้น 3 พิเศษที่ซ่อมรถผู้เอาประกันด้วย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถทำเบี้ยประกันได้ตามเป้าประมาณ 1.9 พันล้านบาท จาก เป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 3.8 พันล้านบาท
ตัวประกันชั้น 3 พิเศษ 3 คุ้มนี้ มีส่วนอย่างมากที่ทำให้บริษัทถึงเป้าได้ ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วบริษัทก็คาดการณ์แล้วว่าเศรษฐกิจปีนี้คงยังไม่ดีแน่ จึงต้องมีสินค้าราคาประหยัดมารองรับเพิ่ม ขณะเดียวกันเบี้ยหลักอย่างรถป้ายแดงก็ขายไม่ค่อยออกด้วย ซึ่งเป็นตามยอดขายรถป้ายแดงที่ลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นายเรืองเดช กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังนี้จะดีขึ้น แต่บริษัทก็ยังไม่ปรับเป้าในขณะนี้ โดยจะให้ความสำคัญเรื่องการ สร้างสมดุลของกำไรกับเบี้ยประกัน มากกว่าที่จะมุ่งสร้างเบี้ยให้ได้มากๆ โดยใช้วิธีตัดราคาแข่งขัน ซึ่งในส่วนของประกันภัยชั้น 1 นั้น ขณะนี้บริษัทก็พยายามรักษาอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยไว้ให้อยู่ที่ 61-62% ส่วนเบี้ยประกันชั้น 3 พิเศษนั้น ก็คาดว่าอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยก็จะอยู่ประมาณ 60% ทำให้บริษัทรักษาระดับกำไรได้ดี
นายนิค จันทรวิทุร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 กล่าวว่า สำหรับแบบประกันชั้น 3 พิเศษ หรือ เอเชีย 3 พลัส ของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 45-50% แต่ถ้าเป็นประกันชั้น 1 อัตราค่าเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยยังสูงอยู่คือไม่ต่ำกว่า 65% แต่ด้วยความที่บริษัทขายแบบประกันเอเชีย 3 พลัส เป็นหลัก เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ก็ยังมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% และการที่ตลาดประกันภัยหันมาออกสินค้าประกันชั้น 3 พิเศษนี้เพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี และจะมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177527
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/07/07
โพสต์ที่ 22
คลอดประกันรถราคาถูก
โพสต์ทูเดย์ จันทรา อนุมัติเบี้ยประกันชั้น 5 ถูกกว่าประกันชั้นหนึ่งประมาณ 30% เบี้ยคุ้มครองรถชนรถอย่างเดียว เบี้ยตั้งแต่ 3.5-6.8 พันบาท นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย ได้ลงนามให้ความเห็นชอบในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย หรือประกันภัยรถชั้น 5 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2550 ตามที่บริษัทประกันวินาศภัย 53 บริษัท ยื่นขอเสนอขายแก่ประชาชน หลังจากวันที่ 5 ก.ค. เป็นต้นไป จะไม่อนุมัติให้มีการขายประกันชั้น 3 พิเศษอีกต่อไป ยกเว้นบริษัทที่ได้เสนอขออนุมัติไว้ก่อนวันที่ 5 ก.ค. 2550 ซึ่งมีจำนวน 17 บริษัท
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 5 นี้ ราคาเบี้ยประกันภัยต่อปีจะต่ำกว่าประกันชั้น 1 ประมาณ 30% เนื่องจากให้ความคุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากการที่รถชนรถเท่านั้น และลูกค้าต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก 2 พันบาทต่อครั้ง ต่างจากประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองการเกิดอุบัติเหตุทุกกรณี เช่น เฉี่ยวชนเสาไฟฟ้า ก้อนหินกระเด็นมาถูกรถ หรือถูกบุคคลขีดข่วนด้วยความหมั่นไส้ ขับรถชนวัว หรือตกถนนก็สามารถเคลมได้ และลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก
ทั้งนี้ ราคาเบี้ยที่คุ้มครองเฉพาะกรณีรถชนรถ แบ่งตามประเภทรถยนต์ 3 ประเภท ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง ราคาเบี้ยประกันอยู่ระหว่าง 3.5-6.8 พันบาทต่อปี รถยนต์โดยสาร ราคาเบี้ยอยู่ระหว่าง 3-6 พันบาทต่อปี และรถยนต์บรรทุก เบี้ยอยู่ระหว่าง 3.4-6.2 พันบาทต่อปี โดยวงเงินความคุ้มครองต่อรถหนึ่งคันขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท และขั้นสูงวงเงิน 5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ลูกค้าจะถูกคิดเบี้ยประกันภัยเพิ่มตามอัตราความเสี่ยงภัย และวงเงินความคุ้มครอง ซึ่งจะเริ่มต้นที่ 1% ของวงเงินความคุ้มครองถึงสูงสุด 7.3% ของวงเงินความคุ้มครอง
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 5 แบ่งโครงสร้างความคุ้มครองออกเป็น 3 ด้านหลักๆ คือ ความคุ้มครองส่วนแรก เป็นความคุ้มครองหลัก ได้แก่ ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกต่อความบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิตของบุคคลภายนอก วงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำ 1 แสนบาทต่อหนึ่งคน รวมแล้วต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อหนึ่งครั้ง และไม่เกี่ยวกับความคุ้มครองหรือค่าสินไหมทดแทนที่จะได้จากประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 2 แสนบาทต่อหนึ่งครั้ง
ความคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ อุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ในวงเงินขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท สามารถเพิ่มวงเงินความคุ้มครองได้ตามความต้องการของลูกค้า ราคาเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นด้วย
ความคุ้มครองส่วนที่สอง คือ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย และคู่กรณี เฉพาะที่เกิดจากรถชนรถ หรือยานพาหนะทางบกเท่านั้น รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ที่เกิดจากการที่รถชนรถ ความคุ้มครองขั้นต่ำเริ่มที่ 5 หมื่นบาท และเพิ่มวงเงินความคุ้มครองได้ ซึ่งราคาเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นด้วย
ความคุ้มครองส่วนที่สาม คือ ความคุ้มครองอื่นๆ ประกอบด้วย การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยค่ารักษาพยาบาล การประกันตัวผู้ขับขี่ ที่เจ้าของรถอาจต้องการความคุ้มครองที่สูงขึ้น หรือซื้อเพิ่มเติมจากความคุ้มครองส่วนแรก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177529
โพสต์ทูเดย์ จันทรา อนุมัติเบี้ยประกันชั้น 5 ถูกกว่าประกันชั้นหนึ่งประมาณ 30% เบี้ยคุ้มครองรถชนรถอย่างเดียว เบี้ยตั้งแต่ 3.5-6.8 พันบาท นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย ได้ลงนามให้ความเห็นชอบในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย หรือประกันภัยรถชั้น 5 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2550 ตามที่บริษัทประกันวินาศภัย 53 บริษัท ยื่นขอเสนอขายแก่ประชาชน หลังจากวันที่ 5 ก.ค. เป็นต้นไป จะไม่อนุมัติให้มีการขายประกันชั้น 3 พิเศษอีกต่อไป ยกเว้นบริษัทที่ได้เสนอขออนุมัติไว้ก่อนวันที่ 5 ก.ค. 2550 ซึ่งมีจำนวน 17 บริษัท
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 5 นี้ ราคาเบี้ยประกันภัยต่อปีจะต่ำกว่าประกันชั้น 1 ประมาณ 30% เนื่องจากให้ความคุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากการที่รถชนรถเท่านั้น และลูกค้าต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก 2 พันบาทต่อครั้ง ต่างจากประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองการเกิดอุบัติเหตุทุกกรณี เช่น เฉี่ยวชนเสาไฟฟ้า ก้อนหินกระเด็นมาถูกรถ หรือถูกบุคคลขีดข่วนด้วยความหมั่นไส้ ขับรถชนวัว หรือตกถนนก็สามารถเคลมได้ และลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก
ทั้งนี้ ราคาเบี้ยที่คุ้มครองเฉพาะกรณีรถชนรถ แบ่งตามประเภทรถยนต์ 3 ประเภท ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง ราคาเบี้ยประกันอยู่ระหว่าง 3.5-6.8 พันบาทต่อปี รถยนต์โดยสาร ราคาเบี้ยอยู่ระหว่าง 3-6 พันบาทต่อปี และรถยนต์บรรทุก เบี้ยอยู่ระหว่าง 3.4-6.2 พันบาทต่อปี โดยวงเงินความคุ้มครองต่อรถหนึ่งคันขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท และขั้นสูงวงเงิน 5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ลูกค้าจะถูกคิดเบี้ยประกันภัยเพิ่มตามอัตราความเสี่ยงภัย และวงเงินความคุ้มครอง ซึ่งจะเริ่มต้นที่ 1% ของวงเงินความคุ้มครองถึงสูงสุด 7.3% ของวงเงินความคุ้มครอง
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 5 แบ่งโครงสร้างความคุ้มครองออกเป็น 3 ด้านหลักๆ คือ ความคุ้มครองส่วนแรก เป็นความคุ้มครองหลัก ได้แก่ ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกต่อความบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิตของบุคคลภายนอก วงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำ 1 แสนบาทต่อหนึ่งคน รวมแล้วต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อหนึ่งครั้ง และไม่เกี่ยวกับความคุ้มครองหรือค่าสินไหมทดแทนที่จะได้จากประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 2 แสนบาทต่อหนึ่งครั้ง
ความคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ อุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ในวงเงินขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท สามารถเพิ่มวงเงินความคุ้มครองได้ตามความต้องการของลูกค้า ราคาเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นด้วย
ความคุ้มครองส่วนที่สอง คือ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย และคู่กรณี เฉพาะที่เกิดจากรถชนรถ หรือยานพาหนะทางบกเท่านั้น รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ที่เกิดจากการที่รถชนรถ ความคุ้มครองขั้นต่ำเริ่มที่ 5 หมื่นบาท และเพิ่มวงเงินความคุ้มครองได้ ซึ่งราคาเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นด้วย
ความคุ้มครองส่วนที่สาม คือ ความคุ้มครองอื่นๆ ประกอบด้วย การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยค่ารักษาพยาบาล การประกันตัวผู้ขับขี่ ที่เจ้าของรถอาจต้องการความคุ้มครองที่สูงขึ้น หรือซื้อเพิ่มเติมจากความคุ้มครองส่วนแรก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177529
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/07/07
โพสต์ที่ 23
เลห์แมนซื้อฟินันซ่าใกล้จบ
โพสต์ทูเดย์ คาดการร่วมลงทุน ของเลห์แมน บราเธอร์ ในบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จะบรรลุข้อตกลงสัปดาห์หน้า
แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมการประกันภัยเปิดเผยว่า วันที่ 9 ก.ค. 2550 ตัวแทนของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ พร้อมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ได้เข้าพบผู้บริหารของกรมการประกันภัยเพื่อยืนยันถึงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต โดยจะเสนอแผนเพิ่มทุนและแก้ปัญหาฐานะเงินกองทุนที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดกว่า 500 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้า
เขาต้องการที่จะลงนามร่วมลงทุนอย่างเป็นทางการก่อนแล้วถึงจะส่งแผนเพิ่มทุนเข้ามาให้ ซึ่งยืนยันที่จะส่งเข้ามาภายในสัปดาห์หน้า แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ ตัวแทนของเลห์แมนฯ ยืนยันถึงความพร้อมที่จะใส่เงินทุนเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งเป็นโครงการลงทุนที่ใช้เงินค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับโครงการลงทุนอื่นๆ ของเลห์แมนฯ ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท
นายรณพิทย์ หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต กล่าวว่า นอกเหนือจากบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ ยังมี 3-4 กลุ่ม ที่แสดงความสนใจร่วมลงทุนในบริษัท ซึ่งเมื่อถึงเวลาจริงอาจจะเป็นกลุ่มอื่นก็ได้
นายมนตรี แสงอุไรพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต กล่าวว่า ในด้านของการตลาดไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการที่บริษัทมีฐานะเงินกองทุนติดลบ โดยยังสามารถขยายตลาดได้ในระดับที่ดี
ครึ่งปีแรกเราขายประกันให้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีเบี้ยใหม่ 194.6 ล้านบาท หรือทำเบี้ยได้ประมาณ 272 ล้านบาท นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี กล่าวว่า เฉพาะเดือน มิ.ย. 2550 มียอดขายรายใหม่เพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 35 ล้านบาท
ขณะที่ ตะกาฟุล หรือกรมธรรม์ประกันชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเดือนละ 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ การที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการมีตัวแทนเพิ่มขึ้นจาก 4 พันคน เป็น 5.2 พันคน ในปัจจุบัน
นายมนตรี กล่าวว่า จากการประเมินศักยภาพของตัวแทนที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถที่จะพัฒนาคุณภาพให้ทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ หากได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
แหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิตวิเคราะห์ว่า เลห์แมนฯ อาจจะเป็นเพียงผู้ที่มาขัดตาทัพให้กับบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ระหว่างที่ยังหาผู้ร่วมลงทุนไม่ได้ เพื่อแสดงให้เห็นความตั้งใจในการแก้ปัญหาฐานะการเงิน และยืดระยะเวลาจากการถูกกรมการประกันภัยเข้าไปควบคุม ซึ่งขณะนี้เลห์แมนฯ ทำการตรวจสอบสถานะบริษัทเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการตีราคาหุ้น และกำหนดจำนวนหุ้นเพิ่มทุนเพื่อให้ครบวงเงินที่จะเพิ่มทุนใหม่อีก 500 ล้านบาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2.1 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177704
โพสต์ทูเดย์ คาดการร่วมลงทุน ของเลห์แมน บราเธอร์ ในบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จะบรรลุข้อตกลงสัปดาห์หน้า
แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมการประกันภัยเปิดเผยว่า วันที่ 9 ก.ค. 2550 ตัวแทนของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ พร้อมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ได้เข้าพบผู้บริหารของกรมการประกันภัยเพื่อยืนยันถึงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต โดยจะเสนอแผนเพิ่มทุนและแก้ปัญหาฐานะเงินกองทุนที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดกว่า 500 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้า
เขาต้องการที่จะลงนามร่วมลงทุนอย่างเป็นทางการก่อนแล้วถึงจะส่งแผนเพิ่มทุนเข้ามาให้ ซึ่งยืนยันที่จะส่งเข้ามาภายในสัปดาห์หน้า แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ ตัวแทนของเลห์แมนฯ ยืนยันถึงความพร้อมที่จะใส่เงินทุนเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งเป็นโครงการลงทุนที่ใช้เงินค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับโครงการลงทุนอื่นๆ ของเลห์แมนฯ ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท
นายรณพิทย์ หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต กล่าวว่า นอกเหนือจากบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ ยังมี 3-4 กลุ่ม ที่แสดงความสนใจร่วมลงทุนในบริษัท ซึ่งเมื่อถึงเวลาจริงอาจจะเป็นกลุ่มอื่นก็ได้
นายมนตรี แสงอุไรพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต กล่าวว่า ในด้านของการตลาดไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการที่บริษัทมีฐานะเงินกองทุนติดลบ โดยยังสามารถขยายตลาดได้ในระดับที่ดี
ครึ่งปีแรกเราขายประกันให้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีเบี้ยใหม่ 194.6 ล้านบาท หรือทำเบี้ยได้ประมาณ 272 ล้านบาท นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี กล่าวว่า เฉพาะเดือน มิ.ย. 2550 มียอดขายรายใหม่เพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 35 ล้านบาท
ขณะที่ ตะกาฟุล หรือกรมธรรม์ประกันชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเดือนละ 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ การที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการมีตัวแทนเพิ่มขึ้นจาก 4 พันคน เป็น 5.2 พันคน ในปัจจุบัน
นายมนตรี กล่าวว่า จากการประเมินศักยภาพของตัวแทนที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถที่จะพัฒนาคุณภาพให้ทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ หากได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
แหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิตวิเคราะห์ว่า เลห์แมนฯ อาจจะเป็นเพียงผู้ที่มาขัดตาทัพให้กับบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ระหว่างที่ยังหาผู้ร่วมลงทุนไม่ได้ เพื่อแสดงให้เห็นความตั้งใจในการแก้ปัญหาฐานะการเงิน และยืดระยะเวลาจากการถูกกรมการประกันภัยเข้าไปควบคุม ซึ่งขณะนี้เลห์แมนฯ ทำการตรวจสอบสถานะบริษัทเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการตีราคาหุ้น และกำหนดจำนวนหุ้นเพิ่มทุนเพื่อให้ครบวงเงินที่จะเพิ่มทุนใหม่อีก 500 ล้านบาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2.1 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177704
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/07/07
โพสต์ที่ 24
5เดือนประกันชีวิตแรงยังดีโต35% [ ฉบับที่ 809 ประจำวันที่ 11-7-2007 ถึง 13-7-2007]
>ส่งสัญญาณปิดครึ่งปีแรกเบี้ยรวมแตะแสนล้าน
ประกันชีวิตแรงไม่หยุด 5 เดือนเบี้ยใหม่ทะลุ 16,221 ล้านบาท โต 35% ดันเบี้ย รวม 73,338 ล้านบาท จับตาปิดบัญชีครึ่งปีแรกหมดแรงต้าน ทุกค่าย เร่งปิดยอด ส่งผลเบี้ยรวมมีสิทธิ์ แตะแสนล้านบาท ขณะยอดคนซื้อประกันทะยานไม่แพ้กัน ขายได้แล้ว 1,672,164 กรมธรรม์ ตลาดสามัญ ไปโลดกวาดลูกค้า 887,425 ราย
รายงานข่าวจากสมาคมประ กันชีวิตไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทประกันชีวิตในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2550) ว่า ธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 73,338.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียว กันของปี 2549 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยปีแรก (FYP) หรือเบี้ยใหม่ที่เข้าสู่ธุรกิจทั้งสิ้น 16,221.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 35% เป็นเบี้ยรับ ปีต่อไป (RWP) หรือเบี้ยต่ออายุทั้งสิ้น 52,290.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6% คิด เป็นอัตราความยั่งยืนกรมธรรม์ (Persistency) ที่ระดับ 85% และเป็นเบี้ยชำระครั้งเดียว หรือซิงเกิล พรีเมี่ยม (Single Premium) ทั้งสิ้น 4,825.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 53% ส่งสัญญาณปิดผลงานครึ่งปีแรกเบี้ยรวมอาจ ทะลุแสนล้านบาทได้ หากเทียบกับจำนวนเบี้ยที่เข้ามาในแต่ละเดือน
เฉลี่ยถึง 13,000 บาทต่อเดือน บวกกับช่วงเดือนมิ.ย.เป็นช่วงเร่งทำยอดเพื่อปิดผลงานครึ่งปี จึงทำให้มีเบี้ยเข้ามามากกว่าปกติ ก็ทำให้เบี้ยรวมมีสิทธิจะแตะแสนล้านบาทได้
อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจประกันชีวิต แม้ว่าจะมีปัจจัยกระทบหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ของทุกปีถือเป็นช่วงที่ผลงานของธุรกิจจะต่ำกว่าช่วงอื่น และความไม่สงบด้านการเมืองยังคงดำเนินต่อไป แต่ธุรกิจประกันชีวิตยังคงขยายตัวได้ดี จึงถือว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนัก โดยผลงานเบี้ยเฉพาะในเดือนพ.ค.2550 มีเบี้ยรับรวม 14,898.5 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีเบี้ยรวมที่ 10,366.3 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเบี้ยปีแรก (FYP) 3,270.3 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเบี้ยปีแรกเข้ามา 2,573.6 ล้านบาท, เบี้ยปีต่อไป หรือเบี้ยต่ออายุ 10,553.2 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเข้ามา 9,873.5 ล้านบาท และเบี้ยชำระครั้งเดียว 1,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเข้ามาจำนวน 619.2 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดจากตลาดหลักของธุรกิจอย่าง ตลาดประกันชีวิตประเภทสามัญ ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้การขยายตัวของเบี้ยปีแรก หรือเบี้ยใหม่ ยังอยู่ในระดับสูงถึง 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัวติดลบ 1% โดยมีเบี้ยปีแรกจำนวน 12,650.4 ล้านบาท และส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทในอันดับท็อปเทนแทบทั้งสิ้น นำโดยเอไอเอ หรือบ.อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จก. มีเบี้ยปีแรกประเภทสามัญจำนวน 3,740.3 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่เติบโตติดลบ 3% รองลงมาได้แก่ บ.ไทยประกันชีวิต จก. ด้วยเบี้ยจำนวน 1,731.5 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5%, บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต 1,464.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 157%, บ.เมืองไทยประกันชีวิต จก. 1,281.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 88% และบมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต หรือเอเอซีพี 1,041.5 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 83%, บ.กรุงเทพประกันชีวิต จก. 769.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 29%, บ.ไทยคาร์ดีฟ ประกันชีวิต จก. 560.3 ล้านบาท, บ.ไอเอ็นจีประกันชีวิต จก. 529.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 37% และบ.ไทยสมุทรประกันชีวิต จก. 174.1 ล้านบาท เติบโตติดลบ 29% ตามลำดับ
ส่วนในตลาดอื่นๆ เช่น การประกันชีวิตประเภทอุตสาหกรรม เบี้ยปีแรกยังขยายตัวได้ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่เติบโตติดลบ 18% ด้วยเบี้ยจำนวน 440.3 ล้านบาท, การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม เบี้ยปีแรกขยายตัวได้ 27% ด้วยจำนวน 1,604 ล้านบาท และการประกันประเภทอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ขยายตัวได้เพียง 1% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,527.2 ล้านบาท
ด้านจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับ พบว่า เฉพาะเดือนพ.ค. 2550 มีจำนวนกรมธรรม์ใหม่รวม 327,703กรมธรรม์ เทียบกับเดือนพ.ค.2549 ที่มีจำนวนกรมธรรม์ใหม่เข้ามา 294,794 กรมธรรม์ มากกว่ากันถึง 11% โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกรมธรรม์ประเภทสามัญมากที่สุดถึง 168,688 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับพ.ค.2549 ที่มีเข้ามาจำนวน 146,919 กรมธรรม์ รองลงมาเป็นกรมธรรม์ประเภทพีเอจำนวน 142,908 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.2549 ที่มีจำนวน 135,689 กรมธรรม์, กรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรมมีจำนวน 15,741 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 32% เมื่อเทียบกับ 11,896 กรมธรรม์ในเดือนพ.ค.2549 และกรมธรรม์ประเภทกลุ่มจำนวน 366 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับพ.ค.2549 ที่มีเข้ามา 290 กรมธรรม์ ตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้ จำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้จึงมีจำนวนรวมถึง 1,672,164 กรมธรรม์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนกรมธรรม์ 1,462,555 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 14% โดยในจำนวนนี้เป็นกรมธรรม์ประเภทสามัญมากที่สุดด้วยจำนวน 887,425 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 730,541 กรมธรรม์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รองลงมาเป็นกรมธรรม์ประเภทพีเอจำนวน 696,677 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ 665,288 กรมธรรม์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา, กรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรม 86,283 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 65,087 กรมธรรม์ และกรมธรรม์ประเภทกลุ่มจำนวน 1,779 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 1,639 กรมธรรม์ ตามลำดับ
http://www.siamturakij.com/home/index.html
>ส่งสัญญาณปิดครึ่งปีแรกเบี้ยรวมแตะแสนล้าน
ประกันชีวิตแรงไม่หยุด 5 เดือนเบี้ยใหม่ทะลุ 16,221 ล้านบาท โต 35% ดันเบี้ย รวม 73,338 ล้านบาท จับตาปิดบัญชีครึ่งปีแรกหมดแรงต้าน ทุกค่าย เร่งปิดยอด ส่งผลเบี้ยรวมมีสิทธิ์ แตะแสนล้านบาท ขณะยอดคนซื้อประกันทะยานไม่แพ้กัน ขายได้แล้ว 1,672,164 กรมธรรม์ ตลาดสามัญ ไปโลดกวาดลูกค้า 887,425 ราย
รายงานข่าวจากสมาคมประ กันชีวิตไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทประกันชีวิตในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2550) ว่า ธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 73,338.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียว กันของปี 2549 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยปีแรก (FYP) หรือเบี้ยใหม่ที่เข้าสู่ธุรกิจทั้งสิ้น 16,221.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 35% เป็นเบี้ยรับ ปีต่อไป (RWP) หรือเบี้ยต่ออายุทั้งสิ้น 52,290.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6% คิด เป็นอัตราความยั่งยืนกรมธรรม์ (Persistency) ที่ระดับ 85% และเป็นเบี้ยชำระครั้งเดียว หรือซิงเกิล พรีเมี่ยม (Single Premium) ทั้งสิ้น 4,825.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 53% ส่งสัญญาณปิดผลงานครึ่งปีแรกเบี้ยรวมอาจ ทะลุแสนล้านบาทได้ หากเทียบกับจำนวนเบี้ยที่เข้ามาในแต่ละเดือน
เฉลี่ยถึง 13,000 บาทต่อเดือน บวกกับช่วงเดือนมิ.ย.เป็นช่วงเร่งทำยอดเพื่อปิดผลงานครึ่งปี จึงทำให้มีเบี้ยเข้ามามากกว่าปกติ ก็ทำให้เบี้ยรวมมีสิทธิจะแตะแสนล้านบาทได้
อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจประกันชีวิต แม้ว่าจะมีปัจจัยกระทบหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ของทุกปีถือเป็นช่วงที่ผลงานของธุรกิจจะต่ำกว่าช่วงอื่น และความไม่สงบด้านการเมืองยังคงดำเนินต่อไป แต่ธุรกิจประกันชีวิตยังคงขยายตัวได้ดี จึงถือว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนัก โดยผลงานเบี้ยเฉพาะในเดือนพ.ค.2550 มีเบี้ยรับรวม 14,898.5 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีเบี้ยรวมที่ 10,366.3 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเบี้ยปีแรก (FYP) 3,270.3 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเบี้ยปีแรกเข้ามา 2,573.6 ล้านบาท, เบี้ยปีต่อไป หรือเบี้ยต่ออายุ 10,553.2 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเข้ามา 9,873.5 ล้านบาท และเบี้ยชำระครั้งเดียว 1,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเข้ามาจำนวน 619.2 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดจากตลาดหลักของธุรกิจอย่าง ตลาดประกันชีวิตประเภทสามัญ ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้การขยายตัวของเบี้ยปีแรก หรือเบี้ยใหม่ ยังอยู่ในระดับสูงถึง 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัวติดลบ 1% โดยมีเบี้ยปีแรกจำนวน 12,650.4 ล้านบาท และส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทในอันดับท็อปเทนแทบทั้งสิ้น นำโดยเอไอเอ หรือบ.อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จก. มีเบี้ยปีแรกประเภทสามัญจำนวน 3,740.3 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่เติบโตติดลบ 3% รองลงมาได้แก่ บ.ไทยประกันชีวิต จก. ด้วยเบี้ยจำนวน 1,731.5 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5%, บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต 1,464.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 157%, บ.เมืองไทยประกันชีวิต จก. 1,281.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 88% และบมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต หรือเอเอซีพี 1,041.5 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 83%, บ.กรุงเทพประกันชีวิต จก. 769.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 29%, บ.ไทยคาร์ดีฟ ประกันชีวิต จก. 560.3 ล้านบาท, บ.ไอเอ็นจีประกันชีวิต จก. 529.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 37% และบ.ไทยสมุทรประกันชีวิต จก. 174.1 ล้านบาท เติบโตติดลบ 29% ตามลำดับ
ส่วนในตลาดอื่นๆ เช่น การประกันชีวิตประเภทอุตสาหกรรม เบี้ยปีแรกยังขยายตัวได้ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่เติบโตติดลบ 18% ด้วยเบี้ยจำนวน 440.3 ล้านบาท, การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม เบี้ยปีแรกขยายตัวได้ 27% ด้วยจำนวน 1,604 ล้านบาท และการประกันประเภทอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ขยายตัวได้เพียง 1% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,527.2 ล้านบาท
ด้านจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับ พบว่า เฉพาะเดือนพ.ค. 2550 มีจำนวนกรมธรรม์ใหม่รวม 327,703กรมธรรม์ เทียบกับเดือนพ.ค.2549 ที่มีจำนวนกรมธรรม์ใหม่เข้ามา 294,794 กรมธรรม์ มากกว่ากันถึง 11% โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกรมธรรม์ประเภทสามัญมากที่สุดถึง 168,688 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับพ.ค.2549 ที่มีเข้ามาจำนวน 146,919 กรมธรรม์ รองลงมาเป็นกรมธรรม์ประเภทพีเอจำนวน 142,908 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.2549 ที่มีจำนวน 135,689 กรมธรรม์, กรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรมมีจำนวน 15,741 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 32% เมื่อเทียบกับ 11,896 กรมธรรม์ในเดือนพ.ค.2549 และกรมธรรม์ประเภทกลุ่มจำนวน 366 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับพ.ค.2549 ที่มีเข้ามา 290 กรมธรรม์ ตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้ จำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้จึงมีจำนวนรวมถึง 1,672,164 กรมธรรม์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนกรมธรรม์ 1,462,555 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 14% โดยในจำนวนนี้เป็นกรมธรรม์ประเภทสามัญมากที่สุดด้วยจำนวน 887,425 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 730,541 กรมธรรม์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รองลงมาเป็นกรมธรรม์ประเภทพีเอจำนวน 696,677 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ 665,288 กรมธรรม์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา, กรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรม 86,283 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 65,087 กรมธรรม์ และกรมธรรม์ประเภทกลุ่มจำนวน 1,779 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 1,639 กรมธรรม์ ตามลำดับ
http://www.siamturakij.com/home/index.html
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/07/07
โพสต์ที่ 25
พาณิชย์ชงครม.เปิดทางต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกัน49%
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 15:39:00
พาณิชย์เตรียมชงครม.แก้กฎหมายเปิดทางต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกันวินาศภัยและประกันชีวิตถือหุ้น 49% จากเดิมตีกรอบไว้ที่ 25%
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ขณะนี้การแก้ไขกฎหมายประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ปี 2535 โดยเฉพาะสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตทั้งระบบ จากกฎหมายเดิมมีกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทประกัน จะอยู่ที่ 25% ซึ่งจะเพิ่มเป็น 49% ตามการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมใหม่นั้น ว่า โดยขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นได้ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณากันต่อไป และคิดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบในรัฐบาลชุดนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยของไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละรายที่สอบถามและสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุน ส่วนใหญ่มีความมั่นใจทางการเงิน และเป็นบริษัทบริหารโดยมืออาชีพทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมสัดส่วนการถือหุ้นชาวต่างชาติได้ผ่านความเห็นชอบในขั้นตอนต่าง ๆ และมีผลบังคับใช้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทประกันของไทยอย่างมาก ที่สำคัญเมื่อภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตของไทยมีความเข้มแข็ง จะลดปัญหาให้กับผู้เอาประกันทั้งระบบ จะได้รับความสะดวกและได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนภายในเวลารวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หากดูผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิตของไทย โดยแยกเป็นบริษัทประกันวินาศภัย 94 ราย และบริษัทประกันชีวิต 25 ราย ในช่วงหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ บริษัทประกันทั้งระบบของไทยมีความเข้มแข็งถึงร้อยละ 99 จะมีเพียงบางบริษัทที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องอยู่บ้าง แต่ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งแต่ละรายที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง กรมการประกันภัยก็ได้มีการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยส่วนใหญ่ยังเห็นว่า บริษัทประกันที่มีปัญหาสามารถแก้ไขได้ ไม่ถึงขั้นที่จะปิดหรือยึดใบอนุญาต ดังนั้น เมื่อเปิดโอกาสขยายสัดส่วนให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากกว่าที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าหลังจากนี้ไป บริษัทประกันของไทยจะมีความเข้มแข็ง และต่อสู้กับการเปิดเสรีบริการตามพันธกรณีต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เมื่อบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยของไทยมีต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากขึ้น นอกจากจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งแล้ว ยังจะปรับแนวทางบริหารด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาบริการ ก็จะทำให้การเคลมประกัน การตีราคาประกันความเสียหาย การคืนเงินประกันการเสียหายในกรณีต่าง ๆ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับรวดเร็วขึ้น และหากดูสถิติการร้องเรียนผ่านสายด่วนประกันภัย 1186 ในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่า มีจำนวนผู้เอาประกันภัยร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อบริษัทประกันน้อยลง ยกเว้นบริษัทประกันที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็มีการร้องเรียนเข้ามาแบบซ้ำซาก แต่ทางกรมการประกันภัยได้มีการติดตามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อลดความเดือดร้อนผู้เอาประกันภัยได้อยู่แล้ว นางจันทรา กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/1 ... wsid=83530
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 15:39:00
พาณิชย์เตรียมชงครม.แก้กฎหมายเปิดทางต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกันวินาศภัยและประกันชีวิตถือหุ้น 49% จากเดิมตีกรอบไว้ที่ 25%
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ขณะนี้การแก้ไขกฎหมายประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ปี 2535 โดยเฉพาะสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตทั้งระบบ จากกฎหมายเดิมมีกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทประกัน จะอยู่ที่ 25% ซึ่งจะเพิ่มเป็น 49% ตามการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมใหม่นั้น ว่า โดยขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นได้ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณากันต่อไป และคิดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบในรัฐบาลชุดนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยของไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละรายที่สอบถามและสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุน ส่วนใหญ่มีความมั่นใจทางการเงิน และเป็นบริษัทบริหารโดยมืออาชีพทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมสัดส่วนการถือหุ้นชาวต่างชาติได้ผ่านความเห็นชอบในขั้นตอนต่าง ๆ และมีผลบังคับใช้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทประกันของไทยอย่างมาก ที่สำคัญเมื่อภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตของไทยมีความเข้มแข็ง จะลดปัญหาให้กับผู้เอาประกันทั้งระบบ จะได้รับความสะดวกและได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนภายในเวลารวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หากดูผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิตของไทย โดยแยกเป็นบริษัทประกันวินาศภัย 94 ราย และบริษัทประกันชีวิต 25 ราย ในช่วงหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ บริษัทประกันทั้งระบบของไทยมีความเข้มแข็งถึงร้อยละ 99 จะมีเพียงบางบริษัทที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องอยู่บ้าง แต่ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งแต่ละรายที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง กรมการประกันภัยก็ได้มีการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยส่วนใหญ่ยังเห็นว่า บริษัทประกันที่มีปัญหาสามารถแก้ไขได้ ไม่ถึงขั้นที่จะปิดหรือยึดใบอนุญาต ดังนั้น เมื่อเปิดโอกาสขยายสัดส่วนให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากกว่าที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าหลังจากนี้ไป บริษัทประกันของไทยจะมีความเข้มแข็ง และต่อสู้กับการเปิดเสรีบริการตามพันธกรณีต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เมื่อบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยของไทยมีต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากขึ้น นอกจากจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งแล้ว ยังจะปรับแนวทางบริหารด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาบริการ ก็จะทำให้การเคลมประกัน การตีราคาประกันความเสียหาย การคืนเงินประกันการเสียหายในกรณีต่าง ๆ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับรวดเร็วขึ้น และหากดูสถิติการร้องเรียนผ่านสายด่วนประกันภัย 1186 ในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่า มีจำนวนผู้เอาประกันภัยร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อบริษัทประกันน้อยลง ยกเว้นบริษัทประกันที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็มีการร้องเรียนเข้ามาแบบซ้ำซาก แต่ทางกรมการประกันภัยได้มีการติดตามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อลดความเดือดร้อนผู้เอาประกันภัยได้อยู่แล้ว นางจันทรา กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/1 ... wsid=83530
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/07/07
โพสต์ที่ 26
เมืองไทยประกันภัยออก'เมืองไทย5พลัส' ลงสนามประกันภัยรถยนต์
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 10:53:00
เมืองไทยประกันภัยคลอดกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 เมืองไทย 5 พลัส ภายใต้แนวคิดคุ้มครองง่ายแค่กะพริบตา ชูจุดเด่นที่เหนือกว่าประกันรถ ชั้น 3
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่คำนึงถึงความคุ้มครองที่หลากหลายและราคาที่ย่อมเยาว์เป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้บริษัทฯจึงได้สร้างสรรค์แบบประกันรถยนต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ เมืองไทย 5 พลัส ด้วยการพัฒนาจากแบบประกันรถ ชั้น 3 โดยเพิ่มความคุ้มครองในส่วนของค่าซ่อมรถผู้เอาประกัน , ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และค่ารักษาพยาบาล อีกทั้งยังเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าผู้เอาประกันถึง 2 แบบแผน คือ เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 6,800 บาท และ 7,800 บาท
ในส่วนของรายละเอียดของกรมธรรม์ใหม่ เมืองไทย 5 พลัส บริษัทฯได้ออกแบบทางเลือก ให้ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครอง และราคาที่เหมาะสม ถึง 2 แบบแผน คือ แบบแผนที่ 1 อัตราเบี้ยประกันเพียง 6,800 บาท สำหรับรถทุกประเภทโดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ (ยกเว้นรถที่มีอายุเกิน 15 ปี) ด้วยความคุ้มครองวงเงินซ่อมรถผู้เอาประกันภัยสูงถึง 100,000 บาท และความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกายบุคคลภายนอก วงเงิน500,000 บาท/คน รวมไปถึงความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก วงเงิน100,000 บาท/ครั้ง พร้อมเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินสูงสุด 100,000 บาท / คน อีกทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล วงเงินสูงสุด 50,000 บาท/ คน
สำหรับแบบแผนที่ 2 ด้วยอัตราเบี้ยประกันเพียง 7,800 บาท สำหรับรถทุกประเภทโดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ (ยกเว้นรถที่มีอายุเกิน 15 ปี) ด้วยความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกายบุคคลภายนอก วงเงิน 1,000,000 บาท/คน รวมไปถึงความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก วงเงิน 1,000,000 บาท/ครั้ง พร้อมเพิ่มความคุ้มครองซ่อมรถผู้เอาประกันวงเงินสูงถึง 150,000 บาท/ครั้ง และความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุ
ส่วนบุคคล วงเงินสูงสุด 100,000 บาท/คนอีกทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล วงเงินสูงสุด 50,00 บาท/
คน ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิดโดยความประมาท ผู้เอาประกันภัยจำเป็นต้องชำระค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท / ครั้ง
ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดประกันภัยรถยนต์บ้านเราเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทประกันแต่ละค่ายต่างพากันออกกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อมามัดใจลูกค้า ด้วยเหตุนี้บริษัทฯจึงได้ออก เมืองไทย 5 พลัส มาสนองความต้องการของลูกค้าผู้เอาประกัน โดยจุดเด่นของเมืองไทย 5 พลัส นั้นเน้นความรวดเร็ว สะดวกและง่ายดาย ด้วยการเพิ่มช่องทางการชำระเบี้ยผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารชั้นนำ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย ซึ่งผู้เอาประกันภัยก็จะได้รับความคุ้มครองทันที!! ซึ่งเปรียบเสมือนการกะพริบตาของคนเรา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของแนวคิดเมืองไทย 5 พลัส คือ คุ้มครองง่ายแค่กะพริบตา นางนวลพรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพทั้งทางด้านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพด้านการบริการแก่ลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ สูงสุด และสำหรับลูกค้าท่านใดที่สนใจในแบบประกัน เมืองไทย 5 พลัส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานตัวแทนของบริษัทฯทั่วประเทศ หรือโทรสอบถามได้ที่ Call Center 1484
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/1 ... wsid=83427
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 10:53:00
เมืองไทยประกันภัยคลอดกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 เมืองไทย 5 พลัส ภายใต้แนวคิดคุ้มครองง่ายแค่กะพริบตา ชูจุดเด่นที่เหนือกว่าประกันรถ ชั้น 3
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่คำนึงถึงความคุ้มครองที่หลากหลายและราคาที่ย่อมเยาว์เป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้บริษัทฯจึงได้สร้างสรรค์แบบประกันรถยนต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ เมืองไทย 5 พลัส ด้วยการพัฒนาจากแบบประกันรถ ชั้น 3 โดยเพิ่มความคุ้มครองในส่วนของค่าซ่อมรถผู้เอาประกัน , ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และค่ารักษาพยาบาล อีกทั้งยังเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าผู้เอาประกันถึง 2 แบบแผน คือ เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 6,800 บาท และ 7,800 บาท
ในส่วนของรายละเอียดของกรมธรรม์ใหม่ เมืองไทย 5 พลัส บริษัทฯได้ออกแบบทางเลือก ให้ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครอง และราคาที่เหมาะสม ถึง 2 แบบแผน คือ แบบแผนที่ 1 อัตราเบี้ยประกันเพียง 6,800 บาท สำหรับรถทุกประเภทโดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ (ยกเว้นรถที่มีอายุเกิน 15 ปี) ด้วยความคุ้มครองวงเงินซ่อมรถผู้เอาประกันภัยสูงถึง 100,000 บาท และความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกายบุคคลภายนอก วงเงิน500,000 บาท/คน รวมไปถึงความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก วงเงิน100,000 บาท/ครั้ง พร้อมเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินสูงสุด 100,000 บาท / คน อีกทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล วงเงินสูงสุด 50,000 บาท/ คน
สำหรับแบบแผนที่ 2 ด้วยอัตราเบี้ยประกันเพียง 7,800 บาท สำหรับรถทุกประเภทโดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ (ยกเว้นรถที่มีอายุเกิน 15 ปี) ด้วยความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกายบุคคลภายนอก วงเงิน 1,000,000 บาท/คน รวมไปถึงความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก วงเงิน 1,000,000 บาท/ครั้ง พร้อมเพิ่มความคุ้มครองซ่อมรถผู้เอาประกันวงเงินสูงถึง 150,000 บาท/ครั้ง และความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุ
ส่วนบุคคล วงเงินสูงสุด 100,000 บาท/คนอีกทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล วงเงินสูงสุด 50,00 บาท/
คน ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิดโดยความประมาท ผู้เอาประกันภัยจำเป็นต้องชำระค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท / ครั้ง
ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดประกันภัยรถยนต์บ้านเราเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทประกันแต่ละค่ายต่างพากันออกกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อมามัดใจลูกค้า ด้วยเหตุนี้บริษัทฯจึงได้ออก เมืองไทย 5 พลัส มาสนองความต้องการของลูกค้าผู้เอาประกัน โดยจุดเด่นของเมืองไทย 5 พลัส นั้นเน้นความรวดเร็ว สะดวกและง่ายดาย ด้วยการเพิ่มช่องทางการชำระเบี้ยผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารชั้นนำ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย ซึ่งผู้เอาประกันภัยก็จะได้รับความคุ้มครองทันที!! ซึ่งเปรียบเสมือนการกะพริบตาของคนเรา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของแนวคิดเมืองไทย 5 พลัส คือ คุ้มครองง่ายแค่กะพริบตา นางนวลพรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพทั้งทางด้านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพด้านการบริการแก่ลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ สูงสุด และสำหรับลูกค้าท่านใดที่สนใจในแบบประกัน เมืองไทย 5 พลัส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานตัวแทนของบริษัทฯทั่วประเทศ หรือโทรสอบถามได้ที่ Call Center 1484
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/1 ... wsid=83427
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/07/07
โพสต์ที่ 27
คลอดประกันอัคคีภัยชุมชนแออัดวันละ1บาท
โดย ข่าวสด วัน ศุกร์ ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กรมการประกันภัยและสมาคมประกันวินาศภัย เห็นชอบร่วมกันที่จะหาทางลดผลกระทบให้กับพี่น้องประชาชนในแหล่งชุมชนแออัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ที่มีอยู่หลายชุมชนและหลายครอบครัวเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถจะซื้อการคุ้มครองประกันภัยรูปแบบต่างๆ ได้มากนัก ซึ่งจากสถิติการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในแหล่งชุมชนแออัดปีละ 22 ครั้ง แต่ละครั้งผู้ที่อยู่อาศัยไม่สามารถที่จะเรียกร้องการคุ้มครองใดๆ โดยต้องรอการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐบาล
ทั้งนี้ กรมการประกันภัยจะให้บริษัทประกันวินาศภัยต่างๆ เปิดจำหน่ายกรมธรรม์อัคคีภัยชุมชนขึ้นมา โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยวันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท ซึ่งจะให้การคุ้มครองความเสียหายหากเกิดเหตุเพลิงไหม้หลังละ 20,000 บาท เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าว ไม่ได้ปิดกั้นหากผู้อยู่อาศัยในแหล่งชุมชนมีกำลังซื้อ และสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยที่สูงกว่านี้ได้ก็สามารถซื้อประกันคุ้มครองความเสียหายดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน คาดว่าจะเปิดจำหน่ายกรมธรรม์อัคคีภัยชุมชนแออัดได้ประมาณเดือนส.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะประสานไปยังกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตัวเลขความชัดเจนแหล่งชุมชนแออัดทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีจำนวนผู้อยู่อาศัยที่แท้จริงจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพื่อทำการประชาสัมพันธ์ชี้แจงถึงโครงการดังกล่าว แต่กรมธรรม์นี้จะไม่รวมถึงโครงการบ้านเอื้ออาทร เพราะเห็นว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านเอื้ออาทรพอมีกำลังซื้อ และการคุ้มครองอัคคีภัยในโครงการมีอยู่แล้ว
http://news.sanook.com/economic/economic_156224.php
โดย ข่าวสด วัน ศุกร์ ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กรมการประกันภัยและสมาคมประกันวินาศภัย เห็นชอบร่วมกันที่จะหาทางลดผลกระทบให้กับพี่น้องประชาชนในแหล่งชุมชนแออัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ที่มีอยู่หลายชุมชนและหลายครอบครัวเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถจะซื้อการคุ้มครองประกันภัยรูปแบบต่างๆ ได้มากนัก ซึ่งจากสถิติการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในแหล่งชุมชนแออัดปีละ 22 ครั้ง แต่ละครั้งผู้ที่อยู่อาศัยไม่สามารถที่จะเรียกร้องการคุ้มครองใดๆ โดยต้องรอการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐบาล
ทั้งนี้ กรมการประกันภัยจะให้บริษัทประกันวินาศภัยต่างๆ เปิดจำหน่ายกรมธรรม์อัคคีภัยชุมชนขึ้นมา โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยวันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท ซึ่งจะให้การคุ้มครองความเสียหายหากเกิดเหตุเพลิงไหม้หลังละ 20,000 บาท เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าว ไม่ได้ปิดกั้นหากผู้อยู่อาศัยในแหล่งชุมชนมีกำลังซื้อ และสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยที่สูงกว่านี้ได้ก็สามารถซื้อประกันคุ้มครองความเสียหายดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน คาดว่าจะเปิดจำหน่ายกรมธรรม์อัคคีภัยชุมชนแออัดได้ประมาณเดือนส.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะประสานไปยังกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตัวเลขความชัดเจนแหล่งชุมชนแออัดทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีจำนวนผู้อยู่อาศัยที่แท้จริงจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพื่อทำการประชาสัมพันธ์ชี้แจงถึงโครงการดังกล่าว แต่กรมธรรม์นี้จะไม่รวมถึงโครงการบ้านเอื้ออาทร เพราะเห็นว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านเอื้ออาทรพอมีกำลังซื้อ และการคุ้มครองอัคคีภัยในโครงการมีอยู่แล้ว
http://news.sanook.com/economic/economic_156224.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/07/07
โพสต์ที่ 28
ประกันขอหดเงินสมทบ
โพสต์ทูเดย์ ผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยดิ้นเฮือกสุดท้ายขอส่งเงินสมทบเข้าสำนักงาน คปภ. สูงสุด 0.1% จาก 0.5% ในชั้นคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย
นายพิชา สิริโยธิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า สมาคมประกันชีวิตไทยจะขอแก้ไข ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. ... (คปภ.) ว่าด้วยเรื่องอัตราเงินสมทบที่บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัยต้องสมทบเข้าสำนักงาน คปภ. ที่กำหนดสูงสุดไว้ที่ 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทรับจากผู้เอาประกัน เป็นกำหนดอัตราสูงสุดไว้ที่ 0.1% ในขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ทั้งนี้ จากการศึกษาค่าใช้จ่ายของสำนักงาน คปภ. เมื่อเทียบกับเงินสมทบของสายงานวิจัยและวางแผน บริษัท ไทยประกันชีวิต พบว่า ระดับสูงสุด 0.1% เพียงพอต่อการใช้จ่ายของสำนักงาน คปภ. และเมื่อสิ้นปีบัญชียังมีเงินเหลือ โดยปีแรกที่เปลี่ยนจาก กรมการประกันภัยเป็นสำนักงาน คปภ. หลังหักค่าใช้จ่ายประจำปีแล้วจะมีส่วนต่างเหลือ 167 ล้านบาท สามารถนำไปหาผลตอบแทนเพิ่มเติมได้ และส่วนต่างจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางสมาคมประกันชีวิตไทยเคยทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์และกรมการประกันภัย ในฐานะเจ้าของเรื่อง เพื่อให้แก้ไขอัตราส่งเงินสมทบสูงสุดเป็น 0.1% จาก 0.5% แต่ไม่ได้รับการแก้ไข เพียงแต่ระบุชัดว่าใน ช่วงแรกที่แยกกรมการประกันภัยเป็นสำนักงาน คปภ. จะเก็บเงินสมทบที่ 0.35% นายพิชา กล่าว
แหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิต เปิดเผยว่า การกำหนดอัตราสูงสุด ที่ 0.5% สูงเกินไปจะเป็นช่องโหว่ให้สำนักงาน คปภ. เพิ่มสัดส่วนการเรียกเก็บเงินสมทบเมื่อไหร่ก็ได้ และอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะถ้าค่าใช้จ่ายไม่พอก็สามารถเพิ่มอัตราเงินสมทบจากภาคเอกชนได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เพราะเงินที่ส่งสมทบสำนักงาน คปภ. เก็บจากเบี้ยประกันลูกค้า
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดี กรมการประกันภัย กล่าวว่า จากการออกแบบสอบถามความสมัครใจของข้าราชการที่จะไปอยู่สำนักงาน คปภ. ครั้งล่าสุด พบว่ามีผู้ที่จะไปสูง ถึง 95%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=178404
โพสต์ทูเดย์ ผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยดิ้นเฮือกสุดท้ายขอส่งเงินสมทบเข้าสำนักงาน คปภ. สูงสุด 0.1% จาก 0.5% ในชั้นคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย
นายพิชา สิริโยธิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า สมาคมประกันชีวิตไทยจะขอแก้ไข ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. ... (คปภ.) ว่าด้วยเรื่องอัตราเงินสมทบที่บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัยต้องสมทบเข้าสำนักงาน คปภ. ที่กำหนดสูงสุดไว้ที่ 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทรับจากผู้เอาประกัน เป็นกำหนดอัตราสูงสุดไว้ที่ 0.1% ในขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ทั้งนี้ จากการศึกษาค่าใช้จ่ายของสำนักงาน คปภ. เมื่อเทียบกับเงินสมทบของสายงานวิจัยและวางแผน บริษัท ไทยประกันชีวิต พบว่า ระดับสูงสุด 0.1% เพียงพอต่อการใช้จ่ายของสำนักงาน คปภ. และเมื่อสิ้นปีบัญชียังมีเงินเหลือ โดยปีแรกที่เปลี่ยนจาก กรมการประกันภัยเป็นสำนักงาน คปภ. หลังหักค่าใช้จ่ายประจำปีแล้วจะมีส่วนต่างเหลือ 167 ล้านบาท สามารถนำไปหาผลตอบแทนเพิ่มเติมได้ และส่วนต่างจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางสมาคมประกันชีวิตไทยเคยทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์และกรมการประกันภัย ในฐานะเจ้าของเรื่อง เพื่อให้แก้ไขอัตราส่งเงินสมทบสูงสุดเป็น 0.1% จาก 0.5% แต่ไม่ได้รับการแก้ไข เพียงแต่ระบุชัดว่าใน ช่วงแรกที่แยกกรมการประกันภัยเป็นสำนักงาน คปภ. จะเก็บเงินสมทบที่ 0.35% นายพิชา กล่าว
แหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิต เปิดเผยว่า การกำหนดอัตราสูงสุด ที่ 0.5% สูงเกินไปจะเป็นช่องโหว่ให้สำนักงาน คปภ. เพิ่มสัดส่วนการเรียกเก็บเงินสมทบเมื่อไหร่ก็ได้ และอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะถ้าค่าใช้จ่ายไม่พอก็สามารถเพิ่มอัตราเงินสมทบจากภาคเอกชนได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เพราะเงินที่ส่งสมทบสำนักงาน คปภ. เก็บจากเบี้ยประกันลูกค้า
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดี กรมการประกันภัย กล่าวว่า จากการออกแบบสอบถามความสมัครใจของข้าราชการที่จะไปอยู่สำนักงาน คปภ. ครั้งล่าสุด พบว่ามีผู้ที่จะไปสูง ถึง 95%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=178404
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/07/07
โพสต์ที่ 29
2 ยักษ์ฟินันซ่า-สัมพันธ์กอดคอรอด [ ฉบับที่ 810 ประจำวันที่ 14-7-2007 ถึง 17-7-2007]
อาคารอิตัลไทยทาวเวอร์ - ฟินันซ่าย้ำหากชวดเลห์แมน บราเดอร์สยังมีทุนนอกอีก 3-4 รายรุมตอม เป็นค่ายประกันชีวิตแถบเอเชียทั้งหมด ลั่นไม่เกินสิ้นเดือนนี้รู้โฉมแน่ใครตัวจริง ยอมรับเงินกองทุนขาดเรื้อรังกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค เบี้ยหดเพราะลูกค้าซบค่ายอื่น วงในกังขาเลห์แมนฯซื้อจริง เหตุเป็นพวกชอบซื้อมา-ขายไปเพื่อทำกำไร ส่วนสัมพันธ์ฯ อัลไดเซลอุ้มจริงพร้อมเติมกว่า 1,200 ล้านบาท ผู้บริหารสัมพันธ์เปิดเวทีแจ้ง ข่าวดีพนักงาน-ตัวแทน สร้างกำลังใจได้ทุน ใหม่แล้ว ไปรอดแน่ ตะลึง! บริบูรณ์ ออก
ภายหลังนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดี กรมการประกันภัย สั่งให้ผู้บริหารบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด พร้อมด้วยกลุ่มทุนใหม่ที่แสดงความสนใจจะเข้าลงทุนในบริษัทคือบริษัท เลห์แมน บราเดอร์ส วาณิช ธนกิจ เข้าพบเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของฟินันซ่าประกันชีวิตที่ขาดเงินกองทุนกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารอท่าไว้แล้วจำนวน 500 ล้านบาท
ซึ่งบทสรุปในวันนั้นทางตัวแทนเลห์แมน บราเดอร์ส ยืนยันถึงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในฟินันซ่าประกันชีวิต โดยจะเสนอแผนเพิ่มทุนและแก้ปัญหาฐานะเงินกองทุนที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดกว่า 400 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้านี้
อย่างไรก็ดี นอกจากเลห์แมน บราเดอร์สแล้ว ยังมีนักลงทุนจากต่างประเทศอีก 3-4 รายที่สนใจจะเข้าร่วมลงทุนในฟินันซ่าประกันชีวิตเช่นกัน โดยนายรณพิทย์ หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยิสยามธุรกิจิว่า นักลงทุน 3-4 รายตามที่กรมการประกันภัยบอกเป็นบริษัทประกันชีวิตแถบเอเชียทั้งหมดแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นบริษัทอะไรและมาจากประเทศไหน
ตอนนี้บริษัทกำลังดูอยู่ว่าจะดิวกับบริษัทไหนเพราะมีหลายรายสนใจจะร่วมทุนกับเรา และไม่รู้ว่าดีลที่กำลังคุยกันอยู่ทั้ง 3-4 รายเป็นการขายทั้งหมดหรือแค่เข้ามาร่วมลงทุนถือหุ้นด้วย ผมยังไม่รู้ลึกขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆจะเข้ามาถือหุ้นตามกฎหมายกำหนดคือไม่เกิน 25% และเบื้องต้นจะเอาเข้ามาก่อน 500 ล้านบาทตามที่มีปัญหานอกจากนั้นแล้วแต่บริษัทจะมีแผนอย่างไร ็
นายจักรทิพย์กล่าวว่า จริงๆ แล้วบริษัทขาดเงินกองทุนประมาณ 400 กว่าล้านบาทเท่านั้น แต่สภาพคล่องไม่ขาด แยกเป็นคนละส่วนกัน สาเหตุที่เงินกองทุนขาดเงินกองทุนเพราะส่วนหนึ่งไปปรับปรุงออฟฟิศใหม่ อีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในหุ้น แล้วหุ้นตกทำให้ขาดทุน โดยเงินลงทุน 2 ส่วนนี้ทางกรมการประกันภัยไม่ประเมินเป็นทรัพย์สินให้ทำให้เงินกองทุนขาด แต่สภาพคล่องมีพอเพีนยง
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการขาดเงินกองทุนเป็นเวลานานๆ ไม่ดีกระทบความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ทำให้เบี้ยที่เข้ามายังบริษัทลดลงไปด้วยเนื่องจากลูกค้าไม่ซื้อประกันกับบริษัท ดังนั้นหากยังไม่รีบแก้ไขจะส่งผลกระทบมากกว่านี้ โดยคาดว่าดีลทั้งหมดน่าจะปิดได้ไม่น่าเกินสิ้นเดือนนี้ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้จะรู้ว่าใครเป็นผู้ร่วมทุนและลงทุนเท่าไร
แหล่งข่าวจากวงการประกันภัยกล่าวว่า หากเลห์แมน บราเดอร์สจะใส่เงินลงทุนเข้ามาแค่ 500 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 19% เท่านั้นเมื่อคำนวณจากทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วในปัจจุบันจำนวน 2,100 ล้านบาทยังไม่ถึงเพดานที่กฎหมายกำหนดให้ด้วยซ้ำจึงยังไม่แน่ใจว่าเลห์แมน บราเดอร์สจะเข้ามาลงทุนจริงหรือไม่ยิ่งถ้าเข้ามาลงทุนแล้วไม่ได้อำนาจบริหารจัดการยิ่งเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งหากเทียบการลงทุนปกติในลักษณะซื้อหุ้นใหญ่เพื่อได้อำนาจการบริหารจัดการทุนใหม่จะต้องให้ผู้ถือหุ้นเดิมลดมูลค่าหุ้นลงก่อนเพื่อล้างขาดทุนสะสมทุนก่อนที่ทุนใหม่จะเข้ามาลงทุน
เลห์แมน บราเดอร์สเป็นวาณิชธนกิจชั้นนำของโลกเขาจะชำนาญเรื่องการซื้อมาแล้วขายไปมากกว่าเอาทรัพย์สินที่ซื้อมามาแต่งตัวใหม่เพื่อปั่นขายทำกำไร โดยราคาซื้อขายจะขึ้นอยู่กับพอร์ตงานของบริษัทที่จะขายเป็นหลัก เช่น ถ้ามีลูกค้าประกันชีวิตกรมธรรม์ยาวๆ นอนกินเบี้ยสบายพอร์ตแบบนี้น่าสนใจ แต่ถ้ามีงานที่เป็นประกันชีวิตกลุ่มเยอะเป็นเบี้ยสั้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ ที่สำคัญยังไม่เคยเห็นเลห์แมน บราเดอร์สบริหารบริษัทประกันชีวิตที่ใดในโลกมาก่อนจึงยังไม่แน่ใจจะเข้ามาลงทุนจริงหรือิ
สำหรับงบดุลฟินันซ่าประกันชีวิต ณ วันที่ 31 ธันวาคมปี 2548 ตามข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 5,383 ล้านบาท หนี้สิน 5,160 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท แต่มีผลขาดทุนจากการลงทุน 252 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดขาดทุนสะสมทั้งสิ้น 1,796 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 36 ราย โดยมีบริษัทเอฟ แอนด์ วีอัลลายแอนซ์ จำกัดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดสัดส่วน 59.07% รองลงมาคือบริษัท เอช ที แคปปิตอล จำกัด 20.82% บริษัท ฟินันซ่า จำกัด(มหาชน) 10% เท่ากับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด
ส่วนกรณีบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัดล่าสุดทางบริษัท อัลไดเซลจากประเทศกาตาร์ยืนยันจะเข้ามาร่วมทุนแน่นอนโดยจะนำเงินเข้ามาลงทุนประมาณ 26.5 ล้านสหรัฐฯหรือประมาณ 901 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 25% ตามกฎหมายและจะให้เงินกู้สัมพันธ์ประกันภัยอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 340 ล้านบาทรวมทั้งสิ้น 1,241 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเงินกองทุนขาดและเสริมสภาพคล่องโดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 9-16 กรกฎาคมนี้
แหล่งข่าวจากสัมพันธ์ประกันภัย เปิดเผยิสยามธุรกิจิว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา 1 วันหลังผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยและทุนใหม่จัดส่งแผนธุรกิจให้กับกรมการประกันภัย ทางผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยได้เรียกประชุมด่วนพนักงานและตัวแทนระดับผู้บริหารทั่วประเทศเพื่อทำความเข้าใจกับพนักงานและตัวแทนหลังอยู่ในภาวะระส่ำระสายมาระยะหนึ่งเนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตบริษัทโดยให้ความมั่นใจว่าบริษัทไปรอดแน่เนื่องจากมีผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาแล้วและจะเร่งเคลียร์เรื่องการร่วมทุนให้แล้วเสร็จภาย
http://www.siamturakij.com/home/index.html
อาคารอิตัลไทยทาวเวอร์ - ฟินันซ่าย้ำหากชวดเลห์แมน บราเดอร์สยังมีทุนนอกอีก 3-4 รายรุมตอม เป็นค่ายประกันชีวิตแถบเอเชียทั้งหมด ลั่นไม่เกินสิ้นเดือนนี้รู้โฉมแน่ใครตัวจริง ยอมรับเงินกองทุนขาดเรื้อรังกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค เบี้ยหดเพราะลูกค้าซบค่ายอื่น วงในกังขาเลห์แมนฯซื้อจริง เหตุเป็นพวกชอบซื้อมา-ขายไปเพื่อทำกำไร ส่วนสัมพันธ์ฯ อัลไดเซลอุ้มจริงพร้อมเติมกว่า 1,200 ล้านบาท ผู้บริหารสัมพันธ์เปิดเวทีแจ้ง ข่าวดีพนักงาน-ตัวแทน สร้างกำลังใจได้ทุน ใหม่แล้ว ไปรอดแน่ ตะลึง! บริบูรณ์ ออก
ภายหลังนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดี กรมการประกันภัย สั่งให้ผู้บริหารบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด พร้อมด้วยกลุ่มทุนใหม่ที่แสดงความสนใจจะเข้าลงทุนในบริษัทคือบริษัท เลห์แมน บราเดอร์ส วาณิช ธนกิจ เข้าพบเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของฟินันซ่าประกันชีวิตที่ขาดเงินกองทุนกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารอท่าไว้แล้วจำนวน 500 ล้านบาท
ซึ่งบทสรุปในวันนั้นทางตัวแทนเลห์แมน บราเดอร์ส ยืนยันถึงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในฟินันซ่าประกันชีวิต โดยจะเสนอแผนเพิ่มทุนและแก้ปัญหาฐานะเงินกองทุนที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดกว่า 400 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้านี้
อย่างไรก็ดี นอกจากเลห์แมน บราเดอร์สแล้ว ยังมีนักลงทุนจากต่างประเทศอีก 3-4 รายที่สนใจจะเข้าร่วมลงทุนในฟินันซ่าประกันชีวิตเช่นกัน โดยนายรณพิทย์ หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยิสยามธุรกิจิว่า นักลงทุน 3-4 รายตามที่กรมการประกันภัยบอกเป็นบริษัทประกันชีวิตแถบเอเชียทั้งหมดแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นบริษัทอะไรและมาจากประเทศไหน
ตอนนี้บริษัทกำลังดูอยู่ว่าจะดิวกับบริษัทไหนเพราะมีหลายรายสนใจจะร่วมทุนกับเรา และไม่รู้ว่าดีลที่กำลังคุยกันอยู่ทั้ง 3-4 รายเป็นการขายทั้งหมดหรือแค่เข้ามาร่วมลงทุนถือหุ้นด้วย ผมยังไม่รู้ลึกขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆจะเข้ามาถือหุ้นตามกฎหมายกำหนดคือไม่เกิน 25% และเบื้องต้นจะเอาเข้ามาก่อน 500 ล้านบาทตามที่มีปัญหานอกจากนั้นแล้วแต่บริษัทจะมีแผนอย่างไร ็
นายจักรทิพย์กล่าวว่า จริงๆ แล้วบริษัทขาดเงินกองทุนประมาณ 400 กว่าล้านบาทเท่านั้น แต่สภาพคล่องไม่ขาด แยกเป็นคนละส่วนกัน สาเหตุที่เงินกองทุนขาดเงินกองทุนเพราะส่วนหนึ่งไปปรับปรุงออฟฟิศใหม่ อีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในหุ้น แล้วหุ้นตกทำให้ขาดทุน โดยเงินลงทุน 2 ส่วนนี้ทางกรมการประกันภัยไม่ประเมินเป็นทรัพย์สินให้ทำให้เงินกองทุนขาด แต่สภาพคล่องมีพอเพีนยง
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการขาดเงินกองทุนเป็นเวลานานๆ ไม่ดีกระทบความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ทำให้เบี้ยที่เข้ามายังบริษัทลดลงไปด้วยเนื่องจากลูกค้าไม่ซื้อประกันกับบริษัท ดังนั้นหากยังไม่รีบแก้ไขจะส่งผลกระทบมากกว่านี้ โดยคาดว่าดีลทั้งหมดน่าจะปิดได้ไม่น่าเกินสิ้นเดือนนี้ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้จะรู้ว่าใครเป็นผู้ร่วมทุนและลงทุนเท่าไร
แหล่งข่าวจากวงการประกันภัยกล่าวว่า หากเลห์แมน บราเดอร์สจะใส่เงินลงทุนเข้ามาแค่ 500 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 19% เท่านั้นเมื่อคำนวณจากทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วในปัจจุบันจำนวน 2,100 ล้านบาทยังไม่ถึงเพดานที่กฎหมายกำหนดให้ด้วยซ้ำจึงยังไม่แน่ใจว่าเลห์แมน บราเดอร์สจะเข้ามาลงทุนจริงหรือไม่ยิ่งถ้าเข้ามาลงทุนแล้วไม่ได้อำนาจบริหารจัดการยิ่งเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งหากเทียบการลงทุนปกติในลักษณะซื้อหุ้นใหญ่เพื่อได้อำนาจการบริหารจัดการทุนใหม่จะต้องให้ผู้ถือหุ้นเดิมลดมูลค่าหุ้นลงก่อนเพื่อล้างขาดทุนสะสมทุนก่อนที่ทุนใหม่จะเข้ามาลงทุน
เลห์แมน บราเดอร์สเป็นวาณิชธนกิจชั้นนำของโลกเขาจะชำนาญเรื่องการซื้อมาแล้วขายไปมากกว่าเอาทรัพย์สินที่ซื้อมามาแต่งตัวใหม่เพื่อปั่นขายทำกำไร โดยราคาซื้อขายจะขึ้นอยู่กับพอร์ตงานของบริษัทที่จะขายเป็นหลัก เช่น ถ้ามีลูกค้าประกันชีวิตกรมธรรม์ยาวๆ นอนกินเบี้ยสบายพอร์ตแบบนี้น่าสนใจ แต่ถ้ามีงานที่เป็นประกันชีวิตกลุ่มเยอะเป็นเบี้ยสั้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ ที่สำคัญยังไม่เคยเห็นเลห์แมน บราเดอร์สบริหารบริษัทประกันชีวิตที่ใดในโลกมาก่อนจึงยังไม่แน่ใจจะเข้ามาลงทุนจริงหรือิ
สำหรับงบดุลฟินันซ่าประกันชีวิต ณ วันที่ 31 ธันวาคมปี 2548 ตามข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 5,383 ล้านบาท หนี้สิน 5,160 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท แต่มีผลขาดทุนจากการลงทุน 252 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดขาดทุนสะสมทั้งสิ้น 1,796 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 36 ราย โดยมีบริษัทเอฟ แอนด์ วีอัลลายแอนซ์ จำกัดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดสัดส่วน 59.07% รองลงมาคือบริษัท เอช ที แคปปิตอล จำกัด 20.82% บริษัท ฟินันซ่า จำกัด(มหาชน) 10% เท่ากับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด
ส่วนกรณีบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัดล่าสุดทางบริษัท อัลไดเซลจากประเทศกาตาร์ยืนยันจะเข้ามาร่วมทุนแน่นอนโดยจะนำเงินเข้ามาลงทุนประมาณ 26.5 ล้านสหรัฐฯหรือประมาณ 901 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 25% ตามกฎหมายและจะให้เงินกู้สัมพันธ์ประกันภัยอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 340 ล้านบาทรวมทั้งสิ้น 1,241 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเงินกองทุนขาดและเสริมสภาพคล่องโดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 9-16 กรกฎาคมนี้
แหล่งข่าวจากสัมพันธ์ประกันภัย เปิดเผยิสยามธุรกิจิว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา 1 วันหลังผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยและทุนใหม่จัดส่งแผนธุรกิจให้กับกรมการประกันภัย ทางผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยได้เรียกประชุมด่วนพนักงานและตัวแทนระดับผู้บริหารทั่วประเทศเพื่อทำความเข้าใจกับพนักงานและตัวแทนหลังอยู่ในภาวะระส่ำระสายมาระยะหนึ่งเนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตบริษัทโดยให้ความมั่นใจว่าบริษัทไปรอดแน่เนื่องจากมีผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาแล้วและจะเร่งเคลียร์เรื่องการร่วมทุนให้แล้วเสร็จภาย
http://www.siamturakij.com/home/index.html
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/07/07
โพสต์ที่ 30
2ประกันยักษ์ข้ามชาติค้านองค์กรอิสระรีดค่าต๋งผู้บริโภค - 16/7/2550
หลังจากบรรดาผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตคนไทยออกโรงมาคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยพ.ศ........ที่แยกกรมการประกันภัยออกมาจัดตั้งเป็นองค์กรประกันภัยอิสระหรือคปภ. โดยพุ่งเป้าไปที่กรมการประกันภัยเขียนไว้ในร่างกฎหมายจะเรียกเก็บเงินสมทบจากภาคเอกชนในอัตราไม่เกิน 0.5% โดยเบื้องต้นได้ระบุตัวเลขอาจจะจัดเก็บไม่เกิน 0.35% ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอความเห็นผ่านเป็นมติของสมาคมประกันชีวิตไทยไปถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นควรจะเก็บไม่เกิน 0.05% หรือ 0.1% ก็จะทำให้ภาคธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบกระทั่งต้องไปขึ้นค่าเบี้ยประกันกับผู้เอาประกันอีกทางหนึ่งนั้น
ล่าสุด 2ผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตข้ามชาติได้ออกมาจัดเปิดตัวแถลงข่าวคัดค้านในประเด็นนี้แล้วเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วยนายซี.โดนอลด์ คาร์ดิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) หรือ SCNYL และนายวิลฟ์ แบล็กเบิร์น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอยุธยาอลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต จำกัด(เอเอซีพี) ส่วนมุมมองแต่ละคนมององค์กรประกันภัยอิสระหรือคปภ.อย่างไรลองมาฟังกัน
นายวิลฟ์ แบล็กเบิรน์ บิ๊กบอสใหญ่ที่กลุ่มประกันยักษ์อลิอันซ์ได้ส่งตัวเข้ามาทำหน้าที่มือบริหารในเมืองไทย กล่าวสนับสนุนว่า ในฐานะผู้ลงทุนต่างชาติ กลุ่มเองก็พร้อมปฎิบัติตามกฎกติกาของภาครัฐ และคิดว่า ทางกรมการประกันภัยหากแยกไปจัดตั้งองค์กรอสิระ ก็คงสามารถสนับสนุนภาคธุรกิจได้ดีเช่นอยู่กระทรวงพาณิชย์ แต่ปัญหาก็คือ ร่างกฎหมายดังกล่าวกลับให้บริษัทประกันชีวิตในฐานะผู้จ่ายภาษีคือผู้สนับสนุน ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เพราะประเทศต่างๆทั่วโลกก็ใช้ระบบนำภาษีที่ประชาชนจ่ายให้กับภาครัฐนำมาสนับสนุนการจัดตั้งองค์กรอิสระ หรือหน่วยงานที่รัฐต้องการจะตั้งขึ้นกันทั้งนั้น
ทั้งนี้หากองค์กรอิสระเรียกเก็บจากบริษัทประกันชีวิตแล้ว ปัญหาก็จะเกิดตามมาคือ ใครเป็นคนจ่าย ซึ่งท้ายสุดก็หนีไม่พ้นผู้บริโภคซื้อสินค้าแพงขึ้น และตนก็คิดว่า ผู้บริโภคเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบเท่านั้นเอง เพราะผู้ถือหุ้นหรือตัวแทนขายประกันชีวิตก็ยังเข้มแข็งอยู่ ในที่สุดคนที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริโภคนั่นเอง ดังนั้นเราต้องมาคิดว่า มันมีเหตุผลเพียงพอไหมที่จะผลักภาระจากผู้ที่จ่ายภาษีเฉลี่ยๆทั่วไปไปยังผู้บริโภค อีกทั้งตนเองยังคิดว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐบาล ที่จะสนับสนุนให้ผู้บริโภคเพิ่มการออมผ่านการซื้อประกันชีวิต ซึ่งจุดนี้คิดว่า รัฐบาลน่าจะคำนึงมากกว่าที่เราจะต้องจ่ายเงินสมทบเท่าไหร่
และสมมุติว่า กรมการประกันภัยตัดสินใจแล้วว่าจะให้ภาคธุรกิจเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน เขาก็น่าจะคิดว่า ควรขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายอย่างที่เราว่าก็คือ ตาม Business Plan ของเขามากกว่า และยิ่งถ้ามันต่ำเท่าไหร่ ธุรกิจก็มีความสามารถที่จะจ่าย แต่จุดนี้ก็เป็นภาระหนักสำหรับบริษัทประกันชีวิตขนาดเล็ก และจะทำให้บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไม่อยากเข้ามาได้
นายวิลฟ์ ยังกลับมองว่า ถ้าเขาเป็นรัฐบาล เขาอยากจะสนับสนุนให้มีอัตราการถือกรมธรรม์ประกันชีวิตสูงขึ้น โดยการที่รัฐบาลให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีต่อผู้เอาประกันเพิ่มขึ้นไปอีก แทนที่จะใช้วิธีเก็บเงินสมทบวิธีนี้ ซึ่งรัฐบาลไม่ควรหารายได้ของตัวเองด้วยการเก็บเงินสมทบโดยตรง แต่ควรที่จะให้ผ่านการให้ผลประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษีผู้เอาประกัน เพื่อทำให้บริษัทประกันชีวิตมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็จะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามมา
จริงๆแล้วคนทั่วโลกจะใช้เงินปัจจุบันมากกว่าที่จะเก็บไว้ใช้อนาคต ดังนั้นคนเราทุกคนต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเซฟหรือออมเงินสำหรับอนาคต โดยทั่วโลกมันขึ้นอยู่กับแรงจูงใจทางด้านภาษีเนี่ย ซึ่งจะทำให้สินค้าเหล่านี้เจริญเติบโตขึ้น และส่วนใหญ่ทุกรัฐบาลก็เห็นว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่จะสนับสนุนให้ประชาชนเริ่มต้นออมเงินสำหรับอนาคต เพราะว่า มันจะเป็นการลดภาระรัฐบาลไปกับการเสียค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลประชาชนในแต่ละปีมหาศาลไปอีกทางด้วย
สำหรับทรรศนะของนายวิลฟ์ มองแล้วว่าอัตราการจ่ายเงินสมทบในอัตรา 0.05% ที่สมาคมประกันชีวิตไทยเสนอนั้นก็ยังถือว่าสูงอยู่ เพราะว่าจริงๆแล้วบริษัทต้องจ่ายภาษีธุรกิจปีหนึ่งๆ ตก 30% ซึ่งตัวเลขอัตราจัดเก็บเงินสมทบ 0.05% ถือว่าน่าจะกระทบต่อต้นทุนธุรกิจ มันคงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัท ถ้าเป็นอัตรา 0.05% บางบริษัทที่มีผลกำไรอยู่บ้างแล้วนั้นอาจจะตัดสินใจรับภาระเอง อย่างเช่นบริษัทเอเอซีพีหรือบริษัทนิวยอร์คไลฟ์ฯอาจจะแบกภาระนี้ไว้เองได้ โดยคิดว่าคงจะไม่ขึ้นราคาค่าเบี้ยประกันเอากับลูกค้า แต่ไม่ทราบว่า บริษัทเล็กๆจะแบกภาระไว้ได้หรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเชื่อว่า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ภาระอันนี้จะต้องถูกผลักไปสู่ประชาชนแน่ๆ ถ้าในกรณีบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไร
ขณะที่นายซี.โดนอลด์ คาร์ดีน ดาวรุ่งมาแรงในฐานะมือบริหารอาชีพที่นิวยอรค์ไลฟ์ส่งมาประจำการที่เมืองไทย ให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า เห็นด้วยกับแผนการมีองค์กรอิสระเป็นเรื่องดี เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงมากในปัจจุบัน ดังนั้นการมีองค์กรอิสระจะทำให้หน่วยงานควบคุมกำกับดูแลสามารถเข้ามาดูแลได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และความสะดวกอีกอย่างหนึ่งคือ การมีองค์กรอิสระจะทำให้บริษัทหลายๆบริษัทอย่างเช่น นิวยอรค์ไลฟ์ฯสามารถแนะนำสินค้าตัวใหม่ๆที่มีคุณสมบัติแปลกๆได้รับอนุมัติเร็วขึ้น เพราะว่าหน่วยงานใหม่จะมีหน่วยงานย่อยที่ดูแลเรื่องอย่างนี้เฉพาะ ทำให้มีการพิจารณารวดเร็วขึ้น รวมถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆก็เหมือนกัน อาจจะมีการยืดหยุ่นและมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ได้ผ่านองค์กรอิสระนี้ ซึ่งดีกว่าอยู่ภายใต้รัฐบาล
หลายๆประเทศทุกวันนี้ก็มี เช่นในสหรัฐฯที่มีการปกครองแบ่งแยกเป็นรัฐต่างๆ แต่ละรัฐก็จะมีองค์กรอิสระอย่างนี้ทุกรัฐ แต่ปัญหาก็คือ ใครจะเป็นคนจ่ายเงิน และส่วนหนึ่งรายได้สนับสนุนหน่วยงานนี้ ประเทศต่างๆคล้ายกัน จะเอาเงินจากภาษีที่บริษัทประกันภัยจ่ายทุกปีอยู่แล้วมาจัดตั้งองค์กรอิสระ เหมือนกับประชาชนธรรมดาที่จ่ายภาษี เราก็ได้ใช้ผลประโยชน์จากรัฐบาลสร้างถนนหนทาง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราใช้ และทางบริษัทก็จ่ายภาษี แต่ในต่างประเทศเขาจะเจียดเงินโดยเฉพาะเลย เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานองค์กรอิสระกำกับดูแลธุรกิจนั้นๆ
นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขอัตราเงินสมทบ 0.5% ที่กำหนดไว้ในกฎหมายก็ดี หรืออัตรา 0.35% ตามที่อธิบดีกรมการประกันภัยระบุว่าอาจจะเก็บในเบื้องต้นนั้น ถือเป็นตัวเลขที่สูงเกินไปกว่าที่บริษัทจะจ่ายได้ เพราะว่าบริษัทประกันชีวิตทั้งหมดได้กำไรเป็นตัวเลขหลักเดียว ไม่เหมือนบริษัทที่ขายสินค้าบริโภคอุปโภคที่อาจจะมีกำไร 20% 50% หรือ 70% ซึ่งหากกรมการประกันภัยจะเรียกเก็บ 0.5% หรือ 0.35% ก็จะเป็นภาระขนาดใหญ่ต่อบริษัท และในที่สุดบริษัทก็ไม่มีทางเลือกอื่น ที่จะผลักภาระนี้ไปให้ผู้บริโภค อีกทั้งในทรรศนะของตนเองแล้วก็คิดว่าอัตรานี้ยังสูงอยู่ เพราะว่าจริงๆแล้วบริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายภาษีธุรกิจปีหนึ่งสูงถึง 30% และหากจะต้องขึ้นเบี้ยประกันสูงขึ้นอีก มันก็ย่อมยากยิ่งขึ้นที่จะทำตลาดเติบโต
ทางที่ดีธุรกิจอยากให้รัฐบาลสร้างบรรยากาศให้ธุรกิจสามารถเติบโตน่าจะดีกว่า เพราะจะสามารถทำให้บริษัทจ่ายภาษีให้รัฐบาลมากยิ่งขึ้นตามมา อย่างเช่นสมาคมประกันชีวิตไทยที่ได้ทำมาเป็นปีแล้วที่จะขอเพิ่มหักลดหย่อนภาษีให้ผู้เอาประกันจากปัจจุบัน 1 แสนบาทเป็น 3 แสนบาท อันนี้จะทำให้ตัวแทนมีแรงจูงที่จะขายสินค้าและทำให้บริษัทมีผลกำไร และจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น
เมื่อถามว่า ทางผู้ประกอบการจะยังมีช่องทางเจรจาในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน กล่าวให้ความเห็นว่า จริงๆแล้วยังไม่มีข้อสรุป ดังนั้นก็คิดว่า ยังมีช่องทางในการเจรจาได้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่รู้เหตุผลจะรีบสรุปไปทำไม ทางออกที่ดีควรตั้งคณะกรรมการร่วมกันขึ้นมา และพิจารณาว่า จะทำอย่างไรกันดี โดยไม่ต้องไปรีบร้อนขนาดนี้ เพราะตอนนี้กรมการประกันภัยก็ทำอะไรกันได้อยู่แล้ว คือจะทำวันนี้หรือปีหน้าก็เหมือนกัน แม้กฎหมายจะเข้าสภาฯไปแล้ว และกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายก็ตาม แต่ตราบใดยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ภาคธุรกิจก็ยังถือว่าสามารถที่จะเจรจากันได้อีก
นี่คงเป็นมุมมองของผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตข้ามชาติทางซีกโลกยุโรปตะวันตกที่อดรนทนไม่ไหวออกมาคัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่าในเร็ววันนี้ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตข้ามชาติอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น และหลายต่อหลายชาติทยอยออกมาเรียกร้องในเรื่องนี้เป็นระลอกแน่ ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร เราคงจะต้องติดตามกันดู
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177495
หลังจากบรรดาผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตคนไทยออกโรงมาคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยพ.ศ........ที่แยกกรมการประกันภัยออกมาจัดตั้งเป็นองค์กรประกันภัยอิสระหรือคปภ. โดยพุ่งเป้าไปที่กรมการประกันภัยเขียนไว้ในร่างกฎหมายจะเรียกเก็บเงินสมทบจากภาคเอกชนในอัตราไม่เกิน 0.5% โดยเบื้องต้นได้ระบุตัวเลขอาจจะจัดเก็บไม่เกิน 0.35% ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอความเห็นผ่านเป็นมติของสมาคมประกันชีวิตไทยไปถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นควรจะเก็บไม่เกิน 0.05% หรือ 0.1% ก็จะทำให้ภาคธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบกระทั่งต้องไปขึ้นค่าเบี้ยประกันกับผู้เอาประกันอีกทางหนึ่งนั้น
ล่าสุด 2ผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตข้ามชาติได้ออกมาจัดเปิดตัวแถลงข่าวคัดค้านในประเด็นนี้แล้วเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วยนายซี.โดนอลด์ คาร์ดิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) หรือ SCNYL และนายวิลฟ์ แบล็กเบิร์น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอยุธยาอลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต จำกัด(เอเอซีพี) ส่วนมุมมองแต่ละคนมององค์กรประกันภัยอิสระหรือคปภ.อย่างไรลองมาฟังกัน
นายวิลฟ์ แบล็กเบิรน์ บิ๊กบอสใหญ่ที่กลุ่มประกันยักษ์อลิอันซ์ได้ส่งตัวเข้ามาทำหน้าที่มือบริหารในเมืองไทย กล่าวสนับสนุนว่า ในฐานะผู้ลงทุนต่างชาติ กลุ่มเองก็พร้อมปฎิบัติตามกฎกติกาของภาครัฐ และคิดว่า ทางกรมการประกันภัยหากแยกไปจัดตั้งองค์กรอสิระ ก็คงสามารถสนับสนุนภาคธุรกิจได้ดีเช่นอยู่กระทรวงพาณิชย์ แต่ปัญหาก็คือ ร่างกฎหมายดังกล่าวกลับให้บริษัทประกันชีวิตในฐานะผู้จ่ายภาษีคือผู้สนับสนุน ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เพราะประเทศต่างๆทั่วโลกก็ใช้ระบบนำภาษีที่ประชาชนจ่ายให้กับภาครัฐนำมาสนับสนุนการจัดตั้งองค์กรอิสระ หรือหน่วยงานที่รัฐต้องการจะตั้งขึ้นกันทั้งนั้น
ทั้งนี้หากองค์กรอิสระเรียกเก็บจากบริษัทประกันชีวิตแล้ว ปัญหาก็จะเกิดตามมาคือ ใครเป็นคนจ่าย ซึ่งท้ายสุดก็หนีไม่พ้นผู้บริโภคซื้อสินค้าแพงขึ้น และตนก็คิดว่า ผู้บริโภคเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบเท่านั้นเอง เพราะผู้ถือหุ้นหรือตัวแทนขายประกันชีวิตก็ยังเข้มแข็งอยู่ ในที่สุดคนที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริโภคนั่นเอง ดังนั้นเราต้องมาคิดว่า มันมีเหตุผลเพียงพอไหมที่จะผลักภาระจากผู้ที่จ่ายภาษีเฉลี่ยๆทั่วไปไปยังผู้บริโภค อีกทั้งตนเองยังคิดว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐบาล ที่จะสนับสนุนให้ผู้บริโภคเพิ่มการออมผ่านการซื้อประกันชีวิต ซึ่งจุดนี้คิดว่า รัฐบาลน่าจะคำนึงมากกว่าที่เราจะต้องจ่ายเงินสมทบเท่าไหร่
และสมมุติว่า กรมการประกันภัยตัดสินใจแล้วว่าจะให้ภาคธุรกิจเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน เขาก็น่าจะคิดว่า ควรขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายอย่างที่เราว่าก็คือ ตาม Business Plan ของเขามากกว่า และยิ่งถ้ามันต่ำเท่าไหร่ ธุรกิจก็มีความสามารถที่จะจ่าย แต่จุดนี้ก็เป็นภาระหนักสำหรับบริษัทประกันชีวิตขนาดเล็ก และจะทำให้บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไม่อยากเข้ามาได้
นายวิลฟ์ ยังกลับมองว่า ถ้าเขาเป็นรัฐบาล เขาอยากจะสนับสนุนให้มีอัตราการถือกรมธรรม์ประกันชีวิตสูงขึ้น โดยการที่รัฐบาลให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีต่อผู้เอาประกันเพิ่มขึ้นไปอีก แทนที่จะใช้วิธีเก็บเงินสมทบวิธีนี้ ซึ่งรัฐบาลไม่ควรหารายได้ของตัวเองด้วยการเก็บเงินสมทบโดยตรง แต่ควรที่จะให้ผ่านการให้ผลประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษีผู้เอาประกัน เพื่อทำให้บริษัทประกันชีวิตมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็จะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามมา
จริงๆแล้วคนทั่วโลกจะใช้เงินปัจจุบันมากกว่าที่จะเก็บไว้ใช้อนาคต ดังนั้นคนเราทุกคนต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเซฟหรือออมเงินสำหรับอนาคต โดยทั่วโลกมันขึ้นอยู่กับแรงจูงใจทางด้านภาษีเนี่ย ซึ่งจะทำให้สินค้าเหล่านี้เจริญเติบโตขึ้น และส่วนใหญ่ทุกรัฐบาลก็เห็นว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่จะสนับสนุนให้ประชาชนเริ่มต้นออมเงินสำหรับอนาคต เพราะว่า มันจะเป็นการลดภาระรัฐบาลไปกับการเสียค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลประชาชนในแต่ละปีมหาศาลไปอีกทางด้วย
สำหรับทรรศนะของนายวิลฟ์ มองแล้วว่าอัตราการจ่ายเงินสมทบในอัตรา 0.05% ที่สมาคมประกันชีวิตไทยเสนอนั้นก็ยังถือว่าสูงอยู่ เพราะว่าจริงๆแล้วบริษัทต้องจ่ายภาษีธุรกิจปีหนึ่งๆ ตก 30% ซึ่งตัวเลขอัตราจัดเก็บเงินสมทบ 0.05% ถือว่าน่าจะกระทบต่อต้นทุนธุรกิจ มันคงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัท ถ้าเป็นอัตรา 0.05% บางบริษัทที่มีผลกำไรอยู่บ้างแล้วนั้นอาจจะตัดสินใจรับภาระเอง อย่างเช่นบริษัทเอเอซีพีหรือบริษัทนิวยอร์คไลฟ์ฯอาจจะแบกภาระนี้ไว้เองได้ โดยคิดว่าคงจะไม่ขึ้นราคาค่าเบี้ยประกันเอากับลูกค้า แต่ไม่ทราบว่า บริษัทเล็กๆจะแบกภาระไว้ได้หรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเชื่อว่า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ภาระอันนี้จะต้องถูกผลักไปสู่ประชาชนแน่ๆ ถ้าในกรณีบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไร
ขณะที่นายซี.โดนอลด์ คาร์ดีน ดาวรุ่งมาแรงในฐานะมือบริหารอาชีพที่นิวยอรค์ไลฟ์ส่งมาประจำการที่เมืองไทย ให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า เห็นด้วยกับแผนการมีองค์กรอิสระเป็นเรื่องดี เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงมากในปัจจุบัน ดังนั้นการมีองค์กรอิสระจะทำให้หน่วยงานควบคุมกำกับดูแลสามารถเข้ามาดูแลได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และความสะดวกอีกอย่างหนึ่งคือ การมีองค์กรอิสระจะทำให้บริษัทหลายๆบริษัทอย่างเช่น นิวยอรค์ไลฟ์ฯสามารถแนะนำสินค้าตัวใหม่ๆที่มีคุณสมบัติแปลกๆได้รับอนุมัติเร็วขึ้น เพราะว่าหน่วยงานใหม่จะมีหน่วยงานย่อยที่ดูแลเรื่องอย่างนี้เฉพาะ ทำให้มีการพิจารณารวดเร็วขึ้น รวมถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆก็เหมือนกัน อาจจะมีการยืดหยุ่นและมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ได้ผ่านองค์กรอิสระนี้ ซึ่งดีกว่าอยู่ภายใต้รัฐบาล
หลายๆประเทศทุกวันนี้ก็มี เช่นในสหรัฐฯที่มีการปกครองแบ่งแยกเป็นรัฐต่างๆ แต่ละรัฐก็จะมีองค์กรอิสระอย่างนี้ทุกรัฐ แต่ปัญหาก็คือ ใครจะเป็นคนจ่ายเงิน และส่วนหนึ่งรายได้สนับสนุนหน่วยงานนี้ ประเทศต่างๆคล้ายกัน จะเอาเงินจากภาษีที่บริษัทประกันภัยจ่ายทุกปีอยู่แล้วมาจัดตั้งองค์กรอิสระ เหมือนกับประชาชนธรรมดาที่จ่ายภาษี เราก็ได้ใช้ผลประโยชน์จากรัฐบาลสร้างถนนหนทาง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราใช้ และทางบริษัทก็จ่ายภาษี แต่ในต่างประเทศเขาจะเจียดเงินโดยเฉพาะเลย เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานองค์กรอิสระกำกับดูแลธุรกิจนั้นๆ
นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขอัตราเงินสมทบ 0.5% ที่กำหนดไว้ในกฎหมายก็ดี หรืออัตรา 0.35% ตามที่อธิบดีกรมการประกันภัยระบุว่าอาจจะเก็บในเบื้องต้นนั้น ถือเป็นตัวเลขที่สูงเกินไปกว่าที่บริษัทจะจ่ายได้ เพราะว่าบริษัทประกันชีวิตทั้งหมดได้กำไรเป็นตัวเลขหลักเดียว ไม่เหมือนบริษัทที่ขายสินค้าบริโภคอุปโภคที่อาจจะมีกำไร 20% 50% หรือ 70% ซึ่งหากกรมการประกันภัยจะเรียกเก็บ 0.5% หรือ 0.35% ก็จะเป็นภาระขนาดใหญ่ต่อบริษัท และในที่สุดบริษัทก็ไม่มีทางเลือกอื่น ที่จะผลักภาระนี้ไปให้ผู้บริโภค อีกทั้งในทรรศนะของตนเองแล้วก็คิดว่าอัตรานี้ยังสูงอยู่ เพราะว่าจริงๆแล้วบริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายภาษีธุรกิจปีหนึ่งสูงถึง 30% และหากจะต้องขึ้นเบี้ยประกันสูงขึ้นอีก มันก็ย่อมยากยิ่งขึ้นที่จะทำตลาดเติบโต
ทางที่ดีธุรกิจอยากให้รัฐบาลสร้างบรรยากาศให้ธุรกิจสามารถเติบโตน่าจะดีกว่า เพราะจะสามารถทำให้บริษัทจ่ายภาษีให้รัฐบาลมากยิ่งขึ้นตามมา อย่างเช่นสมาคมประกันชีวิตไทยที่ได้ทำมาเป็นปีแล้วที่จะขอเพิ่มหักลดหย่อนภาษีให้ผู้เอาประกันจากปัจจุบัน 1 แสนบาทเป็น 3 แสนบาท อันนี้จะทำให้ตัวแทนมีแรงจูงที่จะขายสินค้าและทำให้บริษัทมีผลกำไร และจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น
เมื่อถามว่า ทางผู้ประกอบการจะยังมีช่องทางเจรจาในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน กล่าวให้ความเห็นว่า จริงๆแล้วยังไม่มีข้อสรุป ดังนั้นก็คิดว่า ยังมีช่องทางในการเจรจาได้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่รู้เหตุผลจะรีบสรุปไปทำไม ทางออกที่ดีควรตั้งคณะกรรมการร่วมกันขึ้นมา และพิจารณาว่า จะทำอย่างไรกันดี โดยไม่ต้องไปรีบร้อนขนาดนี้ เพราะตอนนี้กรมการประกันภัยก็ทำอะไรกันได้อยู่แล้ว คือจะทำวันนี้หรือปีหน้าก็เหมือนกัน แม้กฎหมายจะเข้าสภาฯไปแล้ว และกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายก็ตาม แต่ตราบใดยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ภาคธุรกิจก็ยังถือว่าสามารถที่จะเจรจากันได้อีก
นี่คงเป็นมุมมองของผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตข้ามชาติทางซีกโลกยุโรปตะวันตกที่อดรนทนไม่ไหวออกมาคัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่าในเร็ววันนี้ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตข้ามชาติอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น และหลายต่อหลายชาติทยอยออกมาเรียกร้องในเรื่องนี้เป็นระลอกแน่ ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร เราคงจะต้องติดตามกันดู
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177495